3

พูดเบาๆ ก็เจ็บ



พูดเบาๆ ก็เจ็บ

 

บุรีอุ้มเด็กฤทธิ์มากมาที่เรือนสีขาวลักษณะคล้ายห้องพักของรีสอร์ตหลังอื่นๆ ทว่ามีขนาดกว้างกว่าสองเท่า ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากบ้านใหญ่ประมาณห้าสิบเมตร

แม้สุพรรณิการ์จะบอบบางน่าทะนุถนอมเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แต่พอเอาเข้าจริงก็พยศใช้ได้ทีเดียว

“ปล่อยกวานะคะ!”

“กำลังจะปล่อยอยู่นี่” คนตัวใหญ่บอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาทิ้งร่างเล็กบนโซฟาเบดในห้องแรกที่เข้ามาถึง จะว่าทิ้งขว้างแบบป่าเถื่อนก็ไม่ถูก เพราะหญิงสาวตัวเล็กนิดเดียว กลัวว่าทำรุนแรงไปกระดูกจะหักเสียก่อน ไอ้โกรธเขาก็โกรธ เพราะเกิดมาไม่เคยมีใครกล้าทำกับเขาแบบนี้

“จะไปไหน!” บุรีกระโจนพรวดคว้าหมับที่เอวคอด เมื่อแม่คุณไถลตัวหนีแล้วทำท่าจะวิ่งไปที่ประตู แต่ก็ไม่ทัน

“กวาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว กวาจะกลับ ปล่อยกวาสิ!”

“คุยกันก่อนแล้วเดี๋ยวจะปล่อย”

“ถ้าเป็นเรื่องแต่งงานกับคุณ กวาไม่คุยค่ะ!”

“ทำไม แต่งงานกับฉันมันแย่ตรงไหน เธอถึงปฏิเสธโดยไม่คิดสักนิด”

“เพราะคุณ...เอ่อ...” สุพรรณิการ์กัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้าหวือ “กวาไม่อยากพูดทำร้ายจิตใจคุณ”

บุรีตีหน้ายักษ์ใส่แม่นางฟ้านางสวรรค์ผู้แสนดี เธอเล่นเกริ่นมาเสียขนาดนี้ ขืนปล่อยค้างไว้เขาได้อกแตกตาย

ไม่อยากพูดทำร้ายจิตใจเขางั้นหรือ...

โธ่...ยายเด็กเปี๊ยก!

“บอกมา ฉันต้องการฟังเหตุผล”

“ไม่ค่ะ”

“ต้องบอก ไม่อย่างนั้นฉันจะขังเธอไว้ที่นี่ ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย”

คำขู่ของเขาทำให้คนตัวเล็กกว่าตาโต แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ

“มันผิดกฎหมายนะคะ ทั้งกักขังหน่วงเหนี่ยว ทั้งบังคับให้แต่งงาน ถ้ากวาหนีไปได้ กวาจะพาตำรวจมาจับคุณ”

“มีปัญญาก็เชิญ”

บุรีควรจะหงุดหงิด แต่กลับต้องซ่อนรอยยิ้มเมื่อเห็นท่าทางขึงขังของเธอ ดวงตากลมโตวาววับคู่นั้นตวัดค้อนใส่เขา แถมใบหน้าสวยๆ ก็งอง้ำ ทว่าคำพูดคำจากลับสุภาพ นี่เขาควรจะกลัวดีไหม

ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าตั้งแต่เกิดมา สุพรรณิการ์เคยด่าทอใครบ้างหรือเปล่า นายประจักษ์เลี้ยงลูกมาอ่อนเกินไป นอกจากคัดค้านเรื่องแต่งงาน โดยรวมแล้วหญิงสาวก็จัดว่าเป็นคนหัวอ่อน อ่อนหวาน แถมร่างกายยังบอบบางดูอ่อนแอแบบนี้ ขืนอยู่คนเดียวในโลกคงเอาตัวไม่รอด

“ปล่อยกวาค่ะ มันอึดอัด”

“เธอกลัวฉันมากกว่าละมั้ง”

ใบหน้ารูปไข่เงยขึ้นทันที

“ไม่กลัวค่ะ กวาไม่ได้อ่อนแออย่างที่คุณเห็น” หญิงสาวเชิดหน้าอย่างท้าทาย ทำตัวเหมือนเด็กหัดกร่างอย่างไรอย่างนั้น

