9

เปิดตัว


เปิดตัว

 

แกงเขียวหวานไก่ชามใหญ่ควันฉุยและไข่เจียวหมูสับหอมกรุ่นถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ บัวเรียงตักข้าวและเตรียมน้ำดื่มให้เจ้านายทั้งสองเรียบร้อยแล้วจึงค่อยหลบฉากออกจากห้องไปเงียบๆ

“ลอยด์โทร. บอกฉันว่ากลับมาส่งเธอที่บ้านเพราะฝนตก ฉันประชุมเสร็จไวก็เลยตามมา” บุรีบอกคนตัวเล็กซึ่งนั่งฝั่งตรงข้าม “สนุกไหม ไปทัวร์ที่ไหนมาบ้าง”

“สนุกค่ะ กวาไม่คิดว่าไร่ของน้าบกจะกว้างขวางขนาดนี้”

“ไร่ของเรา” เขาขัดขึ้นพร้อมมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยน

สุพรรณิการ์เม้มปากนิดหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้ม แล้วหยิบช้อนตักไข่เจียวเป็นการแก้เขิน

“ค่ะ ไร่ของเรา พี่ลอยด์กับฟ้าพากวาไปดูเรือนต้นกล้า แค่ที่เดียวก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง ข่าวของพี่บัวเรียงสะพัดไปไวมากเลยนะคะ คนงานที่นั่นเข้ามาทักทายกวากันใหญ่”

บุรีพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “คงต้องให้โบนัสบัวเรียง”

“น้าบกน่าจะไปด้วยกัน กวาอยู่คนเดียวแล้วมันเขิน”

“เอาไว้พรุ่งนี้สิ ฉันจะรีบเคลียร์งานให้”

ได้ยินอย่างนั้นสุพรรณิการ์ก็ดวงตาเป็นประกายทันที

“ขอบคุณค่ะ”

ชายหนุ่มตักแกงให้เธอ จากนั้นก็นั่งกินกันไปคุยกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน ดูไม่เหมือนคนมีงานเยอะเลยสักนิด

“เย็นนี้พี่ชงค์กับคินจะมากินข้าวกับเราที่นี่นะ จะได้รู้จักกันไว้”

“คุณมาสด้วยใช่ไหมคะ”

“ขานั้นไม่เชิญก็มาอยู่แล้ว แต่ไม่กร่อยหรอก ฉันกำชับไว้แล้วว่าให้ทำตัวดีๆ”

คนตัวเล็กฟังแล้วค่อยสบายใจขึ้น จากนั้นก็ชวนคุยเรื่องอื่น

“น้าบกคะ ตลอดเก้าเดือนที่กวาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยกวาคงเบื่อ”

“อยากทำอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้ค่ะ ในไร่นี้มีงานให้ทำตั้งเยอะ”

บุรีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออก “งั้นมาเป็นเลขาฯ ให้ฉันแล้วกัน ฉันไม่เคยมีเลขาฯ มาก่อน”

หญิงสาวผิดหวังเล็กน้อย เพราะอยากลองไปลุยทำไร่ดูสักครั้งในชีวิต เห็นตัวเล็กๆ อย่างนี้ เธอเคยออกค่ายกับเพื่อนรักมาแล้วตอนสมัยเรียนอยู่ปีหนึ่งนะจะบอกให้

“อย่าแม้แต่จะคิด” เขาพูดดักทางราวกับอ่านใจเธอออก ซึ่งทำให้สุพรรณิการ์ถึงกับขนลุก

“อะไรคะ”

“ฉันไม่ยอมให้เธอไปตากแดดตากลมทำงานกลางไร่หรอกนะ ถ้าลองเล่นๆ สักชั่วโมงสองชั่วโมงน่ะพอไหว แต่ให้ทำเต็มตัวฉันไม่อนุญาต”

“โธ่...”

