6

แต่งงาน



แต่งงาน

 

สามสัปดาห์หลังจากหนุ่มๆ จารุบวรกิจกลับบ้านก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ตอนนี้สุพรรณิการ์ถอดเฝือกออกแล้ว และเปลี่ยนนามสกุลมาใช้จารุบวรกิจหลังจากจดทะเบียนสมรสกับบุรีอย่างเป็นทางการเมื่อสามวันก่อน โดยที่ทุกคนรับรู้ข้อตกลงระหว่างเธอกับเขา กระนั้นก็ดูจะพอใจกันมาก เหมือนกับว่ามันเป็นการแต่งงานจริงๆ

งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่บ้านเงียบๆ ตามความต้องการของเจ้าสาว ส่วนเจ้าบ่าวนั้นอาการป่วยดีขึ้นมาก กระดูกซี่โครงและแขนสมานกันอย่างรวดเร็วจนพีระพัฒน์ยังนึกทึ่ง

จิณณะไม่ได้กลับไปดูแลโรงแรมที่กรุงเทพฯ เนื่องจากมีภารกิจต้องค้นหาผู้หญิงคนหนึ่งตามที่ได้รับปากกับเพื่อนรักไว้ที่อเมริกา สุพรรณิการ์เองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่ลองคนในครอบครัวอนุญาต นั่นแปลว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว

วันนี้จิระยุกำลังจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ หลังจากปล่อยให้จามรทำงานหัวหมุนอยู่คนเดียวมาร่วมเดือนเศษ อันที่จริงบุรีและสุพรรณิการ์จะต้องไปนครนายก แต่หญิงสาวขอลงไปกรุงเทพฯ ก่อน โดยให้เหตุผลว่าอยากกลับไปเอาเสื้อผ้าข้าวของจำเป็นเพิ่ม เพราะเท่าที่มีคงไม่พอ และไม่อยากซื้อหาใหม่ให้วุ่นวาย

บุรีไม่ขัดข้อง ด้วยเห็นว่าเธอต้องไปอยู่กับเขาที่ไร่อีกนานร่วมเก้าเดือน ก่อนจะกลับมาเรียนหนังสือในปีการศึกษาหน้า ซึ่งเขาเองก็มีเอกสารที่จะต้องเข้าไปเซ็นที่โรงแรมด้วยเช่นกัน

 

รถตู้จอดเทียบที่หน้าล็อบบี The Nava Green Bangkok ในช่วงเวลาบ่ายแก่ พร้อมร่างสูงโดดเด่นของบุรีและจิระยุปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้พนักงานซุบซิบกันอื้ออึงว่าทั้งสองคนกลับมาแล้ว และข่าวก็แพร่สะพัดออกไปรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง

“น้าบกกับพี่จิไปทำงานเถอะค่ะ กวาขอเดินเล่นรอแถวนี้ดีกว่า น้าบกเสร็จงานแล้วค่อยโทร. บอกกวาก็ได้”

สุพรรณิการ์ยังรู้สึกเขินไม่หายที่ต้องเรียกหนุ่มๆ จารุบวรกิจอย่างสนิทสนมหลังจากแต่งงานแล้ว และด้วยเป็นสะใภ้คนแรกของครอบครัวแม้จะเป็นแบบกำมะลอก็เถอะ แต่ก็ได้รับความรักความเอ็นดูจากทุกคนมาก โดยเฉพาะทายาทคนรองของบ้านที่เคยดุเธอในวันแรก ตอนนี้กลับกลายเป็นพี่ชายที่แสนดีและโอ๋เธอมากกว่าใครๆ สร้อยจี้เพชรรูปดอกไม้เล็กๆ ที่เธอสวมติดคอมาวันนี้เขาก็ซื้อให้เป็นของขวัญในวันแต่งงาน ดังนั้นจึงต้องใส่มาเอาใจหน่อย

“หิวหรือเปล่า พี่ให้คนจัดของว่างมาให้กินเล่นระหว่างรอดีกว่า สักสองสามอย่างน่าจะพอ” จิระยุเสนอพลางหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมากด แต่หญิงสาวรีบห้าม

“กวาไม่หิวค่ะพี่จิ ทำงานตามสบายเถอะนะคะ กวาดูแลตัวเองได้ ถ้ากวาเบื่อ เดี๋ยวจะเข้าไปหาในออฟฟิศเอง” พูดแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นคนตัวสูงเลิกคิ้ว “เอ่อ...เดี๋ยวกวาค่อยถามทางจากพนักงานค่ะ รับรองว่าไม่หลง”

“งั้นเซ็นเอกสารเสร็จแล้วจะโทร. หา” บุรีบอกพลางเอื้อมมือมาปัดผมปอยหนึ่งซึ่งหลุดจากที่รวบไว้มาทัดใบหูให้เธอ

