หาย...
แรงเขย่าเบาๆ ที่ต้นแขนทำให้สุพรรณิการ์ซึ่งเพิ่งจะผล็อยหลับไปเมื่อตอนไก่ขัน งัวเงียตื่นด้วยความรู้สึกมึนและเมื่อยตัวสุดๆ แถมขาข้างขวาซึ่งถูกหมอนดันไว้สูงก็ชาหนึบ
“ตื่นเถอะแตงกวา เดี๋ยวต้องกินยาแล้ว”
เสียงหวานๆ ของณารานั่นเอง แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่ณาราก็ให้ความสนิทสนมและดูแลเธอเป็นอย่างดีมาตลอดทั้งคืน จนอดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้
“กี่โมงแล้วคะ”
“จะเก้าโมงแล้ว เดี๋ยวอาบน้ำ กินข้าว กินยา แล้วค่อยนอนต่อนะ นางรู้ว่าแตงกวานอนไม่หลับทั้งคืน คงเพราะแปลกที่และเจ็บแผล นี่ตัวก็รุมๆ ด้วย หรือว่าจะเช็ดตัวดี”
“อาบน้ำดีกว่าค่ะ ถ้าไม่อาบกวารู้สึกเหมือนตัวเองไม่สะอาด”
“ตามใจ งั้นเดี๋ยวสักพักนางจะให้ป้านวลยกข้าวต้มมาให้นะ กินในห้องนี้แหละ”
สุพรรณิการ์ส่ายหน้าหวือ “อย่าเลยค่ะ กวาไม่ได้เจ็บมากมาย เกรงใจผู้ใหญ่ด้วย ขอเวลาสิบห้านาทีนะคะ”
ณาราโคลงศีรษะ แต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันอย่างนั้นเธอก็ไม่ขัด แถมยังช่วยพยุงเข้าห้องน้ำ จัดหาเสื้อผ้า ช่วยแต่งตัว และเข็นรถพาออกมาที่ห้องนั่งเล่น
คนขาเจ็บแปลกใจที่พบประมุขของบ้านและลูกสาวกำลังดูทีวีอยู่ แต่ไร้วี่แววของจุลจักรกับใครบางคน
“มากันแล้ว ไหน...ขอย่าดูหน่อยซิ”
สุพรรณิการ์รู้สึกเกร็งเมื่อได้ยินคุณกานดาใช้สรรพนามแทนตัวเองอย่างนั้น ทำราวกับว่าเธอเป็นคนของบุรีเหมือนกับณารา แถมยังมองสำรวจด้วยสายตาห่วงใย
อันที่จริงครอบครัวนี้ค่อนข้างวุ่นวายในการลำดับความสัมพันธ์ เพราะบุรีอายุห่างจากพี่สาวมาก จนดูเหมือนเป็นพี่ใหญ่สุดของแก๊งสี่หนุ่ม จ จาน เสียมากกว่า
“เหมือนนิ้วจะบวมนะคะคุณแม่” วรรษมนเปรยกับมารดา
“จริงด้วย จะเป็นอะไรหรือเปล่า ไปโรงพยาบาลให้หมอดูหน่อยไหม”
ณารายิ้มขัน รีบอธิบาย “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณย่า ที่บวมเพราะมันอักเสบ เดี๋ยวสักพักจะค่อยๆ ยุบเอง อาจจะยุบจนเฝือกหลวมเลย ถึงตอนนั้นค่อยทำเฝือกใหม่ค่ะ อีกสองอาทิตย์พี่หมอนัดไว้แล้ว”
ผู้สูงวัยทั้งสองพยักหน้ารับรู้ด้วยความโล่งใจ วรรษมนแตะหลังมือของสุพรรณิการ์พร้อมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เห็นยายนางบอกว่าหนูนอนไม่หลับทั้งคืน คงจะเพลียมาก ไปกินข้าวเถอะจ้ะ กินยาเสร็จแล้วจะได้นอนพักต่อ ร่างกายจะได้ฟื้นตัวไวๆ”
“ค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ รู้สึกอบอุ่นใจที่มีคนห่วงใยเธอเหมือนคนในครอบครัว ไม่คิดฝันว่าจะได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้อีกหลังจากพ่อตาย
“เย็นนี้คุณย่ากับคุณป้าจะไปกินโต๊ะแชร์กันใช่ไหมคะ” ณาราถามเพื่อความแน่ใจ
“จ้ะ รอบนี้นัดในตัวเมือง ถ้าคุยติดลมก็อาจจะกลับค่ำหน่อย นางอยู่กับหนูแตงกวาได้ใช่ไหม”
“สบายมากค่ะคุณป้า”