เป็นอีกครั้งที่บุรีต้องซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึม

“ฉันเองก็ไม่ได้ใจบางขนาดทนฟังคำพูดของเธอไม่ได้ เมื่อกี้จะพูดอะไรบอกมา ไหนๆ ถูกผู้หญิงปฏิเสธทั้งที ฉันก็อยากรู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน”

“สำหรับผู้หญิงคนอื่น คุณอาจจะเพอร์เฟกต์ทุกด้าน แต่สำหรับกวา คุณ...”

“ทำไม”

“แก่”

“อะไรนะ!” บุรีไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ และมันก็เสียดแทงหัวใจของเขาจริงๆ

“คุณบังคับให้กวาพูดเอง”

คนตัวใหญ่สบถเบาๆ รู้สึกฉิวขึ้นมาเสียอย่างนั้น คำว่า ‘แก่’ พูดเบาๆ ก็เจ็บแสบไปถึงทรวง

“เราอายุห่างกันแค่สิบห้าปี” เขากัดฟันบอก

“ตอนคุณเรียนมอสี่ กวาเพิ่งจะเกิด”

“เออ...รู้...ไม่ต้องย้ำ!”

“อุ๊ย!”

สุพรรณิการ์สะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็มีแรงสั่นสะเทือนที่หน้าท้อง มันมาจากโทรศัพท์ของบุรีซึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงนั่นเอง แม้เขาจะหงุดหงิดอยู่ แต่ก็จำต้องคลายวงแขนออกจากเอวของเธอ กระนั้นก็ไม่ลืมส่งสายตาเป็นเชิงบังคับบอกว่าให้ยืนนิ่งๆ อย่าตุกติก

หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเมื่อรู้ว่าคนที่ไร่โทร. มา

“ครับพี่ชงค์ ใช่...ผมอยู่เชียงใหม่ ครับ...ถือสายรอเดี๋ยว” เขาลดมือลงแล้วหันมาสั่งสุพรรณิการ์ “รออยู่ในนี้ก่อน ฉันจะออกไปคุยธุระข้างนอก” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างสูงก็ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องไป

หลังฟังรายงานสถานการณ์ที่ไร่จากผู้ช่วยมือขวาจบ บุรีก็ถอนหายใจยาว

“ช่างหัว อยากทำอะไรก็เชิญ บอกทุกคนว่าให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เสร็จธุระแล้วผมจะกลับไปจัดการเอง ฝากดูแลไร่ด้วยนะพี่ชงค์ เอาละ...ผมต้องวางสายก่อน”

อารมณ์ของชายหนุ่มยิ่งขุ่นมัว เขากลับเข้ามาในบ้านหวังจะเคลียร์กับสุพรรณิการ์ให้จบๆ ไปแต่กลับพบว่าห้องรับแขกว่างเปล่า

“แตงกวา” เสียงดุตะโกนเรียก ทว่าไร้เสียงขานตอบ

ชายร่างสูงเดินเข้าไปดูด้านในทุกซอกทุกตารางนิ้ว แต่ก็ไม่พบหญิงสาวแม้แต่เงา

“บ้าฉิบ!”

เขากลับออกมาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง และคราวนี้ก็เห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง

กระจกหน้าต่างด้านหลังผ้าม่านถูกเลื่อนออก!

“ยายเด็กแสบ!”

บุรีขบกรามแน่น แล้วรีบวิ่งออกจากบ้านพักไปทันที

 

สุพรรณิการ์วิ่งสุดฝีเท้าไปตามทางมุ่งหน้าสู่สระบัว หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นกระดอนออกมาอยู่นอกอก เวลานี้ทั้งเหนื่อยและตาลายจนแทบจะเป็นลม แต่ก็ต้องฝืนวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพราะเธอไม่อยากอยู่ที่นี่ แม้พ่อจะสั่งเสียให้เธอแต่งงานกับบุรีก็ตาม

ใบหน้าซีดเผือดค่อยยิ้มออกเมื่อหนีมาได้ครึ่งทาง เลยจากสระบัวนี้ไปตามถนนด้านขวามือเรื่อยๆ ก็จะถึงทางออกแล้ว เธอกำลังจะเป็นอิสระ