“อย่าดื้อ เป็นนายหญิงของที่นี่ต้องวางตัวให้เหมาะ ไว้วันไหนอากาศดีๆ จะให้ลองทำ”

“ก็ได้ค่ะ” สุพรรณิการ์ไม่กล้าขัดใจ เพราะเขาเองก็ยอมลงให้เธอเหมือนกัน แม้จะไม่ตรงตามที่หวังไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ

บุรีกินอิ่มแล้ว เขานั่งกอดอกมองภรรยาซึ่งทำหน้าบูดนิดๆ ด้วยแววตาเอ็นดู

“รู้หรือเปล่าว่าเลขาฯ ต้องทำอะไรบ้าง”

“เป็นผู้ช่วยเจ้านายค่ะ”

“ใช่ งั้นฉันจะมอบหมายงานแรกให้เธอทำ”

คนตัวเล็กรวบช้อนทันที ด้วยไม่นึกว่าเขาจะใช้งานเธอตอนนี้เลย

“ให้กวาทำอะไรคะ”

“ชงกาแฟให้ฉันแก้วหนึ่ง ไม่ต้องถามอะไร แค่ไปชงแบบที่เธออยากชงก็พอ”

ชายหนุ่มมองเลขาฯ มือใหม่เดินไปที่เครื่องชงกาแฟ ก่อนจะเปิดหาอะไรในตู้เหนือศีรษะและตู้เย็น จากนั้นก็ง่วนอยู่ที่เครื่อง ไม่นานนักกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นก็โชยอบอวลไปทั่วห้อง

“ได้แล้วค่ะ”

บุรีมองผลงานชิ้นแรกของภรรยาพร้อมยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ

“เอสเพรสโซ มัคคิอาโต สูตรของกวาเอง”

แก้วนี้แหละ ที่เขารอคอย

 

ช่วงบ่ายสุพรรณิการ์ต้องแกร่วอยู่ที่บ้านเพราะฝนตกไม่หยุด ส่วนบุรีกลับไปทำงานแล้ว เขาบอกว่าให้เธอพักผ่อนก่อนสักสองสามวันแล้วค่อยเริ่มงาน ซึ่งอันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องมีเลขาฯ เลย เพราะภุชงค์ก็กึ่งๆ ทำหน้าที่นี้อยู่ แต่ถ้าเธออยากทำอะไรสักอย่าง มันก็ต้องเป็นตำแหน่งนี้เท่านั้น

หญิงสาวลองเปิดทีวีวนดูช่องต่างๆ ในห้องนั่งเล่นไปเรื่อยๆ แต่ไม่เจอรายการใดน่าสนใจ จึงปิดแล้วเข้าสู่โลกโซเชียลจากมือถือแทน เริ่มจากอินสตาแกรม เธอเลื่อนดูภาพไปเรื่อยๆ แล้วหยุดค้างที่ภาพณาราขยำหัวตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลด้วยท่าทางหงุดหงิดซึ่งโพสต์ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน พร้อมแคปชันด้านล่างว่า

ไม่ใช่เด็กแล้วนะ!

ถ้าให้เดา หลานสาวของบุรีต้องทะเลาะกับจุลจักรอีกแน่ๆ สองคนนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอด ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน ทำงานด้วยกัน ตัวติดกันแทบจะเป็นปาท่องโก๋

มีแฟนคลับกดหัวใจให้หลายพันคน พร้อมข้อความส่งกำลังใจ บ้างก็ชมว่าน่ารัก บ้างก็แซวว่าเกิดอะไรขึ้น มีซัมติงกับใครหรือเปล่า แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบคอมเมนต์ของใครเลย

สุพรรณิการ์กดหัวใจใต้ภาพและพิมพ์ข้อความส่งไปว่า

คิดถึงนะคะ

ยังไม่ทันจะได้เลื่อนดูภาพอื่นๆ ต่อ ณาราก็โทร. เข้ามาทันที

“แตงกวา คิดถึงงงง”

หญิงสาวหัวเราะเสียงยานคางยาวๆ อย่างออดอ้อนนั้น “กวาก็คิดถึงคุณนางเหมือนกันค่ะ ทะเลาะกับพี่จักรเหรอคะ”