สุพรรณิการ์นึกสงสัย เหมือนกับว่าเธอและณาราจะถูกทิ้งให้อยู่กันตามลำพังอย่างนั้นละ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเนื่องจากเกรงว่าจะเสียมารยาท
สี่โมงเย็นแดดร่มลมตก ณาราชวนคนขาเจ็บออกมานั่งจิบชาริมสวนพร้อมให้ช่วยต่อบทพูดละครสั้นที่เธอจะต้องแสดงในวันรุ่งขึ้น ปกติแล้วเป็นหน้าที่ของจุลจักร ทว่าเขายังไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน หายต๋อมไปเลย แต่แทนที่คนเป็นน้องจะเป็นห่วง กลับชอบใจเสียอีกที่พี่ชายไม่อยู่บ้าน
สุพรรณิการ์รู้สึกเกร็งและออกจะเขินเพราะไม่เคยทำมาก่อน น้ำเสียงจึงออกมาแข็งโป๊กในช่วงแรกๆ แต่พอเริ่มรู้จังหวะและผ่อนคลายมากขึ้น การต่อบทก็พลิ้วทีเดียว
“แตงกวาเก่งกว่าพี่จักรอีก”
“จริงเหรอคะ” คนขาเจ็บยิ้มหน้าบานเมื่อถูกชม
“จริงสิ มีแววดีอย่างนี้ แถมหน้าตาก็สวยน่ารัก แตงกวาอยากลองเทสต์หน้ากล้องไหม นางพอจะแนะนำได้นะ เผื่อได้โฆษณาสักชิ้นสองชิ้น เผลอๆ อาจมีงานละครต่อด้วย แต่เอ...ไม่เอาดีกว่า น้าบกคงไม่อนุญาต”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนฟังหุบทันที
“น้าบกเกี่ยวอะไรด้วยคะ ถ้ากวาจะทำ กวาตัดสินใจเองได้”
“ไว้จะรอดู ตกลงว่าสนใจจริงเหรอ”
“ค่ะ งานพวกนี้รายได้ดีใช่ไหมคะ”
“ดีมาก แต่ก็เหนื่อย คนทั่วไปมองแต่ภาพสวยหรูตอนงานออกมาแล้ว แต่คนเบื้องหลังทุกคนรู้ดีว่ามันโหด”
“กวาไม่กลัวหรอกค่ะ เห็นตัวเล็กอย่างนี้ กวาอึดนะ”
ณารายิ้มขัน จากนั้นก็ชักชวนกันต่อบทอีกพักใหญ่ กระทั่งโพล้เพล้ นวลคำจึงมาเรียกไปกินข้าวเย็น
“ป้าเห็นว่าหนูแตงกวาต้องกินยา เลยจัดสำรับเร็วหน่อยค่ะ ถ้าเริ่มทุ่มหนึ่งเหมือนทุกที เดี๋ยวจะช้าไป”
“ขอบคุณค่ะป้านวล” สุพรรณิการ์เอ่ยพร้อมยกมือไหว้
“อุ๊ย...ไม่ต้องไหว้ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของป้าอยู่แล้ว รีบตามเข้ามานะคะ” คุณแม่บ้านยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะกลับไปทำงานต่อ
“ป้านวลแกเป็นคนละเอียด ใส่ใจแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของทุกคน” สาวรูปร่างสูงระหงบอกพลางเดินอ้อมมาด้านหลังรถเข็น
“เดี๋ยวค่ะคุณนาง”
“บอกว่าให้เรียกนางเฉยๆ”
“ให้เรียกคุณนางเถอะนะคะ กวาสะดวกแบบนี้”
ณาราหัวเราะทันที “ส่องไอจีดารามากไปปะเนี่ย เลยติดวลีเด็ดมาด้วย”
“คุณนางรู้ แปลว่าก็ส่องเหมือนกัน”
“ถูก”
เสียงหัวเราะสดใสดังประสาน ณารารู้สึกถูกชะตากับว่าที่ภรรยาของบุรีอย่างบอกไม่ถูก อาจจะด้วยวัยเดียวกัน รวมทั้งนิสัยใจคอที่อ่อนโยนของอีกฝ่าย...ทำตัวน่ารักแบบนี้ น้าชายของเธอไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้ว ถึงสุพรรณิการ์จะเป็นคนละสไตล์กับระรินทิพย์ ภรรยาเก่าของเขาก็ตาม
“เมื่อกี้แตงกวาจะพูดอะไรนะ” หญิงสาววกกลับเข้าเรื่อง
“คือ...มื้อเย็นมีเราแค่สองคนเหรอคะ”
“ใช่ พี่จักรยังไม่กลับเลย”
“แล้ว...เอ่อ...น้าบกล่ะคะ กวาไม่เห็นเขาทั้งวัน”
“น้าบกไปอเมริกาแล้วไง”
“คะ?”
