12

บทที่ 12


บทที่ 12

                เวียงดาวไม่รู้ว่าเลยว่าทำไมตลอดการเดินทางกลับจากปากช่อง เธอต้องนั่งกลั้นหายใจมาตลอดทาง แอบมองทรงพิทักษ์จากเบาะหลัง ด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่อื้ออึงอยู่ในใจ

                นั่นคงเพราะคำถามที่ยังค้างคา ว่าเพราะอะไรเขาจึงพาเธอลอดประตูชุมพลครบสามรอบ…

ถ้าจะให้เอาคำตอบตามที่มีคนมาบอกปลายรุ้ง ว่าจะได้อยู่ครองคู่กันที่โคราชไปจนแก่เฒ่า เวียงดาวก็รู้สึกว่ามันจะดูเข้าข้างหัวใจตัวเองเกินไป ไม่กล้าคิดว่าทรงพิทักษ์น่ะหรืออยากใช้ชีวิตคู่กับเธอ ในเมื่อเขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว ซ้ำยังรักชยาตามากเสียจนวางแผนแกล้งตายให้เพื่อให้ภรรยาหลบซ่อนตัว

หญิงสาวรู้แต่ว่ามันหน่วงอยู่ในอก กลืนไม่เข้าคายออไม่ออก และเอามันออกจากใจไม่ได้ คล้ายจะเป็นความสุขที่ผิดบาป หรือถ้าจะไม่คิดเรื่องประตูชุมพลเพราะทรงพิทักษ์อาจจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อนั่น แต่หัวใจของเธอก็ยังหน่วงๆ อย่างบอกไม่ถูกอยู่ดี

นั่นอาจเพราะได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่เป็นรักครั้งแรกซึ่งยังประทับอยู่ในหัวใจมานานสิบกว่าปี แต่ก็ผิดที่ทรงพิทักษ์มีครอบครัวแล้ว และภรรยาของเขาเป็นเพื่อนของเธอ

                “คุณพ่อส่งปลายรุ้งที่สถานีรถไฟฟ้าก็ได้นะ”

                พยานรักของทรงพิทักษ์กับชยาตาบอกเจื้อยแจ้วเมื่อใกล้ถึงหมอชิต แล้วก็เหมือนตอกย้ำความรู้สึกของหญิงสาว ให้รู้ว่าไม่อาจแตะต้องคนที่ตัวเองแอบรักได้อีกแล้ว และสิ่งเดียวที่ต้องทำก็คงไม่พ้นเป็นน้าที่ดีของปลายรุ้ง เพราะเธอเป็นได้เพียงเท่านั้นจริงๆ

                “จะไปไหนลูก”

สองพ่อลูกยังคุยกันโดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่เบาะหลังเก็บอาการอะไรไว้ในใจ แต่คำว่า ‘ลูก’ ที่ทรงพิทักษ์เรียกเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอยู่ไม่ขาดปาก ก็เหมือนตอกย้ำให้เวียงดาวตัดใจ แล้วนั่งเงียบๆ มองความจริงที่เธอต้องยอมรับต่อไปอย่างไม่ดื้อดึง

“ยังถึงไม่บ้านเลย ทำไมต้องลงกลางทาง”

                “ตอนบ่ายสามมีเรียนพิเศษนี่คะ วันนี้เปิดเรียนวันแรกด้วย เดี๋ยวเอาบัตรนักเรียนไปรับหนังสือที่โรงเรียนกวดวิชาเลยค่ะ ส่วนดินสอปากกาก็หาซื้อใหม่เอาแถวนั้นล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก”

ปลายรุ้งรายงานรายงานครบถ้วนอย่างแจ่มใสแต่เหมือนดึงเธอกลับมาจากห้วงภวังค์

“คงเลิกเรียนสักทุ่มหนึ่ง ถ้าไม่ให้กลับเอง คุณพ่อก็ไปรับที่ร้านเดิมนะคะ”

“รอพ่อที่ร้านนั่นแหละ จะไปรับ”

“ค่ะ”

ปลายรุ้งไม่ต่อปากต่อคำเหมือนที่แล้วมา ก็คงไม่อยากดื้อกับพ่อทั้งที่เพิ่งคืนดีกันเมื่อเช้านี้กระมัง เห็นอย่างนี้แล้วเวียงดาวก็สบายใจ เพราะนี่เท่ากับเธอผสานรอยราวของสองพ่อลูกได้สำเร็จตามคำขอของชยาตาแล้ว