สัมผัสของเขาช่างอ่อนโยนผิดกับหน้าตาดุๆ ที่คนภายนอกเห็น หลังจากแต่งงานกันเขาก็ใจดีกับเธอไม่แพ้จิระยุเลย เพียงแต่ไม่สปอยล์หนักเท่าหลาน

แม้จะขัดเขิน แต่สุพรรณิการ์ก็เริ่มรู้แล้วว่าผู้ชายตัวใหญ่คนนี้น่ารักกับคนในครอบครัวเหมือนที่ณาราเคยบอกไว้จริงๆ

เธอเป็นเด็กในปกครองของเขาแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงเอาใจใส่ทุกเรื่องเท่าที่ผู้ชายลุยๆ คนหนึ่งจะทำไหว ซึ่งเธอเองก็สัญญากับเขาไว้ว่าจะทำตัวน่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน ดังนั้นจึงได้แต่ยืนแก้มร้อนผ่าวพร้อมหลุบตาลงเวลาที่เขาทำอะไรแบบนี้ให้

“ขอบคุณค่ะ”

“ถ้ามีอะไรก็โทร. หาฉันได้ตลอด”

“ค่ะ” สุพรรณิการ์รับคำแล้วมองตามร่างสูงที่เดินเคียงคู่กันเข้าสู่ด้านใน ก่อนจะค่อยพรูลมออกจากปากเป็นทางยาว

เอาละ...เรามีธุระต้องทำต่อ

หญิงสาวเดินไปยังคอฟฟีชอปทันที พยายามชะเง้อคอมองหาใครบางคนจนทั่ว พอเห็นเป้าหมายยืนจัดโต๊ะอยู่ก็ย่องเข้าไปหา

“ลัก”

“กวา!” นงลักษณ์ตาโตเหมือนเห็นผี แล้วต้องรีบลดเสียงเมื่อเพื่อนทำท่าจุปาก

“เบาๆ ลัก ยุ่งอยู่หรือเปล่า กวามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย แต่มีเวลาไม่มากนะ”

“คุยได้ พี่พิทลาครึ่งบ่ายพอดี แขกก็เริ่มซาแล้ว แกไปรอด้านหลังนะ เดี๋ยวฉันตามไป”

“โอเค”

สุพรรณิการ์เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกทางตามเพื่อนบอก

 

“ในที่สุดแกก็ต้องแต่งงานกับน้าบก”

น้ำเสียงตัดพ้อของนงลักษณ์ทำให้สุพรรณิการ์รู้สึกผิด ยิ่งเห็นเพื่อนทำท่าซึมก็ยิ่งไม่สบายใจ

“กวาอธิบายเหตุผลแล้วไง มันเป็นแค่การแต่งงานในนาม”

“ก็รู้ แต่มันปวดใจอะ หาวิธีอื่นช่วยลุงเชษฐ์คนนั้นไม่ได้เหรอกวา ฉันแอบรักน้าบกมาตั้งนาน แกมาปาดหน้าเค้กไปแบบนี้ มันเฮิร์ตนะเว้ย”

สุพรรณิการ์เข้าไปสวมกอดเพื่อนอย่างออดอ้อน เธอรู้ว่านงลักษณ์แอบชอบบุรีเหมือนพนักงานสาวๆ คนอื่นนั่นละ ได้เฝ้ามองเขาข้างเดียวก็สุขใจ ทว่ากิตติไม่รู้ คราวก่อนตอนคุยกันสามคน นงลักษณ์แกล้งทำน้ำเสียงปกติ แต่พอวางสายปุ๊บก็รีบโทร. มาคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวทันที

“ไม่ต้องเฮิร์ตนะลัก เพราะหลังเรียนจบกวากับน้าบกจะหย่ากัน เขาคงไม่ขัดถ้ากวาจะตัดสินใจแบบนี้ ถือว่าได้ดูแลกวาแล้วตามคำสั่งเสียของคุณพ่อ เขาเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่สามีจริงๆ เพราะฉะนั้นเราจะแยกห้องกันอยู่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายเลย”

สีหน้าของอีกฝ่ายค่อยดีขึ้น

“แกสัญญานะว่าจะไม่มีอะไรกับเขา”

“สัญญาจ้ะ มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ กวาแต่งงานกับเขาเพราะต้องการได้สิทธิ์ในฐานะภรรยา กวาอยากช่วยลุงเชษฐ์ ทีแรกก็ว่าจะปฏิเสธ แต่พอน้าบกเสนอให้พบกันครึ่งทาง ทุกอย่างก็เลยลงตัว”

นงลักษณ์พยักหน้ารับ “ฉันเชื่อใจแก”

“โอเคขึ้นแล้วใช่ไหม การที่กวาแต่งงานกับน้าบกมันจะทำให้ลักได้เปรียบคนอื่นนะ ลองคิดดูดีๆ สิ” หญิงสาวทำหน้าตาขึงขัง

