10

บทที่ 10


 

บทที่ 10

                “ดึกดื่นป่านนี้ ทำไมยังชวนออกมาขับรถเล่นอีก”

                แม้จะบ่นแต่ทรงพิทักษ์ก็พาเธอกับลูกสาวออกมาเพราะคำชักชวนที่ว่าอยากขับรถเล่นตอนกลางคืน จากนั้นเวียงดาวก็พาปลายรุ้งขึ้นรถ แต่สลับที่นั่งกันจากเมื่อตอนกลางวัน

                ได้ลูกสาวกลับไปนั่งข้าง คนขับรถให้นั่งก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นเป็นทุน พอบอกว่าให้พาไปขับรถเล่นก็ยอมไปแม้จะบ่นอยู่บ้าง และทรงพิทักษ์ก็ไม่บอกเธอสักคำว่าจะพาไปไหน ออกจากอำเภอปากช่องหรือยังก็ไม่รู้ เพราะรถเก๋งสีตะกั่วของคุณหมอหนุ่มขับไปเรื่อยเปื่อยจนเวียงดาวไม่รู้ทาง อ่านป้ายริมถนนแล้วก็ยังงุนงงเพราะไม่ใช่เจ้าถิ่น รู้แค่ว่ารถมันวิ่งขึ้นเนินลงเนินไปเรื่อยๆ ก็เท่านั้น

                “คุณพ่อจะพาเราไปไหนเหรอคะ” ปลายรุ้งถามเหมือนรู้ใจเธอ “นี่ขับรถมาตั้งไกลแล้วนะ”

                “ไปโคราช” คนที่ขับรถอยู่ตอบหน้านิ่ง “ปลายรุ้งอยากไปดูโรงพยาบาลที่พ่อมาทำงานใช้ทุนไหมลูก”

                “จะไปทำไมคะ แค่โรงพยาบาลของคุณยายก็เบื่อจะแย่ ไม่เห็นจะน่าดูตรงไหนเลย” ได้ยินปลายรุ้งบอกอย่างนี้ก็เป็นอันรู้กันว่าไม่ไป “แต่ว่าไปเดินตลาดไนท์กันไหมคะ โคราชมีตลาดไนท์ไหม”

                “ไปไหว้ย่าโมดีกว่า”

                เป็นอันว่าทรงพิทักษ์ตัดสินใจเองเสร็จสรรพโดยไม่ถามความเห็นใครสักคน ชักจะเผด็จการไปกันใหญ่อย่างที่ชยาตาเคยบอกเธอไว้ แต่จะให้ขัดแย่งอะไรกับเขา เวียงดาวก็ไม่คิดจะทำเพราะคิดว่าอีกไม่นานต่อจากนี้หากเธอมองหาในสิ่งที่ต้องการพบแล้ว อาจจะทะเลาะกับเขาใหญ่โตก็ได้ อย่าเพิ่งมามีเรื่องไม่เป็นเรื่องตอนนี้เลย

                รถวิ่งมาอีกสักพักก็ถึงตัวเมืองโคราช แม้คุณหมอหนุ่มจะบอกว่าไม่ได้มาที่นี่นานตั้งแต่ทำงานใช้ทุนเสร็จ แต่เขายังจำเส้นทางได้คล้องแคล้วดี ขับรถเพียงไม่นานก็พาเธอกับปลายรุ้งมาถึงลานย่าโม

                ตอนนี้ยังไม่ดึกมากนัก ผู้คนมาสาการะกราบไหว้ท้าวสุรนารียังคึกคักอยู่ นักท่องเที่ยวบ้าง คนในตัวจังหวัดเองบ้าง และมากพอที่ทำให้เวียงดาวมองอย่างตื่นตาตื่นใจ

                “เคยมาโคราชไหม”

คนพามาเที่ยวถามเธอระหว่างที่ปล่อยให้ปลายรุ้งไปถ่ายรูปเล่น ทิ้งเธอกับทรงพิทักษ์ให้อยู่หน้าลานย่าโมด้วยกัน แม้คนจะมาก แต่ทำไมเวียงดาวถึงได้รู้สึกว่าอยู่กันพียงลำพังก็ไม่รู้ หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย

“ไม่เคยค่ะ” เวียงดาวตอบไม่เต็มเสียงนักและไม่กล้าสบตาคนถามเสียด้วยซ้ำ “ตอนเด็กๆ ก็อยู่กรุงเทพฯ แล้วพอโตหน่อยคุณพ่อก็ย้ายไปอยู่ขอนแก่น”

“พี่ก็อยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ออกต่างจังหวัดนานๆ ครั้งแรกก็ตอนเรียนเทอมสุดท้าย ไปบุรีรัมย์โน้นเลย”

ทรงพิทักษ์เล่าเรื่องของเขาบ้าง เมื่อได้รำลึกความหลังก็ดูเขาอมยิ้มขึ้นมาด้วย  และเวียงดาวก็ฟังอย่างตั้งใจเพราะอยากรู้เหมือนกันในเวลาที่เธอไม่ได้ข่าวคราวของเขาเลยนั้น ชายหนุ่มเป็นอย่างไรบ้าง อยากรู้ว่าเขาสุขสบายดีไหม แล้วชีวิตเป็นอย่างไรในช่วงเวลาที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่นักเรียนชายชั้นม.หก อย่างที่เธอเคยรู้จักเพียงอยู่ในรั้วโรงเรียน

“แต่ตอนมาใช้ทุน ครั้งแรกที่มาโคราชพี่ก็มาไหว้ย่าโม จำได้ว่ามาตอนกลางวันแดดร้อนเปรี้ยง ถอนรองเท้าขึ้นไปกราบท่าน ลานกระเบื้องตรงนั้นทำเอาพี่เท้าพองเชียว”

                เธอเกือบจะยิ้มแล้วเพราะได้ฟังเรื่องส่วนตัวของทรงพิทักษ์ แต่พอทวนที่เขาเล่าให้ฟัง ก็ไม่แน่ใจว่ากำลังจะรำลึกความหลังที่ว่ามาทำงานใช้ทุนไกลจนต้องห่างลูกห่างเมียหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอก็ไม่อยากฟังแม้แต่น้อยเลย แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าแตะต้องผู้ชายคนนี้อีกไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังเผลอตอกย้ำตัวเอง

                “มาอยู่นี่พี่ก็กลับไปหาปลายรุ้งทุกวันหยุดเลยนะ บางทีกลับไปปลายรุ้งก็มาเล่นด้วยจนหลับคาตัก แต่พอไปต่ออีกก็ไม่ได้กลับเลยตั้งหลายปี เห็นหน้าทางอินเทอร์เน็ตอย่างเดียว”

                “ไปเรียนต่อไกลเหรอคะ”

“ได้ทุนไปต่างประเทศน่ะ” ทรงพิทักษ์ดูยิ้มเพลียๆ “หลังพี่กลับจากเรียนต่อปลายรุ้งก็เป็นสาว ไม่ยอมมานอนตักพี่แล้ว”

                “พี่คงคิดถึงพี่ติ๋วกับปลายรุ้งมากนะคะ”

หญิงสาวทั้งพูดทั้งกล่ำกลืน ไม่รู้จะพูดให้ตัวเองเจ็บทำไม แต่ปากเจ้ากรรมมันยังเก็บความรู้สึกในใจไว้ไม่ได้ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ทรงพิทักษ์ไม่โกรธเลยสักนิดที่ภรรยามีชู้ เธอยิ่งน้อยใจมากขึ้นทุกที

“คงรักกันมาก ถึงได้ผ่านอะไรร้ายๆ มาด้วยกันได้มากขนาดนี้”

                “ไม่ต้องพูดถึงคุณติ๋วแล้ว ตอนนี้มีแค่พี่กับเวียงดาวแค่สองคนนะ”

                “คะ?”