แล้วเธอควรไปจากสองพ่อลูกหรือยัง…

ในเมื่อพ่อกับลูกเข้าใจกันแล้ว ชยาตาก็น่าจะหายห่วงแล้ว คงไม่ต้องการให้เธอช่วยอีกแล้ว…

“ย้ายมานั่งข้างหน้าสิเวียงดาว”

ทรงพิทักษ์ไม่เว้นจังหวะให้เธอได้ตอบคำถามตัวเอง เขาเรียกด้วยน้ำเสียงนิ่งสุขุมหลังจากปลายรุ้งลงจากรถแล้ววิ่งขึ้นสถานีรถไฟฟ้าไป แต่เหมือนฉุดเธออย่างรุนแรงให้กลับมาจากทะเลคำถามที่ตัวเองยังว่ายวนเวียงหาคำตอบไม่ได้… มาพบว่าตอนนี้กำลังอยู่กับทรงพิทักษ์ตามลำพังเสียแล้ว

“แล้วนี่จะกลับอะพาร์ตเมนต์ไปเล่าเรื่องปลายรุ้งให้คุณติ๋วฟังเลยหรือเปล่า”

ชายหนุ่มถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบเมื่อเธอย้ายมานั่งข้างคนขับแทนที่ปลายรุ้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไมคราวนี้ชื่อของชยาตาถึงทำให้เธอใจหายอย่างบอกไม่ถูก คล้ายคนที่ไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงเลย

“พี่ไปส่งนะ”

“จริงๆ กลับเองดีกว่านะคะ”

เวียงดาวหาทางเลี่ยงเพราะไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับสามีคนอื่นมากไปกว่านี้โดยรู้ดีเต็มอกว่าตัวเองคิดไม่ซื่อ แต่ไม่คิดจะทำผิดศีลธรรมลงไป ทว่าจะให้ลุกหนีพรวดพราดก็เกรงใจ ไม่อยากแสดงอาการใดๆ ให้เขาสงสัยอีกว่าเธอเป็นอะไรจึงไม่อยากพบหน้าให้มากกว่าที่เป็นอยู่ จนต้องหาข้ออ้างมาเป็นทางเลี่ยง

“พี่แทนก็ขับรถมาตั้งแต่เช้าแล้ว กลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะค่ะ เวียงดาวกลับแท็กซี่เองได้”

“ตอนไปเที่ยวก็ไปด้วยกันถึงที่ ตอนกลับก็ต้องส่งถึงที่สิ”

“แต่ว่า…”

“ไปเถอะน่า”

ทรงพิทักษ์เผด็จการอีกแล้ว แต่แปลกเหลือเกินที่เธอไม่แรงจะเถียงแม้แต่คำเดียว และเหมือนไม่ยอมทำอะไรมากกว่าถอนหายใจ หรือต้องยอมรับว่าลึกๆ แล้วเธออยากอยู่กับเขาไปนานๆ ทว่ามันจะทำได้จริงหรือ

ตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกันก็เหมือนจะไม่มีคำตอบใดๆ ให้เวียงดาว เพราะเขาเอาแต่ขับรถอย่างนิ่งเงียบ ไม่ได้ชวนคุยและเธอเองก็ไม่กล้าจะพูด ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยกับเขา แต่ในใจมันอยากรู้เรื่องประตูชมพล ปากกลับอ้าไม่ออกเพราะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าทรงพิทักษ์มีครอบครัวแล้ว จะให้เธอมาพูดเรื่องนี้ได้อย่างไร และไม่ว่าคำตอบจะออกมาแบบไหน เธอต้องตัดใจไม่ยุ่งกับสามีคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่หรือ

“พี่แทนจอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ”

เวียงดาวตัดใจบอกเมื่อมาถึงใกล้ๆ อะพาร์ตเมนต์ คิดแล้วว่าเธอควรจะหยุดความต้องการของตัวเองเสีย แล้วบอกให้ชายหนุ่มไปเสียที

“มันต้องเดินต่อไปอีกไม่ใช่เหรอเวียงดาว” ถึงจะยอมจอดรถให้แต่ทรงพิทักษ์ยังทำคิ้วขมวด “พี่ไปส่งที่หน้าหอพักเลยไม่ดีกว่าเหรอ”

“มันหาที่จอดรถยากค่ะ” เธออ้าง “ตรงนี้แหละ เดินต่อนิดเดียวเอง”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ยกกระเป๋าให้”

“พี่แทน!”