“ได้เปรียบอะไร”

“ก็ระหว่างนี้น้าบกจะไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงอื่นแน่ และลักเป็นเพื่อนสนิทของกวา เพราะฉะนั้นเดี๋ยวกวาชงเข้มให้เอง ลักจะมีโอกาสได้คุยกับน้าบกซะที ไม่ต้องแอบมองเขาอยู่ไกลๆ อีกแล้ว”

“จริงเหรอ” คนฟังดวงตาเป็นประกาย

“ถ้ามีโอกาส ลักไปหากวาที่นครนายกนะ กวาจะเป็นคิวปิดให้เอง”

“ฉันไปแน่ ขอบใจนะกวา ขอบใจจริงๆ”

สุพรรณิการ์มองท่าทางตื่นเต้นของเพื่อนอย่างมีความสุข

‘เราตัดสินใจถูกแล้วละแตงกวา’

 

หลังจากเคลียร์ปัญหาหัวใจกับเพื่อนรักเสร็จเรียบร้อย สุพรรณิการ์ฝากจดหมายลาออกไว้ให้พิทยา ด้วยสองอย่างนี้คือเป้าหมายหลักของการลงมากรุงเทพฯ ต่อจากนี้เธอต้องไปพักที่นครนายกชั่วคราว คงไม่จำเป็นต้องแสดงตัวบอกคนที่นี่ว่าเธอแต่งงานกับบุรีแล้ว ให้รับรู้เพียงว่าเธอเป็นพนักงานพิเศษโควตานักศึกษาเหมือนเดิมน่าจะดีกว่า

หญิงสาวหาที่เหมาะๆ นั่งรอ บริเวณนี้ผู้คนบางตาเนื่องจากอยู่ด้านหลังของโรงแรม และแดดยังร้อน ถ้าเป็นตอนเย็น

คนจะมากกว่านี้

เธอนั่งแกร่วอยู่ใต้ร่มไม้ ฟังเสียงน้ำตกจำลองเพลินๆ ได้ไม่นาน บุรีก็โทร. มาตาม

“เดินเล่นอยู่ที่ไหนแล้ว”

“สวนที่มีน้ำตกค่ะ”

“จะเข้ามาออฟฟิศไหม”

“กวารอตรงนี้ดีกว่าค่ะ น้าบกทำงานเสร็จแล้วเหรอคะ”

“ใช่ งั้นเดี๋ยวไปหา มีคนอยากเจอเธอ”

ไม่ถึงห้านาทีเจ้าของร่างสูงก็เดินมาพร้อมหลานชายทั้งสองคน เป็นครั้งแรกที่สุพรรณิการ์ได้พบจามร ทายาทคนโตของครอบครัว ซึ่งมีหน้าตาหล่อเหลาเหมือนแบดบอยอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าคมเข้มเวลาคุยกับน้องชายระหว่างเดินดูยียวนไม่น้อย

“หล่อทั้งตระกูล” หญิงสาวพึมพำ ก่อนจะส่งยิ้มให้ทุกคนแล้วลุกขึ้น

“เฮ้ย...เมียน้าบกโคตรน่ารัก”

นั่นคือคำแรกที่หลุดออกจากปากจามร ทำเอาคนตัวเล็กยิ้มค้าง ก่อนที่แก้มจะแดงระเรื่อขึ้นมานิดๆ เพราะคำพูดแบบขวานผ่าซากนั้น

“บอกแล้ว” จิระยุสำทับ

“ดีใจที่ได้เจอกันซะทีนะครับน้องแตงกวา ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่ง พอดีที่โรงแรมยุ่งมาก”

สุพรรณิการ์ยกมือไหว้เขาแล้วตอบอย่างสุภาพ

“ไม่เป็นไรค่ะ งานไม่ได้มีพิธีการอะไรเลย แค่กินข้าวกันธรรมดา เอ่อ...” หญิงสาวชะงักคำพูดเมื่อคนตัวสูงจ้องหน้าเธอด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะหลุบลงมองจุดที่ไม่สมควรมอง

เดี๋ยว...เขามองหน้าอกเราเหรอ!

