9
ท้องนี้ท่านได้แต่ใดมา
เวลามักจะผ่านไปไวจนใครคาดไม่ถึงเสมอ พริบตาเดียวมหรรณพก็ไม่ได้พบหน้าภุมรินมาสองเดือนแล้ว จะบอกว่าไม่พบเลยก็ไม่ถูกนัก เพราะเขาย่องไปสอดส่องแถวคอนโดมิเนียมของภมรบ่อยๆ แอบไปหลบมุมอยู่หน้ามหาวิทยาลัยของเธอเป็นระยะ แต่รวมแล้วเขาแทบจะไม่ต่างจากพวกสตอล์กเกอร์ที่คอยย่องตามคนที่ตัวเองชอบเลย แตกต่างตรงที่คนจิตไม่ปกติเหล่านั้นเห็นเหยื่อที่ตนหมายตาแล้วกลับมามีความสุข แต่เขาเจอเธอทีไร กลับบ้านมาถอนหายใจทิ้งไปครึ่งวันทุกที เพราะขณะเขาห่อเหี่ยว ภุมรินที่เขาเห็นไกลๆ สดใสร่าเริงเสมอ เธอทำเหมือนการขาดเขาไปก็ไม่ทำให้ชีวิตของเธอมีปัญหาเลย
ระหว่างที่มหรรณพกำลังทำงานอดิเรกใหม่ของเขา คิดถึงภุมรินแล้วถอนใจ เธอก็ส่งข้อความมาหาเหมือนรู้ว่าเขาคิดถึง
ลุงน้ำอยู่บ้านไหมคะ น้ำผึ้งมีเรื่องอยากจะคุยด้วย
ถ้าภุมรินส่งข้อความมาก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน มหรรณพอาจจะยังสงวนท่าทีอยู่บ้าง แต่พอวันนี้เห็นคำถามเขาก็ไม่ยอมเสียเวลาใช้นิ้วใหญ่ๆ พิมพ์ช้าๆ ส่งข้อความกลับ แล้วรีบกดโทร. ออกหาเธอทันที
“ลุงอยู่บ้าน น้ำผึ้งอยู่บ้านพ่อใช่ไหม เดี๋ยวลุงไปรับ” มหรรณพถามไปก็เดินไปหยิบกุญแจรถ ไม่รอให้ภุมรินตอบก็พร้อมขับออกไปหาเธอแล้ว อย่าว่าแต่นาฬิกาจะชี้เข็มไปที่สองทุ่มเลย แค่หกโมงเย็นเขาก็ไม่ยอมให้เธอเดินทางตามลำพังแล้ว
“น้ำผึ้งอยู่กับเพื่อนค่ะ” เสียงภุมรินดูอึกอัก พลอยทำให้มหรรณพกระวนกระวายใจ
“เพื่อนคนไหน” เขาสะดุ้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงคาดคั้นของตน ต้องรีบทำเสียงอ่อน “ลุงเป็นห่วง ช่วงนี้เห็นน้ำผึ้งโพสต์แปลกๆ ถามไปน้ำผึ้งก็ไม่ค่อยตอบ”
เดือนก่อนภุมรินยังโพสต์ว่าพบรักใหม่อยู่เลย แต่สองสามวันนี้เธอกลับโพสต์ตัดพ้อบนโซเชียล มหรรณพร้อนใจเหมือนโดนไฟจี้ ส่งข้อความไปถาม เธอก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบ บอกว่าแค่โพสต์เล่นๆ ขำๆ แต่เขาไม่ขำ เขาห่วงเธอจะแย่อยู่แล้ว นี่เธอส่งข้อความมาหา แสดงว่ามีเรื่องอยากให้เขาช่วย เขาอยากจะวิ่งไปหาแล้วถามว่าเรื่องอะไร และจะรีบจัดการทุกอย่างให้เธอโดยไว
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากกลับไปทำกับข้าวให้ลุงน้ำกิน ไม่ได้ทำนานแล้ว”
มหรรณพมันช่างนานแสนนานสำหรับ เขายังจำเช้าวันนั้นที่ภุมรินตื่นมาทำกับข้าวเช้า ส่วนเขาเตรียมของทำบุญวันคล้ายวันเกิดให้เธอ ทั้งคู่ตักบาตรร่วมกันตามการคะยั้นคะยอของเธอ แล้วมานั่งกินข้าวด้วยกัน ตอนนั้นเขายังถามเธออยู่เลยว่ามื้อเย็นอยากกินอะไร เขาจะสั่งให้ร้านอาหารทำให้ แต่ทุกอย่างกลับผิดแผน เขาไม่โทษเธอแล้ว ถึงตรงนี้มหรรณพแค่อยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม เขาคิดถึงกับข้าวฝีมือของภุมรินเท่าไร เขายิ่งคิดถึงการนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับเธอร้อยเท่า