ทว่าจู่ๆ ก็มีหนุ่มฉกรรจ์สองคนจากล็อบบีรีสอร์ตวิ่งตรงดิ่งมายังเธอเพื่อสกัดกั้น

“คุณแตงกวาใช่ไหมครับ”

“ไม่ใช่ค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธหน้าตาเหลอหลา

“ไม่ใช่เหรอวะ” หนุ่มผิวขาวจั๊วะหันไปทำหน้างงๆ กับเพื่อน

“คุณเขาวิ่งมาจากทางโน้น ก็น่าจะใช่หรือเปล่าวะ มาคนเดียวแบบนี้” คนตัวบึกกว่าเกาหัวแกรก “เอ่อ...ยังไงคุณช่วยรอตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ น้าบกกำลังมา”

พอได้ยินชื่อบุรี หัวใจของสุพรรณิการ์ก็หล่นตุ้บลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“ฉันไม่ใช่คนที่พวกคุณตามหาค่ะ ฉันเป็นแขกของรีสอร์ต ออกมาเดินเล่นเพลินไปหน่อย กำลังจะกลับห้องพักพอดี

ช่วยหลีกทางด้วยนะคะ” ว่าแล้วก็เบี่ยงตัวหนี แต่สองหนุ่มยังตามมาประกบไม่ลดละ

“เราขัดคำสั่งน้าบกไม่ได้หรอกครับ โน่นแน่ะ น้าบกมาแล้ว”

สุพรรณิการ์หันขวับไปมองแล้วแทบเข่าทรุด เพราะเวลานี้คนตัวใหญ่ทำหน้าตาบึ้งตึงราวกับยักษ์

แย่แล้ว!

หญิงสาวอาศัยจังหวะที่พนักงานทั้งสองเผลอ ออกวิ่งสุดฝีเท้าอีกครั้ง

“จับไว้!”

เสียงตะโกนของบุรีดังแผดลั่น อย่าว่าแต่สุพรรณิการ์ตกใจเลย อีกสองคนตรงนั้นก็สะดุ้งโหยงแล้วรีบถลาเข้าไปฉุดร่างเล็กไว้ พยายามกระชากลากถูให้กลับมา

“อย่ารุนแรงโว้ย!”

ขจรกับสายชลมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อเจ้านายตะโกนสำทับ

“เอาไงวะ” ขจรถามความเห็นเพื่อน

“ตัวเล็กๆ แบบนี้แต่แรงเยอะฉิบ ขืนปล่อยให้หลุดไป พวกเราสองคนหัวขาดแน่ ฉุดไว้ก่อนไอ้จร”

“ปล่อยฉันนะ!” สุพรรณิการ์ยิ่งกระวนกระวายใจเมื่อเห็นบุรีวิ่งเข้ามาใกล้ พยายามสะบัดตัวสุดแรง

จังหวะนั้นเอง จู่ๆ สายชลร้องขึ้นเสียงหลงแล้วปล่อยมือกะทันหัน ทำให้ขจรเสียหลักล้ม พานดึงร่างสาวตัวเล็กกระเด็นหวือไปอีกทางอย่างไม่ตั้งใจ

“เฮ้ย!”

เสียงร้องหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นสุพรรณิการ์ล้มฟาดพื้น

“กรี๊ด!”

“ไอ้จร!”

ขจรปากคอสั่น รีบกระถดตัวหนีเมื่อบุรีปราดเข้ามาประคองสุพรรณิการ์ให้ลุกขึ้นนั่ง เนื้อตัวของหญิงสาวถลอกปอกเปิก ใบหน้าหวานเหยเก มีน้ำตาคลอเบ้า

“เจ็บมากหรือเปล่า” บุรีถาม

“จะ...เจ็บเท้าขวาค่ะ”

ชายหนุ่มตวัดสายตามองตามทันที รองเท้าเปลือยแบบสานขาดรุ่งริ่ง พอเห็นนิ้วเท้าของเธอก็หน้าเครียด รีบอุ้มร่างบางขึ้นแล้วสั่งขจรเสียงเฉียบ

“เอารถออกเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปโรงพยาบาล!”

