เรื่องจริงหรือฝันไป
ถ้ามันคือความฝัน เธอขอตื่นได้ไหม...
หญิงสาวร่างเล็กบนเตียงสะดุ้งตื่นพร้อมคราบน้ำตา และพบกับความจริงว่าพ่อไม่อยู่แล้ว พ่อตายไปแล้ว
สุพรรณิการ์นอนกอดรูปพ่อทั้งคืน พยายามทำจิตใจให้เข้มแข็ง แต่พอนึกถึงท่านทีไร น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง
โรคมะเร็งปอดพรากชีวิตของพ่อไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ท่านสูบบุหรี่จัดตั้งแต่เธอจำความได้ ทุกครั้งที่ทะเลาะกับแม่ พ่อสูบหนักขึ้นเป็นสองเท่า แต่ก็พยายามไม่ให้ลูกเห็น กระทั่งเธอเข้ามหาวิทยาลัยพ่อถึงรับปากว่าจะเลิก แต่มันก็สายเกินไป มะเร็งเกิดขึ้นแล้ว รวมทั้งอาการถุงลมโป่งพองและอื่นๆ สารพัด
พ่อไม่ได้จากไปแบบปุบปับ เธอมีช่วงเวลาดีๆ กับท่านจนถึงวาระสุดท้าย พ่อเข้มแข็งมากแม้จะต้องรับการบำบัดแสนทรมาน ท่านสอนให้เธอเข้มแข็งเหมือนท่าน ในวันที่จะต้องเผชิญกับโลกใบนี้เพียงลำพังโดยไม่มีท่านอยู่ด้วย
พ่อบริจาคร่างกายให้แก่สภากาชาดไทย เธอจึงไม่มีโอกาสจัดงานศพ แต่ก็นึกภาคภูมิใจที่ท่านทำอย่างนั้น เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อคนมากมายในภายภาคหน้า
ก่อนพ่อจะเสีย เธอบอกกับท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงลูกสาวคนนี้ อีกไม่นานเธอก็จะเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ตอนนี้มีงานพิเศษดีๆ ทำควบคู่ไปด้วย แถมพ่อยังทิ้งเงินก้อนหนึ่งไว้ให้เรียนต่อ ถึงอย่างนั้นท่านก็เป็นห่วงเธอที่ไม่มีคนคอยดูแลเพราะไร้ญาติ แต่ก็มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ชื่อเชษฐ์พอจะช่วยเหลือได้ เพียงแค่เธอโทร. ไปตามเบอร์ที่จดไว้ในสมุดโน้ต และนำจดหมายฉบับหนึ่งไปมอบให้ผู้หญิงที่ชื่อมน
มือเล็กเอื้อมหยิบสมุดปกเขียวบนหัวเตียงมาเปิดดู มีซองจดหมายสีขาวคั่นกลางอยู่ในหน้าซึ่งมีรายละเอียดที่อยู่ของผู้หญิงคนนั้น หลังจากลองใส่ข้อมูลค้นหาทางอินเทอร์เน็ตก็พบว่าบ้านตั้งอยู่ในย่านทองหล่อ เธอจึงต้องเดินทางไปที่นั่นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าจะเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันขึ้น และมันจะทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
คนซึ่งกำลังคิดถึงพ่อจับใจเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนมากกว่าหนึ่งเดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่
สุพรรณิการ์ใจหายวาบ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความคาดไม่ถึง ผู้หญิงที่ชื่อมนคือคุณวรรษมนอย่างนั้นหรือ มันเป็นไปได้อย่างไร
แต่แล้วรูปถ่ายกรอบใหญ่บนหลังตู้โชว์ก็ยืนยันว่านี่คือความจริง ในรูปมีคุณวรรษมนและลูกชายทั้งสี่คนรวมทั้งน้องบุญธรรมและหลานสาวถ่ายร่วมกันที่สนามหญ้า เธอเข้ามานั่งอยู่ในห้องนี้ตั้งนานสองนาน แต่ดันมองไม่เห็นมัน!
ลมหายใจสะดุดกึกพร้อมหัวใจเต้นแรง โดยเฉพาะเมื่อถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเหมือนเป้านิ่ง เหตุการณ์ทุกอย่างดูพร่าเลือนพอๆ กับสติสัมปชัญญะของเธอ แทบจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกับผู้ชายตรงหน้าไปบ้าง กระทั่งเห็นเขาฉีกจดหมายอ่านต่อหน้าต่อตา นั่นเองสติถึงได้กลับคืนมาพร้อมกับความโกรธและตกใจสุดขีด
พ่ออุตส่าห์สั่งย้ำนักหนาว่าให้ส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือคุณมน แต่ด้วยความประหม่าทำให้เธอตัดสินใจผิด ยอมมอบมันไว้กับคนที่น่าจะไว้ใจได้ แต่ดูเขาทำกับเธอสิ!
