11

บทที่ 11


บทที่ 11

            เวียงดาวไม่แน่ใจว่าตัวเองยังสติดีอยู่หรือเปล่า ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโกรธทรงพิทักษ์ ในเมื่อรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่าจะพาเขามาทะเลาะด้วย แต่พอมีปากเสียงกันจริงๆ กลับเป็นเธอเสียเองที่เดินหนี

                ในเมื่อได้ทำในสิ่งที่ต้องการแล้วทำไมเธอถึงไม่สบายใจเอาเสียเลย หรือเพราะความสุขในการไปเที่ยวครั้งนี้ทำให้เผลอหลุ่มหลง พอมันพังลงเพราะการมีปากเสียง เธอก็โกรธเขาที่ทำให้ความสุขพวกนั้นมันพังไป แต่จะโทษทรงพิทักษ์คนเดียวได้จริงๆ หรือ ในเมื่อเป็นตัวเองนั่นแหละที่ตั้งใจหาเรื่องทะเลาะกับเขาเอง

                หญิงสาวคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดทางเดินกลับห้องพักจนมานั่งหน้าหงิกอยู่บนเตียง ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าควรจะขอโทษทรงพิทักษ์ดีหรือไม่ เพราะหากยอมก็ไม่รู้ว่าเขาจะแปลความหมายผิดไปหรือเปล่า หากเข้าใจว่าเธอยอมขอโทษเพราะพูดผิดไปเรื่องเด็กๆ ที่ขับมอเตอร์ไซค์เล่นเมื่อคืน เขาจะคิดหรือเปล่าว่าเธอผิดทั้งหมด แล้วจะยอมเปลี่ยนใจเรื่องที่ว่าจะเอาตัวปลายรุ้งจะอยู่บนดอยไหม

                ตอนนี้เหมือนมีแต่ความอึดอัดล้อมตัวเธออยู่จนแน่นอกไปหมด ใจจริงๆ เธอก็อยากคืนดีกับทรงพิทักษ์ กลับมาพูดคุยกันดีๆ และยิ้มให้เหมือนเมื่อตอนกลางวัน แต่พอนึกถึงเรื่องที่ตั้งใจทำอยู่ก็เหมือนมีอะไรมาค้ำคอ เธอจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อตั้งจะชี้ให้เขาเห็นว่าการทำโทษด้วยการย้ายไปปลายรุ้งไปอยู่ต่างจังหวัดเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด

                “น้าเวียงดาวคะ เปิดประตูให้ปลายรุ้งหน่อย”

                เวียงดาวรู้สึกเหมือนถูกฉุดกลับมาจากห้วงความกังวลเพราะเสียงปลายรุ้งมาเคาะประตูเรียก เธอรีบเดินมาเปิดอย่างตระหนกเพราะไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กสาวจึงตามมาที่ห้องพัก หรือว่าทรงพิทักษ์ทะเลาะกับเธอแล้วอารมณ์เสียไปลงกับลูกหรือเปล่า จึงมีคนมาทำเสียงเซ็งๆ เรียกเธออยู่อย่างนี้

                “เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะปลายรุ้ง”

เปิดประตูได้เวียงดาวก็รีบถาม แล้วเห็นเด็กสาวทำหน้าบู้บี้อยู่ไม่หยุดจนเดาไม่ถูกเลยว่าอารมณ์ไม่ดีมาเพราะเหตุใด

“ไม่ได้เป็นอะไรคะ แต่คืนนี้ปลายรุ้งนอนด้วยคนนะ”

“อ้าว ไหนว่าจะนอนกับคุณพ่อล่ะจ๊ะ” ได้ยินอย่างนั้นเธอก็ยิ่งเกรงว่าเรื่องที่กลัวอยู่จะเป็นจริง “ทะเลาะกันเพราะน้าหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ” ปลายรุ้งยังหน้าบึ้ง “แต่เบื่อๆ น่ะ ไม่อยากอยู่ทะเลาะด้วย”

“อ้าว…”

“ก็อีกนิดเดียวคงทะเลาะกันละคะ” เด็กสาวตอบก่อนที่เธอจะงงไปกว่านี้ “นี่ถ้าตื่นไปเจอกันตอนเช้าจะโดนทำโทษอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ขอนอนกับน้าเวียงดาวก่อนแล้วนะคะ”