“ใช่ เมื่อคืนเกือบจะตีกันตาย”

“คราวนี้เรื่องอะไรคะ”

“พี่จักรไม่ให้นางถ่ายแบบสปอร์ตแวร์น่ะสิ หาว่ามันโป๊ ผู้ชายอะไรหัวโบราณชะมัด ชุดออกกำลังกายเดี๋ยวนี้มันต้องรัดแนบเนื้อหน่อยใช่ไหม โชว์เอวโชว์หน้าท้องบ้าง ขากางเกงแบบซีทรูบ้าง มันเป็นเทรนด์ ใครๆ ก็ใส่กัน คุณป้ากับคุณย่ายังไม่ว่าอะไรเลย แต่พี่จักรดันไม่ยอม นางละฉุน”

“แล้วคุณนางขอน้าบกหรือยังคะ”

ปลายสายเงียบไป ก่อนจะตอบกลับมาเสียงอ่อย “ยังเลย”

“งั้นส่งรูปตัวอย่างชุดพวกนั้นมาให้กวาได้ไหมคะ เดี๋ยวกวาจะลองถามแย็บๆ กับน้าบกก่อน ถ้าน้าบกให้ผ่าน พี่จักรก็คงไม่กล้าค้านอีก”

“ดีเหมือนกันจ้ะ หลานขอไม่เหมือนภรรยาขอเนอะ โอกาสสูงกว่าเยอะ งั้นรอแป๊บนะ เดี๋ยวนางส่งให้ทางไลน์”

สุพรรณิการ์หน้าร้อนวูบขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกแซว ทั้งที่ทุกคนในครอบครัวรู้ แต่ก็ชอบทำเหมือนเธอกับบุรีแต่งงานกันจริงๆ ทุกที

“ได้ค่ะ คืนนี้กวารายงานผลนะคะ เพราะต้องรอให้น้าบกกลับมาก่อน และเย็นนี้จะมีปาร์ตีกันที่บ้านด้วย”

“ไม่มีปัญหา นางนอนดึกอยู่แล้ว ว่าแต่ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง แตงกวาโอเคไหม”

“โอเคค่ะ ถ้าจะถามเรื่องคุณมาส กวาคิดว่าน่าจะรับมือไหว ยังไงก็มีพี่บัวเรียงเป็นกองหนุนอีกคน”

“แหม...ไปอยู่แค่คืนเดียวก็ได้ลูกคู่ซะแล้ว แต่ก็ดีจ้ะ นางแอบเป็นห่วงอยู่ ที่ไม่ได้บอกแตงกวาเรื่องคุณมาสก่อน เพราะน้าบกอยากบอกเอง และนางก็ไม่ค่อยรู้เรื่องทางโน้นด้วย ยังไงแตงกวาดูแลตัวเองดีๆ นะ”

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวคุยกับณาราต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะวางสาย จากนั้นก็ได้รับข้อความทางไลน์หลายข้อความ เป็นรูปชุดออกกำลังกายหลากสไตล์ หลากสีสัน ถ้าเอาตามความคิดของเธอเองก็เห็นว่ามันสวยดี สาวมั่นนิยมใส่กันทั้งเมือง มันหมดยุคปกปิดร่างกายมิดชิดเหมือนถูกห่อแล้ว ใส่อย่างนั้นแล้วจะออกกำลังกายสะดวกได้อย่างไร

แต่ผู้ชายจะมองเหมือนกันหรือเปล่า นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

เกือบสามโมงครึ่งฝนค่อยซาเม็ด บาร์บิคิวปาร์ตีจึงไม่เป็นหมัน ทีแรกสุพรรณิการ์ไม่เชื่อคำคาดการณ์ของบัวเรียง แต่พอถึงเวลาจริงๆ ฝนก็หยุดตก

“สี่โมงกว่าแล้ว ล้างมือเถอะค่ะ แล้วก็ไปอาบน้ำเลย ที่เหลือเดี๋ยวบัวเรียงจัดการต่อเอง”