“น้าบกคงไม่ได้ไปอเมริกาแล้วละ”
“ไปคุยกันข้างนอก” คนหน้าดุบอกหลานชาย ก่อนจะหันมาสั่งเธอ “นั่งรอก่อน”
สุพรรณิการ์รู้สึกสับสนไปหมด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมทั้งสองคนถึงมีท่าทางตึงเครียดหลังจากอ่านจดหมายจบ พ่อของเธอเขียนอะไรไว้อย่างนั้นหรือ
สักพักบุรีก็เดินกลับเข้ามาในห้องเพียงลำพัง ไร้วี่แววของหลานชาย เขายังมีสีหน้าบอกบุญไม่รับอยู่เช่นเดิม
“ตามฉันมา”
“ไปไหนคะ” เธอถามงงๆ
“บ้านเธอ”
“บ้านกวา?”
“ใช่ ไปเก็บเสื้อผ้า ฉันจะพาเธอขึ้นเชียงใหม่วันนี้เลย”
ชีวิตของสุพรรณิการ์พลิกผันภายในชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลังออกจากบ้านจารุบวรกิจแล้ว บุรีก็สั่งให้เธอบอกทางพาไปยังบ้านพักเพื่อเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว
แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นปุบปับ แต่เธอก็รู้สึกดีใจที่จะได้พบคุณวรรษมนเพื่อทำตามคำสั่งเสียของพ่อให้สำเร็จ ทว่าตอนนี้จดหมายหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่กับใคร เธอไม่กล้าถามเสียด้วยสิ รู้แค่จิระยุเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิแล้วด้วยรถตู้ของโรงแรม ส่วนเธอและบุรีกำลังจะไปสนามบินดอนเมือง
ชายร่างสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเดินตามเข้ามาในบ้าน ถึงห้องรับแขกเล็กๆ เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งกอดอกบนเก้าอี้โดยไม่พูดจาอะไร
“จะรับน้ำ...”
“ไม่ต้อง” เจ้าของเสียงเข้มตอบสวนกลับมา “รีบไปจัดเสื้อผ้าซะ เอามาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ เครื่องจะออกในอีกสองชั่วโมง รีบหน่อย”
แม้จะไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน เธอก็พอจะรู้ว่าต้องเผื่อเวลาก่อนบินพอสมควร อย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมงสำหรับการเดินทางภายในประเทศ
“จัดสำหรับค้างแค่คืนเดียวไม่พอเหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“สั่งอะไรก็ทำตามนั้น ไปสิ”
“ค่ะๆ” รับคำแล้วก็รีบขึ้นห้องไปจัดกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว แม้เขาจะบอกให้เตรียมเสื้อผ้าไปให้เยอะที่สุด แต่เธอคิดว่าไม่จำเป็น จึงจัดแค่พอประมาณ โดยไม่ลืมนำซองหนังซึ่งเก็บรูปถ่ายและสมุดโน้ตของพ่อไปด้วย
สิบนาทีหลังจากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเดินทางแบบล้อลากลงบันไดมา พอคนตัวใหญ่เห็นขนาดของกระเป๋าก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมมีแค่นี้”
สุพรรณิการ์กลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นสายตาดุๆ นั้น
“กวามีเสื้อผ้าไม่เยอะค่ะ” ตอบแล้วก็ได้แต่ยืนตัวเกร็ง นึกว่าเขาจะต่อว่าอะไรเสียอีก แต่ก็เปล่า
“ช่างเถอะ งั้นก็ไปกัน ช่วงนี้รถติด เดี๋ยวจะตกเครื่อง”
ชายหนุ่มร่างสูงเดินมาคว้ากระเป๋าแล้วลากออกไปยังรถ ก่อนจะส่งต่อให้คนขับนำไปเก็บไว้ที่กระโปรงด้านหลัง
เขาเปิดประตูเข้าไปนั่งฝั่งซ้าย เธอเลยต้องนั่งด้านหลังคนขับเหมือนเมื่อตอนขามา ตลอดการเดินทางเธอแอบมองเขาอยู่หลายครั้งโดยที่เขาไม่รู้ตัว เพราะเอาแต่มองทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างเหมือนกำลังขบคิดอะไรอยู่ เขาไม่พูดจากับใครสักคำจนกระทั่งถึงสนามบิน