“น้ำผึ้งกลับมากินข้าวกับลุงก็พอ” เขาแค่อยากเห็นหน้าเธอใกล้ๆ “มืดแล้ว ลุงไปรับนะ วันนี้โน้ตมาทำกับข้าวแล้ว น้ำผึ้งไม่ต้องเหนื่อย”
“อาโน้ตมาบ้านเหรอคะ” เสียงของภุมรินแปลกไปเล็กน้อย แต่มหรรณพไม่สังเกตเพราะสนใจฟังเสียงรอบด้านของเธอ พยายามให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ชายคนไหนอยู่ใกล้เธอ
“ก็มาๆ ไปๆ เดือนนี้โน้ตมันแปลกๆ คืนนี้มาค้างบ้าน บอกจะไประยองตอนเช้ามืด งานแต่งของอาร์มเพื่อนเขาน่ะ ไปจากบ้านสะดวกกว่าคอนโด” มหรรณพเล่าเท่าที่เขารู้ แต่เขาแอบคิดว่าน้องชายมีอาการเหงาหงอย
มาโนชห่างไกลจากเด็กน้อยติดพี่ชายในวัยเยาว์ แต่หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเขามักจะหาข้ออ้างบอกว่าห่วง กลัวพี่ชายไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน ขับรถข้ามเมืองมาทำอาหารให้มหรรณพทุกสี่ห้าวัน บางครั้งก็มาแบบร่าเริง บางครั้งก็มาแบบเศร้าสร้อย เล่นเอามหรรณพต้องไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่าน้องของเขาเป็นโรคไบโพลาร์หรือเปล่า ขนาดปากบอกว่าจะไปแสดงความยินดีกับเพื่อนที่จะแต่งงานพรุ่งนี้ แต่หน้ากลับเหมือนจะไปร่วมงานศพ ถ้าไม่รู้จักอจลกับพิชามลมาก่อน เขาต้องคิดว่าน้องชายคิดแย่งว่าที่เจ้าสาวของเพื่อน
“ให้ลุงไปรับที่ไหนดี” เขาสตาร์ตรถแล้วนะ เหลือแค่ระบุจีพีเอส
“ไม่ดีกว่าค่ะ น้ำผึ้งมีธุระกับเพื่อนนิดหน่อย เอาเป็นพรุ่งนี้เราเจอกันนะคะ” กล่าวจบ ภุมรินก็บอกสวัสดีแล้วตัดสายไปดื้อๆ ทำเอามหรรณพมองมือถือตาค้าง
“น้ำผึ้งไม่ให้ไปรับเหรอพี่น้ำ” มาโนชมายืนแอบฟังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แล้วก็ได้รับสายตาขุ่นขวางแทนคำตอบ แต่ยังไม่วายปากดี
“เขาอยู่กับแฟนหรือเปล่า เลยไม่อยากให้ลุงไปเจอ”
“พูดมาก! แกล่ะ โดนสาวทิ้งหรือไงถึงได้หงอยขนาดนี้” มหรรณพแค่จะเบี่ยงเบนเรื่องออกห่างจากตัวเขา ไม่นึกว่าจะแทงใจดำน้องชาย
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เขาตึงๆ ใส่ผมมาจะเป็นเดือนแล้ว” คำสารภาพของมาโนชตรงกับสิ่งที่มหรรณพคาดเดา แต่ขาดรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง
“แกแอบไปมีแฟนตอนไหน ทำไมไม่พามาให้ฉันเจอบ้าง” เขาโตกว่าน้องสามปี แต่เหมือนพ่อมากกว่าพี่
“อย่าว่าแต่พามาเจอพี่เลย ฐานะแฟนเขายังไม่ให้ผมเลย” พูดไปมาโนชก็หันหลังกลับไปแอบอยู่ในห้องนอนของตนตามลำพัง