หลานสาวของบุรีเห็นอีกฝ่ายทำท่าตกใจก็ชะงักมือที่กำลังจะเข็นรถ
“แตงกวายังไม่รู้เหรอ นึกว่าน้าบกบอกแล้วตั้งแต่เมื่อคืน”
“เปล่าค่ะ เขาไม่ได้บอก”
“แล้วกัน” ณารานึกเคืองน้าชาย ละเลยเรื่องสำคัญแบบนี้ได้อย่างไร ดูสิ...สุพรรณิการ์หน้าเจื่อนไปเลย จู่ๆ ก็ถูกพามาทิ้งไว้อย่างนี้คงจะรู้สึกเคว้งคว้าง “คือ...น้าบกต้องไปช่วยพี่จิเคลียร์ปัญหาให้พี่จิณน่ะ ทีแรกก็ว่าจะไม่ไปแล้ว แต่สถานการณ์ทางโน้นแย่กว่าที่คิด พี่จิคนเดียวเอาไม่อยู่ อย่าถามรายละเอียดเลยนะ ตอนนี้นางเองก็แฮฟโนไอเดีย พวกผู้ใหญ่
พากับปิดปากเงียบหมด ที่คุณป้ากับคุณย่าเข้าเมืองตั้งแต่หัววัน นางรู้ว่าไม่ได้ไปกินโต๊ะแชร์ธรรมดาหรอก คงจะสืบข้อมูลและหาทางช่วยพี่จิณนั่นแหละ ท่านพอจะมีพวกพ้องอยู่บ้าง”
สุพรรณิการ์ฟังเรื่องราวด้วยความตั้งใจ โดยสีหน้าไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย “ดูจะเป็นเรื่องใหญ่โตมากเลยนะคะ”
“ถ้าหนุ่มๆ จารุบวรกิจรวมตัวกันสามคน นั่นแปลว่าสถานการณ์เลวร้ายเชียวละ ถึงขั้นสี่คนเมื่อไหร่ นั่นคือวิกฤติ”
“แล้วถ้าครบห้าคน...”
ณารายกมุมปากขึ้นพร้อมดวงตาวาววับ “มันหมายถึงหายนะ ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้าง!”
คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นก็ไม่กล้าซักถามอะไรอีกเลย
คืนนี้สุพรรณิการ์ขอณารานอนคนเดียว โดยให้เหตุผลว่าอาการที่เท้าเริ่มดีขึ้น แม้ความจริงมันยังปวดอยู่ก็ตาม แถมยังบอกด้วยว่าถ้ามีคนนอนข้างๆ จะทำให้หลับยาก ดังนั้นหลานสาวของบุรีเลยต้องกลับไปนอนที่ห้องตัวเองตามคำขอ
ยังไม่ทันจะหลับ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงรถดังแว่วตามกันมาติดๆ ตอนเกือบเที่ยงคืน น่าจะเป็นรถของคุณกานดาและคุณวรรษมนคันหนึ่ง ส่วนอีกคันคงเป็นของจุลจักร
ณาราบอกว่าพรุ่งนี้จะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แต่เช้าเพื่อทำงานซึ่งต้องค้างคืนด้วย ทีแรกเธอก็กังวลใจแทน เพราะเห็นจุลจักรหายเงียบไปทั้งคืนทั้งวัน เกรงว่าตอนเช้าจะขลุกขลัก แต่พอรู้ว่าเขากลับมาแล้วก็ค่อยโล่งอก
ไม่อยู่กันหมดแบบนี้ บ้านคงเงียบน่าดู
ร่างเล็กนอนหงายโดยเอาหมอนรองเท้าขวาให้สูงไว้ตามหมอบอก จ้องมองเพดานพลางนึกถึงเรื่องราวที่ณาราเล่าให้ฟังเมื่อตอนเย็น พานคิดถึงใครบางคนที่จู่ๆ ก็ไปอเมริกาโดยไม่บอกกล่าว เขาคงเห็นว่าเธอขาเจ็บ ไปไหนไม่รอด ถึงทำกับเธอเหมือนเป็นหัวหลักหัวตออย่างนี้
