8

สุพรรณิการ์


สุพรรณิการ์

 

“คุณแตงกวาคะ คุณบกให้มาตามค่ะ”

บัวเรียงเคาะประตูห้องตอนเกือบแปดโมงเช้า ยืนรอไม่นานนักสมาชิกคนใหม่ของไร่ก็เปิดประตูออกมาพร้อมทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส

“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่บัวเรียง”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ลงไปรับมื้อเช้ากันนะคะ บัวเรียงทำโจ๊กหมูตุ๋นเอาไว้”

สุพรรณิการ์ยิ้มรับ วันนี้บัวเรียงแต่งตัวเรียบร้อย นุ่งซิ่นกับเสื้อผ้าป่าน มุ่นผมเป็นมวย หน้าตาไม่ได้แต่ง เพียงแค่ผัดแป้งบางๆ ส่วนตัวเธอเองใส่ชุดธรรมดา คือกางเกงยีนขาสามส่วนกับเสื้อแขนตุ๊กตาฉลุลายดอกไม้ตรงปลาย สีขาวสะอาดทั้งตัวแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือเปล่า

“กวาควรใส่ชุดสีเข้มๆ แทนไหมคะพี่บัวเรียง”

“ชุดนี้ก็ดีแล้วค่ะ คุณแตงกวาน่ารัก ใส่อะไรก็สวย”

คนตัวเล็กเขิน

“ขอบคุณค่ะ แต่กวาอยากออกไปดูรอบๆ ไร่ กลัวว่าจะทำสกปรก”

“โถ...ไม่ต้องกังวลค่ะ มือซักอยู่นี่ทั้งคน คุณแตงกวาออกไปลุยให้เต็มที่ได้เลย ว่าแต่ตอนนี้เราลงข้างล่างกันก่อนเถอะค่ะ คุณบกรออยู่”

หญิงสาวเดินตามคุณแม่บ้านลงมา ระหว่างทางก็รับฟังข้อมูลไปด้วย จึงรู้ว่าปกติแล้วสามีของเธอออกจากบ้านประมาณเจ็ดโมง แต่วันนี้พิเศษหน่อย เพราะเขารอกินข้าวเช้ากับเธอก่อน

ลงมาถึงโถงชั้นล่างบัวเรียงเดินนำเข้าไปในห้องทางปีกซ้ายซึ่งมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่นั่งได้ประมาณสิบสองคน ถัดไปทางขวาเป็นแพนทรีหินอ่อนหรูหรา ก่อนจะถึงครัวซึ่งมีอุปกรณ์ทำอาหารครบครัน

บุรีนั่งดื่มกาแฟรออยู่ก่อน กลิ่นเอสเพรสโซหอมกรุ่นไปทั่วห้อง ส่วนสิริมาสนั่งจิบน้ำขิงร้อนด้วยท่าทางแฮงก์ๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าหล่อนปรายตามองมานิดหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปโดยไม่พูดอะไร

“มานั่งนี่สิ” ชายหนุ่มเรียกเธอเข้าไปหา แล้วพยักหน้าให้บัวเรียงเสิร์ฟอาหาร

สุพรรณิการ์นั่งข้างเขาด้วยท่าทียิ้มแย้มปกติ พยายามไม่นึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนให้ว้าวุ่นใจ เธอกล่าวขอบคุณบัวเรียงสำหรับโจ๊กและน้ำส้มคั้น อาหารเช้าวันนี้น่ากินทีเดียว

“จะปรุงเพิ่มไหมคะ”

หญิงสาวมองพวงพริกป่น น้ำส้มสายชู น้ำตาล และซอสถั่วเหลือง ในมือคุณแม่บ้าน ก่อนจะส่ายหน้า

“กวาชอบแบบไม่ปรุงค่ะ”

“เหมือนคุณบกเลยค่ะ” บัวเรียงยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วเดินโฉบจะเอาไปวางไว้ที่แพนทรี

“เดี๋ยว”