คนกำลังตั้งใจเสียบเนื้อต่างๆ ใส่ไม้อย่างขะมักเขม้นจำต้องวางมือ แล้วขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ หญิงสาวเลือกใส่เสื้อยืดสีขาวเรียบๆ ทับด้วยกระโปรงจีบยาวคลุมเข่าสีชมพูบานเย็นมีลายขนนกเล็กๆ อยู่รอบตัวดูน่ารัก จากนั้นก็มายืนส่องกระจกมองความเรียบร้อยของผมเผ้าหน้าตา

เธอควรจะแต่งหน้าสักนิดเพื่อไม่ให้ดูซีดจนเกินไป เพราะปาร์ตีจัดในสวน หลังจากลงแป้งแล้วสุพรรณิการ์ก็ทาอายแชโดว์สีพีชบางๆ ที่เปลือกตา มันมีกลิตเตอร์วิบวับเล็กน้อย ซึ่งน่าจะล้อกับแสงไฟได้เป็นอย่างดี ส่วนคิ้วนั้นไม่ต้องเขียน เพราะมันเข้มและได้รูปอยู่แล้ว เธอดัดขนตาโดยไม่ปัดมาสคารา เติมแก้มนิดหน่อย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทาลิปกลอสสีโทนเดียวกันเป็นอันจบ

หญิงสาวเลือกปล่อยผมยาวสลวยให้ทิ้งตัวสยายเต็มแผ่นหลัง เพียงแต่หวีให้เรียบร้อย ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงรถแล่นตามกันมาหลายคัน สาวร่างบางเดินไปเกาะระเบียง เห็นว่าทุกคนมากันแล้ว แต่เหมือนจะมีใครเพิ่มเติมมาจากที่บุรีบอกไว้ด้วย แต่นั่นไม่เป็นปัญหา เพราะบัวเรียงเตรียมอาหารเผื่อไว้หลายอย่าง

หญิงสาวกลับมาสำรวจตัวเองที่หน้ากระจกเป็นรอบสุดท้าย รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ เพราะปาร์ตีนี้คือการเปิดตัวเธอกับคนใกล้ชิดของบุรีในไร่เป็นครั้งแรก หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น

ประตูห้องถูกผลักเข้ามาพร้อมกับเจ้าของร่างสูง ในจังหวะที่เธอเดินออกมาถึงโต๊ะทำงานของเขาพอดี

สุพรรณิการ์หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นบุรีมองเธอนิ่งโดยไม่พูดอะไรเลย สายตาอย่างนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันนะ

“เสร็จแล้วใช่ไหม” ในที่สุดเขาก็ถาม

“ค่ะ”

“คนที่ไร่นิวัฒนารู้ข่าวเลยขอมาแจมด้วย มีพัฒนะกับเพียงเพ็ญน้องสาว”

“ค่ะ น้าบกจะอาบน้ำก่อนไหมคะ”

“ไม่ดีกว่า ไว้ค่อยอาบก่อนนอนทีเดียว เราลงไปกันเถอะ” ชายหนุ่มเอื้อมมือมารอรับ พอเธอวางมือเล็กลงสัมผัส เขาก็กระชับไว้พร้อมดึงร่างของเธอเข้าไปแนบชิด ดวงตาคมกริบจ้องประสานกับเธอนิ่ง “เธอไม่ใช่เด็กแล้วจริงๆ แตงกวา ฉันจะทำยังไงกับเธอดีนะ”

“ทะ...ทำอะไรคะ” คนตัวเล็กหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เขาไม่ตอบ เพียงแต่ถอนหายใจหนัก

“คืนนี้เราต้องทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นสามีภรรยากัน ฉันทำอะไร เธอก็แค่ตามน้ำไปก็พอ” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างสูงก็จูงเธอออกจากห้องไปพร้อมกัน

สุพรรณิการ์ไม่อยากนึกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครั้งก่อนที่บอก เขาจูบเธอ หวังว่าคืนนี้เขาจะไม่ทำอะไรบ้าๆ ต่อหน้าคนมากมายหรอกนะ

 