“ขอบใจนะธง ขับรถกลับดีๆ”
“เดินทางปลอดภัยนะครับน้าบก” หนุ่มอ่อนวัยกว่าบอกผู้เป็นนาย
“ฝากดูแลบ้านด้วย”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลอย่างดี”
บุรีพยักหน้าพอใจ ก่อนจะตวัดสายตามายังผู้หญิงตัวเล็กซึ่งยืนสงบเสงี่ยมอยู่ใกล้ๆ
“ลากกระเป๋าตามมา”
“ค่ะ”
คราวนี้เขาไม่ช่วยเธอเพราะมีสัมภาระใบใหญ่กว่าต้องรับผิดชอบ ดูจากขนาดกระเป๋าก็รู้ว่าเตรียมตัวไปอยู่อเมริกานานทีเดียว แต่สุดท้ายก็ต้องอดไป ทำให้สุพรรณิการ์รู้สึกผิดไม่น้อย
หลังจากเช็กอินที่เคาน์เตอร์และโหลดกระเป๋าเสร็จ ก็ต้องรีบเดินเข้าสู่ด้านในเพราะได้เวลาบอร์ดดิงพอดี และเนื่องจากจองตั๋วกะทันหันจึงมีตัวเลือกไม่มากนัก ทำให้ได้ที่นั่งชั้นประหยัดริมทางเดินฝั่งเดียวกัน แต่อยู่ห่างกันถึงห้าแถว
บุรีถึงที่นั่งก่อน สุพรรณิการ์ต้องเดินลึกเข้าไปอีก ทุกย่างก้าวที่ห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกโหวงเหวงในใจอย่าง
บอกไม่ถูก เพราะมันเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตของเธอ จึงรู้สึกตื่นเต้นและประหม่ามาก พยายามชะเง้อคอมองหาคนตัวสูง แต่ก็เห็นเพียงศีรษะของเขาจากด้านหลังเท่านั้น
“รัดเข็มขัดด้วยนะคะ”
แอร์โฮสเตสหน้าตาสวยบอกพร้อมส่งยิ้มหวาน ครั้นเห็นเธอยังงกๆ เงิ่นๆ ก็ช่วยดึงสายเข็มขัดมารัดให้
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวเบาๆ แล้วค่อยถอนหายใจหลังจากนางฟ้าคนสวยเดินไปให้บริการผู้โดยสารคนอื่นต่อ จากนั้นก็มีการสาธิตการใช้อุปกรณ์ต่างๆ บนเครื่องในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งเธอไม่ได้ให้ความสนใจมากนักเนื่องจากรู้สึกมึนศีรษะ
สิบห้านาทีต่อมาเครื่องบินก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำเอาคนไม่เคยนั่งเครื่องใจเต้นตุบๆ ระคนหวิวๆ มือไม้เกร็งและเย็นเฉียบ นึกภาวนาขอให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยจนถึงจุดหมาย...แต่แล้วเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษเครื่องก็ลงจอดที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่อย่างราบรื่น ใช้เวลาน้อยกว่าการเดินทางจากบ้านของเธอไปเรียนหนังสือเสียอีก
เมื่อกัปตันเปิดสัญญาณให้ถอดเข็มขัดได้ หญิงสาวดูคุณป้าข้างๆ แล้วทำตาม คุณป้าทำท่าจะลุก เธอจึงต้องออกมายืนตรงทางเดินรวมกับคนอื่น
แถวไหลไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เธอขยับมาจนเกือบจะถึงบุรีแล้ว เขายังนั่งเฉย แต่ที่นั่งด้านในสองที่ว่างเปล่า คงจะเปิดทางให้คนเหล่านั้นลุกออกไปก่อนกระมัง
“คุณ...โอ๊ะ”
จังหวะจะเรียกเขา ชาวต่างชาติซึ่งนั่งอยู่ด้านขวาก็ลุกพรวดออกมาชนเธอจนกระเด็นไปกระแทกกับพนักเก้าอี้ข้างหน้าบุรี แล้วจู่ๆ ร่างของเธอก็ถูกฉุดหวือให้ลงมานั่งแหมะบนตักของเขา โดยมีอ้อมแขนแกร่งโอบกระชับรอบเอวคอดเอาไว้อย่างแนบแน่น
“อย่าเกะกะ”
เขากระซิบชิดใบหู ทำให้เธอขนลุกซู่ไปทั้งร่าง โดยเฉพาะแก้มข้างขวาซึ่งอยู่ติดกับริมฝีปากของเขา สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของอะไรบางอย่างที่เธอไม่รู้จัก แต่กลับทำให้หัวใจเต้นแรงและเลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่าง
“คุณ...”