คำสั่งนั่นทำให้เธองงงันจนปรับอารมณ์ถามเข้าไม่ทัน แต่ทรงพิทักษ์ไม่ฟังเธออีกแล้ว เขาเดินเข้ามาแตะแผ่นหลังเบาๆ เหมือนจะบอกให้เธอเดินเข้าไปกราบสการะท้าวสุรนารีด้วยกัน ทว่าช่างเป็นสัมผัสที่เวียงดาววาบหวิวในหัวใจเหลือเกิน

หญิงสาวเหมือนชาไปทั้งตัว รอบๆ ตัวเองก็เหมือนไม่มีอะไรเคลื่อนไหวอีกแล้ว มีเพียงสองที่ก้าวเดินไปข้างหน้า ตามทรงพิทักษ์ไปซื้อดอกไม้แล้วเข้าไปถึงอาสน์หน้าอนุสาวรีย์ ก่อนจะรับธูปเทียนจากชายหนุ่ม แล้วก้มยกราบลงไปพร้อมกัน

ในวินาทีนั้น เวียงดาวมีแต่ความสุขอยู่เต็มหัวใจ เพราะได้อยู่ข้างๆ ผู้ชายที่เธอหลงรักมานานเหลือเกิน…

เวียงดาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สมองอื้ออึงไปหมดเหมือนไม่ยอมคิดอะไรเลย ดวงตาของเธอยังมองที่ผู้ชายคนเดียว หัวใจก็ยิ่งพองขึ้นมาเต็มอกเมื่อทรงพิทักษ์จูงมือเธอ

การจับมือครั้งแรกของเธอกับเขา มันช่างง่ายดายเพียงแค่ยื่นมือมากุมกัน ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย…

เพียงแค่ลุกขึ้นจากพื้นหลังจากที่ก้มกราบย่าโม มือของชายหนุ่มก็กุมเข้ามา ทุกอย่างเกิดจากความตั้งใจของทรงพิทักษ์และความเต็มใจของเธอ มือของเขากุมเขามาในความเงียบของสองคน แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่เวียงดาวกลับรู้สึกได้ยินเพียงเสียงเต้นของตัวใจของตัวเองที่มันดังแรงมากขึ้นมากทุกทีๆ ทว่าแต่ละก้าวที่เธอเดินเคียงข้างเขา มันช่างเบาราวเดินอยู่บนปุยเมฆ

“สามรอบนะเวียงดาว”

เวียงดาวไม่เข้าใจว่าเขาบอกอะไร และทรงพิทักษ์ก็ไม่ตอบเหมือนเดิมแต่ก็แปลกที่เธอยอมเดินเขาอย่างง่ายดาย สามรอบที่ทรงพิทักษ์พาเดินลอดซุ่มประตูโบราณขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ลานย่าโมยังทำให้ประหลาดใจอยู่ไม่หาย แต่ก็รู้สึกดีอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่เข้าใจว่าเขาทำไปเพื่ออะไร

แต่เวียงดาวก็เต็มใจที่จะให้เขาจูงมือเดินลอดประตูชุมพลทั้งสามรอบไปด้วยกัน…

 

“ปลายรุ้งหายไปไหนนะ”

ทรงพิทักษ์ปล่อยมือเธอแล้วทำให้เวียงดาวกลับมาหายใจด้วยจังหวะปกติอีกรอบ แต่ยังไม่กล้าสบตาเลยเอาเสียเลย จึงได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่ริมคลองน้ำของลานย่าโม

“เมื่อกี้ก็เห็นถ่ายรูปเล่นอยู่ตรงนั่นนี่คะ”

เขาก็ยังมองหาลูกเหมือนลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่เดินจูงมือเธอเดินไปทั่ว จนบางเวียงดาวก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาเห็นว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา หรือทำเป็นลืมเพื่อกลบเกลื่อนกันแน่ แต่พอเห็นว่ามองหาลูกสาวจนเริ่มจะหน้ามุ่ย เธอก็ไม่กล้าจะถามเอาเสียเลย

“เป็นอะไรคะคุณพ่อ หน้ายุ่งอีกแล้วนะ” ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร ปลายรุ้งก็เดินเข้ามาหาทางไหนก็ไม่รู้ “ทะเลาะกับน้าเวียงดาวอีกแล้วเหรอคะ”

“เปล่า” คนเป็นพ่อตอบเสียงเย็นๆ “ว่าแต่เราล่ะ หายไปไหนมา”

“ไป Live อยู่ข้างหน้าโน้นไงคะ”

“ทำอะไรนะ”

“Live ไงคะ” ปลายรุ้งย้ำ “ถ่ายทอดสดวีดีโอของตัวเองลงเฟซบุ๊คน่ะ”

“ติดโซเชียลมีเดียจนอยู่ห่างมันไม่ได้สักนาทีเลยเหรอปลายรุ้ง”