มหรรณพมองตามหลังมาโนชแล้วตัดสินใจไม่ถูกว่าควรเศร้าไปกับน้องชาย หรือเศร้าที่ตนไม่ได้เจอหน้าภุมรินดี เขาเลยเปลี่ยนเป็นนับเวลารอให้เช้าไวๆ เพื่อเขาจะได้เจอหน้าแล้วถามเธอว่าต้องการให้เขาทำอะไรบ้างเพื่อให้ทั้งสองกลับมาเหมือนเดิม
งานแต่งของอจลเริ่มตอนเจ็ดโมงเช้า มาโนชอยากไปช่วยงานตอนเช้ามืด ดังนั้นตีสามเขาจึงใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีแล่นรถยนต์ไปหาเพื่อนแล้ว มหรรณพเป็นพวกหูไว แค่น้องชายเปิดประตูบ้าน สตาร์ตรถ เขาก็งัวเงียตื่นแล้ว ที่จริงจะบอกว่าตื่นเพราะเสียงจากภายนอกก็ไม่ได้ เพราะเขานอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน เพราะสังหรณ์ใจว่าภุมรินจะมีปัญหา ที่จริงจะใช้คำว่าสังหรณ์ใจก็ไม่ได้เช่นกัน ต้องบอกว่าเขากังวลเรื่องเธอจนนอนไม่ค่อยหลับ
มหรรณพใคร่ครวญว่าไปดักรอภุมรินที่คอนโดมิเนียมจะเกินไปไหม ระหว่างคิดมือขวาเขาก็คว้ากุญแจรถ มือซ้ายก็คว้าโทรศัพท์มือถือเตรียมตัวออกจากบ้าน แล้วเดินไปเดินมาเป็นหมีติดจั่นอยู่ในบ้าน
หกนาฬิกาสามสิบนาทีมักจะเป็นเวลาตื่นนอนของภุมริน มหรรณพเลื่อนประตูม้วนหน้าอู่ เตรียมเอารถออกไปรับเธอ แต่กลับพบว่าเธอมายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าพร้อมถุงใส่ของสดในมือ
อยู่ๆ เจอคนที่อยากเจอ มหรรณพทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทักทายอย่างไรดี แต่ยังดีที่มือมีปฏิกิริยาอัตโนมัติ เอื้อมไปคว้าถุงใส่ของจากมือภุมรินมาถือ มือของทั้งคู่บังเอิญสัมผัสกัน ทำเอาเขาใจสั่นทั้งที่ตลอดมาเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่นี้สักนิด แต่ไม่ทันได้วิเคราะห์อาการของตน เขาก็ต้องนิ่วหน้าเพราะน้ำหนักถุงใส่ของซึ่งน่าจะเกือบยี่สิบกิโลกรัม แล้วก็เกือบจะเป็นน้ำหนักครึ่งหนึ่งของเธอทั้งตัว
“ทำไมไม่โทร. ให้ลุงไปรับ หิ้วของหนักๆ อย่างนี้เองได้ยังไง” มหรรณพบ่นต่อเป็นหมีกินผึ้งระหว่างเดินนำภุมรินไปยังห้องครัว ก่อนจะชะงักเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับของเธอเลย
หันหลังกลับมามหรรณพก็ใจหายวาบ เขาไม่เคยเห็นสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนี้จากภุมรินมาก่อนเลย แม้กระทั่งตอนที่ทั้งสองทะเลาะกันจนแยกห่างกว่าสองเดือน ชายหนุ่มรีบวางของในมือ แล้วไปอยู่ตรงหน้าเธอ ทำท่าจะโอบบ่าปลอบโยนเธอเหมือนแต่ก่อน ทว่ายกมือขึ้นมาแล้วเก้กัง ไม่กล้าแตะต้องเธอเพราะเกรงว่าจะก้าวข้ามเส้นที่ตัวเองเป็นคนขีดเอาไว้ แล้วแววตาผิดหวังของเธอ ก็ทำให้เขาโยนหลักการทิ้ง