ลานสนามหญ้าหน้าบ้านถูกเนรมิตให้เป็นมุมจัดปาร์ตีย่อมๆ พวงไฟระย้าบนต้นหูกวางซึ่งไม่ได้เปิดในคืนปกติส่องแสงเหลืองนวลเหนือโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ด้านขวาห่างออกมาเป็นเตาบาร์บิคิวซึ่งกำลังปิ้งอาหารบางส่วนส่งควันคลุ้ง โดยมีบัวเรียงยืนควบคุมอยู่อย่างระมัดระวัง ส่วนอีกด้านเป็นโต๊ะเครื่องดื่มนานาชนิด ทั้งน้ำผลไม้ น้ำอัดลม และไวน์หลายขวด น้ำฟ้ายืนอยู่ตรงนั้น กำลังรินน้ำใส่แก้ว โดยมีลอยด์ถือถาดรอใกล้ๆ

ที่โต๊ะมีคนนั่งอยู่ห้าคน ซึ่งสุพรรณิการ์รู้จักเพียงคนเดียวคือสิริมาส

เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อบุรีพาเธอเดินออกมาจากบ้าน สายตาทุกคู่จับจ้องจนรู้สึกเกร็ง แต่มืออุ่นๆ ที่กุมอยู่สามารถพาเธอมาจนถึงโต๊ะได้อย่างปลอดภัยโดยแข้งขาไม่ขวิดไปเสียก่อน

สามีในนามเปลี่ยนจากจูงมือมาโอบเอวเล็กๆ ของเธอเอาไว้แทน จากนั้นก็ประกาศกับทุกคน

“นี่สุพรรณิการ์ ภรรยาผม เรียกชื่อเล่นว่าแตงกวาก็ได้ เธอพูดไม่ค่อยเก่งนะ ทุกคนอย่าแซวเยอะ”

นั่นยิ่งทำให้พวกหนุ่มๆ กิ๊วก๊าวกันใหญ่ เสียงเฮทำให้คนตัวเล็กเขินรีบยกมือไหว้ทุกคนรอบวง

“สวัสดีค่ะ”

“ไอ้คิน เบาหน่อย แกทำเมียฉันเกร็งไปหมดแล้ว” คนตัวใหญ่เอ็ดหนุ่มหน้าตาคมสัน มีความเป็นตี๋หล่อเหมือนโอปป้าแดนกิมจิไม่มีผิด

“น้าบกมีเมี...เอ่อ...ภรรยาเด็ก พวกเราจะไม่เฮได้ไง จริงไหมน้าชงค์” นครินทร์หันไปพยักพเยิดกับชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งมีอายุมากที่สุดในกลุ่ม

“คุณแตงกวาน่าเอ็นดูนะครับ” ภุชงค์ก็เป็นไปด้วย

บุรีโคลงศีรษะแล้วก้มลงบอกเธอ

“นั่นพี่ชงค์ ภุชงค์ ส่วนไอ้คนกวนประสาทนั่นคิน นครินทร์ ผ่านๆ ไปเลยดีกว่า ส่วนมาส เธอเจอแล้ว ก็เหลือแค่พัฒนะกับเพียงเพ็ญ สองพี่น้องจากไร่นิวัฒนา เพื่อนบ้านของเรา”

สุพรรณิการ์ยิ้มทักทาย สังเกตเห็นว่าสองพี่น้องซึ่งดูมีออร่าจับเหมือนคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดนั้นมีหน้าตาคล้ายกันมาก

“เราเป็นฝาแฝดกันค่ะ” เพียงเพ็ญบอกโดยไม่ต้องรอให้สงสัยนาน

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องแตงกวา เรียกผมว่าพี่นะก็ได้ ผมกับเพ็ญเพิ่งรู้ข่าวเซอร์ไพรส์ของบกเลยขอมาร่วมแสดงความยินดีด้วย หิ้วแชมเปญมาฝากในโอกาสพิเศษแบบนี้” พัฒนะบอกแล้วยื่นขวดเครื่องดื่มขนาดใหญ่ให้เจ้าของบ้าน

