๕
พบกันครึ่งทาง
Tangkwa : กวาเป็นกำลังใจให้น้าบกนะคะ
Tangkwa : (สติกเกอร์)
Tangkwa : ถ้าน้าบกสะดวกเมื่อไหร่ กวามีเรื่องจะคุยด้วย
สุพรรณิการ์เปิดดูข้อความที่ตัวเองส่งให้บุรีเป็นรอบที่ล้านแล้วเห็นจะได้ เขาอ่านมันแล้วตั้งแต่สามวันก่อน แต่ไม่ยอมตอบ สติกเกอร์สักอันก็ไม่ส่งกลับมา ลองเข้ามาดูกี่ครั้งหน้าจอก็ยังเป็นแบบเดิมตลอด อุตส่าห์เขียนหวานขนาดนั้นแล้วเชียว
ช่างเป็นการรอคอยที่แสนทรมาน อันที่จริงแล้วเธอไม่อยากเขียนข้อความแรกและสติกเกอร์คิตตี้ถือพู่ปอมๆ เชียร์นั้นหรอก แต่มันเป็นข้อแม้ของจิระยุที่บังคับให้เธอส่งกำลังใจถึงคนทางโน้น และจะต้องรอจนกว่าบุรีสะดวกติดต่อกลับมาเองห้ามรบกวนเด็ดขาด ซึ่งหลังจากนั้นณาราก็ไม่สามารถติดต่อใครได้เลยแม้แต่คนเดียว
“ทำอะไรอยู่นะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบแล้วปิดหน้าจอ นึกเบื่อที่ไม่รู้จะทำอะไรดี จึงนอนอ่านสมุดโน้ตของพ่อต่อจากที่อ่านค้างไว้เป็นการฆ่าเวลา แต่บ่อยครั้งความคิดมันก็ล่องลอยกลับไปหาใครคนนั้นบ่อยๆ จนกระทั่งอ่านมาถึงหน้าสุดท้าย ร่างเล็กก็ลุกผึงขึ้นนั่ง
ตายจริง...เธอลืมทำตามคำสั่งเสียของพ่ออีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการโทร. หาเพื่อนรุ่นพี่ของท่านที่ชื่อเชษฐ์
เธอเคยพบลุงเชษฐ์เมื่อตอนยังเด็ก ท่านกับภรรยาเคยมากินข้าวที่บ้านเธอในโอกาสต่างๆ เสมอ แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้ข่าวว่าภรรยาของท่านเสียชีวิต จากนั้นเธอไม่เคยพบลุงเชษฐ์อีกเลย พ่อบอกว่าท่านสุขภาพทรุดโทรมจึงต้องไปรักษาตัวที่เมืองนอก เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอเลือกนำจดหมายมาให้คุณมนก่อน เพราะเห็นว่าสะดวกกว่า
ถ้าลุงเชษฐ์รู้ว่าพ่อของเธอตายแล้วคงเสียใจมาก
หญิงสาวเกิดความลังเลว่าจะโทร. ดีหรือไม่ จังหวะนั้นเองก็มีเสียงข้อความไลน์เด้งมา สุพรรณิการ์เบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
ขอให้เป็นเขาเถอะ!
ทว่าความหวังก็พังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า เพราะคนที่ส่งไลน์มาคือกิตติ
Kitti_A : ขาเป็นไงมั่ง
Tangkwa : ก็ดี อีกสองอาทิตย์ตัดเฝือก
Kitti_A : อารมณ์เสีย?