ช่างความเหมาะสมปะไร น้องน้ำผึ้งตัวน้อยของเขากำลังเศร้า เขาต้องรู้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้ช่วยเธอแก้ไข มหรรณพปลอบใจตัวเองขณะยกมือโอบบ่าภุมรินดึงเข้าหาตัว
“ใครทำอะไรน้ำผึ้ง บอกลุงน้ำซิ” คางของเขาเกยบนกระหม่อมเธอ ปลอบเสียงทุ้มราวกับปลอบเด็กเล็ก หรือไม่ก็แก้วตาดวงใจ
“ไม่มีอะไรค่ะ ลุงน้ำกินข้าวต้มปลากะพงไหมคะ น้ำผึ้งซื้อมาตัวนึง” เธอตอบไม่ตรงกับที่เขาต้องการ แล้วเบี่ยงตัวออกไปรื้อถุงใส่ของสด
มหรรณพอยากจะคาดคั้นถาม แต่เขาไม่ชินกับการบีบบังคับภุมรินในทุกกรณี เลยได้แต่ข่มใจช่วยเธอเตรียมอาหาร นั่งกินข้าวไป คุยกับเธอไป ตะล่อมรอคำตอบไปอีกพักใหญ่ จนเขาร้อนใจจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว เธอค่อยนั่งข้างๆ ให้เขากุมมือระหว่างสารภาพ
“ลุงน้ำคะ น้ำผึ้งท้องค่ะ”
การตั้งครรภ์ไม่ได้อยู่ในแผนการของคนที่ยังไม่พร้อม มาโนชก็เช่นกัน เขาอาจจะอายุสามสิบสอง มีกิจการของตนเอง ไม่ได้บกพร่องทางร่างกายและจิตใจ แต่เขาไม่ได้เตรียมตัวรับการมาถึงของลูกตนเอง
จะว่าไปตอนนี้มาโนชรับมือกับลูกคนอื่นยังไม่ไหว เขาออกจากงานเลี้ยงในร้านอาหารที่ห่างจากบ้านเจ้าภาพไม่กี่เมตรพร้อมลูกๆ ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว เพื่อให้เด็กๆ หยุดสร้างความปั่นป่วนสักพัก แต่แค่อุ้มเด็กสองคนพร้อมกันก็ทำให้เขาหมดแรง ต้องนอนแผ่อยู่บนโซฟาแล้ว ทว่าหนึ่งในปีศาจน้อยยังไม่หยุดราวี เอานิ้วเล็กๆ ที่แข็งเหลือเชื่อจิ้มเอวเขาไม่หยุด เล่นงานจุดอ่อนจนเขายกสองมือยอมแพ้
“นี่ๆ” อดิรถ หรืออาจจะอดิรุจ มาโนชแยกฝาแฝดไม่ออก รู้แค่ว่าทั้งสองคนแสบพอกัน และหนึ่งในนั้นกำลังสนุกกับการที่เขาเอี้ยวเอวหนีมือตน
“อายอมแพ้ อย่าแกล้งอาเลย”
การขับรถทั้งที่อดนอนมาทั้งคืนผลาญแรงเขาจนหมด มาโนชยกมือสองข้างพร้อมโอดครวญ แต่ยิ่งทำให้ทั้งสองชอบใจ จากหนึ่งมือเป็นสองมือ เผลอแป๊บเดียวมือสี่ข้างกับทั้งตัวของคู่แฝดก็ขึ้นมาปีนป่ายบนตัวเขา ช่วยกันจั๊กจี้เอวจนเขาต้องงอตัวหนีอุตลุด หัวเราะไป หายใจไปแทบไม่ทัน เกือบจะขาดใจตายอยู่แล้วตอนมีมือคู่หนึ่งช่วยดึงเจ้าตัวเล็กออกไปพ้นตัวเขาทีละคน มันเกือบจะช่วยชีวิตเขาได้เลยทีเดียว ถ้าเขาไม่สะดุ้งตอนได้ยินเสียงเธอ
“พอแล้วเด็กๆ อย่าแกล้งคนอ่อนแอกว่าสิ”
คำพูดของอมราเหมือนล้อเล่นกับหลาน แต่น้ำเสียงและแววตาที่สบเข้ากับตามาโนชบอกว่าเธอกำลังปรามาสเขา ไม่ต้องรอให้เขาได้ถามว่าทำไมถึงโดนเหน็บแนม ปู่ย่าของแฝดก็มารับช่วงปีศาจน้อยต่อ เปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับเธอตามลำพัง
“ทำไมต้องหลบหน้าอี๊ดด้วยคะ กลัวพี่อาร์มจับได้เหรอว่าเราแอบมีอะไรกัน” เธอชิงถามเขาก่อนทันทีที่เดินออกนอกบ้าน พ้นระยะได้ยินของคนในครอบครัว
