10
เริ่มต้นที่การแต่งงาน
เรื่องงานแต่ง ภุมรินเตรียมเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว แต่ขนาดเธอยื่นไพ่ตายว่าจะตายพร้อมลูกในท้องซึ่งเธอไม่มี มหรรณพก็ยังไม่ยอมใจอ่อน ทำให้เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยากกินหัวเขายิ่งนัก แต่เธอเป็นใคร เธอเป็นหนูน้อยโลลิที่วางแผนกินหมีมาหลายปี เธอย่อมอดทนรอได้ เพราะรู้ว่ายิ่งเธอเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน ทำตัวเศร้ามากเท่าไร เขาก็ยิ่งกระวนกระวายใจอยากจะช่วยเธอโดยไม่สนใจเหตุผลใดๆ ทั้งนั้น
เธอเป็นคนเลวที่ใช้ความเป็นห่วงของเขาเอาเปรียบเขา ภุมรินเกือบจะละอายใจทีเดียว ถ้าไม่นึกว่าเธอจะอยู่ต่อไปยังไงถ้าไม่มีมหรรณพอยู่ข้างๆ แล้วถ้ามัวรอให้เขาระลึกได้ว่าควรมาสู่ขอเธอ ทั้งสองคงไม่มีวันได้แต่งงานกันแน่ เธอเลยเลือกวิธีชั่วร้ายแต่ได้ผลไวแทน
ภุมรินประมาณการคร่าวๆ ว่าต้องใช้เวลาสักสองสามวันมหรรณพถึงจะตั้งสติแล้วมานั่งจับเข่าคุยกับเธอถึงเรื่องงานแต่งงาน ไม่นึกว่าคุยกันหลังมื้อเช้า ยังไม่ทันเข้ามื้อเที่ยง มาโนชก็ขับรถเข้ามา สัญชาตญาณผู้หญิงบอกว่ากำลังจะมีเรื่อง ถึงจะอยากเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านรอคนมาสู่ขอ เธอก็อดจะแอบย่องเข้าบ้านเขาไม่ได้ แล้วคำถามที่ได้ยินก็ทำให้เธอลืมเรื่องการอยู่เงียบๆ ไปเลย
“จะโดนยิงหัวก่อนเจรจาหรือเปล่า”
มหรรณพไม่ใช่คนชอบพูดเล่น โดยเฉพาะพูดถึงการยิงด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขนาดนี้ ภุมรินไม่ทันโผล่เข้าไปถามว่าใครจะยิงใคร มาโนชก็ย้ำว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าหาเสื้อเกราะเอาไว้ก่อนได้ก็คงดี อย่างน้อยพี่น้ำก็จะไม่โดนลูกหลง”
“เกิดอะไรขึ้นคะ” ภุมรินไม่เสียเวลาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ที่จริงเธอแทบพุ่งเข้าไปเขย่าแขนถามมหรรณพว่าจะไปเสี่ยงภัยที่ไหน
“ลุงจะไปขอสาวให้อาโน้ต” แต่สีหน้าของมหรรณพคล้ายคนกำลังจะไปออกรบทั้งที่ไม่มีอาวุธ
“พี่อี๊ดน่ะเหรอคะ”
“ทำไมน้ำผึ้งรู้ล่ะ” มาโนชย้อนถามด้วยความประหลาดใจ แล้วก็โดนกลอกตาใส่
คงมีแค่คนโง่เท่านั้นที่ดูไม่ออกว่าสองคนนี่มีซัมติงกัน ภุมรินอาจหลบหน้ามหรรณพไปอยู่คอนโดมิเนียม แต่เธอไม่มีเหตุผลต้องหลบหน้ามาโนช โดยเฉพาะเมื่อเธอต้องการฝึกงานในร้านของเขา แล้วจะไม่เห็นได้อย่างไรว่าอมราเดินเข้าออกร้านเป็นประจำด้วยข้ออ้างอยากกินขนม แต่ส่งสายตาให้เจ้าของร้านที่ส่งสายตากลับแบบที่ทำให้เครื่องดื่มทุกแก้วในร้านลดความหวานลงทันที