Tangkwa : รู้ได้ไง
Kitti_A : เดาเอา เห็นเขียนห้วนๆ
Kitti_A : เป็นไร
Tangkwa : รอคนตอบไลน์
Kitti_A : อ้อ...เก็ตละ งั้นไม่กวน ไว้ค่อยคุยกัน
Tangkwa : จ้ะ
สุพรรณิการ์ถอนหายใจพรืดแล้วลุกขึ้นยืน...หมดเวลาจะมาจมอยู่กับการรอคอยแล้ว ออกไปเดินยืนเส้นยืดสายในสวนจะยังมีประโยชน์กว่า
‘เอาอะไรกับคนล้าหลังแบบนั้น เขาไม่ตอบไลน์เราหรอก’
หญิงสาวนึกประชด ทั้งที่ใจจริงก็เป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกัน ดูจากท่าทีของคนในบ้าน สถานการณ์ที่อเมริกาต้องร้ายแรงแน่ จะมีใครเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่คิดมากไปก็เท่านั้น จึงหยิบไม้เท้ามาพยุงกายแล้วเดินออกจากห้องโดยทิ้งโทรศัพท์ไว้บนเตียง ทว่าขณะกำลังจะงับประตูปิด เสียงไลน์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ต้องชะงักมือ
คราวนี้ใครอีกล่ะ ถ้าให้เดาคงเป็นนงลักษณ์ แต่ก็อดใจเต้นแรงไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความหวังเพียงน้อยนิด
ในที่สุดสุพรรณิการ์ก็ตัดสินใจเดินกลับมาหยิบมือถือ แล้วต้องตาโตด้วยความตื่นเต้น
“น้าบก!”
เขาตอบมาแล้วจริงๆ หญิงสาวรีบกดอ่านข้อความทันที
บุรี : กำลังกลับ ค่อยคุยกันที่บ้าน
หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างประหลาดเมื่ออ่านข้อความสั้นๆ นั้น เขาทำธุระเสร็จแล้วงั้นหรือ
“แตงกวา!”
ประตูถูกดันผลัวะพร้อมร่างของณาราที่พุ่งเข้ามาเกาะแขนเธอเขย่า
“น้าบก พี่จิ พี่จิณ กำลังจะกลับมาแล้ว รอขึ้นเครื่องอยู่ นางเพิ่งคุยกับพี่จิเมื่อกี้”
“กวารู้แล้วค่ะคุณนาง น้าบกส่งไลน์มาบอก”
สองสาวยิ้มให้กันด้วยความโล่งอกอย่างที่สุด
“รถของคุณๆ ใกล้ถึงรีสอร์ตแล้วนะคะ”
นวลคำปรี่เข้ามารายงานเจ้านายหลังวางสายจากขจร
“อีกนานแค่ไหนจ๊ะ นวลถามขจรไว้หรือเปล่า” คุณกานดามีท่าทีตื่นเต้น
“ไม่เกินสิบนาทีค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวมนพาคุณแม่ไปนั่งรอที่หน้าบ้านเลยดีไหมคะ ส่วนนางก็ไปตามหนูแตงกวาที”
“ได้ค่ะคุณป้า” ณารารับคำแล้วเดินมาที่ห้องพักแขก ทว่าเมื่อลองเคาะเรียกกลับไม่มีเสียงตอบจากสุพรรณิการ์ เลยลองเปิดเข้าไปดู เผื่อว่าคนขาเจ็บจะอยู่ในห้องน้ำ แต่ก็ไม่พบ
เสียงคุยแว่วๆ ดังมาจากระเบียงด้านนอก สาวร่างเพรียวจึงเดินเข้าไปใกล้ เห็นสุพรรณิการ์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ จึงตั้งใจจะกลับไปรอข้างในตามมารยาท แต่บทสนทนาที่ได้ยินกลับทำให้ต้องชะงักขา
“กวาทราบค่ะ กวาเห็นใจคุณป้ากับคุณลุงเชษฐ์ แต่ขอเวลาสักนิดนะคะ แล้วกวาจะรีบให้คำตอบ ดีใจที่ได้คุยกันนะคะ ยังไงกวาฝากเรียนคุณลุงเรื่องคุณพ่อด้วย”
สีหน้าของสุพรรณิการ์ดูเคร่งเครียดขณะคุย ณาราไม่อยู่ฟังจนจบ รีบเดินกลับมารอด้านใน ทำทีเหมือนเพิ่งจะเปิดประตูเข้ามา
“แตงกวา”
“คุณนาง” เจ้าของห้องแปลกใจ
“คุยโทรศัพท์อยู่เหรอ ถึงไม่ได้ยินนางเรียก”
“ค่ะ เพิ่งวางสายเดี๋ยวนี้เอง คุณนางมีอะไรกับกวาเหรอคะ”
“คุณแม่ให้มาตามน่ะ เราออกไปต้อนรับน้าบก พี่จิ พี่จิณ ด้วยกันเถอะ ทั้งสามคนกลับมาแล้ว”
ณาราเห็นชัดว่าท่าทีของสุพรรณิการ์แปลกไปจริงๆ เมื่อเช้ายังอารมณ์ดีอยู่เลย แต่เวลานี้กลับขมวดคิ้วมุ่นจนแทบจะเป็นโบ มันต้องมีอะไรแน่ๆ ยิ่งได้ยินชื่อใครบางคนเมื่อครู่ก็ยิ่งไม่สบายใจ
ชักไม่ได้การแล้วสิ!