“พี่ไม่ได้ทำอย่างนั้น” มาโนชปฏิเสธอัตโนมัติ ทั้งที่เขาทำจริง
เขาไม่ได้กลัว ก็ใช่ เขาอาจจะกลัวนิดหน่อยถ้าเพื่อนจับได้ว่าเขาย่องไปงาบน้องสาวอีกฝ่ายลับหลัง แต่เหตุผลที่มาโนชหลบหน้าอมราก็คือเขาทำตัวไม่ถูก เขาอยากทำตัวเหมือนคนรักของเธอ ทว่าสถานะของทั้งสองไม่ใช่อย่างนั้น แล้วยังความห่างเหินที่เธอแผ่รังสีมาใส่เขาอีก เขาแอบส่งข้อความหาเธอ ไม่ทันได้ถามด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ส่งสติกเกอร์ไลน์ เธอก็ไม่เปิดอ่านด้วยซ้ำ
ใจหนึ่งของมาโนชอยากจะเข้าไปคุยกับอมรา อีกใจก็อยากให้ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์อื่นที่เหมาะสมกว่านี้ อย่างเช่นไม่ได้อยู่ในงานแต่งของพี่ชายเธอ ไม่มีหลานๆ วิ่งปั่นป่วน และเขาพร้อมจะตอบรับอะไรก็ได้ที่เธอจะมอบให้เขา แม้จะเป็นการบอกจบความสัมพันธ์
มาโนชคิดมาหลายวันแล้วว่าการบอกเลิกคือสิ่งที่อมราเตรียมเอาไว้ให้แก่เขา เพราะทุกครั้งที่เจอกันเขาจะพบความเคร่งเครียดอยู่บนสีหน้าเธอ แม้จะหลังมีเซ็กซ์กัน เธอก็ยังไม่ยอมอยู่ในวงแขนเขา แต่หันหลังหนี ครั้งล่าสุดเธอลุกหนีกลับห้องไปเลยด้วยซ้ำ
“เราต้องคุยกัน” เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มตั้งคำถามไหนก่อน แต่การพูดคุยน่าจะช่วยให้ง่ายขึ้น
ไม่มีเสียงตอบรับคำพูดของเขา มาโนชหันไปมองอมราที่น่าจะเดินตามหลังเขา และพบว่าเธอหยุดอยู่กลางทางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้าอี๊ดไม่สะดวกก็เอาไว้วันอื่นก็ได้” เขาเองก็เริ่มรู้สึกว่าการรีบคุยกันไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่เธอน่าจะถึงขีดสุดแล้ว เพราะเงยหน้าจ้องตาเขาแล้วคาดคั้นถาม
“พี่โน้ตแน่ใจเหรอคะว่าอยากคุย”
เขาพูดไม่ได้หรอกว่าเขาเปลี่ยนใจแล้ว ดังนั้นมาโนชจึงเลือกพยักหน้า คาดหวังว่าอมราจะพาเขาเดินเข้าสวน หรือออกห่างจากคนอื่น แต่เธอกลับเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจแทนเขา เธอส่ายหน้าก่อนบอก
“มันก็ไม่เหมาะจริงๆ ค่ะ ถ้าจะมาคุยกันตอนนี้”
แล้วอมราก็เดินหนีเข้างานไปเลย ทิ้งเขาเอาไว้กับความสับสน วินาทีแรกเขาอยากจะวิ่งตามไปกระชากตัวเธอมาคุยให้รู้เรื่อง แต่วินาทีต่อมาสมองก็เตือนมาโนชว่าไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ยกเว้นเขาอยากรู้ว่าหนุ่มๆ ชาวระยองยิงปืนแม่นแค่ไหน
แล้วโอกาสในการพูดคุยก็ไม่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน กระทั่งถึงตอนงานเลี้ยงอมราก็ยังไม่หันมามองหน้าเขาด้วยซ้ำ มาโนชที่เพลียแทบแย่ตัดสินใจเปิดห้องโรงแรมหวังจะนอนพักสักคืนก่อนกลับ และตกดึกคนที่เขารอจะคุยด้วยก็มาถึง นั่งห่างคนละมุมห้องกับเขา บอกข่าวที่น่าจะดี ยกเว้นเหมือนแจ้งข่าวร้าย