“เขามองกันออกทั้งนั้นแหละค่ะ”
“แต่คนที่บ้านอี๊ดยังมองไม่ออกนะ” น้ำเสียงมาโนชไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร
มาโนชอยากจะพามหรรณพไปชิงสู่ขออมราก่อน หากล่าช้าเกินไปรอให้ครอบครัวฝ่ายหญิงจับได้ คงไม่ได้มีเพียงแค่ปืน มีด กรรไกรตัดกิ่ง รอเขาอยู่ บางทีแทนที่จะหาเสื้อเกราะ เขาน่าจะต้องทำพินัยกรรมยกมรดกให้ลูกในท้องอมราเอาไว้ล่วงหน้า
“แล้วพี่อี๊ดเขารู้ตัวหรือยังคะว่าอาโน้ตจะไปขอเขาแต่งงาน” ภุมรินรู้จักพี่น้องหมีบ้านนี้มาสิบห้าปี ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนยังไง คนพี่ชอบวางแผนการล่วงหน้า ส่วนคนน้องชอบด้นสดไปเรื่อยๆ
“ยัง ที่จริงเมื่อคืนเราคุยกันไม่ค่อยดีนิดหน่อย” มาโนชเสียงอ่อย แล้วเล่าถึงความผิดพลาดเมื่อคืนที่มีรอยนิ้วทั้งห้าเป็นหลักฐานอยู่บนหน้าเขา
“ถามผู้หญิงว่าท้องกับใครเนี่ยนะคะ อาโน้ตใจร้ายมากเลย” ประณามมาโนชเสร็จ ภุมรินก็ได้ยินเสียงกระแอมเปี่ยมไปด้วยความละอายใจจากมหรรณพ
รู้สึกว่าเมื่อคืนเขาจะถามเธอแบบนี้เหมือนกัน แต่กรณีภุมรินนั้นอยู่ๆ เธอบอกว่าท้องไม่มีพ่อ มหรรณพถามแบบนั้นก็ไม่แปลก แต่กรณีมาโนชต่างกัน ไม่อย่างนั้นจะโดนตบจนหน้าบวมได้อย่างไร
“ส่งข้อความไปขอโทษหรือยังคะ” ระหว่างถามภุมรินก็จูงมือมหรรณพที่ยังทำหน้าละอายใจไปทางตัวบ้านเพื่อเดินทะลุไปยังรถของเขาในอู่
“ส่งไปหลายรอบแล้ว”
คำตอบของมาโนชค่อนข้างน่าพอใจ ภุมรินพยักหน้าแล้วค่อยถามต่อ
“แต่ขอแต่งงานห้ามส่งข้อความนะคะ ต้องไปขอต่อหน้า แค่ส่งไปว่าจะพาพี่ชายไปหา ให้พี่อี๊ดเดาเอาเอง เขาจะได้ไม่เอาเวลาไปสะสมความโกรธ” ในฐานะผู้หญิงคนเดียวในบ้านนี้ ภุมรินแนะนำไปหลายประโยค แต่มาโนชผู้ไม่เข้าใจผู้หญิงยังกล้าเถียง
“แต่อาส่งข้อความอะไรไป อี๊ดไม่อ่านเลยนะ”
แล้วมาโนชก็โดนภุมรินกลอกตาใส่อีกรอบ “มันมีวิธีอ่านข้อความโดยที่คนส่งเห็นว่ายังไม่อ่านค่ะ”
มหรรณพไม่สนใจจะสอบถามถึงวิธีการที่ว่า เพราะเขาสนใจมากกว่าว่าภุมรินเดินจูงมือเขามาที่รถทำไม พอเห็นเธอเอารีโมตจากมือเขาไปกดปลดล็อก แล้วทำท่าจะปีนขึ้นไปบนเบาะหลังด้วยตนเอง เขาก็ดึงตัวเธอเอาไว้อย่างระมัดระวัง