“หดขาเข้ามา ให้คนอื่นลงไปก่อน เธอจะได้ไม่เจ็บตัว แล้วต่อจากนี้ให้เรียกฉันว่าน้าบก”
แม้จะเขินอายสุดขีด แต่ก็รีบทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายเพื่อไม่ให้เกะกะคนอื่น แล้วพยายามก้มหน้างุด ไม่ยอมสบสายตาใคร เพราะสภาพของเธอกับบุรีตอนนี้มันน่าอายมาก แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย
“เมาเครื่องหรือเปล่า” เขาถามระหว่างรอ
“นิดหน่อยค่ะ กวา...เอ่อ...เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก” เธอตอบเสียงแผ่ว รู้สึกลมหายใจติดขัดมากขึ้นทุกที ท้องไส้ก็ปั่นป่วนไปหมด พยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ แค่ต้องการช่วยเหลือเธอเท่านั้น?
มันไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าแล้วหรือไงนะ อย่างเช่นขยับไปอีกนิดเพื่อให้เธอได้นั่งบนเบาะโดยไม่ต้องซ้อนตักเขา!
เมื่อเห็นว่าผู้โดยสารทยอยลงจากเครื่องเกือบหมดแล้ว สุพรรณิการ์จึงขยับตัวลุก แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะคนตัวใหญ่ยังไม่ยอมคลายวงแขนออก
“น้าบกปล่อยกวาสิคะ”
“ขอบคุณหรือยัง ตอนช่วยยกกระเป๋าก็ทีหนึ่งแล้ว”
อะไรนะ
หญิงสาวทำหน้าตาเหลอหลา แววตาดุๆ นิ่งๆ นั้นไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
“พูดขอบคุณมาแล้วจะปล่อย รู้ไหมว่าเธอทำให้ชีวิตของฉันวุ่นวายมากแค่ไหน”
เหมือนเขาจะรู้เท่าทันความคิด
“ขอบคุณค่ะ” เธอรีบเอ่ยทันที แล้วต้องร้องวี้ดเบาๆ เมื่อเขาใช้มือดันร่างของเธอออกไปให้พ้นตัวราวกับเป็นของร้อน ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ที่รีสอร์ตคงส่งคนมารับแล้ว ไปกันเถอะ”
พูดจบก็เดินนำไปก่อนเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้คนกำลังงงได้แต่อ้าปากค้าง มองตามไปตาปริบๆ...ทว่าพอ
นึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ใบหน้าหวานก็แดงซ่านขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
กว่าจะถึงเฮือนกานดา รีสอร์ตซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในอำเภอแม่ริม ก็เป็นเวลาโพล้เพล้ สุพรรณิการ์ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน รู้ตัวอีกทีรถตู้ก็เลี้ยวเข้าสู่อาณาเขตธุรกิจอีกแห่งหนึ่งของตระกูลจารุบวรกิจแล้ว
หญิงสาวไม่เคยมาที่นี่ ไม่เคยเจอคุณวรรษมนเลยสักครั้ง และคาดไม่ถึงว่าท่านจะเป็นคนคนเดียวกับที่พ่อเคยเอ่ยถึงก่อนตาย
ภายในรีสอร์ตร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาพรรณ การตกแต่งอาคารห้องพักซึ่งตั้งแยกเป็นสัดส่วนผสมผสานระหว่างปูนสีขาวเรียบโก้และไม้สักทองหรูหรางดงามตามแบบเมืองเหนือ
รถไม่ได้แล่นเข้าไปจอดที่หน้าล็อบบี แต่เลี้ยวซ้ายอ้อมสระบัวขนาดใหญ่มุ่งสู่บ้านพักส่วนตัวของเจ้าของรีสอร์ต คฤหาสน์ปูนสองชั้นทำให้เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็น แสงไฟจากโคมสนามและตามจุดต่างๆ ของตัวบ้านส่งให้บรรยากาศโดยรอบดูละมุนเหมือนภาพวาด อย่างที่ไม่เคยเห็นที่ใดสวยเท่านี้มาก่อน