รถตู้สีขาวแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้ามุขของบ้าน เมื่อประตูเปิดออก จิระยุก้าวลงมาเป็นคนแรก เขาสวมเชิ้ตสีขาวสะอาดทว่ายับย่นแบบเปิดอกตามสไตล์ ใบหน้าคมเข้มดูโทรมมาก ขอบตาล่างดำคล้ำเหมือนคนอดนอนมาเป็นแรมปี ร่างกายมีแผลฟกช้ำพอสมควร
“จิ” วรรษมนปรี่เข้าไปกอดลูกชายคนรอง ตามด้วยผู้เป็นยายอีกคน
หนุ่มคนต่อมาที่ลงจากรถคือจิณณะ ซึ่งมีหน้าตาและรูปร่างสูงโปร่งเหมือนจิระยุไม่มีผิดเพราะเป็นฝาแฝดกัน ต่างนิดเดียวตรงที่ดวงตาของเขาไม่ดุดัน ‘พร้อมบวก’ มนุษย์ทุกคนเท่าพี่ชาย กระนั้นก็เอาเรื่องอยู่ ร่างกายของเขามีรอยฟกช้ำดำ
เขียวมากกว่า แก้มที่เคยมีเนื้อหนังกลับซูบตอบ ไม่เหมือนตอนที่สุพรรณิการ์เคยเห็น
ไม่นึกเลยว่าจะมีผู้ชายหน้าตาหล่อร้ายเกรี้ยวกราดเหมือน ‘ต่อ ธนภพ’ มายืนอยู่คู่กันแบบนี้ให้เห็นเป็นบุญตา เพราะมันดูดีน้อยเสียที่ไหนล่ะ แม้สภาพร่างกายของพวกเขาจะไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม
“สวัสดีครับคุณแม่ คุณยาย”
“จิณ ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” ทุกคนเข้าไปกอดพร้อมลูบเนื้อตัวเขาเป็นการใหญ่
“ผมไม่เป็นอะไรครับ สบายมาก คนโดนหนักกว่าอยู่โน่น”
ทุกสายตาจับจ้องเข้าไปในรถตู้ทันที ผู้ที่ก้าวตามมาคือจุลจักรซึ่งไปรับพี่ๆ ที่สนามบิน เขาพยุงร่างคนตัวใหญ่ลงมายืนคู่กัน เท่านั้นเองทุกคนก็ถึงกับตาโต เพราะสภาพของบุรียับเยินเหมือนผ่านการต่อสู้มาอย่างหนัก โหนกแก้มและปากแตกยับ ยังมีเลือดแห้งกรัง ความบอบช้ำทั่วตัวไม่ต้องพูดถึง แขนข้างซ้ายถูกเข้าเฝือกอ่อน ตอนนี้เขายืนยืดตัวขึ้นไม่ได้ และมือข้างขวาก็บริเวณลำตัวไว้ตลอดเวลา
“ซี่โครงร้าวสองท่อน แขนก็ร้าว หมอให้รักษาตัวที่โน่นก่อน แต่น้องชายคุณแม่โวยวายจะกลับบ้านท่าเดียว ทำเอาวุ่นกันทั้งวอร์ด”
“ตาบก!” กานดาถึงกับน้ำตาคลอ
“ผมไหวครับคุณแม่” ชายหนุ่มบอกมารดาบุญธรรมและสวมกอดท่านไว้หลวมๆ
“ไปโรงพยาบาลเถอะบก หน้าบกซีดมาก แทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว ทนนั่งเครื่องมานานขนาดนี้ได้ยังไง” วรรษมนเริ่มร้อนใจ
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับแตงกวา”
สิ้นคำพูดของเขา ทุกคนก็หันมามองสาวร่างเล็กซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ เป็นตาเดียว
แย่แล้ว...