“น้ำผึ้งจะทำอะไร เรื่องนี้ให้ลุงกับอาโน้ตไป น้ำผึ้งอยู่บ้านดูแลตัวเองกับลูกในท้องให้ดีก็พอ” เขายังไม่รู้เลยว่าจะไปเจอปืนกี่กระบอก จะให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ไปเสี่ยงได้อย่างไร หรือต่อให้ภุมรินไม่ได้ตั้งท้อง มหรรณพก็ไม่ยอมให้เธอไปเสี่ยงภัย
“ให้น้ำผึ้งไปด้วยดีกว่าค่ะ มีแค่ผู้ชายสองคนโผล่ไป ฝั่งโน้นคงพร้อมตีโดยไม่สนใจอะไร แต่ถ้ามีผู้หญิงไปด้วย มันจะดูซอฟต์ลง เหมือนเวลาโบกรถ ถ้ามีผู้หญิง คนขับจะใจอ่อนไงคะ”
ตรรกะเชื่อมโยงของเธอมีความเป็นไปได้ แต่เขายังส่ายหน้าอยู่ดี
“ไม่ต้อง คนกำลังท้องจะไปเสี่ยงได้ยังไง” มหรรณพเสียงแข็งแบบไม่เปิดช่องให้ต่อรอง ภุมรินบอกไม่ได้ว่าเธอไม่ได้ท้อง แล้วก็ไม่ยอมปล่อยให้สองหนุ่มไปเสี่ยงโดยไม่มีเธอไปด้วย
มหรรณพเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตภุมริน ส่วนมาโนชอาจจะเป็นอันดับสองหรืออาจจะสามหรือสี่รองจากพ่อและแม่ แต่เธอไม่ปล่อยให้เขาได้รับอันตรายแน่ และดูจากนิสัยของทั้งคู่ สมควรมีใครบางคนที่รู้จักผู้หญิงเป็นอย่างดีตามไปช่วยเหลือ
“ถ้าลุงน้ำเป็นอะไรไป น้ำผึ้งก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน จะไม่ให้น้ำผึ้งไปรถคันเดียวกันก็ได้ค่ะ แต่น้ำผึ้งจะนั่งรถโดยสารตามไป” ยามภุมรินดื้อ ไม่ต้องคิดจะใช้เหตุผลมาเกลี้ยกล่อมเลย
ตาสองคู่สี่ข้างจ้องมองวัดใจกันอยู่พักใหญ่ แล้วก็เป็นเช่นเคยที่มหรรณพยอมแพ้ความเอาแต่ใจของภุมริน เขาส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจ แต่ยกตัวเธอขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังอย่างนุ่มนวล ตามด้วยชี้นิ้วสั่งให้มาโนชไปนั่งคู่คนขับ แต่ก่อนออกรถยังไม่วายสำทับน้องชาย
“นี่เป็นเรื่องที่แกก่อ ถ้าใครชักปืนจะยิง แกต้องขวางหน้าน้ำผึ้งเอาไว้”
อย่างที่ภุมรินบอกเอาไว้ มีวิธีอ่านข้อความโดยที่คนส่งไม่รู้ว่าปลายทางอ่านแล้ว และอมราไม่ตกหล่นสักข้อความที่มาโนชส่งไป และก็เป็นไปอย่างที่สาวน้อยทำนาย มีอีกหลายคนที่มองออกว่าระหว่างอมรากับมาโนชไม่ได้มีความสัมพันธ์ใสๆ แบบพี่น้องร่วมโลก
“อี๊ดกับพี่โน้ตมีอะไรกันหรือเปล่า” อยู่ๆ อนิรุจน์ก็โผล่มาไล่เด็กๆ ที่วิ่งไปวิ่งมาให้กลับไปป่วนพ่อแม่ในบ้าน สองพี่น้องจะได้อยู่ตามลำพังเพื่อให้เขาตั้งคำถาม ขัดจังหวะถอนหายใจรดต้นไม้ในสวนของอมรา เล่นเอาเธอผวาเกือบทำโทรศัพท์มือถือตกพื้น