“อุ๊ย!” หญิงร่างสูงเลี้ยวหักศอกกลับมา วางพวงเครื่องปรุงแหมะลงตรงหน้าสิริมาสแทน “ลืมไปค่ะว่าคุณมาสชอบปรุง กินรสจัดๆ แต่เช้าก็ดีนะคะ จะได้หายแฮงก์”

“จะไปไหนก็ไป”

“ไม่ไปค่ะ จะยืนรอรับใช้เจ้านาย”

สาวผมสั้นถลึงตาให้บัวเรียง แต่อีกฝ่ายยิ้มแป้นตอบ

“ฝากไว้ก่อนเถอะ ดีนะที่ฉันปวดหัว” ว่าแล้วก็ตักเครื่องปรุงใส่ชามโจ๊ก ยุติสงครามเอาดื้อๆ

สุพรรณิการ์ค่อนข้างประหลาดใจท่าทีของสิริมาสในเช้านี้ แม้จะยังดูเจ้าอารมณ์ แต่ก็ไม่แสดงอาการโจ่งแจ้งอย่างเมื่อคืน แถมยังไม่แผลงฤทธิ์อะไรใส่เธอสักนิดเดียว

“แตงกวา”

“ขา” หญิงสาวหันกลับมามองบุรีงงๆ

“กินสิ บัวเรียงลุ้นอยู่”

“อ้อ...ค่ะ” เพียงชิมโจ๊กคำแรกก็รู้สึกถึงความกลมกล่อมลงตัว ข้าวหอมและนุ่มมาก หมูตุ๋นก็ละลายในปาก “อร่อยจังค่ะ”

คนรอฟังยิ้มหน้าบานทันที

“งั้นกินเยอะๆ นะคะ คุณแตงกวาผอมมาก อยู่ที่นี่บัวเรียงจะขุนให้อิ่มเอิบมีน้ำมีนวลเชียวค่ะ ดีไหมคะคุณบก”

บุรียกกาแฟขึ้นจิบ พลางมองหน้าคนตัวเล็กด้วยแววตาเอ็นดู “สักห้าโลน่าจะดี”

“โถ...อย่างคุณแตงกวาเนี่ย สิบโลก็ไม่อ้วนค่ะ”

แกร๊ง!

เสียงช้อนกระทบชามกระเบื้องเคลือบดังก้อง บทสนทนาครึกครื้นจึงเงียบกริบลงฉับพลัน ก่อนที่ตาทุกคู่จะจับจ้องไปยังสิริมาสซึ่งเป็นตัวต้นเหตุ

“มาสอิ่มแล้วค่ะ ขอตัว” สาวร่างเพรียวลุกพรึ่บแล้วเดินออกจากห้องไปทั้งที่โจ๊กพร่องไปไม่ถึงครึ่งชามด้วยซ้ำ

พอคลื่นลมสงบ บรรยากาศอึดอัดภายในห้องก็มลายหายไปทันที

“สถานการณ์ปลอดโปร่ง งั้นบัวเรียงขอไปเก็บของที่หลังบ้านก่อนนะคะ เชิญคุณๆ ตามสบาย”

สองหนุ่มสาวนั่งกินโจ๊กกันต่อ เมื่ออยู่กันตามลำพังอะไรๆ ก็ดูจะผ่อนคลายขึ้น

“เมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่า” บุรีถามก่อน

“ค่ะ”

ทีแรกสุพรรณิการ์คิดว่าตัวเองจะหลับยาก แต่เอาเข้าจริงดันน็อกไปตอนไหนก็ไม่รู้ คงเพราะเจอเรื่องต่างๆ มากมาย แถมยังเพลียจากการเดินทางด้วย

“วันนี้ฉันจะยุ่งหน่อย อาจไม่ได้กลับเข้ามาจนเย็นเลย เธออยากไปดูรอบๆ ไร่ไหม จะให้น้ำฟ้ากับลอยด์พาไป หรือว่าอยากรอฉันก่อน”

“กวาอยากดูวันนี้ค่ะ”

“งั้นรอสักพัก ฉันสั่งสองคนนั่นไว้แล้ว เธอขับรถเป็นหรือเปล่า”