บุรีน่าจะถึงอเมริกาแล้ว ที่โน่นเป็นเวลาเที่ยงวัน เขาจะกำลังทำอะไรอยู่นะ ฟังจากณาราแล้วตอนนี้คงกำลังวุ่นวายอยู่แน่ๆ
“จะนึกถึงเขาทำไม”
สุพรรณิการ์บอกตัวเองแล้วพยายามข่มตาให้หลับ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“สวัสดีค่ะพี่พิท”
สุพรรณิการ์โทร. หาหัวหน้าในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอทำงานพิเศษสัปดาห์ละสี่วัน จันทร์ถึงพฤหัสบดี ในช่วงดรอปเรียนและดูแลพ่อ เริ่มงานตอนเที่ยงถึงหกโมงเย็น อันที่จริงเดือนนี้เธอขอลาไปแล้วถึงสองครั้ง จึงออกจะเกรงใจอยู่เหมือนกันที่ต้องขาดงานอีก
“ว่าไงกวา” เสียงทุ้มจากปลายสายตอบ
“กวาจะโทร. มาขอลาหยุดค่ะพี่พิท เมื่อวานกวาล้ม นิ้วเท้าข้างขวาหักสองนิ้ว เดินไม่สะดวกค่ะ ยืนทำงานนานๆ คงไม่ไหวด้วย”
“อ้าว...ทำอีท่าไหนเข้า ไปหาหมอแล้วหรือยัง”
“มันเป็นอุบัติเหตุค่ะ กวาไปหาหมอเข้าเฝือกแล้ว พี่พิทไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ แต่กวาคงไปทำงานไม่ได้อีกหลายวัน”
อาจจะเป็นเดือนด้วยซ้ำ...
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ให้กิตกับลักมาสลับทำแทนไปก่อน เป็นเพื่อนกัน น่าจะเต็มใจควบกะให้”
“ขอบคุณมากๆ ค่ะพี่พิท”
หญิงสาวคุยกับพิทยาอีกสองสามคำก่อนจะวางสาย เจ้านายของเธอเป็นคนใจดี แต่เวลาทำงานก็จริงจัง ส่วนเวลาพักนั้นทำตัวเป็นกันเองกับเพื่อนร่วมงานและลูกน้องจนเป็นที่รักใคร่
ไม่ถึงห้านาทีก็มีข้อความไลน์เด้งเข้ามาในกลุ่มแชตสามทหารเสือ สุพรรณิการ์รู้ทันทีว่าเป็นนงลักษณ์ เพราะเพื่อนของเธอทำงานกะเช้าวันนี้ คงจะรู้เรื่องจากพิทยาแล้ว
I am Lucky : กวา!!!!!
Tangkwa : จ๋า
I am Lucky : เกิดอะไรขึ้น!
หญิงสาวตอบด้วยการส่งสติกเกอร์รูปหมีใส่เฝือกไป กิตติที่เพิ่งเข้ามาอ่านข้อความยังงงๆ เลยส่งหน้าลูกเจี๊ยบมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่บนหัวกลับมา
Kitti_A : ใครเป็นไร
I am Lucky : กวาขาหัก
Kitti_A : เฮ้ยยยย
Tangkwa : แค่นิ้วเท้าหักน่ะ
Tangkwa : ๒ นิ้ว
คราวนี้สองคนรัวสติกเกอร์ทำหน้าตกใจมากันใหญ่
Tangkwa : ใจเย็น ไม่ได้เป็นอะไรมาก
I am Lucky : ส่งรูปมา
Kitti_A : เออ ดูหน่อย
Tangkwa : (รูป)
I am Lucky : ถึงกับนั่งรถเข็นเลยเหรอ!
Kitti_A : ไหนว่าไม่เป็นไรมาก
Tangkwa : คนดูแลไม่ยอมให้ใช้ไม้เท้า :(
Kitti_A : เดี๋ยว...
Kitti_A : นั่นไม่ใช่บ้านแก!
เงียบกริบ...