สุพรรณิการ์รู้สึกตัวเกร็งและหายใจไม่ทั่วท้อง โดยเฉพาะเมื่อถูกดวงตาคมปลาบคู่นั้นจ้องอย่างเอาจริงเอาจัง ชนิดที่ว่าไม่สนใจคนรอบข้างเลยว่ามีตัวตนอยู่หรือเปล่า
“ไปโรงพยาบาลก่อนเถอะค่ะ ทุกคนเป็นห่วงคุณ” หญิงสาวบอกเสียงแผ่ว เพราะเรื่องที่เธอจะคุยกับเขาช่างไร้สาระเหลือเกินเมื่อเทียบกัน ถ้าเขารู้ เธอต้องถูกเอ็ดแน่
“ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้คุยกับเธอ” คำยืนยันของเขาทำให้คนขาเจ็บหน้าเจื่อนลงกว่าเดิม
ณาราถอนหายใจเบาๆ ด้วยรู้ดีว่าน้าชายของเธอดื้อดึงเพียงใด
“เอาอย่างนี้ค่ะ เดี๋ยวนางจัดการเอง”
สุพรรณิการ์นั่งอยู่ที่เบาะหลังรถยนต์ส่วนตัวของณาราด้วยอาการตัวลีบ แม้ว่าภายในรถจะกว้างขวางและเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ คือบุรี เธอจึงรู้สึกประหม่าจนมือชื้นไปหมด
ณาราจัดแจงให้เธอและน้าชายขึ้นรถ ส่วนตัวเองทำหน้าที่พลขับ ทีแรกจุลจักรจะมาด้วย แต่ถูก ‘สกัดดาวรุ่ง’ ก่อน ที่ทำอย่างนี้เพราะเป็นห่วงบุรีและอยากมาเป็นกองหนุนให้เธอกระมัง เลยบังคับให้ไปโรงพยาบาลพร้อมกันเพื่อจะได้ไม่เสียเวลา
คนตัวใหญ่ดูจะไม่ชอบใจนักที่ถูกมัดมือชก เข้านั่งหน้าตึงจนกระทั่งรถเลี้ยวออกมาจากรีสอร์ตแล้วจึงหันมาถาม
“มีอะไรจะคุยกับฉัน”
สุพรรณิการ์เหลือบมองสารถีนิดหนึ่งเพื่อขอกำลังใจ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาสบตาเขาอ่อยๆ อย่างคนสำนึกผิด
“คือ...กวานึกว่าอีกนานกว่าคุณจะกลับ เลยอยากขออนุญาตออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกรีสอร์ตบ้างค่ะ”
เขานิ่งอึ้ง ก่อนหัวคิ้วเข้มจะยกขึ้นสูง “เรื่องแค่นี้?”
“ค่ะ แค่นี้” เธอตอบอุบอิบ
“แตงกวา!”
คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อเขาตวาดลั่น แล้วเอามือกุมบริเวณลำตัว
“กวาขอโทษค่ะ”
“ใจเย็นก่อนนะคะน้าบก แตงกวาก็แค่...” ณาราพยายามจะช่วย
“เงียบเถอะเรา นี่น้ายังไม่ได้คิดบัญชีด้วยนะ ไอ้จิอีกคน”
หลานสาวหุบปากทันที
“อย่าโกรธคุณนางกับคุณจิเลยค่ะ กวาผิดเอง”
“เธอมันผิดอยู่แล้ว ฉันนึกว่ามีธุระสำคัญอะไร ถึงขนาดส่งไลน์หาทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยมีไอ้แอปฯ นั่นมาก่อน”
“คุณอ่านข้อความแล้วทำไมไม่ตอบสักคำล่ะคะ จะได้รู้เรื่องตั้งแต่วันนั้น”
“ก็ฉัน...” บุรีชะงักคำพูด ก่อนจะกระแทกเสียงหงุดหงิดใส่ “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วทั้งสองคน”
ชายหนุ่มปิดปากเงียบเอาดื้อๆ จากนั้นก็นั่งหลับตาและกัดฟันแน่นไปตลอดทาง
สุพรรณิการ์รู้ว่าเขาเจ็บแผล แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จนกระทั่งถึงโรงพยาบาล บุรีก็ถูกนำตัวไปตรวจอย่างละเอียด ซึ่งผลออกมาว่านอกจากซี่โครงร้าวแล้ว อวัยวะภายในต่างๆ ยังปกติดี ไม่น่าวิตกอะไร เพียงแต่เขาฝืนร่างกายมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องเลยทำให้อาการโดยรวมแย่ลง
“หมอให้แอดมิตนะครับ อย่าเคลื่อนไหวมาก คนไข้ควรนอนนิ่งๆ สัก...อืม...อาทิตย์หนึ่งน่าจะดี”
บุรีทำหน้าบอกบุญไม่รับกับคำพูดสุภาพเกินเหตุและรอยยิ้มยียวนของหมอหนุ่ม
“ฉันจะกลับบ้าน”
“ไม่เจียมตัวเลยนะเอ็ง บู๊ตะบันอย่างกับวัยรุ่น”
คำพูดของนายแพทย์พีระพัฒน์ทำให้ณาราต้องกลั้นยิ้ม
“น้าบกยังไม่แก่ซะหน่อยค่ะพี่หมอ ว่าแต่เอาจริงๆ น้าบกต้องนอนกี่คืนคะ นางจะได้บอกทางบ้าน”
“คืนเดียวก็พอจ้ะ พี่แค่แกล้งมันเล่น” หมอหนุ่มหัวเราะ พลอยทำให้ใบหน้าใสกระจ่างดูหล่อขึ้นอีกสิบระดับ เขาขยับแว่นตากรอบบางแล้วหันมายิ้มให้คนตัวเล็กซึ่งยืนหลบเยื้องอยู่ด้านหลังณารา “น้องแตงกวาดูเดินคล่องกว่าวันก่อน อีกสองอาทิตย์อย่าลืมนัดตัดเฝือกของเรานะ”
“ค่ะ” สุพรรณิการ์ยิ้มตอบคุณหมอซึ่งเป็นเจ้าของไข้ของตัวเองอย่างสุภาพ โดยไม่รู้ว่าคนบนเตียงกำลังจ้องอยู่ตาไม่กะพริบ
“เอาละ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวก่อน มีผ่าตัด... พักผ่อนเยอะๆ นะเพื่อน เดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่พาย้ายไปห้องพัก” พีระพัฒน์ตบบ่าบุรีเบาๆ ก่อนจะออกจากห้องไป
“นางขอโทร. บอกคุณป้าก่อนนะคะ” ว่าแล้วณาราก็ตามออกไปด้วยอีกคน