“เป็นค่ะ แต่ไม่ค่อยได้ขับ ส่วนใหญ่คุณพ่อจะขับให้”

“ดี เพราะอยู่ที่นี่อาจต้องขับรถเองบ้าง ไว้จะหาให้คันหนึ่ง”

“ไร่นี้กว้างมากเลยเหรอคะ”

“ประมาณห้าพันไร่”

“ห้าพันไร่!” สุพรรณิการ์ทำตาโตเท่าไข่ห่าน

“ดูวันเดียวไม่หมดหรอก” บุรียิ้มขัน “เรามีหลายอย่าง ไว้เดี๋ยวค่อยให้ลอยด์เล่าให้ฟัง”

คนตัวเล็กยังอึ้งอยู่ เธอรู้ว่าตระกูลจารุบวรกิจไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีทรัพย์สินมหาศาลขนาดนี้ มิน่าล่ะ ไร่จิระบุรีถึงต้องมีหัวเรือใหญ่ถึงสองคน

ไม่นานนักคนที่สามีของเธอนัดไว้ก็มาถึง

“ฟ้ากับพี่ลอยด์มารายงานตัวแล้วค่า”

เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มขมวดผมเป็นก้อนไว้บนศีรษะในชุดเอี๊ยมหมีเดินเข้ามาในห้อง พร้อมชายหนุ่มหน้าตาเหมือนลูกครึ่งท่าทางสุภาพขรึมๆ

สุพรรณิการ์มองทั้งสองคนด้วยความสนใจ ชายที่ชื่อลอยด์น่าจะอายุไม่เกินเบญจเพส ดูเรียบร้อยผิดจากน้ำฟ้าซึ่งออกจะแก่นแก้วสดใสกว่า

บุรีแนะนำให้คนงานทั้งสองรู้จักเธอ แม้ภายนอกน้ำฟ้าจะดูกระโดกกระเดก แต่ก็ยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อยนุ่มนวล ส่วนอีกคนนั้นค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพแม้จะอายุมากกว่า

“อาบัวเรียงเล่าเรื่องคุณแตงกวาให้ฟ้าฟังเมื่อคืนค่ะ แถมยังเข้าไปป่าวประกาศที่โรงอาหารตั้งแต่เช้าเลย ไม่เกินครึ่ง

วันน่าจะรู้ข่าวกันทั้งไร่ พวกเราตื่นเต้นกันมากๆ ขอแสดงความยินดีกับน้าบกและคุณแตงกวาด้วยนะคะ”

“ขอบใจ แล้วคินกับพี่ชงค์ล่ะ”

“รู้กันแล้วค่ะ เห็นว่าจะจัดปาร์ตีฉลองกันเย็นนี้ด้วย”

“หึ...หาเรื่องกินเหล้า” บุรีรู้ทัน เขามองนาฬิกาข้อมือแล้วลุกขึ้น “เดี๋ยวฉันต้องไปประชุมกับพวกนั้นก่อน ฝากแตงกวาด้วย”

“ได้เลยค่ะน้าบก ฟ้ากับพี่ลอยด์จะดูแลคุณแตงกวาเป็นอย่างดี”

“เรียกพี่แตงกวาก็ได้จ้ะ เราอายุไล่ๆ กัน” สุพรรณิการ์บอก

เธอนึกถูกชะตากับเด็กสาวคนนี้ เหมือนที่รู้สึกกับบัวเรียงเมื่อแรกพบ อาหลานทั้งสองดูเป็นคนจริงใจ ไม่มีพิษภัยใดๆ ให้อึดอัด ส่วนลอยด์นั้นดูเงียบขรึม เลยยังมองไม่ออกว่าเป็นอย่างไร คงต้องใช้เวลาศึกษากันสักระยะ แต่ลองเขาสนิทกับน้ำฟ้าได้ ก็น่าจะไม่มีปัญหากับเธอเหมือนกัน

“ขอบคุณค่ะพี่แตงกวา งั้นเราไปกันเลยไหมคะ วันนี้ครึ้มๆ ฝนอาจตกช่วยบ่าย” น้ำฟ้ายิ้มแป้น