“ของดี งั้นก็เปิดเลย”

บุรีไม่ได้เขย่าขวด ดังนั้นเมื่อเปิดจึงไม่มีฟองพุ่งออกมาให้เปรอะเปื้อน

ลอยด์นำถาดบรรจุแก้วแชมเปญวางบนโต๊ะให้เจ้านายรินใส่ ก่อนจะแจกจ่ายให้ทุกคนรวมทั้งบัวเรียงด้วย

“คืนนี้เป็นโอกาสพิเศษ ฉันอนุญาตให้ฟ้าดื่มได้ แต่แค่แก้วนี้แก้วเดียวนะ” เจ้าของบ้านบอกกับเด็กสาวอายุสิบแปด

“ขอบคุณค่ะน้าบก” น้ำฟ้าดีใจ และเมื่อนายเปิดทางแล้วบัวเรียงจึงไม่กล้าขัด

สุพรรณิการ์รับแก้วจากสามี ขณะเดียวกันก็เอียงหูให้เมื่อเขาก้มลงมาถาม

“เคยดื่มหรือเปล่า”

หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ

“งั้นจิบนิดเดียวก็พอ”

“ค่ะ”

“เอาละ ขอบคุณทุกคนที่มาแสดงความยินดีกับเราสองคนในวันนี้ เชียร์ส” บุรีชูแก้วขึ้นแล้วกระดกรวดเดียวจนหมด

สุพรรณิการ์ตาโต เพราะสิริมาสและผู้ชายทุกคนในที่นั้นก็ทำเช่นเดียวกับสามีของเธอ น่าจะคอแข็งกันทั้งแก๊ง เห็นทีราตรีนี้ยังอีกยาวไกล เพราะยังมีไวน์แดงหลายยี่ห้ออยู่บนโต๊ะด้านข้างอีกตั้งครึ่งโหล

หญิงสาวยกแก้วตัวเองขึ้นจิบพอเป็นพิธี รสชาติของมันไม่คุ้นปากจึงรู้สึกเฝื่อนแถมยังมีกลิ่นขึ้นจมูก แต่คนอื่นๆ กลับชื่นชมในความหวานละมุนนุ่มลิ้นราวกับว่ามันเป็นเครื่องดื่มจากสวรรค์ ซึ่งเมื่อคนข้างตัวกระซิบบอกราคา เธอก็นึก

อยากจะกระดกรวดเดียวให้หมดแก้วทันที แต่เขาไม่ยอม ฉกของเธอไปจัดการส่วนที่เหลือต่อให้อย่างเต็มใจ

จากนั้นบุรีก็พาเธอไปนั่งที่หัวโต๊ะคู่กัน ด้านซ้ายคือลูกน้องสี่คน ขวาคือครอบครัวนิวัฒนาซึ่งมีสิริมาสนั่งประกบพัฒนะตลอด ส่วนบัวเรียงไม่ได้ร่วมโต๊ะด้วย เพียงแต่คอยดูแลความเรียบร้อยอยู่รอบๆ

เมื่อมีอาหารมาเสิร์ฟพร้อมดื่มไวน์กันสักพัก บรรยากาศดินเนอร์มื้อนี้ก็ยิ่งครึกครื้น สุพรรณิการ์พลอยสนุกไปด้วย เพราะนครินทร์และพัฒนะคุยเก่ง คอยหยอดมุกต่างๆ มากมาย รอให้ภุชงค์ซึ่งเป็นคนพูดน้อยคอยตบ ซึ่งก็เรียกเสียงเฮได้ตลอด

หญิงสาวคุยกับเพียงเพ็ญเป็นส่วนใหญ่ แถมยังคุยถูกคอเสียด้วยสิ เจ้าหล่อนเชิญให้ไปเที่ยวไร่ของตัวเองบ้าง ซึ่งเธอก็รับปากว่าจะไป