“พี่จา อย่าถ่อย”

เสียงเตือนของจิระยุทำให้คนเป็นพี่ต้องหันไปยิ้มเก้อๆ ให้บุรี

“โทษทีน้าบก ไม่ได้ตั้งใจ” ว่าแล้วก็หันมาหาคนตัวเล็ก “พี่ขอโทษค่ะ มันเป็นนิสัยชั่วๆ ของพี่เอง น้องแตงกวาอย่าถือสาเลยนะ”

ผู้ชายลามก! สุพรรณิการ์นึกเคือง แต่ก็ไม่อยากให้วุ่นวาย

เอาเถอะ...ต่อจากนี้ไปเธอจะอยู่ห่างๆ เขาไว้

“ค่ะ” เธอตอบเพียงสั้นๆ แล้วหันไปหาสามีในนาม เห็นเขาทำหน้าตึงก็ใจแป้ว “เราไปบ้านกวากันเลยไหมคะ”

“ไปสิ”

ผิดคาด แต่หญิงสาวก็ค่อยโล่งอก เพราะไม่อยากให้น้าหลานมีเรื่องกันเพราะเธอเลยจริงๆ

 

“เกือบไปแล้วนะพี่จา”

จิระยุเอ็ดพี่ชายหลังจากบุรีพาภรรยาเดินห่างออกไปแล้ว

“ไม่ได้ตั้งใจว่ะ ตามันเสือกมองไปเองเพราะไอ้สร้อยเวรนั่นเส้นเดียว” จามรหัวเสียไม่น้อย

สองหนุ่มถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

“ช่างเถอะ น้าบกคงไม่โกรธ แต่ถ้ามีอีกอาจถูกต่อย”

“รู้น่า ไม่กล้าแล้วโว้ย และคงอีกนานกว่าจะได้เจอกัน”

“ตกลงยังหาสร้อยไม่เจอ”

“ยังแกกลับมาบริหารโรงแรมก็ดีแล้ว พี่จะได้ลงใต้ยาว ปล่อยให้ไอ้ฟานอยู่ทางโน้นคนเดียว เกรงใจมัน”

“นายสเตฟานอะไรนี่จะตั้งรกรากอยู่เมืองไทยถาวรเลยหรือไง ไม่กลับบ้านกลับช่องตัวเอง”

“มันมีปัญหากับทางบ้านเลยขี้เกียจกลับไปเจอเรื่องวุ่นวาย อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ฟานมันเก่ง ช่วยพี่ได้เยอะ”

“เกย์หรือเปล่าวะ ดูดีๆ นะพี่จา ระวังถูกอัดถั่วดำ”

“เออ...กลัวอยู่ คนสมัยนี้ดูยากฉิบ” จามรทำหน้าตาไม่แน่ใจ “เลิกพูดเรื่องคนอื่นเถอะ ไหนๆ ยังพอมีเวลา แกช่วยเล่าเรื่องที่อเมริกาให้พี่ฟังหน่อย เอาอย่างละเอียดเลยนะ แล้วภารกิจที่ไอ้จิณต้องไปตามหาน้องสาวเพื่อนก็ด้วย เรื่องราวมันไปยังไงมายังไงวะ”

“งั้นเราขึ้นไปคุยที่ห้องข้างบนดีกว่า งานนี้ต้องคุยกันยาวครับหัวหน้าใหญ่”

 

กระเป๋าเดินทางใบโตถูกนำไปเก็บไว้หลังรถแลนด์โรเวอร์สีดำซึ่งเป็นพาหนะส่วนตัวของบุรี เขาขับมันมาจอดทิ้งไว้ที่โรงแรมตั้งแต่คราวจะเดินทางไปอเมริกาพร้อมกับจิระยุครั้งโน้น ถ้าไม่มากรุงเทพฯ ในวันนี้ ชายหนุ่มจะขอให้หลานหาคนขับไปส่งให้ที่นครนายก แต่ทุกอย่างลงล็อกเมื่อสุพรรณิการ์ขอกลับบ้านมาเก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติม

หญิงสาวซึ่งมีส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบแปดเซนติเมตรโหนตัวขึ้นไปนั่งบนรถคันโตด้วยความคล่องแคล่ว เธอสวมกางเกงยีนทรงกระบอกโดยไม่ต้องพับขาแล้ว ช่างรู้สึกสบายเหลือเกิน เพราะตอนอยู่เชียงใหม่เธอจำเป็นต้องยืมเสื้อผ้าของณาราใส่ตลอด ซึ่งกางเกงและกระโปรงแต่ละตัวล้วนยาวลากพื้นตามขนาดช่วงขาของผู้เป็นเจ้าของ

สุพรรณิการ์รัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย จึงค่อยหันไปถามผู้ปกครองขณะเขาสตาร์ตรถ “จากที่นี่ไปถึงไร่ ไกลไหมคะ”

“ใช้เวลาเดินทางร่วมสี่ชั่วโมง คงถึงประมาณทุ่มกว่าๆ ถ้าหิวเดี๋ยวเราค่อยแวะหาอะไรกินระหว่างทางนะ”

“ค่ะ” รับคำแล้วคนตัวเล็กก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ กับการผจญภัยครั้งใหม่ จากที่เคยใช้ชีวิตเรียบง่ายวนเวียนไปทุกวัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมดตั้งแต่พ่อตาย

“ก่อนไป ฉันมีอะไรจะให้เธอ”

เจ้าของเสียงทุ้มบอก พร้อมส่งถุงกำมะหยี่สีกรมท่าให้ สุพรรณิการ์ไม่ทันสังเกตเลยว่าเขาเอามันมาจากที่ไหน