“ขะ...ครับ!” ขจรตอบแล้ววิ่งปรู๊ดไปที่รถตู้ โดยมีสายชลตามไปติดๆ ระหว่างขับมารับเจ้านาย ขจรก็อดจะโวยใส่เพื่อนไม่ได้ “มึงปล่อยมือทำไมวะไอ้ชล!”

สายชลมองเพื่อนแหยๆ อย่างสำนึกผิด ก่อนจะตอบเสียงอ่อย

“มดแดงกัดตูดกู”

“ไอ้หอกหักเอ๊ย...มึงนะมึง ถ้ากูเป็นอะไรไป มึงต้องรับผิดชอบด้วย เห็นหน้าน้าบกเมื่อกี้หรือเปล่า แทบอยากจะบีบคอกูอยู่แล้ว!”

“เออ...น่ากลัวฉิบ”

สองสหายกลืนน้ำลายเอื๊อกแทบจะพร้อมกัน เมื่อนึกถึงชะตากรรมของตัวเองที่กำลังรออยู่ในอนาคตอันใกล้

 

ณาราเข้ามาที่แผนกฉุกเฉิน พอเห็นร่างสูงของบุรีรออยู่ที่หน้าประตูห้องตรวจก็รีบถามไถ่

“แตงกวาเป็นยังไงบ้างคะน้าบก”

“เอกซเรย์แล้วกระดูกนิ้วนางกับนิ้วก้อยที่เท้าขวาหัก ต้องเข้าเฝือก ไอ้พีกำลังจัดการอยู่ นอกนั้นก็มีแค่แผลถลอก” คนเป็นน้าตอบเสียงเรียบ ดูอารมณ์สงบนิ่งมากกว่าขจรและสายชลซึ่งยืนหลบอยู่ไม่ไกลนัก

พอได้ยินว่าสุพรรณิการ์อยู่ในการดูแลของหมอพีระพัฒน์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของน้าชาย เธอก็ค่อยเบาใจ

“ค่อยยังชั่วหน่อยค่ะ ตอนแรกที่รู้ นางและทุกคนที่บ้านตกใจมาก”

“ทำไมนางมาคนเดียว” บุรีถามไปคนละเรื่อง

“หึ...ก็หลานชายคนดีของน้าบกออกไปสังสรรค์กับเพื่อนน่ะสิคะ ไม่เห็นจะต้องง้อคนพรรค์นั้นเลย นางบรรลุนิติภาวะแล้ว จะไปไหนเองก็ได้ ใบขับขี่ก็มี”

“แต่มันดึกแล้ว นางไม่ควรออกมาคนเดียว อันที่จริงรออยู่ที่บ้านก็ได้ เข้าเฝือกเสร็จแตงกวาก็กลับได้เลย ไม่ต้องแอดมิต”

“ขืนนางไม่มา คุณย่ากับคุณป้าได้บ่นหูชาแน่ๆ จริงสิ...นางโทร. รายงานพวกท่านก่อนดีกว่าค่ะ จะได้สบายใจกัน” หญิงสาวปลีกตัวออกไปคุยโทรศัพท์

บุรีละสายตาจากณาราแล้วเดินไปหาขจรและสายชล เห็นทั้งสองตัวเกร็งมองมาตาแป๋วก็นึกฉิว แต่ก็พยายามสงบอารมณ์ไว้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ แม้คำอธิบายของสายชลมันจะน่าซัดปากสักผัวะก็ตาม ถ้าจะโทษใครก็ต้องโทษคนที่กำลังให้เพื่อนเขาเข้าเฝือกอยู่นั่นละ บอกให้รอในห้องดีๆ ก็ดันคิดหนี หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ

แต่เรื่องราวมันออกมาในรูปนี้ก็เป็นผลดีต่อเขาอยู่เหมือนกัน

“เอารถตู้กลับไปก่อน เดี๋ยวฉันจะกลับรถคุณนาง” เขาบอกสองหนุ่มด้วยน้ำเสียงปกติ

ขจรและสายชลดวงตาเป็นประกายวิบวับ หน้าตาสดชื่น หายจ๋อยเป็นปลิดทิ้ง กุลีกุจอทำตามคำสั่งทันที

“ญาติคุณสุพรรณิการ์ค่ะ”

เสียงเรียกของพยาบาลดังขึ้นที่หน้าประตู บุรีจึงรีบเดินกลับมา

“ครับ”