ทันทีที่รถจอดสนิท คนตัวสูงซึ่งนั่งเงียบมาพักใหญ่ก็ขยับตัวหันมาถาม
“จำที่ฉันบอกได้หรือเปล่า”
“ได้ค่ะ”
“ลองว่ามา”
สุพรรณิการ์ลอบถอนหายใจ
เขาเห็นว่าเธอเป็นพวกความจำสั้นหรือไงนะ ถึงจะเผลอหลับไปพักหนึ่ง แต่เธอก็ไม่ได้ลืมสิ่งที่เขากำชับไว้ก่อนหน้านี้เสียหน่อย ที่สำคัญเธอรู้ข้อมูลพวกนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยพบปะหรือพูดคุยกับใครเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเอง
“ที่บ้านมีคุณวรรษมนอยู่กับคุณแม่ของเธอ ท่านชื่อคุณกานดา แล้วก็มีคุณจุลจักรซึ่งเป็นลูกชายคนเล็ก ส่วนคุณณาราเป็นหลานสาวแท้ๆ ของน้าบก แต่น้าบกเป็นลูกชายบุญธรรมของคุณกานดา”
พอเห็นเขาพยักหน้าพอใจ เธอก็อดถามไม่ได้
“ทำไมกวาจะต้องจำเรื่องพวกนี้ด้วยคะ แค่มาพบคุณมนเพื่อมอบจดหมาย กวาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องส่วนตัวของครอบครัวน้าบกเลยก็ได้”
“ให้จำก็จำไว้เถอะ ฉันขี้เกียจมาแจกแจงให้ฟังทีหลัง ลงจากรถกันได้แล้ว”
หนุ่มร่างสูงเปิดประตูลงไปก่อน ด้านล่างมีผู้หญิงรูปร่างอวบอิ่มซึ่งอายุมากกว่าเขายืนรออยู่ด้วยท่าทางนอบน้อม พอเธอตามลงไป หญิงผู้นั้นก็ส่งยิ้มหวานให้
“เดินทางมาเหนื่อยไหมคะ หน้าตาน่าเอ็นดูจริงเชียว เดี๋ยวเชิญที่ห้องนั่งเล่นก่อนนะคะ ตอนนี้พวกคุณๆ รออยู่ที่นั่น เด็กยังตั้งสำรับมื้อเย็นไม่เสร็จ”
“นี่พี่นวลคำ เป็นแม่บ้านที่นี่”
เมื่อได้รับการแนะนำ สุพรรณิการ์ก็รีบยกมือไหว้ เรียกสายตาเอ็นดูจากผู้สูงวัยกว่า
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อแตงกวานะคะ”
“ป้าทราบแล้วค่ะ ทุกคนกำลังรอคุณแตงกวาอยู่”
ดวงตากลมโตตวัดมองคนตัวสูงทันที จากที่ไม่คิดอะไรก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น และเพิ่งเข้าใจว่าที่เขาไล่เรียงชื่อสมาชิกครอบครัวให้ฟัง เป็นเพราะเธอจะต้องเผชิญหน้ากับทุกคนที่กล่าวมา ไม่ใช่แค่คุณวรรษมนเพียงคนเดียว
ขนาดไม่ครบองค์ทั้งครอบครัว เธอก็เริ่มหวั่นๆ เสียแล้วสิ
“เชิญเถอะค่ะ ไม่ต้องเกร็ง คุณท่านกับคุณมนเธอใจดี”
นวลคำให้กำลังใจแล้วเดินนำเข้าบ้าน แต่ก่อนจะถึงห้องนั่งเล่น หญิงสาวก็รู้สึกฝ่อจนต้องเอ่ยเสียงแผ่ว
“ขอกวาเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหมคะ”
“ตามสบายเลยค่ะ ห้องน้ำอยู่ทางโน้น”
นวลคำชี้ไปยังทางเดินอีกด้าน สุพรรณิการ์จึงรีบขอบคุณแล้วปลีกตัวออกมาทันที
ระหว่างรอแขกเข้าห้องน้ำ แม่บ้านคนเก่าแก่เงยหน้ามองบุรีพร้อมยกมือแตะต้นแขนเบาๆ
“หนูแตงกวารู้หรือเปล่าคะ ว่าคุณบกพาเธอมาที่นี่ทำไม”
“ผมยังไม่ได้บอก”
“ว่าแล้วเชียว ถึงดูไม่ค่อยออกอาการ คุณบกนะคุณบก งั้นเดี๋ยวนวลคงต้องไปเตรียมยาหอมไว้ก่อน รูปร่างเล็กบอบบางเหลือเกิน เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะยุ่ง”
“เด็กนั่นไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