“อะไรคะ”

“เปิดดูสิ”

นิ้วเรียวรูดปากถุงออก พบว่าด้านในมีกล่องกำมะหยี่สีเดียวกันอยู่หนึ่งใบ เมื่อเปิดกล่องก็พบแหวนสองวงอยู่ในนั้น วงขนาดใหญ่กว่าเป็นทองคำขาวเกลี้ยงๆ ส่วนวงเล็กมีเพชรน้ำดีประดับหัวแหวนเรียงกันสามเม็ด ขนาดกำลังน่ารัก ไม่ใหญ่อลังการจนเกินไป

“แหวนแต่งงานของเรา”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที

“แต่ว่า...”

“เราจำเป็นต้องใส่” เขาบอกพร้อมหยิบกล่องไปถือไว้เอง “ฉันต้องการให้คนที่ไร่คิดว่าเราแต่งงานกันจริงๆ จะได้ตัดปัญหายุ่งยากที่จะตามมาทีหลัง”

“ปัญหาอะไรคะ”

บุรีประสานสายตากับเธอพลางยักไหล่น้อยๆ

“เรื่องไร้สาระน่ะ แต่ฉันอยากป้องกันไว้ก่อน เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันเคยแต่งงานมาแล้วหนหนึ่ง แต่เมียของฉันไม่อยู่แล้ว เธอตายไปเมื่อสามปีก่อน”

“กวาทราบค่ะ คุณนางเคยบอก”

มีใครบ้างล่ะที่ไม่รู้ พนักงานสาวๆ ในโรงแรมรู้ข้อมูลนี้ดีทุกคน แต่เธอจะตอบแบบนั้นคงไม่เหมาะ

“ตอนนี้น้องสาวของเมียฉันมาอยู่ที่ไร่ ชื่อสิริมาส ออกจะวุ่นวายหน่อย ฉันเลยไม่อยากให้เขามากวนใจเธอ”

“คุณสิริมาสชอบน้าบกเหรอคะ”

ปากไวเท่าความคิด สุพรรณิการ์เองยังตกใจที่ถามออกไปอย่างนั้น

“เปล่า ที่ผ่านมาเขาแสดงออกชัดเจนนะว่าชอบจิ รู้กันทั้งไร่”

“งั้นทำไม...”

“แต่จิไม่อยู่ไร่นานแล้ว และคงไม่กลับจนกว่าจิณจะทำธุระเสร็จ เพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ แถมคนงานที่

ไร่มาจากร้อยพ่อพันแม่ พวกห่ามๆ ก็เยอะ ฉันไม่อยากให้ใครมาปีนเกลียวหรือพูดจาเรื่องเธออย่างสนุกปาก ถ้าเธอเป็นนายหญิงของไร่ ทุกคนจะเคารพเธอเหมือนที่เคารพฉัน” คนตัวใหญ่เลิกคิ้วหนาขึ้นนิดหนึ่งเมื่ออธิบายมาถึงตรงนี้ “ยิ้มอะไร”

“ไม่มีอะไรค่ะ” สุพรรณิการ์รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ทั้งที่นึกขอบคุณเขาเหลือเกินที่ทำเพื่อเธอขนาดนี้ สุดยอดคุณผู้ปกครองจริงๆ “จบแล้วเหรอคะ”

“จบ”

หญิงสาวนึกขันที่เขาตัดบทเอาดื้อๆ แต่เท่าที่ฟังมาเธอก็พอจะเข้าใจสถานการณ์

“น้าบกไปซื้อแหวนจากที่ไหนคะ ทำไมกวาไม่รู้”

“ร้านเพชรที่เชียงใหม่ พี่มนช่วยเลือกให้ เธอชอบหรือเปล่า”

“ชอบค่ะ ชอบมาก แต่มันดูหรูหราเกินไปสำหรับกวา อยู่ที่ไร่กวาใส่แหวนเรียบๆ น่าจะเหมาะกว่านะคะ กลัวทำหายด้วย”

“วงที่ฉันเล็งไว้ทีแรกเพชรเม็ดใหญ่กว่านี้อีก แต่พี่มนบอกว่าวงนี้น่ารักเหมาะกับเธอ ห้ามทำหายล่ะ อืม...แต่ถึงมันหายจริงๆ ฉันก็มีปัญญาซื้อให้ใหม่”

บุรีพูดหน้าตาเฉย ทำเอาคนฟังถึงกับอึ้ง

“น้าบกสายเปย์”

“เปย์ได้ แต่เธอจะต้องถูกทำโทษ”

ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับจนคนฟังรู้สึกปั่นป่วนช่องท้องขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ไม่หายแน่ๆ ค่ะ กวาจะรักษาอย่างดีเลย”