“คุณหมอทำเฝือกให้คนไข้เรียบร้อยแล้ว คุณเอาใบนี้ไปชำระเงินและรับยาก่อน แล้วค่อยกลับมาที่นี่ เดี๋ยวคุณหมอจะแนะนำวิธีดูแลคนไข้ระหว่างรักษาตัวที่บ้านให้ฟัง จากนั้นญาติก็พาคนไข้กลับบ้านได้ค่ะ”

 

ยี่สิบนาทีต่อมา สุพรรณิการ์ก็มานั่งซึมอยู่บนรถเข็น หมดสภาพจะขัดขืนบุรี ปล่อยให้เขาพากลับรีสอร์ตด้วยรถของณารา เมื่อมาถึงก็พบว่าคุณกานดาและคุณวรรษมนยังไม่เข้านอน พวกท่านกำลังรอเธออยู่ หลังจากถามไถ่อาการจนคลายกังวลแล้วจึงค่อยแยกย้ายกันไปพักผ่อน เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวอยู่กันตามลำพัง

“เธอนอนที่นี่ก็แล้วกัน มีห้องรับแขกอยู่ชั้นล่าง” บุรีบอกหญิงสาว ก่อนจะหันไปหาณารา “ฝากนางดูแลแตงกวาด้วย”

“ได้ค่ะ คืนนี้นางจะลงมานอนเป็นเพื่อนแตงกวาเอง งั้นนางขอตัวไปอาบน้ำก่อน น้าบกกับแตงกวาหาอะไรรองท้องหน่อยดีไหมคะ เมื่อเย็นก็ไม่ได้กินอะไร นางโทร. สั่งป้านวลให้เตรียมไว้แล้ว”

“ขอบใจ” ชายหนุ่มบอกหลาน

เมื่อเหลือกันอยู่เพียงสองคน บุรีก็ถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นคนบนรถเข็นเอาแต่ก้มหน้างุด ดูจากอาการแล้วคงจะเจ็บแผล

“หิวหรือเปล่า” เขาถาม

“ค่ะ” สุพรรณิการ์ตอบอย่างไม่อิดออด

“ดี เดี๋ยวจะได้กินยา”

เขาพาเธอมาที่ห้องอาหาร เปิดสำรับบนโต๊ะก็พบว่านวลคำทำพะแนงหมู ไข่เจียวกุ้งสับ และผัดผักรวมมิตรใส่หมูกรอบไว้ให้ หน้าตาน่ารับประทานทีเดียว

ชายหนุ่มร่างสูงเดินไปตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานนำมาเสิร์ฟให้ถึงที่ และรินน้ำใส่แก้วให้ด้วย

“ขอบคุณค่ะ”

ต่างคนต่างนั่งกินกันเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ บุรีรู้ว่าสุพรรณิการ์กำลังอึดอัด ใจจริงเขาอยากดุเธอหลายคำ แต่พอเห็นหน้าหงอยๆ นั่นแล้วก็ทำไม่ลง

“เจ็บขาแบบนี้ เธอคงต้องอยู่ที่นี่สักพัก”

คนตัวเล็กกว่าเม้มริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “กวาไม่อยากรบกวนคุณกับครอบครัวค่ะ”

“ดูแลเด็กตัวเล็กๆ คนเดียวมันจะหนักหนาอะไร บอกให้อยู่เธอก็ต้องอยู่ อ้อ...แล้วก็อย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก คนของฉันจะคอยจับตาดูเธอตลอดเวลา”

“ทำไมต้องบังคับกันด้วยคะ กวาไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากแต่งงานกับคุณ คุณเป็นคนหน้าตาดีและเพียบพร้อมทุกอย่าง ต้องมีผู้หญิงอยากเป็นภรรยาของคุณมากมาย อย่าบังคับฝืนใจกวาเลยนะคะ”

บุรีรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันออกจะกะทันหันเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่เขาตัดสินใจแล้ว และไม่คิดจะล้มเลิกกลางทาง จะว่าเขาเห็นแก่ตัวยังไงก็ได้