ร่างบางลุกขึ้นแล้วเดินตามทุกคนลงมายังลานจอดรถ มีจี๊ปสีแดงกระจกใสแจ๋ว สภาพกลางเก่ากลางใหม่จอดอยู่ข้างแลนด์โรเวอร์ของบุรีคันหนึ่ง

“ไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็โทร. มา ฉันรับสายได้ตลอด” ไม่พูดเปล่า คนตัวใหญ่ยกมือลูบแก้มของเธอเบาๆ ทิ้งท้าย ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป

สุพรรณิการ์ตัวแข็งทื่อ ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของน้ำฟ้าก็ยิ่งเขิน ต้องกลบเกลื่อนด้วยการขึ้นไปนั่งรอบนรถ

“ไปไหนก่อนดีครับ วันนี้น่าจะวนดูได้แค่บางส่วน” ลอยด์ถามนายหญิงคนใหม่หลังจากสตาร์ตเครื่อง

“แล้วแต่พี่ลอยด์เถอะค่ะ กวาไม่รู้อะไรในไร่เลย”

ลอยด์เหลือบมองกระจกส่องหลัง ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง

“งั้นไปดูแปลงผลไม้ต่างๆ ดีไหมครับ”

“ได้ค่ะ แต่ก่อนไป กวาขอถามนิดหนึ่ง”

“ครับ”

“พี่ลอยด์กับน้องฟ้าเป็นพี่น้องกันเหรอคะ หรือว่าแฟน”

“แค็กๆๆๆ”

สาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างคนขับไอสำลักเป็นการใหญ่ ก่อนจะหัวเราะ

“โอ๊ย...เราไม่เกี่ยวข้องกันเลยค่ะ แต่รักกันแบบพี่น้อง เนอะพี่ลอยด์”

“ครับ อย่างที่ฟ้าว่า” ชายหนุ่มหน้าลูกครึ่งสำทับ

“โอเคค่ะ งั้นนอกจากพี่ลอยด์กับน้องฟ้าแล้ว กวาควรจะรู้จักใครไว้บ้างคะ”

“ถ้าระดับที่คุณแตงกวาจะได้เจอบ่อยหน่อยน่าจะมีพี่คินครับ เป็นผู้บริหารระดับสูงฝ่ายผลิตของโรงงานแปรรูปสินค้าต่างๆ ของไร่เรา พี่คินเป็นเพื่อนรักกับพี่จิ เรียนจบมาด้วยกัน พี่จิเลยดึงตัวมาช่วยตอนสร้างโรงงานหลังจากทำไร่มาได้สักพัก”

“ส่วนอีกคนก็น้าชงค์ คนนี้ลุยกันมาตั้งแต่เริ่มทำไร่เลยค่ะ เป็นมือขวาของน้าบก ดูแลพืชผลในไร่ทั้งหมดก่อนเข้าสู่กระบวนการแปรรูป น้าชงค์เป็นคนท้องที่อยู่แล้ว เลยช่วยงานได้มาก ฟ้ามาที่นี่ก็เจอน้าชงค์เป็นคนแรก ตอนนั้นฟ้ายังแบเบาะอยู่เลย”

“ส่วนผมอยู่มาเจ็ดปี ดูแลเรือนต้นกล้าทั้งหมด ไร่ของเราแจกต้นกล้าบางส่วนให้คนทั่วไปฟรีด้วยนะครับ เดี๋ยวจะพาไปดูว่าเราปลูกอะไรบ้าง” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ออกรถ

“ดีจังเลยค่ะ” สุพรรณิการ์เริ่มตื่นเต้น “แล้วน้องฟ้าทำส่วนไหนเหรอ”

“ตอนนี้ฟ้าเพิ่งจบ ม.ปลาย มีเวลาเรียนรู้งานในออฟฟิศอีกนิดหน่อย ก่อนจะไปเรียนต่อทางด้านบริหารธุรกิจที่อเมริกาค่ะ น้าบกส่งฟ้าไปเปิดหูเปิดตาเพื่อจะได้กลับมาช่วยกันบริหารไร่ของเรา”