“อะไรกันเหรอพี่อ้น” อมราย้อนถามพี่ชายคนรองพร้อมใช้สมองครุ่นคิดว่า ‘อะไร’ ในที่นี้ หมายความแบบเดียวกับที่เธอกำลังปิดบังหรือเปล่า และเธอควรจะโกหกอย่างไรให้แนบเนียน
“ถึงพี่จะทำงานอยู่กับต้นไม้และขี้ควายก็ไม่ได้แปลว่าพี่โง่นะ” ที่จริงเขายุ่งเกี่ยวกับปุ๋ยมูลหมูและมูลวัว แต่คำว่าควายอธิบายภาพได้ชัดเจนกว่า
อมราไม่กล้าใช้คำว่าโง่อธิบายคุณลักษณะของอนิรุจน์ แต่เธอก็ไม่กล้าสารภาพความจริงเช่นกัน แม้ในบรรดาคนในครอบครัวเธอจะสนิทสนมกับแม่มากที่สุด แต่พี่ชายคนรองเป็นคนที่รู้จักเธอดีอย่างยิ่ง สองพี่น้องเกิดห่างกันเพียงปีเดียวจึงสนิทกันกว่าพี่ชายคนโตที่เกิดก่อนสามปี ยามที่มีปัญหาเธอจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากอจลผู้เงียบขรึม แต่ถ้าอยากจะก่อเรื่องไม่ดีลับหลังพ่อแม่ เธอจะขอความร่วมมือจากอนิรุจน์ เขาจึงมีความสามารถพิเศษในการมองออกว่าเธอกำลังมีปัญหา
“บอกพี่มาสิว่าระดับความรุนแรงของปัญหาอยู่ที่เท่าไร เจ็ดเต็มสิบหรือว่าเก้าเต็มสิบ ต้องเรียกพี่อาร์มมาช่วยกู้ภัยไหม หรือแค่เราสองคนก็พอ”
อนิรุจน์ตะล่อมถามด้วยรอยยิ้ม โชว์ฟันเขี้ยวอันมีเสน่ห์ของเขา ซึ่งทำให้คนมองรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ได้เคร่งเครียดสักเท่าใด เขาก้าวหน้าในการงานเพราะมีใบหน้าและท่าทางเป็นมิตร มีรอยยิ้มที่ชวนให้ยิ้มตาม น่าเสียดายที่อมราอยู่ในอารมณ์ไม่อยากจะยิ้มตามเนื่องจากระดับความรุนแรงของเรื่องอยู่ที่สิบเต็มสิบ
“ไม่ต้องถึงมือพี่อาร์มหรอกค่ะ แค่อี๊ดคนเดียวก็จัดการได้” เพราะเธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยไม่ก่อปัญหาให้ใครได้ “แต่เรื่องนี้ความรุนแรงสูงอยู่”
ถามอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ อนิรุจน์เดาะลิ้นมองประเมินอมราอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจับไหล่สองข้างของน้องสาวเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน ก่อนจะตั้งคำถามตรงไปตรงมา
“อี๊ดท้องใช่ไหม”
“พี่อ้นรู้ได้ไง!” หลุดปากย้อนถามจบ อมราค่อยรู้ว่าพลาดท่า เพราะสีหน้าของอนิรุจน์เหมือนโดนฟ้าผ่า แทนที่จะทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว
“เอาจริงดิ อี๊ดท้องกับพี่โน้ตจริงๆ เหรอ” ตะกี้เขาแค่ลักไก่