“พี่แทนจะทำโทษอะไรปลายรุ้ง!” คนไม่เคยถูกพ่อแม่ตีมาก่อนเริ่มเป็นห่วงเรื่องการใช้ความรุนแรงกับเด็ก “ทำโทษหนักไหม ตีแรงหรือเปล่า”

“คุณพ่อไม่เคยตีปลายรุ้งมาก่อนนะ อย่างมากก็ทำโทษกักบริเวณ” คำตอบนั้นทำให้เวียงดาวสบายใจขึ้นมาหลายเท่าแต่เด็กสาวยังหน้ามุ่ยอยู่ดี “หรือไม่ก็กำลังจะเนรเทศไปอยู่ไกลๆ อย่างที่คิดจะทำอยู่ตอนนี้ไงคะ”

“นี่ตกลงที่น้าอุตส่าห์ลงทุนทำมาทั้งหมดไม่ได้ผลเลยใช้ไหม”

เวียงดาวถึงกับห่อไหล่หดแล้วถอนหายใจยาวอย่างหมดเรี่ยวแรง อิงไปกับขอบประตูห้องพักแล้วถอนหายใจอีกเฮือกเพราะรู้แล้วว่าผลลัพธ์ของแผนที่อุตส่าห์วางมาจะไม่ได้ดังใจ

“ช่างเถอะค่ะ รู้แค่ว่าน้าเวียงดาวทำดีที่สุดแล้ว”

ปลายรุ้งคงรู้ว่าเธอหวังดีถึงกล้าไปเถียงกับพ่อของเด็กสาวเพื่อจะชี้ให้เห็นว่าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ทว่ามันไม่ได้ผล ทรงพิทักษ์ไม่ยอมฟังใครนอกจากตัวเขาเอง

แต่ถ้ามองในแง่ดีสักหน่อย ถ้าสองพ่อลูกจะไปอยู่ต่างจังหวัดกัน ชยาตาคงได้ออกจากการซ่อนตัวในอะพาร์ตเมนต์ไปอยู่ด้วยกัน สองแม่ลูกคงได้กลับมาพบอีกครั้ง มันก็คงดีไปอีกแบบ ปลายรุ้งจะได้เลิกคิดว่าแม่ของตัวเองตายจากโลกนี้ไปเสียที

“ขอบคุณที่ช่วยปลายรุ้งนะคะ” เด็กสาวยิ้มให้เธอหลังจากที่ต่างคนต่างต้องปรับสีหน้ากันอยู่สักพัก “อย่างน้อยวันนี้มีอะไรที่ปลายรุ้งเคยอยากพูดกับคุณพ่อ เมื่อกี้ก็พูดไปหมดแล้ว ดีเหมือนกันแหละ”

                “พูดอะไรจ๊ะ!”

                “พูดเหมือนที่น้าเวียงดาวพูดนั้นแหละค่ะ ปลายรุ้งก็เบื่อที่คุณพ่อเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เอาแต่ตัวเองเป็นมาตรฐานอยู่เรื่อยเหมือนกัน แต่ถ้าพูดกันคราวนี้แล้วไม่ฟัง ต่อไปปลายรุ้งก็จะไม่พูดอีกแล้ว”

                ปลายรุ้งพูดแค่นั้นแล้วสูดหายใจเฮือกเข้าไป เลิกคิ้วสูงและไม่ยิ้มอีกแล้ว จากนั้นก็ถือวิสาสะจูงมือเธอเข้ามาในห้อง ขอตัวไปล้างหน้าล้างตานิดหน่อยแล้วก็มานอน คลุมโปงเงียบๆ อย่างไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอีก เดาใจไม่ถูกเลยว่าคิดอะไรอยู่ โดยเฉพาะคิดกับพ่อ

                ตอนนี้ความรู้สึกของเด็กสาวจะเป็นอย่างไร เวียงดาวเดาไม่ออกเลย…

 

                คนอึดอัดเพราะนอนคิดมากอยู่ทั้งคืนทิ้งปลายรุ้งไว้บนเตียง คิดว่าจะออกไปเดินเล่นที่สนามหญ้าของรีสอร์ทตั้งแต่เช้ามืด เผื่อน้ำค้างเย็นๆ จะช่วยให้เธอใจคลายกลุ้มลงไปบ้าง