กิตติตาดีชะมัด สมกับเป็นแชมป์เกมโฟโตฮันต์ประจำกลุ่ม
I am Lucky : แกอยู่ที่ไหน
Tangkwa : เชียงใหม่
I am Lucky : เฮ้ย!
Kitti_A : ไปทำไร
Tangkwa : เรื่องมันยาว คอลเถอะ
I am Lucky : เออ!
Kitti_A : เออ!
เท่านั้นเองสุพรรณิการ์จึงกดโทร. คุยสามสายกับเพื่อน ไม่อยากวิดีโอคอลให้เห็นหน้าตา เดี๋ยวสองคนนั้นเห็นโน่นเห็นนี่แล้วจะซักถามเยอะ เธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง เพราะนงลักษณ์และกิตติคือเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น ทั้งยังสอบติดมหาวิทยาลัยคณะเดียวกันอีก เลยคบหากันมายืดยาวจนถึงทุกวันนี้
“บ้าบอว่ะ” กิตติทำเสียงหงุดหงิดเมื่อฟังจบ
“เหลือเชื่อ” นงลักษณ์สำทับ “แกต้องแต่งงานกับเขาเหรอกวา”
“ไม่แต่ง กวาบอกเขาไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าขาเจ็บ กวาอยากหนีกลับกรุงเทพฯ ให้รู้แล้วรู้รอด วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากคุณกานดากับคุณมน แต่เดี๋ยวตอนกลางวันเห็นว่าจะออกไปทำธุระกัน”
“รีบกลับมาเลย ฉันออกค่าเครื่องบินให้เอง”
“โห...พ่อคนใจป้ำ เพื่อนเดี้ยงอยู่จะหนีไหวเหรอยะ” นงลักษณ์ซัดกิตติทันที
“เอ๊า...แล้วจะอยู่ต่อเพื่อ? ขาเจ็บข้างเดียวอะกระจอก ฉันเชื่อว่ากวามันไปสนามบินไหว เรียกรถเอานะ ไม่ต้องเดิน”
สุพรรณิการ์เกือบหลุดขำ นี่แหละนายกิตติจอมกวนประสาท
“ไอ้กิต กวามันสามารถไถลตัวขึ้นรถแล้วให้แล่นจากบ้านไปเสยถึงหน้าเกตขึ้นเครื่องได้เลยหรือไง มันก็ต้องเดินด้วย
ไหมแก ฉันละปวดกบาล อีกอย่าง...เขารู้จักบ้านกวา ยังไงก็ตามหาเจอ ถึงจะให้มาอยู่บ้านฉันหรือบ้านแก กวาก็หนีเขาไม่พ้นหรอก คนตระกูลนี้ไม่ธรรมดา ใครๆ ก็รู้”
“ก็จริง”
“เออสิ”
“เลิกทะเลาะกันเถอะทั้งสองคน กวาแค่คิดเฉยๆ ไม่ได้จะหนีจริง ลักพูดถูกทุกอย่าง หนีไปก็เท่านั้น กวาจะรอให้เขากลับมาก่อน แล้วค่อยตกลงกันให้รู้เรื่อง กว่าเขาจะกลับ ขาของกวาคงดีขึ้นมาก”
“ดี รอดูสถานการณ์ไปสักพัก จะเอายังไงต่อค่อยว่ากัน หลังจากวันนี้ฉันกับกิตพร้อมสแตนด์บาย”
“ขอบใจนะลัก”
“ดูแลตัวเองด้วย ถ้ามีอะไรก็รีบติดต่อมา” กิตติบอก
“จ้า ฝากงานด้วยนะกิต กลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่จะชดเชยให้”
“ได้ สบายมาก เทอมนี้มีเรียนแค่ไม่กี่วิชา”
“เฮ้ย...ฉันต้องไปแล้ว พี่พิทเรียก ไว้คุยกันนะทุกคน บาย” นงลักษณ์รีบวางสายไปก่อน
“งั้นแค่นี้นะกวา ฉันก็ต้องไปทำธุระเหมือนกัน”
“บายกิต”
หลังจากคุยกับเพื่อนทั้งสองแล้ว สุพรรณิการ์ก็รู้สึกสบายใจขึ้นส่วนหนึ่ง แต่ยังคงมีความกังวลอยู่ หญิงสาวถือโทรศัพท์ค้างไว้ในมือ ซึ่งเพียงอึดใจเดียวมันก็ดังขึ้นตามคาด