ระหว่างพิธีแต่งงานที่จัดตั้งแต่เช้าจดค่ำ วุ่นวายจนหัวหมุน อนิรุจน์ไม่ได้ว่างขนาดมานั่งสังเกตปฏิกิริยาที่อมรามีต่อมาโนช แต่ทุกครั้งที่โดนหลานๆ ก่อกวนจนหัวหมุนแล้วจะหันไปขอความช่วยเหลือจากน้องสาว เขาก็เห็นว่าเธอกำลังแอบมองเพื่อนสนิทของพี่ชายอยู่ ประกอบกับการทำตัวแปลกๆ ของทั้งคู่ คนหนึ่งขับรถออก คนหนึ่งขับรถเข้า วุ่นวายบ้านเขาทั้งคืน ต่อให้แบ่งสมองครึ่งหนึ่งไปให้ควายใช้ เขาก็ยังเดาได้ว่าอมรากับมาโนชแอบมีความสัมพันธ์กัน และต้องกำลังมีปัญหากันอยู่แน่
ในฐานะพี่ชายที่ห่วงใยน้องสาว อนิรุจน์แค่อยากจะรู้ความจริงแล้วช่วยเท่าที่จะช่วยได้ แต่ถามไปถามมาอมรากลับไม่ยอมพูด เขาเลยแกล้งถามโดยยกหัวข้อที่รุนแรงที่สุดในความคิดเขา หวังว่าเธอจะหลุดปาก บอกว่าแอบคบกัน หรือทะเลาะกัน ไม่นึกว่าเรื่องร้ายที่สุด จะตรงความเป็นจริง
“พี่อ้นอย่าบอกพ่อแม่นะ” อมรารีบขอร้อง แค่นี้เธอก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
“ไม่บอกหรอก แต่พ่อแม่คงสงสัยอยู่ พี่อาร์มก็อยากจะมาถามเราอยู่เหมือนกัน เห็นว่าพี่โน้ตโทร. มาถามถึงเราตั้งแต่เช้ามืด”
ทำขนาดนี้ไม่ให้คนสงสัยย่อมเป็นไปไม่ได้ อมราอยากจะโทร. ไปด่ามาโนชที่ทำตัวเอิกเกริกจนคนจับได้ แต่ตัวเธอเองก็หุนหันพลันแล่นเกินไป ดังนั้นเมื่ออนิรุจน์คาดคั้นต่อ เธอเลยพยายามไม่ฟูมฟายฟ้องพี่ให้ไปเล่นงานคนรัก ซึ่งอาจจะชักพาให้เขาตายไว
“พี่โน้ตเขาว่าไงบ้าง” อนิรุจน์ยังใช้น้ำเสียงนิ่งๆ แต่อมรามองออกว่าเขาคันมือยิกๆ อยากจะไปคว้าปืนมาเช็กลูกกระสุน จึงไม่บอกว่ามาโนชถามเธอว่าท้องกับใคร
“เขาบอกจะพาพี่ชายมาที่บ้าน” แล้วเธอก็นึกได้ว่าพี่ชายไม่ได้รู้ข้อมูลมากนัก “พ่อแม่ของพี่โน้ตไม่อยู่แล้ว พ่อเขาเสียไปสิบกว่าปี แม่ก็ไม่รู้ไปไหน ญาติที่เหลือก็มีแค่พี่น้ำคนเดียว”
“ก็ดีให้ผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่คุยกัน เราไม่ต้องไปคิดมาก เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ แต่อี๊ดคงต้องหาทางเกริ่นกับพ่อแม่ล่วงหน้าก่อนทางนั้นจะมาถึงบ้านเรา” ตบบ่าปลอบใจน้องสาวเสร็จ อนิรุจน์ก็หันหลังเดินเร็วๆ ไปทางตัวบ้าน
“พี่อ้นจะไปไหน” อมราสงสัยว่าทำไมไม่มีการซักไซ้ต่อ
“กลับบ้านไปเก็บปืนกับมีด พี่ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อก่อนการเจรจา”