แต่เวียงดาวยังอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมทรงพิทักษ์จึงเปลี่ยนไปมากจากครั้งแรกที่เธอรู้จัก พี่แทนของเธอเมื่อสิบห้าปีก่อนออกจะใจดีและอ่อนโยน แต่พอโตขึ้น เจอสังคมที่อยู่นอกรั้วโรงเรียนทำให้เขาเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ กาลเวลาหรืออะไรกันแน่ที่หล่อหลอมเขาให้เปลี่ยนไป

                “เวียงดาว”

                คนที่จะตอบคำถามเธอได้ดีที่สุดเดินเข้ามาหาแล้ว  แต่พอเห็นหน้าเขาเวียงดาวกลับไม่กล้าถามเลยสักคำ ผงะจนอึ้งเพราะเปิดประตูห้องพักมาเห็นทรงพิทักษ์ยืนยิ้มแหยๆ อยู่หน้าห้องพักของเธอตอนเช้ามืด ไม่รู้ว่าเขาตื่นมายืนรออยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เหมือนยังกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ตัดสินใจที่จะมา

ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจของเธอกลับเต้นแรงขึ้นมาแปลกๆ อึกอักทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ต่อ หรือจะเดินหนีไปดี

                “ปลายรุ้งล่ะ” ทรงพิทักษ์เลือกคำถามที่เธอเลี่ยงไม่ได้ “นอนอยู่ในห้องของเวียงดาวหรือเปล่า”

                “ยังหลับอยู่เลยค่ะ” ถ้าไม่ตอบคำถามของคนเป็นห่วงลูกเธอก็คงใจดำเกินไป “เดี๋ยวเวียงดาวไปปลุกให้แล้วกันนะคะ”

                “ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้นอนไปเถอะ” คำสั่งของเขาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจว่าทรงพิทักษ์คิดอะไรอยู่ “แต่พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”

                “คะ?”

                “ไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันไหม”

                ทรงพิทักษ์หมายถึงจุดชมวิวของรีสอร์ท และเขาก็ยังเป็นจอมออกคำสั่งอยู่เหมือนเดิมแต่แปลกเหลือเกินที่เธอยังยอมได้เสมอ ถ้าไม่มีอะไรที่ขัดใจหรือบีบบังคับกันไปเกินไปเวียงดาวก็ไม่แย้งจนกลายเป็นพวกเถียงคำไม่ตกฟาก และที่สำคัญเธออยากรู้ด้วยว่าเขาอยากคุยอะไร

                “เดี๋ยวสายๆ ก็กลับกรุงเทพฯ เลยเนอะ”

ทรงพิทักษ์เหมือนจะเกริ่นเข้าเรื่องพลางทิ้งตัวลงนั่งที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นแคนาซึ่งอยู่ไม่ไกลจุดชมวิว ถ้านั่งตรงนี้ก็มองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้เหมือนกัน แล้วพอเธอยอมหน่อยตัวลงข้างๆ ชายหนุ่มก็เอื้อมตัวก้มลงเก็บดอกแคนาสีขาวที่ร่วงลงมาคลุกน้ำค้างบนพื้นหญ้าส่งให้เธอ ทว่าเวียงดาวยังไม่รับเพราะไม่รู้ว่าดอกไม้นี้หมายความว่าอย่างไร แต่เธอก็ไม่ได้ตัดรอนไปเสียทีเดียว ยังนั่งอยู่เงียบๆ และหวังว่าจะคุยกันเขาอย่างใจเย็น ไม่อยากทะเลาะกันเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว

“เรื่องเมื่อคืน พี่ขอโทษ”

“คะ?”

เวียงดาวยังไม่เข้าใจอยู่ดีแล้วยังปล่อยให้ชายหนุ่มถือดอกแคนายื่นค้างไว้อย่างนั้น

“ขอโทษตรงไหนล่ะ ทะเลาะกันไปตั้งเยอะ”

“ขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่เวียงดาว” คำตอบนั่นทำเอาเธออึ้งไปเลย “ส่วนเรื่องอื่น พี่ไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะพี่ก็ยังมั่นใจว่าพี่คิดไม่ผิดหรอก”

“สรุปว่ายังไงพี่แทนก็ยังเอาตัวปลายรุ้งไปอยู่บนดอยอยู่ดีเหรอคะ!”