หลังจากนั้นบรรยากาศภายในห้องตรวจก็อึมครึมขึ้นมาทันที สุพรรณิการ์ไม่รู้ว่าจะทำอะไร จึงหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงโดยไม่มองหน้าคนตัวใหญ่ เพราะยังมีชนักติดหลังให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อยู่
“แตงกวา”
“คะ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงทุ้มเรียก
“ตอนฉันไม่อยู่ เธอมาเจอไอ้พีกี่ครั้ง”
“ครั้งเดียวค่ะ เมื่อสองวันก่อน หมอพีนัดมาตรวจอาการ ถามทำไมเหรอคะ”
“งั้นรวมวันนี้ด้วยก็เป็นสามครั้ง ดูเธอจะสนิทสนมกับเพื่อนฉันไวมาก”
คนตัวเล็กทำหน้างง
“ไม่หรอกค่ะ”
“แต่เธอดูสนิทสนมกัน” เขาย้ำ
“ตั้งแต่มา กวาพูดกับหมอพีแค่ ‘ค่ะ’ คำเดียว มันดูสนิทสนมกันตรงไหนคะ”
“ก็...” บุรีตั้งท่าจะพูด แต่กลับหยุดกะทันหัน “ช่างมันเถอะ”
“อีกแล้ว พูดอะไรก็ไม่พูดให้จบ”
“ขี้เกียจ”
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินทำให้คนฟังทำหน้ามุ่ย คร้านจะต่อปากต่อคำด้วย หลังจากนั้นไม่นาน ณาราก็กลับเข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่เพื่อเคลื่อนย้ายคนเจ็บไปยังห้องพักฟื้นวีไอพีชั้นบน
พยาบาลเข้ามาดูอาการและให้บุรีกินยาเป็นระยะ เกือบสี่โมงเย็นสมาชิกจารุบวรกิจก็ยกโขยงกันมาทั้งบ้าน สุพรรณิการ์เห็นว่าคนแน่นขนัด เลยออกมานั่งเล่นกับนวลคำนอกห้อง คุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง คนด้านในก็พากันกรูออกมา
“แตงกวาเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนบกหน่อยนะจ๊ะ เดี๋ยวพวกเราจะออกไปหาอะไรอร่อยๆ มาให้กินเป็นมื้อเย็น” วรรษมนบอกหญิงสาว
“ไปกันหมดเลยเหรอคะ”
“จ้ะ ถือโอกาสฉลองให้จิณที่กลับมาอย่างปลอดภัย ใกล้ๆ นี้มีร้านโปรดของเขาอยู่ เดี๋ยวป้าจะสั่งเมนูเด็ดของร้านกลับมาฝากหนูกับบกด้วย รออยู่ที่นี่นะ”
“ค่ะ” คนตัวเล็กรับคำเสียงแผ่ว พร้อมช้อนตามองจิณณะซึ่งจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าคมเข้มยิ้มให้เธออย่างใจดีผิดคาดแม้จะยังไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำก็ตาม ส่วนสายตาของจิระยุเองก็ดูอ่อนโยนขึ้นจนเธอทำตัวไม่ค่อยถูก ทางด้านจุลจักร เขาคุยกับเธอมากกว่าใครเพราะอาศัยร่วมชายคาเดียวกันมาสองอาทิตย์เศษ ถึงจะอยู่บ้านบ้างไม่อยู่บ้าง แต่ทุกครั้งที่เจอ เขาก็คอยถามไถ่เรื่องขาของเธอตลอด
“เดี๋ยวนางซื้อขนมมาฝากนะ” ณาราแตะต้นแขนหญิงสาวแล้วขยิบตาให้ทีหนึ่ง ก่อนจะพาครอบครัวลงลิฟต์ไป
สุพรรณิการ์มองภาพครอบครัวสุขสันต์พลางถอนหายใจด้วยความอิจฉา