“อี๊ดท้อง”
ปฏิกิริยาแรกของมาโนชคืออ้าปากค้าง สมองไม่ทันสำรวจด้วยซ้ำว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไร ปากก็พูดโดยไม่ผ่านสมองออกไป
“ท้องกับใคร”
ตลอดชีวิตที่เหลือของมาโนช เขาพบว่านั่นเป็นคำถามที่ผิด ซึ่งมันเกิดขึ้นก่อนที่อมราจะตบเขาจนหน้าหันแล้วผลุนผลันออกไปเสียอีก
ก่อนมาโนชจะโดนอมราตบหน้าหัน มหรรณพก็โดนภุมรินฮุกเข้าที่สมองด้วยการบอกปัญหาที่เขาไม่นึกว่าเธอจะต้องประสบ หรือจะพูดให้ถูกก็คือเขาไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมานั่งข้างๆ เธอ แล้วเจอคำพูดเหล่านี้ ทว่าหญิงสาวใคร่ครวญมาอย่างดี แล้วเอ่ยทีละประโยคอย่างชัดเจน แม้น้ำตาจะหยดแปะๆ ก็ตาม
“ลุงน้ำคะ น้ำผึ้งท้องค่ะ ลุงน้ำช่วยรับเป็นพ่อเด็กได้ไหมคะ” อยู่ๆ ภุมรินก็มาสะอึกสะอื้นบอกว่ากำลังท้องไม่มีพ่อ ขอให้ช่วย
มหรรณพถึงกับตบโต๊ะดังปังทันที “ใครกล้ารังแกน้ำผึ้ง ลุงจะไปฆ่ามัน”
“...” ภุมรินจะพูดได้ยังไงว่าเธอโกหก
หญิงสาวคาดเอาไว้แล้วว่าปฏิกิริยาตอบรับของเขาต้องไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าหลังจากประกาศก้องว่าจะก่อเหตุฆาตกรรม เขาจะจ้องหน้ารอชื่อคนที่ต้องสังหารอย่างจดจ่อเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต ภุมรินโกหกมหรรณพนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าคราวนี้ไม่เพียงจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องสำคัญชั่วชีวิต เขายังจ้องตาเธอไม่กะพริบรอคำตอบแบบไม่ให้มีผิดพลาดแม้สักคำเดียว
“เขาไม่อยู่แล้วค่ะ” ภุมรินไม่ได้โกหก พายุพัฒที่ช่วยเธอสร้างภาพบินกลับไปต่างประเทศแล้ว เพราะแฟนหนุ่มขอให้ไปช่วยดูแลธุรกิจที่นั่น
“ไม่อยู่ อะไรคือไม่อยู่ มันตายไปแล้วเหรอ” น้ำเสียงลอดไรฟันของมหรรณพบอกชัดว่าถ้าคู่กรณียังไม่ตาย เขาก็พร้อมจะส่งอีกฝ่ายลงนรก
“เขาไปเมืองนอกแล้วค่ะ” บอกความจริงเท่าที่ทำได้จนหมด ภุมรินก็ซุกหน้าลงกับฝ่ามือ ร่ำไห้ปฏิเสธจะพูดต่อ หรือก็คือพยายามหลบหน้าไม่สบสายตาคาดคั้นของมหรรณพ
“น้ำผึ้ง อย่าร้องไห้เลย” มือใหญ่ทว่าอ่อนโยนพยายามลูบหลังลูบไหล่เธออย่างที่เคยทำเสมอมา
ภุมรินรู้ว่าสิ่งที่มหรรณพเกลียดที่สุดก็คือเธอร้องไห้ เขากลัวเสมอว่าจะมีใครมาทำให้เธอเสียใจ เธอเองก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เกลียดเขาร้องไห้ เพราะลุงหมีของเธอไม่งอแง แต่เธอกลัวที่สุดที่จะทำเขาเสียใจ และทั้งที่รู้ว่าถ้าเธอเสียใจ เขาจะเสียใจยิ่งกว่า เธอก็ยังต้องแสร้งร้องไห้เพื่อให้เขายอมตกลง