“ถ้าปลายรุ้งคิดจะทำตัวไม่ดี จะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอก… เวียงดาวว่าอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ”

ทรงพิทักษ์บอกเต็มเสียงแต่ก็ก้มหน้าหลบสายตาเธอ แล้วเหมือนจะแก้เก้อด้วยการดึงดอกแคนาในมือคืนเข้าหาอก ไม่ยื่นเธอเหมือนเดิมแต่เอาหมุนพลางก้มมองมันอย่างตั้งใจเกินจำเป็น แต่ปากก็ยังพูดกับเธออยู่

                 “เมื่อคืนพี่นอนคิดๆ ดู… ก็ถูกของเวียงดาว สิ่งแวดล้อมก็สำคัญแต่คงไม่เท่าตัวปลายรุ้ง ถ้าใจใฝ่จะไปทางผิด อยู่ที่ไหนก็คงเหมือนกัน แต่ที่พี่คิดจะทำอย่างนั้น เพราะอยากหนีปัญหาต่างหาก”

                “พี่แทนจะไม่บังคับให้พี่ติ๋วกับปลายรุ้งไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วใช่ไหมคะ!” เวียงดาวยิ้มกว้างขึ้นมาทันที “นะคะ อย่าพาไปเลย ให้ไปอยู่ในที่ที่ไม่อยากอยู่ คงทรมานกันแย่”

                “ครับ ไม่ไปก็ไม่ไป” คำตอบสั้นๆ ของคนอมยิ้มทำให้เวียงดาวยิ่งชุ่มช้ำใจ “แต่เวียงดาวหายโกรธพี่แล้วใช่ไหม”

                “ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยอมให้เขาได้เหมือนกัน “แต่พี่แทนหายโกรธเวียงดาวด้วยนะ”

                “เด็กน้อยเอ๊ย… ถ้าไม่หายแล้วพี่จะมาขอโทษไหม”

ทรงพิทักษ์ทั้งส่ายหน้าทั้งยิ้มแล้วมองเธอเหมือนเด็กเล็กๆ ยังไม่ประสีประสา ทว่านัยน์ตาเปล่งประกายที่มามองมันทำให้เวียงดาวขวยเขินจนเผลอก้มหน้าหลบ ความรู้สึกเปลี่ยนล้นที่ชายหนุ่มส่งผ่านแววตานั้น เวียงดาวรู้ว่ามันเป็นความสุขที่ล้นออกมาจากหัวใจ และส่งมาพร้อมดอกแคนาที่เขายื่นมาทัดหูให้เธอ

สัมผัสเพียงแผ่วเบาจากมือของทรงพิทักษ์ลู่ผ่านเรือนผม ทัดดอกแคนาให้เธอแล้วปล่อยปลายนิ้วลูบเบาๆ ผ่านใบหูข้างซ้ายทำให้หญิงสาวยิ่งสะท้านเขินอายจนเผลอหดไหล่ห่อตัว อากาศเย็นๆ ช่ำน้ำค้างตอนอรุณรุ่งเหมือนจะไม่มีต่อเธออีกแล้ว เพราะตอนนี้หญิงสาวร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเพราะความใกล้ชิดนี้

แต่พอเธอยิ่งก้มหน้าหลบ ทรงพิทักษ์ก็ยิ่งหัวเราะชอบใจมากขึ้นทุกที สุดท้ายหญิงสาวก็เผลอเงยหน้าขึ้นมาค้อน  ทว่าโกรธไม่ลงสักนิดเพราะเห็นรอยยิ้มอิ่มสุขของชายหนุ่มฉายอยู่เต็มใบหน้า

                เวียงดาวไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้เห็นรอยยิ้มเปลี่ยมล้นไปด้วยความสุขเช่นนี้ อย่างน้อยก็ตั้งแต่กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากที่ต่างคนต่างไปเมื่อสิบห้าปีก่อน ต่างไปมีชีวิตของตัวเอง แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสกลับมาเห็นรอยยิ้มของคนที่กำลังนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน

ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนหรือมีอะไรเปลี่ยนไป เวียงดาวก็ยังรู้สึกได้ ว่าผู้ชายคนนี้เป็นความสุขของเธอ แม้ไม่อาจแตะต้องได้ แต่ให้ได้มองจากตรงนี้ ก็มีความสุขเหลือเกินแล้ว

               

                เวียงดาวคิดว่าตัวเองทำงานสำเร็จแล้ว ไม่ต้องมีใครย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดเพราะถูกบังคับ และเมื่อกลับมาบอกข่าวดีกับปลายรุ้ง เด็กสาวก็ถึงกับกระโดดกอดเธอ

                แต่ก็ยังอดคิดถึงเรื่องเมื่อตอนรุ่งสางไม่ได้ เพราะหลังจากพระอาทิตย์ขึ้น จู่ๆ ทรงพิทักษ์ก็ลุกแล้วกลับมาเป็นจอมเผด็จการอีกตามเคย สั่งให้เธอไปปลุกปลายรุ้งแล้วเก็บของเสียจะได้กลับกรุงเทพฯ แต่ถ้าถามว่ากลัวลูกสาวจะหนีเที่ยวกลางคืนอีกไหม ชายหนุ่มก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ เชื่อมั่นว่าปลายรุ้งคงได้บทเรียนจากการถูกทำโทษกักบริเวณนั่นแล้ว และที่วางใจคือลูกรู้ว่าพ่อเป็นห่วงมากแค่ไหน น้าเวียงดาวเชื่อใจมากเท่าไหร่ ปลายรุ้งคงไม่เดินเข้าสู่อบายมุขอีกแน่ๆ

                ถ้าเป็นจริงอย่างที่ทรงพิทักษ์ว่าเธอก็สบายใจ เพราะยิ่งอยู่ด้วยเธอก็ยิ่งนึกเอ็นดูปลายรุ้ง อยากเห็นเด็กสาวเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ความสุข… แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เธอก็ผูกพันกับปลายรุ้งไปเสียแล้ว

                “น้าเวียงดาว มากินข้าวเช้าค่ะ”

                ปลายรุ้งยิ้มกว้างและโบกมือเรียกให้เธอเข้าไปหาที่โต๊ะอาหารซึ่งทางรีสอร์ทจัดไว้รับรองแขกและหญิงสาวก็ยิ้มกว้าง หลังจากที่แยกกันไปเก็บของลงกระเป๋าเสร็จก็นัดกันไว้ที่นี่ กินข้าวเช้ากันก่อนค่อยกลับบ้าน

                “แล้วคุณพ่อล่ะจ๊ะ” เห็นปลายรุ้งนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียวก็อดถามไม่ได้ “ยังเก็บของไม่เสร็จอีกเหรอ”

                “เสร็จแล้วค่ะ แต่ไปเช็ครถน่ะ ให้พวกเรากินข้าวกันก่อนเลย” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาตอบยิ้มๆ แล้วก้มลงหาสมาร์ตโฟนอีกรอบแต่ยังพูดกับเธอ “ถ้าน้าเวียงดาวหิวก็กินก่อนเลยนะคะ ไม่ต้องรอหรอก”

                “รอกินพร้อมกันดีกว่า” คนอยากมีเพื่อนกินข้าวบอกยิ้มๆ แล้วหาทางงัดปลายรุ้งออกจากหน้าจอโทรศัพท์ด้วยการชวนคุย “ว่าแต่ปลายรุ้งดูอะไรอยู่เหรอจ๊ะ”

                “อ่านคอมเมนต์ในวีดีโอที่ถ่ายเมื่อคืนนี้ไง” ปลายรุ้งยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบเธอซ้ำยังยื่นมือถือมาให้ด้วย “น้าเวียงดาวดูอันนี้สิคะ… มีคนมาบอกว่าถ้าปลายรุ้งมีแฟน ให้พาแฟนไปลอดประตูชุมพลด้วยล่ะ”

                “ประตูชุมพลเหรอ”

                “ค่ะ ซุ่มประตูโบราณบานใหญ่ๆ ที่อยู่ลานย่าโมที่เราไปเมื่อคืนนี้ไง”