“ก็มีเพื่อนอยู่ในนั่นตั้งเยอะตั้งแยะ เวลามีคนมากดไลค์เยอะๆ ก็ดีจะตายไป” เด็กสาวยังแย้งพ่อได้ทุกคำแต่ก็ยังยิ้มอยู่ “แล้วนี่จะกลับกันหรือยังคะ”

“ลูกไหว้ย่าโมหรือยัง” ถามอย่างนั้นปลายรุ้งก็ส่ายหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ “ถ้าอย่างนั้นไปไหว้ท่านเสียก่อน แล้วค่อยกลับ”

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจปลายรุ้งถึงว่าง่ายราวกับมีคาถาเสก เด็กสาวเดินเข้าไปกราบสการะท้าวสุรนารีแต่โดยดี ไหว้ของพรอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินหน้าชื้นกลับมาหาพ่อ บอกว่าอยากลับไปนอนเต็มทีแล้ว พ่อก็ตามใจลูกสาว พาไปนั่งรถกลับรีสอร์ทกันทั้งสามคน

รถยังวิ่งเอื่อยอยู่บนถนนทางกลับเขาใหญ่ราวกับจะตั้งใจกินลมชมวิว ในขณะที่ปลายรุ้งไปนอนขดตัวอยู่ที่เบาะหลัง คงเพลียจนหลับไปแล้ว แต่เวียงดาวมึนงงไปหมด รู้สึกว่าทุกอย่างช่างเกิดขึ้นเร็วเหลือเกินจนเธอรับมือไม่ทัน และกลัวที่สุดคือใจตัวเอง

เธอกลัวความอ่อนไหวจะทำให้เผลอไผลไปกับสัมผัสใกล้ชิดที่ทรงพิทักษ์มีให้ ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ เธอก็ไม่ควรปล่อยให้หัวใจไปตามอารมณ์ความต้องการ เพราะตราบใดที่เขายังมีชยาตา ก็จะมีเธออีกคนไม่ได้

ทางที่ดีเธอควรจะทำงานที่รับปากชยาตาไว้ให้เสร็จไวๆ จะได้ถอยตัวออกไปเสียที จบเรื่องนี้ให้เร็วจะไม่ได้ไม่ต้องมีใครเสียใจ…

เวียงดาวสูดหายใจลึกและพยายามลืมเรื่องทุกอย่างในวันนี้เสีย แล้วตั้งใจจะทำในสิ่งที่เธอตั้งใจไว้ในตอนแรก ที่บอกว่าจะพาปลายรุ้งมาเที่ยวพักผ่อนนั่น ก็เพราะเธออยากให้พ่อกับลูกมาหาบรรยากาศดีๆ ปรับความเข้าใจกัน และอยากชี้ให้เห็นว่าทรงพิทักษ์ไม่มีทางพาลูกหนีความจริงไปได้พ้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เผื่อจะเลิกเอาล้มความคิดที่ว่าจะพาลูกกับภรรยาย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดโดยที่ทั้งคู่ไม่เต็มใจเสียที

“เด็กพวกนี้มาทำอะไรกัน”

ไม่ทันที่เวียงดาวจะคิดออกว่าชี้ตรงไหนให้ดู ทรงพิทักษ์จะได้เห็นว่าไม่ว่าจะที่ไหนก็มีแห่งอโคจรด้วยกันทั้งนั้น คนตาเหยี่ยวก็ชี้ก็ชวนให้เธอมองออกไปนอกรถเสียเอง ดูไม่ชอบใจเอาเสียเลยกับการเห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นนับสิบคนออกมาขี่มอเตอร์ไซค์อยู่บนถนนตอนดึกๆ… แต่ว่าเขาไม่เห็นเหมือนเธอหรือเปล่าว่าเด็กพวกนั้นถือถุงตาข่ายใส่ตุ๊กแกมาด้วย

“ดึกดื่นป่านนี้ยังมาขับมอเตอร์ไซค์เล่นกันอีก จะไปเกเรที่ไหนกัน”

“แล้วพี่แทนรู้ได้ยังไงคะว่าเด็กพวกนี้จะไปเกเร” เวียงดาวเถียงแทน “พวกเขาอาจจะไปทำงานตอนกลางคืนก็ได้นะ”

“งานอะไรตอนกลางคืน” เขาย่นหน้าตอบทันที “พวกนี้จะมีอะไรได้ หนีเที่ยวละสิไม่ว่า นี่ดีไม่ดีจะไปกินเหล้าหรือเสพยาหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ก็ไหนพี่แทนว่าถ้าอยู่ต่างหวัดจะไม่มีอะไรพวกนี้ไงคะ แล้วเด็กพวกนี้จะหนีเที่ยวไปกินเหล้าเมายาได้ยังไง”

“เวียงดาว!”