“ลุงน้ำจะช่วยผึ้งได้ไหมคะ” เธอเงยหน้าอาบน้ำตาอ้อนวอน และเห็นความปวดใจปรากฏเต็มใบหน้าของเขา
“ช่วยสิ ลุงจะไม่ช่วยน้ำผึ้งได้ยังไง แต่น้ำผึ้งต้องบอกลุงก่อนว่าพ่อของเด็กเป็นใคร”
ถ้าภุมรินอยากฆ่าพายุพัฒก็คงเอ่ยชื่อเขาออกไปเป็นเหยื่อแล้ว แต่เธอยังไม่อยากให้เพื่อนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โดนกระทืบตาย จึงยืนกระต่ายขาเดียวไม่พูด หมีใหญ่ใจไม่แข็งก็บังคับเธอไม่ได้ วกไปเวียนมาอยู่อย่างนี้จนเธอชักจะร้องไห้ต่อไม่ไหว และกลัวมหรรณพจะไปไล่เช็กเอาจากรายชื่อเพื่อนของเธอ เลยงัดไม้ตายออกมา
“ถ้าลุงน้ำไม่ช่วย น้ำผึ้งจะตายไปพร้อมเด็กในท้องนี่แหละ”
ดังนั้นต่อให้มหรรณพอยากจะหาตัวคนผิดมาหักแขนหักขา เฉือนอวัยวะบางอย่างให้เป็ดกิน เขาก็ต้องยอมรามือ แต่ก็ยังไม่มอบสิ่งที่ภุมรินต้องการให้อยู่ดี
พอรู้ตัวว่ากำลังจะเป็นพ่อคน มาโนชก็หลุดคำถามงี่เง่าออกไป แต่เขาไม่ได้นั่งหน้าชาอยู่ในโรงแรมเฉยๆ ระหว่างอมราตบหน้าแล้ววิ่งหนี เขาแค่สตั๊นไปไม่กี่วินาทีก่อนจะวิ่งตามเธอไป แต่โรงแรมแห่งนี้แย่มากที่มีลิฟต์โดยสารเพียงตัวเดียว และเธอชิงกดลงไปชั้นล่างก่อนเขา
ชายหนุ่มวิ่งลงบันไดชนิดที่กินเนสส์บุ๊กควรบันทึกสถิติ แต่ถึงลิฟต์จะมีตัวเดียว โรงแรมก็มีทางออกสองทาง เขาดันเลือกทางที่ผิด มาโนชอยากจะขับรถออกตามหาอมรา แต่ดันวิ่งลงมาโดยไม่พกกุญแจรถมาด้วย กว่าจะกลับไปเอากุญแจ กว่าจะไปถึงบ้านของเธอก็พบว่าเธอไม่ได้มาบ้าน แต่อ้างว่าต้องรีบกลับไปกรุงเทพฯ หนำซ้ำยังยืมรถของอจลไปใช้ชั่วคราว เขาเลยได้แต่ยืนอึ้งกับสายตาส่งคำถามว่าเขาโผล่หน้ามาทำไมตอนตีสอง
เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนพ่อและพี่ๆ ของอมราสังหารก่อนปรับความเข้าใจกับเธอ มาโนชเลยตอบไปว่า ‘ผมลืมของชำร่วยงานแต่ง’ เลยโดนอจลที่ต้องออกจากห้องหอมาพบหน้าเพื่อนบ้าๆ บอๆ ปาของชำร่วยใส่หัวทั้งตะกร้า
มาโนชไม่รู้ว่าเขาขับรถกลับจากระยองมากรุงเทพฯ ได้อย่างไรโดยไม่หลับในลงคลองข้างทาง หรือเหม่อลอยจนชนด่านทางพิเศษ แต่เมื่อมาถึงปลายทางสำเร็จ เขากลับพบว่าห้องของเธอไม่มีคนอยู่ ส่งข้อความไปหาทั้งคืนด้วยความเป็นห่วง พอถึงช่วงเช้าค่อยรวบรวมความกล้า แกล้งโทร. ไปหาอจลที่งัวเงียมาสรรเสริญเขาว่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แล้วก็ได้คำตอบว่าอยู่ๆ อมราก็เปลี่ยนใจขับรถกลับมาบ้านหลังจากเขาขับออกไป ทำให้เขาโล่งอกที่เธอปลอดภัย แต่ยังหนักใจกับปัญหาระหว่างทั้งคู่