เท่านั้นเองคนตัวใหญ่ค่อยยิ้มพอใจ เขาสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายให้เธออย่างบรรจง ขนาดของมันหลวมนิดหน่อย แต่ก็ใส่ได้ จากนั้นก็หยิบอีกวงขึ้นมาทำท่าจะสวมให้ตัวเอง แต่แล้วกลับชะงักมือ

“อยากสวมให้ฉันไหม”

ทั้งที่ไม่จำเป็น แต่สุพรรณิการ์ก็พยักหน้าอย่างนึกสนุก ตอนนี้กำแพงที่เธอเคยสร้างกั้นเขาไว้ถูกทลายลงแล้ว และเมื่อลองรู้สึกดีต่อใคร เธอก็จะให้ใจเขาไปเต็มๆ ให้สมกับที่เขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนในครอบครัวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

พ่อเลือกฝากชีวิตของเธอไว้กับเขา ท่านคงไม่มีวันทำอย่างนั้นถ้าไม่มั่นใจในตัวผู้ชายคนนี้

“น้าบกคนดีของกวา ต่อไปช่วยเอ็นดูกวามากๆ นะคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ขณะสวมแหวนให้เขา โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร

 

คู่แต่งงานกำมะลอมาถึงไร่จิระบุรีช้ากว่ากำหนด เนื่องจากการจราจรติดขัดและแวะกินอาหารเย็นระหว่างทาง ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว รปภ. ที่หน้าประตูใหญ่ดูตกใจเมื่อเห็นบุรี ทั้งสองทักทายกันเพียงครู่เดียว ชายหนุ่มก็พาแลนด์โรเวอร์เข้าสู่ด้านใน

สุพรรณิการ์เพิ่งรู้ว่าไร่นี้ตั้งชื่อตามเจ้าของทั้งสองคน มันมีขนาดกว้างขวางมาก แม้จะมืดมองอะไรไม่ค่อยเห็น แต่วัดระยะจากทางเข้าจนถึงบ้านพักก็ลึกพอดูทีเดียว

“ถึงแล้ว ทางสงบ” บุรีบอก จากนั้นก็ลงไปขนกระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่ๆ วางไว้บนพื้นหญ้าที่ลานจอดรถ

“ไม่มีใครอยู่เหรอคะ” คนตัวเล็กถามเมื่อมองตามเนินสูงขึ้นไปประมาณสองเมตร เห็นว่าภายในบ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นซึ่งประกอบด้วยโครงเหล็กสีดำ ไม้ ปูน และกระจกใสมากมาย ปิดไฟมืดสนิท มีเพียงแสงโคมตามเสาภายนอกและสวนเท่านั้นที่สว่างอยู่

“ฉันไม่ได้บอกใครว่าจะกลับวันนี้”

“แล้วคุณสิริมาส...”

“น่าจะอยู่ที่ไร่นิวัฒนา เพื่อนบ้านกันนี่แหละ คงจะเบื่ออยู่คนเดียว มาสสนิทกับคนง่าย พัฒนะกับน้องสาวเป็นคนมีน้ำใจและมีมารยาท แต่คนของเราไม่ค่อยมี”

สุพรรณิการ์หัวเราะคิก ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของบุรีคือการพูดจาตรงๆ

“มาค่ะ กวาช่วย”

“ไม่เป็นไร ขึ้นไปรอข้างบนเถอะ” คนตัวใหญ่ดึงกระเป๋าไว้ ตอนนั้นเองที่เรือนหลังเล็กด้านล่างเปิดไฟสว่างขึ้น อึดใจหนึ่งก็มีหญิงสาวในชุดเสื้อคลุมมิดชิด ผมเผ้ายุ่งฟู หน้าตางัวเงียเปิดประตูออกมา

“คุณบกเหรอคะ”

“ฉันเอง” บุรีตะโกนกลับไป

“โธ่...คุณบก กลับไร่ทำไมถึงไม่โทร. บอกบัวเรียงคะ ดูสิ...ไม่ได้เตรียมอาหารไว้เลย เห็นว่าคุณมาสคงกลับดึกเหมือนทุกที ขานั้นอิ่มแปล้มาตลอด ทั้งของคาว ของหวาน และของมึนเมา”

เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังเข้ามาใกล้ สุพรรณิการ์มองเธอผู้นั้นด้วยความขำ ก็เล่นเดินมาทั้งที่ตายังปรืออยู่เลย ตกลงว่าตื่นแล้วหรือว่าละเมอเดินกันแน่

คาดเดาจากหน้าตาแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุรี

“ฉันกินเรียบร้อยมาแล้ว”

สาวร่างสูงซึ่งมีความอวบอิ่มนิดๆ ชะงัก เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างเจ้านายไม่ใช่คนคุ้นหน้าค่าตากันมาก่อน

“อ้าว...คุณบกมีแขก บัวเรียงนึกว่าเด็กในไร่ซะอีก ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะคุณ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“นี่บัวเรียง เป็นแม่บ้านที่เรือนใหญ่ ส่วนนี่คือคุณแตงกวา เมียฉันเอง”

“หา!” คราวนี้คนงัวเงียดวงตาเบิกโพลงราวเห็นผี หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง มองหน้าเจ้านายสลับกับสาวรูปร่างบอบบางที่กำลังยกมือไหว้ตนเหลอหลา “เมียคุณบกเหรอคะ!”