มหรรณพใกล้สติแตกแล้ว ซ้ายมือของเขาคือมาโนชที่ทำอะไรไม่ถูก ขวามือของเขาคือภุมรินที่ทำเหมือนจะปกป้องเขา และที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคือชายสามคนที่พร้อมจะบวกด้วยกำลัง แต่ถ้ามองในแง่ดียังไม่มีอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกอย่างยังพอคุยกันได้
จริงอย่างที่ภุมรินบอก ตอนรถเข้ามาจอด พ่อและพี่ชายของอมรากรูออกมาจากตัวบ้านด้วยท่าทางกระหายเลือด แต่พอเธอเปิดประตูหลังจะลงไปโดยไม่รอมหรรณพมาประคอง พวกนั้นก็ชะงักที่เห็นผู้หญิงมาด้วย หนำซ้ำยังตัวเล็กบอบบางเหมือนเด็กจนคนมองไม่กล้าใช้ความรุนแรง ยิ่งเธอยกมือไหว้ทักทายทุกคน โดยเฉพาะอจล ท่าทางอยากจะกระชากคอเสื้อเพื่อนมาอัดก็ลดลงทันที
“สวัสดีครับ” ก่อนอื่นมหรรณพคิดว่าควรยกมือไหว้ และดีใจที่ชายสูงวัยยกมือรับไหว้ แม้หน้าจะยังบึ้งตึงราวกับใครติดหนี้เขาอยู่ก็ตาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ใช่หนี้ชีวิต
“ลืมของชำร่วยเหรอครับ” อยู่ๆ อจลก็โยนคำถามมาให้
มหรรณพไม่เข้าใจสักนิด แต่พอเหลือบมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของมาโนชก็คิดว่าอย่าถามกลับจะดีกว่า
“เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าครับ” ชายอ่อนวัยสุดออกหน้าใกล่เกลี่ย แล้วก็ได้ความเห็นชอบจากทั้งหมดให้เข้าไปเจรจาในห้องรับแขกที่มีอมรากับมารดารออยู่
“เห็นไหม น้ำผึ้งมาด้วยทำให้บรรยากาศซอฟต์ลง” ภุมรินแกล้งกระซิบชวนคุยให้มหรรณพลดความเครียด แต่ถึงเขาจะเห็นด้วยกับเธอที่การมีบุคคลนอกเข้ามาทำให้ไม่มีการตะโกนใส่หน้าหรือยิงใส่กันทันทีที่เจอ เขาก็ยังไม่อยากให้เธอมาด้วยอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อมารู้ทีหลังว่าบ้านนี้ถึงกับเตรียมการให้พิชามล ภรรยาของอจลพาลูกแฝดไปอยู่ที่ร้านอาหารเผื่อในบ้านมีการดวลปืน
“ตกลงจะเอายังไง” องอาจเปิดประเด็นคุยแบบไม่อ้อมค้อม ยังดีที่มหรรณพเตรียมพร้อมมาแล้วตั้งแต่มาโนชบอกว่าพ่อของอมรานิสัยอย่างไร อดีตทหาร ชอบลุย นักเลงหน่อยๆ
“ผมในฐานะพี่ชายอยากจะมาเจรจาสู่ขออี๊ดให้กับโน้ตครับ” เมื่ออีกฝ่ายถามตรงๆ มหรรณพก็ตอบตรงๆ เช่นกัน เพราะถ้าอึกอักอาจจะมีการวางมวยเกิดขึ้น
“แล้วทำไมเพิ่งมา ทำเหมือนกับคนไม่รู้จักกันมาก่อน” อจลยังคงถามกึ่งประชด
มหรรณพคงต้องให้มาโนชเป็นคนตอบบ้าง เพราะอย่างไรทั้งสองก็เป็นเพื่อนกัน