สุพรรณิการ์คาดไม่ถึงว่าสามีจะใจดีขนาดนี้ อยู่ต่อไปเธอคงได้เรียนรู้อะไรอีกมาก

“พี่แตงกวาเจอคุณมาสหรือยังคะ”

“เจอแล้วจ้ะ”

น้ำฟ้ากับลอยด์สบตากันทันที

“เป็นยังไงบ้างคะ”

“เจอพายุทอร์นาโดฟาดใส่เมื่อคืน เช้านี้ก็โดนหางๆ นิดหน่อย”

“อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะคะ คุณมาสเป็นคนแรง ถ้าเราไม่ปะทะเดี๋ยวก็หงอยไปเอง แต่อาบัวเรียงชอบแหย่เขาค่ะ บอกว่าสนุกดี”

“พี่ถึงอยากออกมาดูรอบๆ ไร่ ไม่อยากอยู่ขวางหูขวางตาเขาที่บ้าน”

“คุณมาสไม่อยู่บ้านหรอกครับ สวนกับพวกเราระหว่างทางตอนมา เช้านี้เธอมีประชุมกับน้าบกและทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์”

สุพรรณิการ์เลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ “คุณมาสทำงานที่นี่ด้วยเหรอคะ”

“ครับ คุณมาสจบด้านออกแบบผลิตภัณฑ์จากเมืองนอก มีรางวัลการันตีด้วย เธอมาช่วยงานน้าบกได้เกือบครึ่งปีแล้ว เรากำลังจะรีแบรนด์กับปรับลุกแพ็กเกจจิงใหม่ทั้งหมด คุณมาสช่วยดูแลตรงนี้”

“น้าบกถึงทำอะไรมากไม่ได้ไงคะ เพราะเวลาทำงาน นางก็เป็นมือโปรมาก แถมยังวางตัวดี แต่พอเลิกงานเมื่อไหร่ นางก็สนุกกับชีวิตเต็มที่ เป็นพวก work hard, play harder และถ้าพี่จิอยู่ก็จะเกาะแจเชียว อันที่จริงพี่จิก็รำคาญนะคะ แต่เห็นแก่น้าบก เพราะนางเป็นน้องสาวของคุณระรินทิพย์ เอ่อ...”

เห็นน้ำฟ้าชะงักปาก สุพรรณิการ์เลยบอก

“พี่รู้เรื่องคุณรินจ้ะ ไม่ต้องห่วง”

“อ๋อค่ะ แบ็กกราวนด์ของคุณมาสก็ประมาณนี้แหละค่ะ”

นายหญิงคนใหม่พยักหน้ารับพร้อมมีคำถามในใจ แต่เห็นว่ายังไม่สมควรถาม เพราะเธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ เอาไว้รออีกนิดน่าจะดีกว่า

ความสนใจของสุพรรณิการ์วนกลับมาที่สิริมาส เพราะในชีวิตจริง นางร้ายอาจไม่ได้ไร้ความคิด ไร้ความสามารถ จ้องแต่จะจับผู้ชายรวยๆ ไปวันๆ อย่างหาแก่นสารไม่ได้เหมือนในนิยาย

และสิริมาสเองก็ไม่ใช่นางร้าย เพราะคนเราล้วนทั้งมีด้านดีและไม่ดีอยู่ในตัว เพียงแต่คนเปิดเผยและไม่เกรงกลัวสิ่งใด มักจะแสดงด้านลบออกมาให้คนอื่นเห็นมากกว่าคนเงียบๆ หรือปิดตัวก็เท่านั้น