การมีพี่น้องเยอะๆ มันดีอย่างนี้เอง เวลามีปัญหาอะไรก็ช่วยเหลือกันได้ ตอนมีความสุขก็จะรู้สึกสุขมากขึ้นอีกเท่าตัวเพราะได้ร่วมแบ่งปันกัน ไม่ต้องรู้สึกเดียวดายเหมือนเธอในตอนนี้
หญิงสาวพลันนึกถึงคำพูดของณารา
‘แตงกวาเหลือตัวคนเดียวแล้ว จะใช้ชีวิตต่อไปยังไงควรคิดให้รอบคอบ มีคนดูแลดีกว่าไม่มีใครเลยนะ’
หญิงสาวร่างเล็กถอนหายใจเบาๆ แล้วใช้ไม้เท้าพยุงเดินกลับเข้ามาในห้อง เห็นคนบนเตียงกำลังนอนมองเธอทุกฝีก้าวก็เริ่มเกิดอาการประหม่า
“มานี่สิ”
บุรีเรียกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่แสดงอาการหงุดหงิดอย่างก่อนหน้านี้ สุพรรณิการ์จึงเดินเข้าไปหาตามคำสั่ง
“มีอะไรคะ”
“เมื่อยหรือเปล่า ถ้าเมื่อยก็นั่ง”
“คุณมีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ”
“เรียกฉันว่าน้าบกอย่างเดิมสิ ทำไมชอบทำตัวห่างเหิน”
“ก็เราไม่ได้สนิทกัน”
“แต่ต่อจากนี้ไปเราจะสนิท” เขาบอกพร้อมจ้องเธอนิ่ง
“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณจะตอบคำถามกวาข้อหนึ่งก่อน”
“คำถามอะไร ลองว่ามา”
“คุณติดค้างอะไรคุณพ่อกวาคะ ถึงต้องชดเชยให้ท่านด้วยการดูแลกวา”
บรรยากาศภายในห้องพลันเงียบกริบ เธอเคยถามเขาแล้วถึงสองครั้ง แต่ไม่ได้รับคำตอบ วันนี้เธออยากรู้เหตุผลที่แท้จริง เพราะมันสำคัญต่อการตัดสินใจบางอย่าง
ดวงตากลมโตประสานกับเขาโดยไม่หลบเลี่ยง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอต้องการคำตอบจริงๆ
“คุณประจักษ์เคยช่วยชีวิตฉัน เธอรู้เท่านี้ก็พอ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว” ในที่สุดคนบนเตียงก็ยอมบอก
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“บทจะเข้าใจก็เข้าใจง่าย?”
“กวาไม่ใช่คนซับซ้อนค่ะ ถ้าน้าบกยอมบอกเหตุผลตั้งแต่แรกเรื่องมันก็เคลียร์ ที่ผ่านมากวาเอาแต่คาดเดาไปต่างๆ
นานา กลุ้มอยู่ตั้งนาน น้าบกไม่เป็นกวา ไม่เข้าใจหรอกค่ะว่ากวาต้องผ่านอะไรมาบ้าง พอมาเจอเรื่องคำสั่งเสียของคุณพ่อ กวาทั้งสับสนทั้งเครียดจนนอนไม่หลับ”
“ฉันขอโทษ แค่ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องในอดีตเท่านั้นเอง” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
หัวใจของสุพรรณิการ์พลันเต้นแรงแปลกๆ เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าขอโทษจากปากของเขาง่ายดายอย่างนี้
ผู้ชายตัวโต หน้าดุ แต่เวลาพูดคำคำนี้แล้วทำไมถึงดูน่ารัก!
“ค่ะ กวาให้อภัย”
หญิงสาวต้องเบนสายตาหนี เมื่อเห็นมุมปากของเขากระตุกยิ้มนิดๆ
“งั้นเรื่องแต่งงาน...”