“ผมขอโทษทุกคนด้วยนะครับ แต่ผมยืนยันว่าผมจริงใจกับอี๊ด” แก้ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ มาโนชเลือกยกมือไหว้องอาจแล้วบอกเจตนากับครอบครัวของอมรา “ถึงตรงนี้ผมอยากจะแต่งงานกับอี๊ดให้ไวที่สุด แต่จะไม่ให้ขาดตกบกพร่องหรือทำให้อี๊ดต้องขายหน้า”
คำตอบนี้น่าจะเป็นที่พอใจของฝ่ายหญิง แม้อจลจะพึมพำในทำนองจริงใจกับอี๊ด แต่ไม่จริงใจกับเพื่อนก็ตาม มหรรณพพบว่าการเจรจาง่ายขึ้นเรื่อยๆ มีแค่รายละเอียดปลีกย่อยเช่นจะจัดงานที่ไหน สินสอดทองหมั้นเท่าไร ซึ่งไม่เป็นปัญหาสักนิด เพราะมาโนชใจป้ำยกคอนโดมิเนียมให้อมราเลยทีเดียว ส่วนองอาจก็ประกาศว่าเขาไม่ได้ขายลูกสาวกิน เขาอยากจะให้พอเป็นพิธี และทางนี้ก็จะมอบกลับคืนไปเท่าๆ กัน เพื่อเป็นทุนรอนในอนาคตของสองสามีภรรยา
มองสองบ้านคุยกันเรื่องการแต่งงานแล้วมหรรณพก็มองไปยังข้างกาย พบว่าภุมรินก็แอบเหลือบมองเขาอยู่เช่นกัน เขารู้ว่าเธอยินดีกับมาโนช แต่ก็คงแอบกังวลเรื่องของตนไม่น้อย อมรากำลังตั้งท้องเช่นเดียวกับเธอ และกำลังจะแต่งงานเร็วๆ นี้ ขณะที่เธอยังไม่มีแผนการชัดเจนใดๆ เลย ซึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่ยอมตอบตกลง ทั้งที่เขาเป็นที่พึ่งเดียวของเธอ
มหรรณพไม่มีความจำเป็นต้องรู้สึกผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นกับภุมริน เธอเป็นเด็กข้างบ้านที่เขาช่วยดูแล แต่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา เธอทำพลาด เขาไม่ต้องช่วยแก้ ทว่าปฏิกิริยาตอบรับของเขาเมื่อเธอมีปัญหาก็คือยื่นมือเข้าไปช่วยโดยไม่สนใจว่าจะสร้างความลำบากให้ตนสักแค่ไหน
“งานแต่งนี่ถ้าทำได้ ผมอยากจะจัดสองงานพร้อมกันเลยจะได้ไหมครับ” บรรยากาศดีๆ มหรรณพโพล่งขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศดีๆ จนกลายเป็นความมึนงงแกมข้องใจ
“ผมก็กำลังจะแต่งงานกับน้ำผึ้งเหมือนกันครับ”
สายตาของครอบครัวอมราที่มองมาทางมหรรณพไม่ได้แสดงความไม่พอใจที่เขาคิดจะรวบยอดงานแต่งงานของเขาเข้ากับงานที่บ้านของตน แต่เป็นการดูหมิ่นเล็กๆ เพราะภุมรินตรงหน้าทุกคนเหมือนเด็กมัธยมต้นมากกว่าคนกำลังจะเรียนจบระดับอุดมศึกษา องอาจถึงกับหลุดปากออกมา
“นี่หลอกเด็กเชียวรึ”
เอาเถอะ มหรรณพคิดอย่างปลงๆ ว่าเขายอมเป็นไอ้ชั่วหลอกเด็กโลลิ แต่เขาไม่ยอมให้ภุมรินตั้งท้องโดยไม่มีพ่อแน่นอน