แม้จะตอบอย่างนั้น แต่สีหน้าของเจ้านายก็ไม่ได้คลายความกังวลลงแม้แต่น้อย
สุพรรณิการ์รู้สึกตัวเล็กลีบเท่ามดเมื่อเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นโดยถูกจับจ้องด้วยดวงตาสี่คู่ เสียงพูดคุยเงียบลงทันทีที่เธอปรากฏตัว
คุณกานดา ประมุขของบ้านนั่งอยู่ท่ามกลางลูกหลาน แม้ตัวท่านมีอายุล่วงเลยเจ็ดสิบปีไปแล้วตามที่บุรีบอก แต่ก็ยังดูแข็งแรงมาก รูปร่างเล็กสมส่วน และยังดูทันสมัยด้วยทรงผมซอยสั้นหยักศกนิดๆ ซึ่งมีสีขาวโพลนทั้งศีรษะ ท่านยิ้มรับเธอตั้งแต่เดินเข้ามา ทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาก
“มาแล้วเหรอจ๊ะ”
คนพูดคือคุณวรรษมนซึ่งนั่งอยู่ข้างผู้เป็นแม่ ท่านมีเค้าโครงใบหน้าคล้ายคลึงราวกับพิมพ์เดียวกัน ทว่ารูปร่างใหญ่กว่าเล็กน้อย ตัวสูงกว่า หน้าตาใจดี ดูมีเมตตาเหมือนที่ป้านวลคำบอกจริงๆ
เมื่อมองโซฟาด้านซ้าย หญิงสาวเห็นผู้ชายหน้าตาถอดเค้าคมคายมาจากจิระยุนั่งอยู่ เป็นจุลจักรนั่นเอง เขาจ้องเธอนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความสนใจพอควร ส่วนที่โซฟาด้านขวาคือหลานสาวของบุรี...ผู้หญิงอะไรสวยจัง แถมยังมีลักยิ้มทั้งสองข้างด้วย ทั้งสวยและมีเสน่ห์แบบมองเท่าไรก็ไม่เบื่อ ออร่ากระจายแม้จะสวมเพียงเสื้อยืดกับกางเกงยีนขาสั้นอยู่บ้านสบายๆ เท่านั้น
เธอยกมือไหว้ทุกคนรวมทั้งณารา เพราะเดาว่าตัวเองน่าจะอายุน้อยกว่า
“ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที” คุณกานดายิ้มพอใจ ก่อนจะหันไปบอกหลานชาย “จักรไปนั่งกับน้องก่อนนะ ยายอยากคุยกับหนูแตงกวาใกล้ๆ”
ทายาทคนเล็กของบ้านมีท่าทีอึกอัก แต่ก็ยอมลุกโดยดี ทว่าจังหวะจะหย่อนตัว คนที่นั่งอยู่ก่อนกลับเขยิบหนีไปจนสุดโซฟาอีกด้าน ทำเอาคนตัวสูงต้องส่งสายตาคาดโทษ ทุกคนเห็นเหตุการณ์เหมือนกันหมด แต่ก็ทำเพิกเฉยเสีย
“มานั่งตรงนี้สิจ๊ะ”
เกิดความประดักประเดิดขึ้นมาทันที ทว่าเมื่อสุพรรณิการ์เห็นบุรีพยักหน้าให้ จึงเดินค้อมตัวเข้าไปโดยมีชายหนุ่มร่างสูงตามมานั่งด้วย
“ทำตัวตามสบายเถอะจ้ะ ไม่ต้องเกร็ง”
น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลนั้นทำให้อาการเกร็งของเธอคลายลงได้จริงๆ
“ขอบคุณค่ะ”
“ฉันเสียใจด้วยนะ เรื่องคุณพ่อ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบคำเดิมซ้ำ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรได้ดีกว่านี้
“หนูอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ”
“ยี่สิบค่ะ”
“งั้นก็รุ่นเดียวกับยายนาง เรียนมหาวิทยาลัยใช่ไหม”
“ค่ะ หนูเรียนปีสาม แต่ดรอปไว้ก่อนเพราะมีเรื่องคุณพ่อ”
“ไม่เป็นไรนะ หนูยังมีเวลาเรียนอีกเยอะ ช่วงที่ผ่านมาหนูต้องดูแลพ่อ คงจะลำบากมาก” พูดแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ มองเธอด้วยแววตาอ่อนลง “คงจะเพลียจากการเดินทางสินะ พวกเราขอคุยธุระด้วยแป๊บเดียว แล้วหนูจะได้ไปพักผ่อน... มนจัดการเถอะ แม่แล้วแต่ลูกกับตาบก”