“ถ้าฉันขอร้อง เธอจะอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจได้หรือเปล่า อย่างน้อยก็จนกว่าจะหายดี ฉันติดหนี้บุญคุณพ่อเธอไว้มาก ถึงเธอจะปฏิเสธฉัน ไม่เห็นแก่คำสั่งเสียของพ่อ แต่ตัวฉันก็อยากจะชดเชยให้ถึงที่สุด”

พอเขาพูดถึงพ่อ สุพรรณิการ์ก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

“คุณติดค้างอะไรคุณพ่อกวาคะ”

“เธอไม่จำเป็นต้องรู้ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่”

“กวาไม่ใช่เด็กแล้ว กวาบรรลุนิติภาวะแล้วค่ะ” หญิงสาวเถียง

“ถ้าเธอยังเห็นว่าฉันแก่ นั่นก็แปลว่าเธอยังเป็นเด็กน้อยมาก”

คนตัวเล็กทำหน้าตูมเมื่อถูกย้อน ก่อนจะบ่นอุบอิบ “ก็อายุเราห่างกัน”

“มันน่าจะเป็นข้อดีนะ ฉันโตกว่า สามารถดูแลเธอได้”

“แต่กวาอยากได้คนที่เป็นเพื่อน พูดคุยภาษาเดียวกันรู้เรื่องมากกว่าค่ะ”

“แล้วที่เราคุยกันนี่มันภาษาอะไร”

สุพรรณิการ์ฟังแล้วเหลือบตามองบนด้วยความลืมตัว “คุณมีไลน์ไหมคะ”

“ไม่”

“เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ คุณเล่นหรือเปล่า”

“จำเป็นต้องเล่น?”

“พารากอนล่ะคะ รู้จักไหม”

“อะไร”

“ห้างสรรพสินค้าแถวสยาม”

“อ๋อ...” ชายหนุ่มทำท่านึกออก “รู้จักเซนเตอร์พอยนต์”

“มันถูกรื้อทิ้งไปตั้งนานแล้วค่ะ!”

“อ้อ” เขาทำเสียงรับรู้เนือยๆ ซ่อนยิ้ม แต่คนที่ไม่ทันสังเกตถึงกับต้องกุมขมับ

“น้าบกคะ” สุพรรณิการ์เปลี่ยนวิธีใหม่ เผื่อพูดจาดีๆ แล้วเขาจะใจอ่อน “เราเข้ากันไม่ได้หรอกค่ะ ทั้งมุมมอง นิสัย การใช้ชีวิต และมันอาจจะฟังดูไร้สาระนะคะ คือ...กวาอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เรียนให้เต็มที่ เล่นให้สุดเหวี่ยง ทำอะไรตามใจ ออกท่องเที่ยวเจอผู้คน ได้พบรัก โชคร้ายหน่อยก็อาจจะอกหัก นั่นคือชีวิต กวาอยากทำอะไรอีกตั้งมากมายก่อนแต่งงาน”

บุรีอิ่มพอดี เขารวบช้อนแล้วเอนหลังมองเธอด้วยสายตานิ่งๆ

“เธอสามารถทำทุกอย่างที่พูดมาได้หลังแต่งงานกับฉัน ฉันอนุญาต เว้นแต่เรื่องพบรักกับอกหักอะไรนั่นคงต้องตัดออก”

สุพรรณิการ์แทบจะสำลักน้ำที่เพิ่งยกขึ้นดื่ม มองเขาตาปริบอยู่หลายวินาที ซึ่งบุรีรู้ว่าเธอต้องการสื่อความหมายอะไร แต่เขาขี้เกียจฟัง

“อิ่มแล้วใช่ไหม งั้นก็กินยา”

ชายหนุ่มจัดยาแล้วรอกระทั่งคนขาเจ็บดื่มน้ำตามเรียบร้อยจึงค่อยลุกขึ้น ตอนนั้นเองณาราเดินเข้ามาพอดี คนที่ตั้งท่าจะคุยต่อให้เคลียร์จึงต้องสงบปากสงบคำไว้ก่อน

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ มาค่ะ นางดูแลแตงกวาต่อให้เอง น้าบกจะได้พัก”

“ฝากด้วย”

“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”

สุพรรณิการ์ฟังอาหลานสนทนาโต้ตอบกันเงียบๆ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเข็นออกจากห้องอาหารแล้ว บุรีแยกกลับบ้านพักของเขาโดยไม่ได้พูดอะไรกับเธออีกเลย