“ดังอีกนิดสิ จะได้ตื่นกันทั้งไร่”

“โธ่...คุณบก ก็คนมันตกใจนี่คะ” บัวเรียงส่งค้อนปะหลับปะเหลือก ก่อนจะหันไปโบกไม้โบกมือให้นายหญิงคนใหม่ “โถ...ไม่ต้องไหว้บัวเรียงหรอกค่ะคุณ ว่าแต่พวกคุณไปแต่งงานกันตอนไหนคะ ทำไมไม่มีใครรู้เลย เมื่อบ่ายเจอคุณชงค์ก็ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ”

“ฉันกับแตงกวาเพิ่งจะแต่งงานกันเมื่อสามวันก่อน ยังไม่ได้บอกใครที่นี่ บัวเรียงเป็นคนแรก” บุรีเป็นฝ่ายตอบให้

เท่านั้นเองคนฟังก็ยืดคอขึ้นทันที พร้อมกระตุกยิ้มมุมปากอย่างปลื้มปริ่ม

“งั้นเหรอคะ เดี๋ยวบัวเรียงจะประกาศให้คนในไร่รู้กันอย่างทั่วถึงเอง รับรองว่าพรุ่งนี้ได้เรื่อง”

“ฝากด้วยนะ เอาละ...ฉันจะเข้าบ้านแล้ว”

“มาค่ะๆ บัวเรียงช่วยเอง คุณตัวเล็กถอยไปค่ะ ถือของหนักๆ เดี๋ยวจะตัวหักซะก่อน”

สุพรรณิการ์รีบหลบฉากเมื่อสาวรูปร่างใหญ่กว่าเข้ามาคว้ากระเป๋าเดินทางของเธอแล้วก้าวขึ้นบันไดลิ่วๆ ไปราวกับยกนุ่น

เสียงหัวเราะเบาๆ เรียกให้บุรีหันมา

“ขำอะไร”

“กวารู้สึกถูกชะตากับพี่บัวเรียงค่ะ”

ได้ยินอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มตาม

“ดีแล้ว บัวเรียงเป็นคนซื่อๆ จิตใจดี รักใครรักจริง เกลียดใครก็เกลียดจริง อ้อ...บัวเรียงเป็นญาติกับพี่นวลคำนะ ตอนเริ่มทำไร่ ฉันขอให้มาอยู่ด้วยกันกับหลานอีกคนชื่อน้ำฟ้า เพิ่งจะอายุสิบแปด เดี๋ยวพรุ่งนี้คงได้พบกัน”

สุพรรณิการ์พยักหน้ารับ แล้วเดินตามเขาขึ้นบันไดซึ่งทำด้วยไม้ มีขนาดจากซ้ายไปขวาประมาณเมตรครึ่ง มันตีวงโค้งตามเนินดินสู่เรือนหลังใหญ่ แต่ก่อนจะถึงขั้นบนสุดอีกแค่สองขั้น เขาก็หยุดแล้วหันมาบอก

“ไม้ตรงนี้ผุ เดินเลี่ยงไปทางขวาหน่อย ว่าจะให้คนมาซ่อมก็ลืมทุกที ไว้เตือนฉันด้วย”

“ค่ะ”

สมาชิกใหม่ของบ้านเดินอย่างระมัดระวัง กระทั่งเข้ามาในตัวบ้านอันสวยงามและโปร่งตา แต่ก็ไม่มีเวลาพิจารณาห้องหับและข้าวของต่างๆ มากนัก เนื่องจากทุกคนเดินขึ้นชั้นบนไปกันหมด เธอเลยต้องรีบตามขึ้นไปด้วย

ชั้นสองมีโถงตรงกลางกว้างขวาง ด้านหน้าเป็นระเบียง ซ้ายขวาแยกเป็นทางเดินสองด้าน มีเสียงพูดคุยเบาๆ ดังแว่วมาจากฝั่งขวา ร่างเล็กจึงเลี้ยวไปทางนั้น เห็นประตูห้องซึ่งมีอยู่เพียงห้องเดียวเปิดอยู่ แล้วบัวเรียงก็ผลุบออกมาพอดี

“พบกันพรุ่งนี้นะคะคุณแตงกวา ฝันดีค่ะ”

สุพรรณิการ์รู้สึกเขินหน่อยๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั้น ใครๆ คงคิดว่าคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันจะต้องมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะก่อนนอน โดยเฉพาะเรื่องมุ้งมิ้งอย่างว่า

แต่มันไม่ใช่เธอกับบุรี!