“ได้ค่ะคุณแม่” ว่าแล้วคนมีศักดิ์เป็นพี่ก็หันมาหาน้องชายบุญธรรม “ขอพี่ดูจดหมายหน่อยสิบก”
ซองจดหมายสีขาวยับเยินถูกส่งให้ทันที
“สภาพอย่างนี้ ฝีมือพี่จิแน่ๆ”
“จะมีใคร”
น้าชายตอบหลานคนเล็ก จากนั้นก็เงียบกันไปทั้งห้อง รอจนกระทั่งวรรษมนอ่านจดหมายจบ สุพรรณิการ์เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะอยากรู้ว่าพ่อเขียนอะไรไว้ในจดหมายบ้าง
“เหมือนที่บกเล่าให้ฟังทุกอย่าง เอาละ...เรื่องนี้พี่จะให้บกเป็นคนตัดสินใจ ถ้ายังยืนยันเหมือนเดิม พี่ก็จะไม่ว่า แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของหนูแตงกวาด้วย”
คนถูกพาดพิงถึงทำหน้างง และยิ่งสับสนเมื่อได้ยินคำตอบจากคนข้างตัว
“ผมยืนยันคำเดิมครับ”
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ คุณมนพอจะบอกกวาได้ไหมคะ ว่าคุณพ่อเขียนอะไรไว้ในจดหมายบ้าง”
“เป็นคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของพ่อเธอ”
คนเสียงดุตอบแทรกขึ้น หญิงสาวจึงหันมามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“มันเกี่ยวข้องกับกวาด้วยเหรอคะ”
“ใช่” เขาตอบแล้วจ้องหน้าเธอนิ่ง “เธอกับฉันต้องแต่งงานกัน”
“อะไรนะคะ!” คนตัวเล็กตกใจจนเสียงหลง “ปะ...เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ คุณพ่อไม่มีทางทำอย่างนั้น”
“คิดว่าฉันโกหก?”
“เพราะมันไม่มีเหตุผลเลย”
“เหตุผลมันมี แต่ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบาย เอาเป็นว่าเธอกับฉันต้องแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด”
“ไม่ค่ะ กวาไม่แต่ง ยังไงก็ไม่แต่ง”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะหนูแตงกวา” วรรษมนพยายามช่วยแก้สถานการณ์
“พวกคุณติดค้างหนี้บุญคุณพ่อของกวาเหรอคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็สบายใจได้ กวาไม่ต้องการอะไร คุณพ่อคงเป็นห่วง แต่กวาอยู่ได้ ไม่ต้องให้ใครมาดูแลหรอกค่ะ”
“อวดดี”
น้ำตาใสๆ เริ่มรื้นขึ้นมาเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา
“คุณอาจจะคิดว่ากวาอวดดี แต่นี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่นิยายที่จะต้องมีคนมาทดแทนบุญคุณกันด้วยเรื่องที่กวาไม่เคยรับรู้มาก่อน และคุณควรจะดีใจนะคะที่ไม่ต้องแต่งงานกับคนแปลกหน้าอย่างกวา การแต่งงานโดยปราศจากความรักมันไม่มีความสุขหรอกค่ะ กวาเห็นคุณพ่อกับคุณแม่ระหองระแหงกันมาตั้งแต่จำความได้ แล้วในที่สุดมันก็จบลงด้วยความเจ็บปวด”
คนตัวใหญ่หน้าตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะถูกเด็กรุ่นหลานอย่างเธอตอกกลับให้เสียหน้า รวมทั้งการที่เธอจงใจเรียกเขาว่า ‘คุณ’ นั่นด้วย
“ฉันว่า...” วรรษมนทำท่าจะพูด แต่กลับถูกน้องชายปรามไว้ก่อน
“ขอผมจัดการเรื่องนี้เองครับพี่มน”