“เดี๋ยวนางช่วยอาบน้ำให้นะ” ณาราพาคนขาเจ็บเข้ามาในห้องพักรับรองแขก จอดรถเข็นไว้ตรงหน้าห้องน้ำ

“กวาอาบเองดีกว่าค่ะ แค่ระวังไม่ให้เฝือกโดนน้ำก็พอ”

“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวนางหยิบชุดให้”

สุพรรณิการ์เพิ่งเห็นว่ากระเป๋าเดินทางของเธอวางอยู่บนเตียงเรียบร้อย จึงบอกรหัสให้ณาราโดยไม่ถือสา เนื่องจากเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน

“แตงกวา”

“คะ?” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเห็นหลานสาวของบุรีหยุดมือที่กำลังรูดซิปเปิดกระเป๋า

“คือ...ที่ห้องอาหารเมื่อกี้ นางได้ยินแตงกวาคุยกับน้าบก ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทนะ แต่นางอยากรู้ว่าแตงกวาคิดยังไง” ณาราเว้นจังหวะนิดหนึ่ง ก่อนจะถาม “แตงกวาไม่อยากแต่งงานกับน้าบกจริงๆ เหรอ”

“ค่ะ” คนฟังตอบโดยไม่ต้องคิด

“เพราะแตงกวาเพิ่งพบน้าบก ยังไม่รู้จักคุ้นเคยกันใช่ไหม เลยคิดว่ามันออกจะกะทันหันเกินไปหน่อย”

“ค่ะ”

“นางเข้าใจความรู้สึกของแตงกวาในตอนนี้นะ แต่ก็อยากบอกให้รู้ว่าแม้ภายนอกน้าบกจะดูดุในสายตาคนอื่น แต่กับคนในครอบครัว น้าบกน่ารักมาก ใครได้เป็นภรรยาของน้าบกคือโชคดีที่สุด น่าเสียดายถ้าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่แตงกวา คือ...นางก็แค่ให้ข้อมูลเฉยๆ น่ะ”

“แต่เราไม่ได้รักกัน แถมอายุก็ห่างกันมาก”

“เอาจริงๆ แล้วอายุมันไม่ใช่อุปสรรคหรอก มีหลายคู่ที่แต่งงานอยู่กินด้วยกันอย่างมีความสุข มันอยู่ที่การปรับตัวและยอมรับกันและกัน”

“ไม่มีเวลาปรับตัวหรอกค่ะ น้าบกจะให้กวาแต่งงานท่าเดียว” คนตัวเล็กบอกพลางถอนหายใจ

“แตงกวายังไม่ปรับ แต่น้าบกเขาทำไปก่อนแล้วนะ”

“คะ?” สุพรรณิการ์ทำหน้างง

“ก็...” ณาราคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงน้าชาย “นอกจากคนในครอบครัวและลูกน้อง แตงกวาเป็นผู้หญิงคนแรกที่น้าบกยอมคุยด้วยเกินหนึ่งนาที และวันนี้นางก็เห็นน้าบกใจเย็นเหมือนน้ำแข็งมากที่สุด ทั้งที่แตงกวาทำให้เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงตลอดเวลา นี่ถ้าเป็นคนอื่นนะ มีหวังน่วม”

“น่วม...”

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ น้าบกไม่ทำร้ายผู้หญิงหรอก นางแค่พูดเล่น” ณาราหัวเราะแล้วรื้อกระเป๋าเดินทางต่อ ค้นชุดนอนลูกไม้สีขาวสะอาดเนื้อนุ่มได้ก็เดินมายื่นให้คนบนรถเข็น

“ขอบคุณค่ะ” สุพรรณิการ์เอ่ยเบาๆ

“แตงกวาเหลือตัวคนเดียวแล้ว จะใช้ชีวิตต่อไปยังไงควรคิดให้รอบคอบ มีคนดูแล ดีกว่าไม่มีใครเลยนะ แต่ก็เอาเถอะ แตงกวาต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ค่อยๆ คิดไปก็ได้ มีอะไรก็คุยกับนางเนอะ”

หลานสาวของบุรีทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้เพียงเท่านั้น ทว่ากลับทำให้สุพรรณิการ์นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น