นอกจากองอาจที่หลุดปาก คนอื่นๆ ก็ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตกลงกันว่าไปดูฤกษ์ยามก่อน ถ้าวันเดือนปีเกิดของทั้งสี่ไปกันได้ก็จัดงานวันเดียวกันได้เลย ถึงอย่างไรก็ต้องจัดงานมากกว่าหนึ่งครั้ง เพราะเพื่อนฝูงของฝ่ายเจ้าบ่าวไม่ได้อยู่ในจังหวัดระยอง
ระหว่างพูดคุยรายละเอียด อจลก็สลับไปดูหน้าร้านอาหาร ให้พิชามลพาลูกๆ ของเขากลับมาเล่นที่บ้าน ฝาแฝดวิ่งตื๋อเข้ามาพบหน้าแขก แล้วแสดงความตื่นเต้นว่าอาโน้ตมีพี่เป็นยักษ์ ก่อนจะปีนป่ายบนตัวมหรรณพกับมาโนชเล่น ทำให้หมีใหญ่รักเด็กเพิ่มความปรารถนาแรงกล้าที่จะดูแลลูกในท้องของภุมรินขึ้นไปอีก
เจรจาเบื้องต้นเสร็จสรรพแล้วมหรรณพก็พาภุมรินกลับบ้าน ส่วนมาโนชเขาถีบทิ้งเอาไว้ที่ระยอง ให้ง้องอนขอโทษอมราในข้อหาปากดีพูดไม่คิด
ระหว่างเดินทางภุมรินที่มักจะมีเรื่องต่างๆ มาชวนมหรรณพพูดคุยกลับไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี รอจนเขาพาเธอกลับไปส่งหน้าประตูบ้านค่อยอึกอักถาม
“ลุงน้ำจะแต่งงานกับน้ำผึ้งจริงๆ เหรอคะ” ถึงจะเป็นไปตามแผนการที่ตนวางเอาไว้ ภุมรินก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรอยู่ดี
เธอรู้สึกเหมือนฝันกลายเป็นจริง ราวกับในมือมีสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่ง แต่ไม่กล้าเอาไปขึ้นเงินเพราะกลัวจะเป็นสลากปลอม ภุมรินรู้ว่ามหรรณพไม่หลอกเธอให้ดีใจเก้อแน่ แต่มีบางอย่างที่ระบุชื่อไม่ได้กำลังสร้างความกังวลใจให้เธออยู่ ยกตัวอย่างเช่น ความรู้สึกผิด
เอ่ยปากออกไปแล้วถึงได้รู้ เมื่อครู่เป็นเสี้ยวเล็กๆ ที่ค้างคาในใจของเธอ อยากให้เรื่องราวเป็นไปตามปรารถนา ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้เขามาตำหนิเธอในภายหลัง ช่างเห็นแก่ตัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่ละตัวเธอ เด็กมีปัญหาที่ถูกหล่อหลอมให้ไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการ แล้วกำไว้แน่นด้วยสองมือ
“แต่งสิ จะไม่แต่งได้ยังไง” มหรรณพเลิกคิ้ว แล้วเอื้อมมือเกี่ยวเส้นผมที่ระข้างแก้มภุมรินขึ้นไปทัดใบหู ตามด้วยลูบศีรษะของเธอ
สัมผัสหนักแน่นทว่านุ่มนวลที่เธอได้รับจากเขาเท่านั้นปลอบจิตใจที่ว้าวุ่นของเธอให้สงบลง และยิ่งตอกย้ำภุมรินว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ถ้าไม่ใช่มหรรณพก็ไม่ใช่ใครอีกแล้ว เธอดึงมือเขามากุมเอาไว้ด้วยสองมือ จับความอบอุ่นเอาไว้แน่นๆ
“ถ้าไม่ใช่ลุงน้ำ น้ำผึ้งก็คงไม่แต่งงานไปชั่วชีวิตค่ะ
ความคิดเห็น |
---|