ยิ่งปลายรุ้งอธิบายเวียงดาวก็ยิ่งงุนงงเพราะยังจำได้ดีว่าเมื่อคืนมีใครพาเธอไปเดินลอดประโบราณนั่นถึงสามรอบ! ทรงพิทักษ์ตั้งใจพาเธอไป แต่เขาทำอย่างนั้นทำไม หรือเพราะรู้อะไรที่เธอไม่รู้อยู่หรือเปล่า หนำซ้ำยังไม่ยอมบอกกันอีกต่างหาก

“เขาบอกว่าถ้าหนุ่มสาวคู่ไหนเดินลอดประตูชุมพลครบสามรอบ ได้อยู่ครองคู่จนแก่จนเฒ่าไปด้วยกันที่โคราช”

‘สามรอบนะเวียงดาว’

น้ำเสียงของทรงพิทักษ์แว่วดังอีกครั้ง ทุ้มอยู่ในหัวใจ…

ภาพคืนวานที่เขาจูงมือเธอเดินลอดซุ้มประตูชุมพลจนครบสามรอบปักตรึงใจหัวใจของหญิงสาว ทว่าสมองของเวียงดาวกลับอื้ออึงไปด้วยความรู้สึกที่ตีรวนกันอยู่เต็มอก ไม่เข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มทำให้เธอเมื่อคืนเลยสักนิด

                ที่เขาพาเธอเดินลอดประตูชุมพลครบสามรอบ หมายความว่าอยากอยู่ครองคู่กับเธอไปจนแก่เฒ่าอย่างนั้นหรือ…

                เวียงดาวเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ เธอไม่ใช่คนรักของทรงพิทักษ์ และเขาก็รู้จักเธอเพียงในฐานะเพื่อนของภรรยา จะพาเธอเดินลอดประตูชุมพลไปทำ หรือเพราะไม่รู้เรื่องที่ปลายรุ้งเล่าให้ฟัง คิดว่าเดินเพียงเอาฤกษ์เอาชัยก็เท่านั้น

ตกลง ทรงพิทักษ์รู้หรือเปล่าว่าการซุ้มประตูโบราณของเมือโคราช มีเรื่องเล่าความเชื่อว่าอย่างไร…

รู้หรือไม่รู้ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็คงไม่มีใครตอบคำถามเธอได้ดีกว่าคนที่ทัดดอกแคนาที่ข้างหูให้ระหว่างนั่งตากหมอกรอดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันอีกแล้ว

“อ้าวคุณพ่อ! มาพอดีเลย”

                ปลายรุ้งดึงเธอกลับจากห้วงคำถามนับร้อยที่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเมื่อสบตากับคนที่เดินเข้ามาร่วมโต๊ะ ความกลัวไม่ทราบที่มาเข้าครอบงำจนเวียงดาวก้มหน้าลงราวกับมีอะไรสั่งให้หนีหน้าเขา

ต้องหลบเหมือนที่เคยหลบเมื่อสิบห้าปีก่อน  แต่ไม่รู้เลยว่ามันยังเป็นความรู้สึกเดียวกันอยู่หรือเปล่า ยังแอบรักเขาข้างเดียวอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม

                “ว่าจะกินข้าวก่อนแล้วเชียว ไปทำอะไรตั้งนาน”

เด็กสาวยังพูดแจ้วๆ ทำลายความเงียบของเธอแล้วฉุดให้กลับมาจากห่วงคำถามพวกนั้นด้วย

“น้าเวียงดาวก็หิ้วท้องรอนะรู้ไหม”

                “สรุปว่ารอพ่อกินข้าวกันทุกคนเลย”

ทรงพิทักษ์เลิกถามพลางนั่งลงข้างลูกสาวและดูอารมณ์ดีผิดหูผิดตา ไม่รู้ว่าการไปตรวจความพร้อมของรถก่อนจะออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ มีอะไรให้เขาถูกใจหรือเปล่า ถึงได้ยิ้มแย้มแจ่มใสรับอรุณ ไม่เป็น ‘พี่หน้ายักษ์’ อย่างที่เพื่อนเก่าของเธอตั้งฉายาให้

“ปลายรุ้งไปตักอาหารแล้วนะ หิวจะตายอยู่แล้ว”

“พาน้าเวียงดาวไปตักด้วยสิ” เขาสั่งอย่างอารมณ์ดีจนเหมือนว่าลืมเรื่องที่เคยทะเลาะกับลูกไปเลย “แล้วก็ตักมาให้พ่อด้วยได้ไหม”