“จิโทร. มา ฉันขอไปคุยก่อน” หลังหมดไวน์แดงสามขวด บุรีก็กระซิบบอกเธอที่ข้างหู จากนั้นก็เดินเข้าไปคุยโทรศัพท์กับจิระยุในบ้าน ซึ่งไม่นานนักสิริมาสก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำบ้าง

ไม่มีอะไรหรอก...สุพรรณิการ์บอกตัวเอง

“ดื่มไวน์หน่อยไหมครับ ตัวนี้รสชาติดีมาก เข้ากับบาร์บิคิวทีเดียว” พัฒนะยื่นแก้วเครื่องดื่มสีแดงช้ำจากขวดใหม่ที่เพิ่งเปิดให้เธอ

“ปกติพี่เองก็ไม่ค่อยดื่มไวน์นอกจากมีงานสังสรรค์ แต่ก็ชอบตัวนี้นะ นุ่ม ดื่มแล้วหลับสบาย น้องแตงกวาลองสิคะ” เพียงเพ็ญสนับสนุนพี่ชาย

คนตัวเล็กกล่าวขอบคุณและรับแก้วมาตามมารยาท ลองดมดูก็ได้กลิ่นชวนมึน แต่เมื่อจิบกลับไม่รู้สึกเลวร้าย รสชาติฝาดทว่านุ่มลิ้น เมื่อกินคู่กับบาร์บิคิวช่วยตัดรสทำให้อร่อยขึ้น

“ไงคะ”

“ดีค่ะพี่เพ็ญ”

สาวอายุมากกว่าอมยิ้ม “สงสัยคงต้องต้อนรับสมาชิกแก๊งไวน์เพิ่มแล้วละค่ะพี่นะ”

“ยินดีมากๆ จ้ะ”

สองพี่น้องหัวเราะและเรียกทุกคนชนแก้วกันอีกครั้ง กว่าบุรีจะเดินกลับมาพร้อมสิริมาส เธอก็ดื่มหมดไปแล้วสองแก้ว

หนุ่มร่างสูงหย่อนตัวลงนั่งแล้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีแก้วไวน์ซึ่งดื่มหมดแล้วอยู่ตรงหน้าเธอ

“ของใคร” เขาถาม

“ของกวาเองค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้เขาหวานหยดย้อย รู้สึกอารมณ์ดีและสนุกขึ้นมาแบบกรึ่มๆ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนชอบดื่มที่มีอาหารถูกปากและเพื่อนคุยถูกคอก็ตอนนี้เอง

“เมาหรือเปล่า” สีหน้าของเขาดูกังวล

“ไม่เมาค่ะ”

“น้องแตงกวาดื่มไปสองแก้วเองค่ะ รับรองว่าคืนนี้หลับสบาย”

“จะสบายหรือลำบาก เดี๋ยวก็รู้” ชายหนุ่มส่ายหน้ากับคำพูดของเพียงเพ็ญ ก่อนจะก้มลงมองไหล่ตัวเองเมื่อมีอะไรอุ่นๆ มาพิงซบ “ท่าจะไม่ไหวแล้ว งั้นผมขอพาแตงกวาขึ้นไปนอนก่อน อย่าเพิ่งรีบกลับกันนะ เพิ่งจะสามทุ่มกว่าเอง เดี๋ยวลงมา”

ลับร่างสูงของบุรีและภรรยา สมาชิกร่วมโต๊ะก็มองหน้ากันยิ้มๆ นครินทร์รินไวน์ขวดที่ห้าเผื่อแผ่ทุกคน ก่อนจะเอ่ยชักชวน

“หมดขวดนี้แล้วแยกย้ายกันเถอะครับ พี่บกไม่ลงมาแน่ พนันด้วยดงเปริญงขวดหนึ่งเลย เอาไว้ฉลองกันงวดหน้า”

“ใครจะพนันให้เสียเปรียบล่ะคะ คุณบกเองก็ดื่มเยอะ ขึ้นห้องไปแบบนี้ เป็นพี่ก็ไม่ลงแล้วนะ” เพียงเพ็ญยิ้มกรุ้มกริ่ม