เวลาสองสัปดาห์ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนหอยทากเดินในความรู้สึกของคนขาเจ็บ ช่วงหลังมานี้บ้านทั้งหลังถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศอึมครึม แม้แต่ณาราที่เคยสดใสร่าเริง ตอนนี้กลายเป็นคนพูดน้อยลงมาก หลังกลับจากมหาวิทยาลัยมักจะใช้เวลาอยู่คนเดียวหรือไม่ก็ปิดห้องประชุมกับครอบครัวด้วยเรื่องของจิณณะ
สุพรรณิการ์อยากรู้ความคืบหน้า แต่พอถามทีไรหลานสาวบุรีบอกเพียงว่าอย่ากังวล อีกไม่นานน้าและพี่ชายทั้งสองก็จะกลับมาแล้ว
หญิงสาวนั่งเซ็งอยู่บนเตียง ตอนนี้นิ้วเท้าหายบวม เฝือกติดแน่นเป็นที่น่าพอใจ เธอเปลี่ยนจากนั่งรถเข็นมาใช้ไม้เท้าแทนตั้งแต่ผ่านไปสามวันแรกเพราะอยากเดินเหินด้วยตัวเอง แต่ยังต้องระมัดระวังให้มาก หมอบอกว่ากว่ากระดูกจะสมานติดกันสนิทต้องใช้เวลาประมาณสี่ถึงหกเดือน แต่ไม่เกินเดือนครึ่งก็สามารถเอาเฝือกออกก่อนได้
“คุณกวาขา ป้าขอเข้าไปนะคะ”
“เชิญค่ะป้านวล” หญิงสาวตะโกนตอบเมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก
นวลคำเปิดประตูเข้ามาพร้อมแก้วน้ำส้มคั้นเย็นเฉียบ วางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง พอเห็นสมุดปกหนังสีเขียวหัวเป็ดวางอยู่ข้างตัวสุพรรณิการ์ก็ถามด้วยความสงสัย
“สมุดอะไรคะ”
“สมุดโน้ตของคุณพ่อกวาค่ะ กวาคิดถึงท่านเลยเอามาอ่าน มีอะไรสนุกๆ เยอะเลย อ่านเพลินดีค่ะ”
“โถ...แม่คุณ คงจะเหงาสินะคะ” นวลคำทอดถอนใจอย่างนึกสงสาร
“เบื่อมากกว่าค่ะ ไม่มีอะไรทำ ถ้ากวาจะขอออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก ป้านวลว่าคุณมนจะอนุญาตไหมคะ”
“เอ...” แม่บ้านคนเก่าแก่มีท่าทีลังเล “คุณมนคงไม่อนุญาตค่ะ เพราะคุณบกสั่งไว้ว่าไม่ให้คุณแตงกวาออกไปไหน”
คนขาเจ็บทำปากยื่นทันที “ว่าแล้วเชียว”
“คุณกวาลองขอคุณบกสิคะ เผื่อเธอจะเปลี่ยนใจ”
“กวาไม่กล้าหรอกค่ะ คุณนางเคยบอกว่าธุระทางโน้นกำลังวุ่นวาย กวาไม่อยากรบกวน”
“แม่ริมมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ เยอะเลยนะคะ ไหนจะน้ำตก สวนพฤกษศาสตร์ ปางช้าง สวนผีเสื้อและแมลง วัดวาอารามก็น่าไปค่ะ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายที่ แล้วถ้าคุณแตงกวาขาหายดีเมื่อไหร่ ป้าแนะนำให้ขึ้นไปเที่ยวม่อนแจ่มนะคะ บรรยากาศดี วิวสวย อากาศก็เย็นตลอดทั้งปี โรแมนติกที่สุด”
“โหย...ป้านวลพูดซะกวาอยากไปเที่ยวเลย” สุพรรณิการ์โอดครวญ
“ลองขอคุณบกเถอะค่ะ นี่ก็หายเงียบไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เธออาจจะสงสารคุณแตงกวาเหมือนป้าก็ได้นะคะ ถ้าให้นายขจรกับสายชลตามไปดูแลอย่างใกล้ชิดก็น่าจะพอลุ้น”
ดวงตาของคนฟังเป็นประกายอย่างมีความหวัง ตอนนั้นเองณาราเดินผ่านหน้าห้องมาพอดี เห็นประตูเปิดแง้มอยู่เลยเข้ามาสมทบ
“คุยอะไรกันอยู่คะ”
คนบนเตียงเอาแต่นั่งยิ้มไม่กล้าบอก นวลคำจึงเป็นฝ่ายเล่าให้ฟังเอง