เมื่อให้ข้อมูลของคนใกล้ชิดสามีเธอพอสมควรแล้ว ลอยด์และน้ำฟ้าก็พาเธอตระเวนไปรอบแปลงเพาะชำต้นกล้าพร้อมให้รายละเอียดว่าไร่นี้ปลูกพืชผักและผลไม้หลากหลายชนิดเพื่อแปรรูปอีกทีหนึ่ง โดยจะส่งผลผลิตสดขายเพียงประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ซึ่งคัดแต่เกรดพรีเมียมส่งเมืองนอกและในซูเปอร์มาร์เกตระดับบนของไทยเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งตลาดจากชาวบ้านทั่วไป

ในไร่นี้มีโรงงาน แต่มองไปทางไหนสุพรรณิการ์ก็ยังไม่เห็นแม้แต่หลังคา อาณาจักรไร่จิระบุรีช่างกว้างใหญ่ไพศาล แถมมีต้นไม้สูงมากมาย ด้านหลังยังมีภูเขาอันอุดมสมบูรณ์อีก

ห้าพันไร่นับเป็นตัวเลขที่เยอะจนน่าตกตะลึง แต่ลอยด์บอกว่าสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในละแวกนี้ และอย่างที่เชียงรายก็มีไร่ของน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว พื้นที่รวมแปดพันไร่ทีเดียว ส่วนฟาร์มโคนมชื่อดังในจังหวัดนครราชสีมาก็มีพื้นที่ถึงสองหมื่นไร่ จิระบุรีเทียบไม่ติดฝุ่น แต่ไร่ของเราเป็นระบบปิด ไม่ได้ให้คนทั่วไปเข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อเก็บค่าบริการ ยกเว้นแต่คนที่อยากมาเอาต้นกล้าเท่านั้น

ยังไม่ทันจะเที่ยงฝนก็เทลงมาอย่างหนัก แผนการไปดูแปลงองุ่นเพื่อเก็บผลสดๆ กินจึงต้องพักไว้ก่อน พืชผลส่วนใหญ่ในไร่ได้รับการดูแลอยู่ในเรือนซึ่งสามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ ดังนั้นหน้าฝนอย่างนี้จึงไม่มีปัญหา

หญิงสาวกลับมาตั้งหลักที่บ้านก่อน เนื่องจากลอยด์เห็นว่าฝนทำท่าจะตกอีกนาน ถ้าช่วงบ่ายฟ้าเปิด เขาและน้ำฟ้าจะกลับมารับเธออีกครั้ง

สาวร่างเพรียวกางร่มวิ่งขึ้นบันไดจนถึงชานหน้าบ้าน แล้วหันมาโบกมือให้สองหนุ่มสาวด้านล่าง รถจี๊ปจึงค่อยแล่น

จากไปท่ามกลางสายฝน

“รีบเข้ามาเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด” บัวเรียงกุลีกุจอพาเธอเข้าด้านในแล้วหาผ้าขนหนูมาซับหยดน้ำให้จนแห้ง จากนั้นก็ชงโกโก้อุ่นให้ดื่ม

สุพรรณิการ์นั่งห้อยขาบนเก้าอี้บาร์ที่แพนทรี มองคุณแม่บ้านทำงานเพลินๆ เห็นบอกว่าจะทำแกงเขียวหวานไก่กับไข่เจียวเป็นมื้อกลางวัน เธอเลยตั้งใจจะขอเป็นลูกมือสักหน่อย

“งั้นเด็ดใบโหระพานะคะ”

ถาดโหระพากำใหญ่ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้า เธอมองมันแล้วถามด้วยความอยากรู้

“ไร่เราปลูกเองหรือเปล่าคะ”

“ใช่ค่ะ วัตถุดิบอาหารต่างๆ บัวเรียงเอามาจากในไร่นี่เอง ส่วนอะไรที่ไม่มีก็รับมาจากพ่อค้าแม่ค้าที่รู้จักกัน ว่าแต่คุณแตงกวากินเลือดหมูได้ไหมคะ แพ้อาหารอะไรหรือเปล่า”

“กวากินได้ทุกอย่างเลยค่ะ สบายมาก”

“ดีค่ะ บัวเรียงจะได้เตรียมคิดเมนูไว้เยอะๆ ถ้าคุณแตงกวาอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็บอกได้เลยนะคะ”