ทุกคนยังชนแก้วกันต่ออย่างครึกครื้น มีเพียงคนเดียวที่ไม่รู้สึกสนุกเลยสักนิดตั้งแต่เริ่มงานมาแล้ว นั่นก็คือสิริมาส

 

“คุณคิดจะเล่นอะไร”

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้สิริมาสถึงกับสะดุ้ง เวลานี้ทุกคนกลับไปหมดแล้วแม้แต่บัวเรียง เหลือเพียงเธอนั่งอยู่ในสวนคนเดียว ไม่นึกว่านครินทร์จะย้อนกลับมาอีก

สีหน้าของเขาสงบนิ่งมาก แม้จะแดงแต่ก็ดูมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ทั้งที่เห็นกระดกไวน์เข้าปากแก้วต่อแก้วตลอดคืน

“หมายความว่ายังไง” หญิงสาวงง

“ตอนน้าบกรับโทรศัพท์ คุณตามเข้าไปในบ้านทำไม”

“อ้อ...ที่แท้ก็เรื่องนี้ ฉันไปเข้าห้องน้ำ มันมีปัญหาตรงไหน”

หนุ่มร่างสูงยกมือขึ้นกอดอก สีหน้าจริงจังขึ้น “ผมเห็นรอยลิปสติกที่คอน้าบก แน่ใจเหรอว่าคุณไปเข้าห้องน้ำจริงๆ”

สาวผมสั้นหัวเราะขันทันที “มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันมึนหัวจะล้ม พี่บกก็แค่เข้ามาช่วยประคองเท่านั้นเอง”

“คุณจงใจ”

“ก็แล้วแต่จะคิด ใจคุณมันมีอคติกับฉันอยู่แล้ว ไม่เคยมองกันดีๆ หรอก”

นครินทร์กระแทกตัวนั่งลงข้างเธอแล้วดึงข้อมือเล็กมาบีบแน่น “อย่ายุ่งกับน้าบก เกรงใจเมียเขาบ้าง ผมโคตรดีใจเลยที่ไอ้จิมันหนีไปซะได้”

“ปล่อยนะ ฉันจะทำอะไรก็ช่าง คุณมาเกี่ยวอะไรด้วย” พูดแล้วก็ชะงัก ก่อนจะเลิกคิ้วเรียวขึ้นสูง “หรือว่าคุณหึงฉัน ชอบฉันเหรอ”

“อย่ามโน ผมไม่ได้พิศวาสคุณเลยสักนิด แต่น้าบกเป็นคนที่ผมเคารพรักเหมือนญาติแท้ๆ เพราะฉะนั้นถ้าใครจะทำร้ายน้าบกหรือน้องแตงกวา ผมจะไม่นิ่งดูดายแน่ ถ้าคุณยังไม่เลิกทำตัวยั่วยวนคนโน้นทีคนนี้ที ผมจะเรียกไอ้จิกลับมาจัดการ อย่าคิดว่าเป็นน้องเมียเก่าของน้าบกแล้วจะได้อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นนะ ถ้าคนที่นี่เอาจริง คุณกระเด็นออกไปแน่ แล้วอย่าคิดว่าไอ้จิจะหาคนมาทำงานแทนคุณไม่ได้”

“พูดจบหรือยัง ถ้าจบแล้วก็ปล่อยฉันซะที ไอ้ตี๋ขี้เบ่ง” สิริมาสสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดแล้วลุกหนีไปยืนฝั่งตรงข้ามโต๊ะ “กลับไปซะ ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ไปสิ”

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังโหวกเหวกแว่วมาจากชั้นสองซึ่งเป็นฝั่งห้องนอนของบุรี

นครินทร์หน้าตึงขึ้นกว่าเดิม ชี้ไปยังสิริมาสอย่างเอาเรื่อง “ถ้าเกิดอะไรขึ้นละก็ ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่ ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย”

“เชอะ!” คนตัวเล็กกว่ายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

หนุ่มหน้าตี๋ยืนฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงเอะอะแว่วมาอีก ก็เดินกลับไปด้วยความหงุดหงิด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น