คนที่ขับรถอยู่ถึงกับหันหน้ามาคุยกับเขา สายตาจ้องเขม่นคล้ายว่าเขารู้ทันที่เธอพูด แต่ถึงจะน่ากลัวแค่ไหนเธอก็รู้สึกว่าถอยไม่ได้ เพราะถึงจะมองไม่เห็นผับบาร์ตามต่างจัดหวัดตามที่ตั้งใจจะพามาชี้ให้เขาดูตั้งแต่แรก ทว่าสิ่งที่เห็นเหมือนเดิมคืนทรงพิทักษ์ยังใช้ความคิดของตัวเองเป็นมาตรฐานตัดสินคนอื่นอยู่ และหากเป็นอย่างนี้ต่อไป คนที่จะอึดอัดที่สุดคือปลายรุ้ง… ถ้าพ่อยังชี้ทางให้เดินอย่างบีบบังคับตามใจตัวโดยไม่ถามลูก ไม่ยอมฟังใคร ปลายรุ้งอาจจะทำเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาก็ได้

“เด็กพวกนี้จะไปไหน ทำไมพี่แทนต้องไปตัดสินเขาทั้งที่ยังไม่เห็นด้วยคะ” เธอแย้งให้ทรงพิทักษ์เห็นว่าเขาไม่ได้ตัดสินคนได้ถูกเสมอไป “หรือเมื่อกี้พี่แทนอาจจะขับรถจนไม่ได้มอง เด็กมีตุ๊กแกใส่มาตั้งเป็นถุง เขาอาจจะออกมาจับตุ๊กแกขายหาเงินก็ได้… เราไม่รู้กับพวกเขาเสียหน่อย”

“หรือไม่ก็อาจจับไปทำกับแกลม กินเหล้ากันเมาเละเทะ”

“หรืออาจจะเอาไปขายหาเงินมาซื้อเหล้าซื้อยา อย่างนั้นหรือเปล่าคะ” เวียงดาวย้อนเสียงแข็ง “เสพเหล้ายากันมั่วไปหมด เหมือนผับบาร์ชั้นเลวที่ปล่อยให้คนเสพยานั่นแหละ ไม่เห็นจะต่างกันเลย”

“ทำไมต้องเถียงพี่ทุกคำด้วยเวียงดาว” ชายหนุ่มถามอย่างไม่สบอารมณ์แล้วถึงกับจอดรถคุยกับเธอ “หรือปลายรุ้งให้เรามาช่วยพูด ไม่ให้พี่พาย้ายหนีไปต่างจังหวัดใช่ไหม”

“ถึงจะไปอยู่ต่างจังหวัดจริง พี่แทนคิดว่าจะหนีปัญหาพวกนี้พ้นได้จริงๆ เหรอคะ” ในเมื่อเขาพูดตรงๆ เวียงดาวก็ไม่คิดจะอ้อมค้อมอีกต่อไป “สภาพแวดล้อมเป็นเพียงส่วนหนึ่งนะ แต่ถ้าใจไม่ฝักใฝ่ไปในทางไม่ดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ปลายรุ้งก็จะไม่เสียคนอย่างที่พี่แทนกลัวหรอกค่ะ”

“มองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่า”

“พี่แทนก็อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักสิคะ”

“ถ้ายังอ่อนต่อโลกก็อย่ามองโลกให้มันสวยเกินไปนักเลยเวียงดาว”

“ก็ใช่สิคะ” ยิ่งความเห็นขัดแย่งกันมากเท่าไหร่เวียงดาวยิ่งมองเขาอย่างเหนื่อยใจ “เวียงดาวจะไปรู้ทันโลกแคบๆ ของพี่แทนได้ยังไง ในเมื่อพี่แทนเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เคยเปิดใจรับฟังใครเลย”