“ช่วยคุณแตงกวาเถอะนะคะคุณนาง”
“นางไม่แน่ใจว่าจะเหมาะหรือเปล่านะคะป้า ขืนโทร. ไปผิดจังหวะอาจจะซวยกันหมด” พูดแล้วหลานสาวของบุรีก็ขมวดคิ้วมุ่น “แต่เดี๋ยวน้าบกจะต้องแยกจากพี่จิไปจัดการอะไรบางอย่างที่ลาสเวกัสคนเดียวด้วยสิ ถ้าจะทำอะไรก็ต้องรีบ เอาเถอะ...นางช่วยแตงกวาก็ได้ แต่ต้องใช้วิธีที่ไม่รบกวนน้าบกจนเกินไป และต้องปลอดภัยต่อทุกคน”
“ป้าเห็นด้วยค่ะ”
“ยังไงคะ” คนขาเจ็บตามไม่ทัน
“งานนี้คงต้องให้พี่จิช่วย ส่วนที่เหลือแตงกวาต้องจัดการต่อเองนะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ยกสมาร์ตโฟนขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
ร่างสูงของบุรีเดินเข้ามาห้องสวีตแล้วทิ้งตัวนั่งเอนหลังบนโซฟาขนาดใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน นอกหน้าต่างชั้นยี่สิบของโรงแรมหรูเต็มไปด้วยดวงไฟนับล้านดวงหลากสีสันจากถนนหนทาง รวมทั้งโรงแรมและกาสิโนต่างๆ ของเมืองที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาและน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด ทว่าเขาไม่คิดจะแยแสสักนิด
ชายหนุ่มเดินทางมาที่นี่ด้วยภารกิจสำคัญ ซึ่งมีเดิมพันคือชีวิตของตัวเองและจิณณะ!
ความเครียดทำให้เขาต้องคลึงหัวคิ้วเบาๆ แล้วหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเมื่อมีสายเรียกเข้า
“อีกหนึ่งชั่วโมงนายมาเจอบอสของฉันที่ดิแอเรสยิม ใครๆ ก็รู้จัก”
“ถ้าทำตามข้อเสนอของบอสแกแล้ว ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าจะไม่ถูกเบี้ยว” บุรีถามเสียงขรึมเป็นภาษาอังกฤษชัดเจน
“บอสของฉันพูดคำไหนคำนั้น แกไม่ต้องห่วง มาให้ทันเถอะ เพราะถ้าช้าแม้แต่วินาทีเดียวแกจะพลาดโอกาสสำคัญ”
“ตกลง ฉันจะไปตามนัด”
หลังจากวางสายบุรีก็ถอนหายใจหนักหน่วง ทว่าขณะจะกดปิดโทรศัพท์ สายตาพลันเหลือบเห็นไอคอนสีเขียวอยู่ที่มุมขวาของหน้าจอซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน
เขามีไลน์ตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายหนุ่มพยายามคิด หรือจะเป็นฝีมือของจิระยุ เพราะหลานชายขอยืมมือถือไปใช้ตอนมาส่งที่สนามบินเจเอฟเค ก่อนเขาจะบินข้ามฝั่งมาด้านตะวันตกของประเทศ
ต้องเป็นมันแน่ๆ
“เล่นพิเรนทร์อะไรวะ” คนกำลังเครียดพึมพำพร้อมขมวดคิ้วย่นเมื่อเห็นว่ามีข้อความรออ่านอยู่สามข้อความ พอลองกดเข้าไปก็เจอดิสเพลย์ของคนคนนั้น
“แตงกวา?”
บุรีเลิกคิ้วสูงด้วยความคาดไม่ถึง เขาจำใบหน้านี้ได้แม่นยำ แต่ทำไมรูปของตัวเองดันเป็นเจ้าฮัลค์ ยักษ์สีเขียวซึ่งเป็นซูเปอร์ฮีโรในจักรวาลมาร์เวล
ชายหนุ่มนึกคาดโทษหลานชายที่แส่ไม่เข้าเรื่อง ก่อนจะกดอ่านข้อความด้วยอยากรู้ว่ายายเด็กเปี๊ยกจะส่งอะไรมาให้เขา
ความคิดเห็น |
---|