และเขาก็รับปากไว้แล้วว่าจะแยกห้องกันอยู่

หญิงสาวก้าวเข้าสู่ด้านใน แล้วต้องตกตะลึงกับความมโหฬารของห้องที่ไม่ได้มีไว้เพื่อนอนเพียงอย่างเดียว มุมแรกที่เจอเป็นโต๊ะทำงานตัวใหญ่อยู่ด้านขวา ส่วนด้านซ้ายเป็นชั้นหนังสือซึ่งมีแมกาซีนและตำรับตำราการเกษตรเรียงเต็มไปหมด เดินผ่านเข้าไปก็เจอส่วนนั่งเล่น มีโซฟาเบดขนาดผู้ชายตัวโตนอนยังมีที่เหลือๆ ทั้งยังถุงนั่งบีนแบ็ก เก้าอี้นวดไฟฟ้า ทีวีขนาดห้าสิบนิ้วพร้อมกล่องรับสัญญาณช่องดิจิทัลครบครัน แถมยังมีตู้เย็นขนาดกะทัดรัดอีกต่างหาก สองส่วนนี้มีระเบียงเชื่อมต่อกันด้านนอก ทว่าตอนนี้มองไม่เห็นวิวอะไรเลยเพราะมันมืดไปหมด

“น้าบกคะ” เธอลองเรียก พลางมองลึกเข้าไปในส่วนที่เป็นยกพื้นหนึ่งสเตป มีฉากบังตาสีครีมแต้มด้วยลายภูเขาสลับซับซ้อนบางๆ กั้น แต่ก็พอจะมองเห็นว่ามีเตียงนอนอยู่ข้างหลัง ส่วนอีกด้านเป็นห้องที่เธอไม่รู้ว่าคืออะไร

บุรีเดินออกมาจากตรงนั้นพอดี สุพรรณิการ์จึงเห็นแวบๆ ว่านั่นคือ walk in closet ซึ่งมีห้องน้ำอยู่ภายใน

“อาจจะดูกว้างไปหน่อย แต่เวลานอนมีบังตากั้นเพิ่มความเป็นส่วนตัว อยู่ไปสักพักเธอน่าจะชิน ปกติพวกหลานๆ ชอบมาขลุกอยู่ในห้องนี้เวลารวมตัวกัน เล่นเกมบ้าง นอนเล่นบ้าง หลับไปเลยก็บ่อย โซฟานั่นดึงออกมาเป็นเตียงได้นะ” เขาบอกพลางชี้ให้ดู แต่ไม่ได้สาธิต

“น้าบกจะไปนอนที่ไหนคะ” หญิงสาวถามเพราะเห็นเขาถือชุดนอนและผ้าขนหนูไว้ในมือ

“ห้องจิ อยู่อีกฝั่ง บนชั้นนี้มีแค่สองห้อง ชั้นล่างมีสามห้อง สำหรับครอบครัวและแขก ตอนนี้สิริมาสยึดไปหนึ่ง”

คนตัวเล็กทำเสียงรับรู้ในคอ จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบ ได้แต่มองตากันนิ่งอยู่หลายวินาที ก่อนที่คนตัวใหญ่จะเอ่ย

“งั้น...ขอไปอาบน้ำก่อน เธอจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะขอกลับมาทำงานในห้องนี้สักพัก มีเรื่องต้องเคลียร์ก่อนไปประชุมพรุ่งนี้ แล้วแฟ้มหลายเล่มที่ต้องใช้ก็อยู่ที่นี่ ฉันขี้เกียจขนไปขนมา”

กรรณิการ์เหลือบมองโต๊ะทำงานตัวใหญ่อย่างชั่งใจ ห้องนี้เป็นของเขา เธอจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ แล้วเขาก็บอกว่าจะทำงาน ไม่ได้คิดจะทำอย่างอื่นเสียหน่อย

“ตามสบายค่ะ กวาเริ่มง่วงแล้ว เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จก็จะนอนเลย”

“งั้นก็กูดไนต์ เผื่อฉันกลับมาเธอจะหลับแล้ว” เขาบอกพร้อมเอื้อมมือมาโยกศีรษะเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู ซึ่งมักจะทำเสมอในระยะหลังเหมือนที่ทำกับณาราตอนอยู่เชียงใหม่

เป็นไปได้ไหมนะที่คนเราจะแสดงความรักต่อกันเหมือนคนในครอบครัวด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีเรื่องเชิงชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง ตอนนี้เธอรู้สึกกับบุรีอย่างนั้น หวังว่าเขาจะรู้สึกเหมือนเธอเช่นกัน

แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลกให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันจนได้...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น