“มันจะไม่เกิดขึ้นค่ะ ถ้าน้าบกอยากดูแลกวา เมตตารับกวาเป็นลูกบุญธรรมแทนได้ไหมคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นน้าบกก็สามารถดูแลกวาในฐานะผู้ปกครองได้”
“ไม่!” บุรีเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที แล้วต้องสูดปากเนื่องจากเจ็บซี่โครง “พ่อของเธอสั่งเสียไว้ในจดหมายว่าให้เราแต่งงานกัน แล้วให้ตายเถอะ เราไม่ได้อายุห่างกันขนาดเป็นพ่อลูกได้นะแตงกวา”
คนตัวเล็กนึกค้านในใจ เห็นข่าวตามโซเชียลมีเดียออกถมเถที่เด็กวัยเรียนมีลูกตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม และยิ่งนึกถึงหน้าที่ของภรรยาว่าต้องทำอะไรให้สามีบ้าง ใบหน้ารูปไข่ก็แดงระเรื่อพร้อมขนลุกซู่
“แต่กวาไม่พร้อมจะเป็นภรรยาของใครจริงๆ ค่ะ”
“งั้นก็พบกันครึ่งทาง”
สุพรรณิการ์ทำหน้างง จ้องเขาตาแป๋วว่าจะมาไม้ไหน
“ยังไงคะ”
“ฉันจะเป็นผู้ปกครองตามที่เธอต้องการ แต่เราจะแต่งงานกัน ก็แค่...แต่งในนามเท่านั้น เพื่อให้ดวงวิญญาณของคุณประจักษ์มีความสุข เธอตกลงไหม”
เหมือนในนิยายที่เคยอ่านเลย...คนตัวเล็กนึกด้วยความประหลาดใจ เธอเคยอ่านนิยายออนไลน์จากเว็บชื่อดังต่างๆ แก้เซ็งเวลาเฝ้าพ่อเสมอ พลอตแบบนี้ผ่านตามาแล้วมากมาย แต่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นจริงกับชีวิตของตัวเอง
“หมายความเราจะไม่อยู่กินฉันสามีภรรยาใช่ไหมคะ แค่จดทะเบียนกันเฉยๆ”
“ใช่ ตอนอยู่อเมริกาฉันคิดทบทวนเรื่องนี้หลายครั้ง มันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แล้วรอให้เธอเรียนจบเมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยเรื่องอนาคตกันอีกที”
“น้าบกจะให้กวากลับไปเรียนเหรอคะ”
“มันเป็นสิ่งที่เธออยากทำ และฉันก็เคยบอกไว้ว่าจะอนุญาต แต่ขอเป็นปีหน้าเถอะ รอให้อะไรๆ เข้าที่ก่อน”
เขาทำตัวน่ารักอีกแล้ว
“สัญญานะคะ น้าบกอย่าหลอกกวานะ”
“ฉันสัญญา”
สุพรรณิการ์รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวระหว่างเธอกับเขามันเปลี่ยนไปทันที ตาดุๆ คู่นั้นไม่เคยมองเธออย่างอ่อนโยนเท่านี้มาก่อน มุมปากนั่นก็ไม่เคยคลี่ยิ้มอบอุ่นแบบนี้ เขายิ้มขันท่าทางตื่นเต้นดีใจของเธอหรือเพราะอะไรกันแน่
“ขอบคุณค่ะ”
“แปลว่าเธอยินดีจะแต่งงานกับฉันแล้ว?”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากนิดหนึ่งเมื่อถึงเวลาจะต้องให้คำตอบเขาจริงๆ เธอเคยคิดจะค้านหัวชนฝา แต่ตอนนี้ดันมีตัวแปรอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และไม่ว่าจะเลือกทางใดก็ต้องทำร้ายความรู้สึกของใครบางคนอยู่ดี เพราะฉะนั้นเธอขอเลือกสิ่งที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด
“ค่ะ กวาจะแต่งงานกับน้าบก กวาจะไม่ดื้อไม่ซนเลย ขอแค่น้าบกทำตามคำสัญญาก็พอ”
เท่านั้นเองบุรีก็ทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก มือใหญ่เอื้อมมาลูบศีรษะของเธอเบาๆ พร้อมบอกเสียงนุ่ม
“งั้นก็ตกลงตามนี้ เด็กดีของฉัน”
ความคิดเห็น |
---|