“ทำลายจดหมายนั่นเถอะค่ะ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย พรุ่งนี้กวาจะกลับกรุงเทพฯ กลับไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น กวาไม่ต้องการแต่งงานกับคุณบก ขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ”
ห้องทั้งห้องพลันเงียบกริบ สีหน้าผู้ใหญ่ทุกคนดูเคร่งเครียด เว้นแต่ณาราที่ส่งสายตามาให้เธออย่างให้กำลังใจ
“ออกไปกับฉัน เราต้องคุยกัน” ไม่พูดเปล่า คนตัวใหญ่ฉุดข้อมือของเธอให้ลุกตาม
“ไปไหนคะ” สุพรรณิการ์ถามหน้าตาตื่น มือแข็งดังคีมเหล็กของเขาบีบกระชับข้อมือจนรู้สึกเจ็บ
เขาไม่ตอบ แต่หันไปบอกกับครอบครัว “ไม่ต้องตามมานะครับ ผมต้องการคุยกับเด็กคนนี้เป็นการส่วนตัว”
“ใจเย็นๆ นะบก” วรรษมนลุกขึ้นด้วยความตกใจ
“ถ้าดึกแล้วยังไม่พามาส่งก็เก็บสำรับได้เลย พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน”
คนเป็นพี่อ้าปากค้าง จะพูดจาห้ามปรามอะไรก็ไม่ทันแล้ว เพราะน้องชายอุ้มสุพรรณิการ์พาดบ่าเดินดุ่มๆ ออกจากบ้านไปที่เรือนหลังเล็กโดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆ อีกเลย
“ทำยังไงกันดีคะคุณแม่”
ประมุขของบ้านยังคงนั่งอยู่ในอาการสงบ แม้ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยจะดูเคร่งเครียด แต่ก็ไม่เท่าลูกสาว
“นั่งก่อนเถอะมน ใจเย็นไว้ ตอนนี้เราคงทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของตาบก”
“แต่หนูแตงกวายังเด็ก ดูเรียบร้อยอ่อนหวานไปทั้งเนื้อทั้งตัว ผิดจากบกลิบลับ ผู้ใหญ่อย่างเราจะรังแกเด็กได้ลงคอเหรอคะ”
“ยังไงวันนี้มันก็ต้องมาถึง”
เจอคำพูดนี้เข้าไป คนเป็นลูกถึงกับพูดไม่ออก
“แต่ก็น่าสงสารแตงกวานะคะคุณย่า อายุเท่านาง ยังใช้ชีวิตสนุกๆ ไม่เต็มที่เลย มหาวิทยาลัยก็ยังเรียนไม่จบ แต่ต้องมาแต่งงานกับน้าบก ถ้าเป็นนาง นางก็ไม่แต่ง”
“ขวาง สมัยนี้แต่งงานแล้วก็เรียนได้”
“ใครพูดกับตัว” ณาราตวัดสายตาขุ่นเคืองให้พี่ชายต่างสายเลือดซึ่งนั่งกอดอกอย่างสบายอารมณ์อยู่
“เอาเวลาไปท่องบทหนังสั้นดีกว่าไหม มะรืนจะถ่ายทำอยู่แล้ว จำได้หรือยัง”
“นางขอตัวก่อนนะคะคุณป้า คุณย่า เหม็นหน้าคนบางคนแถวนี้” ว่าแล้วร่างเพรียวก็สะบัดหน้าเดินผ่านจุลจักรไปโดยไม่แคร์
“แกล้งอะไรน้องอีกล่ะจักร” วรรษมนถามด้วยเสียงอ่อนใจ
“เปล่าครับคุณแม่ เด็กหัวร้อน ปล่อยไปเถอะ ว่าแต่...ขอผมอ่านจดหมายหน่อยได้ไหมครับ”
ผู้เป็นแม่มองกระดาษในมืออย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ส่งให้ พร้อมบ่นอุบอิบ “แม่ไม่เคยเห็นน้าของลูกเป็นอย่างนี้มาก่อน หรืออยู่กับจิมากไปเลยซึมซับนิสัยห่ามๆ มา”
“อย่าห่วงเลยครับ น้าบกไม่ใช่พี่จิหรือพี่จา ถึงหน้าดุ แต่ก็เป็นสายซอฟต์ที่สุดในบ้านแล้ว เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือจดหมายฉบับนี้ต่างหาก คุณแม่เก็บไว้ให้ดีนะครับ ไม่งั้น...”
จุลจักรไม่ได้พูดต่อ แต่ทุกคนเป็นอันรู้กัน
“รู้แล้วจ้ะ แม่จะเก็บใส่เซฟไว้อย่างดีเลย ขืนหนูแตงกวามาเห็นเข้าละก็ มีหวังแม่ได้ถูกเด็กถอนหงอกเอาแน่ๆ งานนี้”
ความคิดเห็น |
---|