หญิงสาวพยักหน้าแล้วเริ่มเด็ดใบโหระพา ส่วนบัวเรียงก็ง่วนกับการล้างเนื้อไก่และเลือดหมู

“พี่บัวเรียงคะ”

“ขา” คนตัวสูงขานรับโดยไม่ได้หันกลับมาจากซิงก์ล้างจาน

“สวนของคุณระรินทิพย์อยู่ตรงไหนเหรอคะ” ในที่สุดความอยากรู้ก็ทำให้ต้องตัดสินใจถาม หลังจากเมื่อเช้าทนเก็บปากเก็บคำอยู่นาน คุยกับคุณแม่บ้านสองต่อสองแบบนี้น่าจะดีกว่า

บัวเรียงชะงักมือแล้วหันขวับมาทันที “คุณแตงกวารู้เรื่องสวนได้ยังไงคะ”

“คุณนางเคยพูดถึงค่ะ ตอนอยู่เชียงใหม่คุณนางเคยเล่าเรื่องคุณระรินทิพย์ให้ฟังบ้าง แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรนัก”

บัวเรียงเช็ดมือแล้วเดินมาที่แพนทรี มองเธอด้วยแววตาอ่อนลง

“สวนของคุณรินอยู่เลยทางเข้าไร่ไปอีกค่ะ เป็นผืนใหญ่อยู่ติดถนน แต่มีรั้วกั้นสูง คนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็น คุณบกปรับแต่งภูมิทัศน์ไว้สวยเชียวค่ะ เธอชอบไปอยู่ที่นั่นเวลาต้องใช้ความคิดหนักๆ”

“กวาอยากเห็นจัง”

“บัวเรียงดีใจที่คุณแตงกวายิ้มนะคะ นั่นแปลว่าคุณแตงกวาไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องในอดีตของคุณบก”

“ทุกคนล้วนมีอดีตค่ะ มันผ่านไปแล้ว กวาเข้าใจ”

“งั้นถ้าฝนหยุด คุณแตงกวาบอกให้ฟ้าพาไปสิคะ ช่วงนี้ดอกไม้กำลังบานสะพรั่งทั้งสวนเลย” พูดแล้วก็ชี้นิ้วมายังเธอ “โดยเฉพาะดอกสุพรรณิการ์ ถึงจะโรยไปบ้างแต่ก็ยังมีเยอะอยู่ค่ะ บัวเรียงรู้ชื่อจริงของคุณแตงกวาจากคุณบกเมื่อเช้า และคิดว่ามันคือพรหมลิขิต เพราะสุพรรณิการ์เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดนครนายก คุณบกกับคุณรินช่วยกันปลูกไว้ และคุณแตงกวาก็ได้มาอยู่ที่นี่”

คนชื่อเดียวกับดอกไม้นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้น มันช่างบังเอิญเหลือเกิน หรืออาจจะเป็นเพราะโชคชะตากำหนดไว้แล้วจริงๆ

“คุยอะไรกันอยู่สาวๆ”

เสียงของบุรีดังขึ้นที่หน้าห้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้สองสาวถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะเสียงฝนดังกลบเสียงฝีเท้าของคนตัวใหญ่จนไม่ได้ยินเลย เขาเข้ามาในสภาพเปียกมะล่อกมะแล่กเล็กน้อย คงจะกางร่มบังตัวโตๆ ไม่มิด

“ไหนว่าไม่เข้ามาไงคะคุณบก” บัวเรียงทำหน้าตาเหลอหลา

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที เขาเดินมานั่งบนเก้าอี้บาร์ข้างคนที่นั่งอยู่ก่อน แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หิวข้าว”

“เท่านั้นเหรอคะ” คุณแม่บ้านยิ้มกรุ้มกริ่มเป็นเชิงหยอกล้อเจ้านาย จึงได้รับสายตาดุๆ กลับมาเป็นรางวัล

“อยากกินข้าวกับเมีย”

เท่านั้นเอง แก้มของสุพรรณิการ์ก็แดงปลั่งขึ้นมาทันตาเห็น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น