เวียงดาวร้องเสียงแหลมแต่สุดท้ายก็ยกมือขึ้นมาอุดปากตัวเองไว้เพราะรู้ตัวว่าออกอาการมากเกินไป เห็นโวยวายเดี๋ยวเขาจะได้ถามว่าเป็นอะไรให้เธอพูดไม่ออกก็เท่านั้น แต่มันใช่เรื่องเสียที่ไหนที่เธอต้องมาตอบ บอกไปจะได้กลายเป็นเรื่องมองหน้ากันไม่ติดเสียเปล่าๆ

ในเมื่อมันทำอะไรไม่ได้ หญิงสาวก็ได้แต่มองทรงพิทักษ์เอากระเป๋าเดินทางของเธอไปถือแล้วเดินนำหน้าไปให้ถึงอะพาร์ตเมนต์เร็วๆ จะได้แยกย้ายกันเสียที เพราะตอนนี้เธอลำบากใจเหลือเกินแล้วที่ต้องอยู่กับคนที่ตัวเองแอบรักจนยังตัดใจไม่ได้แม้เขาเป็นสามีคนอื่นไปแล้ว… ไม่อยากทนอยู่กับความรู้สึกอย่างนี้เลย

“โอ๊ย!”

เพราะมัวแต่คิดเรื่องหัวใจเวียงดาวก็เผลอเดินไม่ดูทาง กว่าจะรู้ตัวอีกที เธอก็เดินชนกับหญิงสาวร่างระหงในชุดสีน้ำเงินสดเข้าเสียแล้ว แล้วก็ทำให้ทรงพิทักษ์มองคนที่เธอเดินชนตาไม่กะพริบเช่นเดียวกัน

เขาจำได้แน่ เพราะขนาดเธอยังจำได้เลย!

ทรงพิทักษ์ยังจ้องสาวชุดสีน้ำเงินจนตาเขม่น คนโดนจ้องเผลอกลืนน้ำลายลงคอให้เธอเห็น แม้หญิงสาวจะสวมหมวกปานามาใบใหญ่และปิดบังใบหน้าด้วยแว่นตากันแดดอันโต ทว่าเธอยังจำได้แม่น ไม่ต่างจากผู้เป็นสามี

“ลงมาเดินข้างนอกแบบนี้ได้ยังไง!” ทรงพิทักษ์คำรามถามอยู่ในลำคอ “กลับเข้าห้องไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“แค่ลงมาหาซื้อข้าวกินนะ” คนพรางตัวตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ “อีกเดี๋ยวก็จะขึ้นไปแล้ว”

“ก็รู้ว่าทำอย่างนี้มันอันตราย!”

“ไปก็ได้”

ภรรยาของเขาตอบเสียงสั่น ถึงกับรีบสาวเท้าวิ่งกลับเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์อย่างไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าเธอยืนมองอยู่ด้วยความสงสัยว่าตกลงสองคนนี้ทะเลาะกันหรือเปล่า

“เขาทำอย่างนี้บ่อยหรือเปล่า เวียงดาว”

ทรงพิทักษ์ไม่ได้วิ่งตามภรรยาไปแต่กันมาเธอแทน ทว่านั้นเป็นคำถามที่ทำให้เวียงดาวคอหด บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ากลัวอะไร รู้แต่ว่าใบหน้าขึงขังของชายหนุ่มทำให้น้ำลายของเธอเหนียวจนกลืนไม่ลง

“มะ… ไม่รู้ค่ะ” เวียงดาวตอบตะกุกตะกัก “แต่ถ้าวันไหนเวียงดาวอยู่หอพักก็จะซื้อข้าวของขึ้นไปให้นะ”

“ถึงเวียงดาวไม่อยู่ก็ไม่ควรลงมาซื้อเอง สั่งร้านให้เข้าไปไว้ที่ล็อบบี้ก็ได้นี่”

คนหัวเสียงยังหน้าบูดบึ้งจนเธอเองยังกลัว เริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเมื่อครู่ชยาตาต้องวิ่งหนี ก็ทำท่าเหมือนพายุจะถล่มอย่างนี้ ใครจะกล้าอยู่ใกล้กัน

“พี่ขอขึ้นไปหาเขาหน่อยนะ”

“คะ?”