“ก็เลยคิดว่าจะสอนพี่ใช่ไหม!” น้ำเสียงของทรงพิทักษ์กระด่างมากขึ้นทุกที “ที่บอกว่าอยากออกมาขับรถเล่นตอนกลางคืนนี่ เพราะจะพาออกมาดูคนพวกคนนี้ใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

เวียงดาวยอมรับไปตามตรงเพราะที่เธอทำไปทั้งหมดก็เพื่อจะบอกเขาว่าอย่างนี้ จะไม่ขออ้อมค้อมอะไรอีกแล้วเหมือนกัน

“แล้วไม่ว่าจะกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็มีพวกนี้ทั้งนั้น ถ้าพี่แทนกลัวว่าปลายรุ้งจะเสียคนเพราะหลงแสงสีอยู่ในกรุงเทพฯ เวียงดาวว่าพี่แทนผิดแล้วล่ะคะ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอก ถึงจะเป็นบนดอยอย่างที่พี่แทนว่า ถ้าปลายรุ้งเลือกที่จะทำไม่ดี ก็เป็นอย่างที่แทนกลัวได้อยู่แล้ว ถึงจะไปอยู่ที่ไหนก็เถอะ”

“อย่าแช่งลูกพี่สิ!”

“ไม่ได้แช่งค่ะ แค่อยากบอกว่าจะอยู่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก แต่มันสำคัญที่ว่าเราเลือกจะเป็นแบบไหนต่างหาก”

เวียงดาวไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโกรธ ก็นี่ไม่ใช่หรือคือสิ่งที่เธอต้องการ มาที่นี่เพื่อชี้ให้ทรงพิทักษ์เห็นอย่างที่เธอพูดไปเมื่อกี้ แต่ทำไมพอเขาไม่ฟังเธอก็ยิ่งโมโห มองหน้าตึงๆ ของคนที่เหยียบคันเร่งรถเร็วขึ้นเหมือนจะทำประชดเธอนั้น เวียงดาวก็ยิ่งโกรธ

โกรธจนไม่อยากพูดอะไรด้วยอีกเลย!

 

ทรงพิทักษ์ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่วันนี้เขามีความสุขที่สุดในรอบหลายปีมาตลอดทั้งวัน แต่กลับมาพังเอาเสียง่ายๆ เพราะการทะเลาะกันไม่กี่นาทีบนรถนั่น

เขาพยายามแล้วที่จะหยุด ไม่โต้เถียงอะไรกับเวียงดาวอีกเพราะเห็นแล้วว่ายิ่งพูดก็ยิ่งแย่ แล้วตั้งใจขับรถให้กลับถึงรีสอร์ทเร็วๆ เพื่อจะได้ลงมาคุยกันดีๆ แต่ทุกอย่างผิดแผนไปหมด เพราะนอกจากเวียงดาวจะไม่ยอมพูดกับเขามาตลอดทางแล้ว พอมาถึงรีสอร์ทก็วิ่งหนีเข้าห้องพักแบบไม่ยอมหันกลับมามองหน้าเขาแม้แต่น้อยเลย

“คนที่ทำให้น้าเวียงดาวโกรธได้เนี่ย ปลายรุ้งว่าสุดยอดเลยนะคะ”

อารมณ์ขุ่นมัวของทรงพิทักษ์เหมือนหายไปฉับพลันเพราะได้ยินเสียงลูกสาวดังมาจากด้านหลัง จากตอนแรกที่เข้าใจว่าปลายรุ้งหลับมาตลอดทางก็รู้แล้วว่าคิดผิดไป อันที่จริงคงแกล้งหลับแล้วแอบฟังเขากับเวียงดาวคุยกันเสียมากกว่า แล้วที่ยอมลงจากรถโดยไม่ต้องให้ปลุกเมื่อมาถึงรีสอร์ท ก็เพราะอยากบอกอะไรเขาหรือเปล่า

“คุณพ่อรู้ไหมว่าน้าเวียงดาวฝันอยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่”

“หนูรู้ได้ไงลูก” ทรงพิทักษ์ถึงกับขมวดคิ้วมาถามแต่ที่อยากรู้มากกว่าคือปลายรุ้งตั้งใจจะบอกอะไรเขากันแน่ “แล้วทำไมถึงคิดว่าเวียงดาวอยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ล่ะ”