“ค่ะ”

ปลายรุ้งกำลังจะลุกไปที่บาร์แล้ว แต่เพียงก้าวเดียวที่เด็กสาวจะเคลื่อนตัว มือของคนเป็นพ่อก็คว้าไว้ทำให้เด็กสาวหันกลับมามองอย่างงุนงง คงไม่เข้าใจเหมือนเธอ ว่าจู่ๆ ทรงพิทักษ์จะกุมมือลูกไว้ทำไม

                “ปลายรุ้ง…  เรื่องที่ผับวันนั้น พ่อใช้อารมณ์มาไป พ่อขอโทษนะ”

                คำขอโทษออกจากปากทรงพิทักษ์อย่างง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ และปลายรุ้งก็ได้ยินเหมือนเธอไม่ผิดแน่น…

แม้จะไม่รู้ว่ามีอะไรที่ทำให้เขายอมขอโทษ แต่นี่เหมือนดังแสงสว่างเรืองรองที่สาดลงหัวใจของเธอ เวียงดาวยิ้มกว้างเพราะสัมผัสได้ว่าตอนนี้ทรงพิทักษ์ยอมเปิดใจฟังความรู้สึกและเหตุผลของคนอื่นบ้างแล้ว ที่สำคัญ เขากล้าที่เป็นฝ่ายขอโทษก่อนอีกด้วย

                แต่ปลายรุ้งดูอึ้งและเงียบไปนาน ทำเพียงมองหน้าพ่อสลับกับมือที่กุมกันอยู่จนเธอลุ้นตามว่าเด็กสาวจะยอมรับคำขอโทษนี้ไหม หากพ่อยอมเป็นฝ่ายเปิดใจก่อน จะยอมปรับความเข้าใจกันหรือเปล่า

“ปลายรุ้งก็ขอโทษค่ะ”

คำตอบของเด็กสาวเหมือนทำน้ำเย็นรินรดใจของเวียงดาว และคงเป็นดังน้ำทิพย์ชโลมใจของคนเป็นพ่อ

“ขอโทษที่ทำให้คุณพ่อเป็นห่วงนะคะ… สัญญาว่าจะไม่หนีเที่ยวอย่างนั้นอีก”

“อย่าเกเร” ได้ทีทรงพิทักษ์ก็สั่งเพิ่ม “พ่อไม่อยากให้ลูกต้องไปเจออะไรไม่ดีนะปลายรุ้ง”

“ขอโทษค่ะ” ปลายรุ้งย้ำอีกทีแล้วยิ้มหวานขึ้นมาคล้ายตั้งใจจะอ้อนพ่อ “แต่ขอนิ้วของคุณพ่อได้ไหมคะ”

แค่ปลายรุ้งขอนิ้ว ทำไมพ่อต้องยิ้มด้วย เป็นรอยยิ้มอิ่มเอมใจอย่างที่เธอไม่คิดมาก่อนว่าทรงพิทักษ์จะยิ้มได้ แต่เขาส่งมันให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน พร้อมนิ้วชี้ที่ยกขึ้นให้เด็กสาวกำ

เวียงดาวไม่เข้าใจว่าทำไมเพียงแค่กำนิ้วชี้ของพ่อ ปลายรุ้งก็ยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเช่นเดียวกัน ความสุขล้นฉายอยู่ในแววตาของทั้งคู่ ราวมันออกมากจากหัวใจ แผ่ความปลื้มเปรมใจมาให้คนที่นั่งมองอย่างเธอ

ที่ผ่านมาเธอคงเข้าใจผิดไป ที่ว่าสองพ่อลูกไม่ลงรอยกัน เพราะสองคนที่กำนิ้วกันอยู่ทำให้รู้แล้วว่าทั้งคู่รักกันมากเพียงใด ทว่าคงปากหนักกันทั้งคู่เท่านั้นเอง

และแม้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เข้าใจว่าพ่อส่งนิ้วให้ลูกกำแล้วหมายความว่าอย่างไร แต่เวียงดาวก็สัมผัสได้ด้วยหัวใจในรอยยิ้มและสัมผัสที่ปลายรุ้งกับทรงพิทักษ์มีให้กัน รู้ว่าสองพ่อลูกปรับความเข้าใจกันได้ และรักกันมากเหลือเกิน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น