คำขอนั่นทำให้เวียงดาวงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาขออนุญาตเธอด้วย

“ก็อะพาร์ตเมนต์นี้ห้ามคนนอกเข้า แต่ถ้าพี่ขึ้นไปพร้อมเวียงดาว คนเฝ้าก็ให้ขึ้น บอกเขาว่าพี่แบกกระเป๋ามาส่งเวียงดาวก็แล้วกันนะ”

คำอธิบายเพียงไม่กี่ประโยคนั้นคล้ายมีดปลายแหลมที่ทิ่มแทงเข้ากลางอก เจ็บและจุกจนพูดไม่ออกอีกเลย เวียงดาวได้แต่ยืนอ้าปากค้างแล้วมองหน้าเขา

เธอรู้สึกเหมือนตัวโง่งมมานาน คิดอะไรเพ้อฝันในเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะเรื่องที่เขาขอทำให้เวียงดาวเข้าใจความรู้สึกที่ทรงพิทักษ์มีต่อภรรยาแล้ว เขายังรัก ยังห่วง ยังผูกพัน

และที่สำคัญ ทรงพิทักษ์ไม่ได้เห็นเธอเป็นอย่างอื่นเลย นอกจากเป็นสะพานทอดไปหาชยาตา!

 

ประตูห้องพักของชยาปิดลงแล้ว และเธอเห็นกับตาว่าทรงพิทักษ์เข้าไปในห้องพักนั้น ตอนนี้สองสามีภรรยากำลังอยู่ด้วยกันตามลำพัง

เวียงดาวไม่อยากคิดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างต่อจากนั้น ได้แต่ยกมือลูบหน้าแล้วถอนหายใจยาว หวังว่าการขยี้ตาจะทำให้เธอเธอลบภาพนั้นออกไปได้ หรืออย่างน้อยระบายความเจ็บปวดในอกออกไปได้ก็ยังดี

แต่มันเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อรู้ว่าตอนนี้ทรงพิทักษ์กับชยาตาอยู่ด้วยกัน เพราะยิ่งตอกย้ำว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว เธอจะคิดอะไรเหมือนที่เคยคิดตอนเป็นเด็กสาวไม่ได้ แค่คิดก็ผิดเหลือเกินแล้ว

คงถึงเวลาต้องถอนตัวออกไปจากครอบครัวนี้เสียที…

หญิงบอกบอกตัวเองว่าอย่างนั้นแล้วเดินอย่างไรเรี่ยวแรงกลับมาที่เตียง ทิ้งกระเป๋าเดินทางที่ทรงพิทักษ์อุตส่าห์หิ้วขึ้นมาถึงหน้าห้องไว้ที่ประตูเหมือนเดิม ยังไม่อยากยุ่งกับมัน เพราะกระเป๋าใบนี้ไม่ได้ต่างจากใบเบิกทางให้เขาขึ้นมาพบภรรยา และตัวเธอก็เช่นกัน เป็นได้แค่ข้ออ้างไว้บังหน้า จะได้ไม่มีใครสงสัยว่าเขามาพบชยาตา ไม่ได้มีความสำคัญมากไปกว่านั้นเลย

แต่ตัวเธอนี่สิที่คิดไปเอง ปล่อยตัวเองถลำลึกเพ้อฝันไปกับความหวังลมๆ แล้งๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในเมื่อน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าทรงพิทักษ์รักภรรยามากแค่ไหน แม้จะมรสุมเข้ามาในชีวิตคู่ แต่เขาไม่เคยปล่อยมือชยาตาเลยทั้งที่รู้ว่าภรรยาเผลอไผลนอกใจไปมีคนอื่น ซ้ำช่วยจัดฉากไปกับแผนแกล้งตายจนสำเร็จแล้วพามาซ่อนตัวอย่างปลอดภัย และหากเรื่องเลวร้ายพวกนี้ผ่านไป ครอบครัวก็จะกลับมาเป็นครอบครัว

อย่างที่ต้องไม่มีเธอไปเป็นส่วนเกิน…

มันถึงเวลาแล้วที่ต้องไป ต้องทิ้งความทรงจำไปเสีย อย่ารู้สึกอะไรกับทรงพิทักษ์ ปล่อยให้ทุกอย่างมันปลิดปลิวไปดังใบไหม้แห้งผ่านแรงลม ร่วงลงพื้นกลายเป็นผุยผง ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้จำ ต้องตัดใจให้ได้แม้จะเจ็บแค่ไหนก็ตาม แต่จะต้องไม่ทำให้สองแม่ลูกต้องมาเจ็บช้ำเพราะถูกความสึกของเธอหักหลัง

เธอรักสามีของชยาตาไม่ได้!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น