“ก็ดูโมเดลที่สะสมน่ะค่ะ ชอบแบบไหนก็แสดงว่าประทับใจแบบนั้นแหละ” ลูกสาวของเขาเลิกคิ้วตอบอย่างกับคนเจนโลก “ถ้าช่วยปลายรุ้งไม่ได้ น้าเวียงดาวคงเสียใจนะคะ”

“เรื่องที่ว่าจะพูดให้พ่อเปลี่ยนใจ แล้วไม่พาเราย้ายหนีไอ้สถานมัวเมาอบายมุขพวกนั่นน่ะเหรอ”

ในที่สุดทรงพิทักษ์คิดว่าตัวเองรู้ทันแผนของเวียงดาวกับลูกของเขาแล้ว

“ไม่มีทางหรอกปลายรุ้ง ยังไงพ่อก็จะให้ไป รอพ่อทำเรื่องย้ายให้ได้ก่อน เราน่ะเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ต่างจังหวัดได้เลย”

“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อคงต้องลำบากหาจังหวังที่ไม่มีสถานมัวเมาอบายมุขอย่างที่คุณพ่อว่านะคะ”

เด็กสาวตอบหน้าตายแต่กลับทำเขาหน้าชาไป

“แต่อย่าให้ปลายรุ้งรู้ล่ะว่ามี เพราะปลายรุ้งเดินเข้าไปหามันแน่ อยากรู้เหมือนกันว่าจะต่างจากผับที่ปลายรุ้งไปเที่ยวจนคุณพ่อต้องพาหนีไปไหม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ปลายรุ้งก็จะไปให้เห็นกับตาตัวเอง”

“ปลายรุ้ง!”

“อย่าดุปลายรุ้งเลยค่ะ ดุไปก็เท่านั้นแหละ คุณพ่อเปลี่ยนใจปลายรุ้งไม่ได้หรอก”

ยิ่งเขาขึ้นเสียงปลายรุ้งก็ยิ่งเบะปากใส่อย่างดื้อดึง

“แต่ถ้าจะต้องไปอยู่ในคุกที่คุณพ่อบอกว่าเป็นที่ปลอดภัยจริงๆ  คืนนี้ปลายรุ้งขอไปนอนกับน้าเวียงดาวก่อนค่ะ”

“ห้องเราก็มีนี่ลูก ไหนว่าจะนอนกับพ่อไง”

“อึดอัดค่ะ นอนไม่ได้หรอก”

“ถ้าอึดอัดก็เปิดหน้าต่างนอนดีไหม”

พอรู้สึกเหมือนจะถูกทิ้งไว้คนเดียวทรงพิทักษ์ก็ใจไม่ดีจนต้องหาทางออกให้ตัวเอง ทว่ากลับรู้สึกเหมือนถูกปิดประตูใส่หน้าตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวหาทางออกเสียด้วยซ้ำ

“เปิดใจของคุณพ่อดีกว่าไหมคะ” คำตอบแสนเย็นชาของลูกสาวทำให้เขาพูดไม่ออกมาอีกเลย “ปลายรุ้งว่าคุณพ่อน่าจะฟังน้าเวียงดาวบ้างนะคะ หรือถ้ามัวแต่เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่อย่างที่น้าเวียงดาวบอก ต่อไปก็อาจต้องอยู่คนเดียวก็ได้”

เหมือนมีอะไรวิ่งชนกลางอกจนจุกไปหมด ทรงพิทักษ์พูดไม่ออกอีกแล้ว ได้แต่ยืนนิ่งราวกับแข็งไปทั้งตัว มองลูกสาวเดินหนีเข้าห้องนอนของเวียงดาวไป โดยที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพ่อจะรู้สึกอย่างไรกับการถูกทิ้งไว้โดยไม่แม้แต่หันหลังกลับมามอง ปลายรุ้งคงไม่รู้เลยว่าพ่อกลัวมากแค่ไหน หากแก้วตาดวงใจจะเดินออกไปจากอ้อมกอดจริงๆ

หรือเขาต้องอยู่คนเดียวในโลกแคบๆ ที่มีความคิดของตัวเองเป็นใหญ่อย่างนี้ไปตลอดชีวิตเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น