เหน็ดเหนื่อยมาตลอดคืน แทนที่จะนอนพัก มาโนชกลับเดินออกจากหน้าประตูคอนโดมิเนียมของตน ขับรถจากกรุงเทพฯ แล้ววกกลับมาสมุทรปราการเพื่อพบหน้าพี่ชาย แต่อาจเพราะเขาเหนื่อยจนแทบสลบเลยไม่สังเกตเห็นว่าสีหน้าของมหรรณพดำคล้ำกว่าเขาเสียอีก
“พี่ ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษา” ที่พึ่งหลักของมาโนชก็คือมหรรณพ แล้วก่อนจะหมดความกล้า เขาก็โพล่งปัญหาออกมา
“ผมไปทำผู้หญิงท้อง”
ตั้งแต่เข้าวัยรุ่นมาโนชโดนมหรรณพจ้ำจี้จ้ำไชให้ระมัดระวังตัว ยืดอกพกถุง เมื่อทำพลาดขนาดนี้ เขาเลยอดิคิดว่าจะโดนเท้าขนาดเบอร์สี่สิบเจ็ดยันติดข้างฝาไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้คือสีหน้านิ่งสนิทกับน้ำเสียงนิ่งสงบ
“ที่บ้านเขารู้หรือยัง” คำตอบที่ได้รับคือส่ายหน้า “แล้วบ้านเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรบ้าง”
“บ้านพ่อแม่อี๊ดอยู่ระยอง พ่อของเขาเคยเป็นทหารก่อนจะมาเปิดร้านอาหาร”
“คนที่รู้จักวิธีใช้ปืนสินะ” เป็นคำพูดที่ชวนเหงื่อตก
“พี่ชายคนโตเรียนทำอาหารรุ่นเดียวกับผม” แต่มาโนชไม่คิดว่ากรณีนี้เพื่อนจะไม่ฆ่าเพื่อน
“คนที่ชำนาญการใช้มีด”
“พี่ชายคนรองเป็นเกษตรจังหวัด” มาโนชพบความสบายใจจากอาชีพนี้ ก่อนจะตัวสั่นเพราะคำพูดของมหรรณพ
“คนที่รู้จักใช้ประโยชน์จากกรรไกรตัดกิ่ง”
สรุปไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตายสินะ แค่จะตายช้า ตายเร็ว หรือตายอนาถมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง มาโนชถอนหายใจดังเฮือก แล้วเงยหน้าสบตาพี่ชายหวังจะได้รับคำตอบที่เป็นประโยชน์ เช่น เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี ควรซื้อประกันชีวิตเพิ่มดีไหม อย่างน้อยก็เป็นมรดกให้ลูกที่ยังไม่ลืมตาดูโลก เผื่อเขาโดนฆ่าหมกศพกะทันหัน แต่กลับเห็นมหรรณพเหม่อลอยทั้งที่ความเป็นความตายของน้องชายอยู่ตรงหน้า
“พี่น้ำคงไม่ได้ไปทำผู้หญิงท้องเหมือนกันนะครับ” กล่าวจบมาโนชก็สะดุ้งเพราะคำถามของตน เพราะผู้หญิงที่อยู่ใกล้มหรรณพช่วงนี้มีแค่ภุมริน
“น้ำผึ้งท้อง”
พี่ของเขาเป็นคนไวไฟขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร มาโนชจ้องมหรรณพตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าจากหมีจำศีล อีกฝ่ายจะเปลี่ยนเป็นหมีโดจิน แต่ยังจินตนาการชวนโดนพี่ถีบไม่เสร็จก็ได้ฟังเรื่องช็อก
“แต่ไม่ได้ท้องกับฉัน”
แม้มาโนชจะไม่ถึงขั้นตบโต๊ะ ประกาศตามฆ่าคนเหมือนมหรรณพ แต่เขาก็อยากรู้มากว่าไอ้สารเลวคนนั้นคือใคร จะได้ตามไปช่วยเก็บศพ ทว่าหลังจากเอาเรื่องต่างๆ มาผูกรวมกัน ทั้งเรื่องของเขาและของพี่ มาโนชก็มีข้อเสนอดีๆ ที่มหรรณพต้องอ้าปากค้างบ้าง
“หรือว่าเราทั้งคู่จะมาจัดงานแต่งพร้อมกันดีครับ”
ความคิดเห็น |
---|