1

ไม่คาดคิด


๑ ไม่คาดคิด


“น้าบกมา!”

เสียงกระซิบกระซาบของพนักงานสาวๆ ดังแว่วไปทั่วบริเวณโถงด้านหน้าอันหรูหราของโรงแรม The Nava Green Bangkok เมื่อหนุ่มใหญ่หน้าตาคมเข้มก้าวเข้ามา รูปร่างสูงสมาร์ตในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนถึงศอกกับกางเกงยีนสีเดียวกันขนาดพอดีตัว เสริมขายาวให้ดูเพรียวกระชับ จินตนาการได้ไม่ยากว่ากล้ามเนื้อซึ่งซุกซ่อนอยู่ด้านในคงจะแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะเหมือนกับท่อนแขนและหน้าอกซึ่งเผยให้เห็นชัดเจนกว่า

ผิวสีแทนของเขามีเสน่ห์ชวนมอง รวมกับบุคลิกขรึมๆ น่าค้นหา ยิ่งทำให้สาวแก่แม่ม่ายทั้งหลายในโรงแรมต่างพากันแอบปลื้มไม่น้อยไปกว่าบรรดาเจ้านายหนุ่มทั้งสี่ของตระกูลจารุบวรกิจเลย

พนักงานสาวๆ ที่เคาน์เตอร์มองตามขวัญใจกันตาเยิ้ม รีบยกมือไหว้เมื่อเขาผินหน้ามามอง แม้จะรู้ว่าริมฝีปากภายใต้ไรหนวดเขียวจางๆ จะกดยิ้มให้ตามมารยาท แต่ก็อดหวั่นไหวไม่ได้

กระทั่งหนุ่มร่างสูงเดินเข้าด้านในไปแล้ว สามสาวต่างวัยจึงค่อยถอนหายใจพรืดออกมาแทบจะพร้อมกัน

“โอ๊ย...ละลาย”

เสียงครางของรุ่นพี่ใหญ่สุดทำให้พนักงานใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มงานได้สองวันต้องถามด้วยความสงสัย

“น้าบกเป็นน้าของใครเหรอคะพี่แป๋ว หล่อเข้มอะไรเบอร์นี้ ตอนเขายิ้ม นกถึงกับขาสั่นเลยค่ะ”

“ญาติคุณวรรษมนน่ะ เป็นน้องชายบุญธรรม เลยมีศักดิ์เป็นน้าของบรรดานายของพวกเราด้วย ทั้งที่อายุก็ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไหร่ แต่พนักงานเรียกว่า ‘น้าบก’ จนติดปาก จริงๆ เขาชื่อคุณบุรีจ้ะ”

“หล่อแล้วยังใจดีอีกนะคะ ให้พนักงานเรียกว่าน้าได้ ดูไม่ถือตัวเลย”

“เหมือนจะไม่ถือตัว แต่ก็เข้าถึงยากจ้ะ” สาวอีกคนแทรกขึ้น “นอกจากคุณมนกับลูกๆ ทั้งสี่คนและคุณนางแล้ว น้าบกเหมือนจะสร้างกำแพงกันคนอื่นไว้หมด พูดน้อย ขรึมๆ พวกเราบางคนทำงานมาหลายปี ยังไม่มีโอกาสได้พูดด้วยสักคำ และปกติน้าบกจะอยู่ที่นครนายก ไม่ค่อยได้ลงมากรุงเทพฯ หรอก”

“อ้าว...แบบนี้ก็แย่สิคะพี่ษา นกจะขอเป็นแฟนคลับซะหน่อย พอฟังแบบนี้แล้วฝ่อเลย”

“น้าบกเป็นผู้ชายที่น่าค้นหาจะตาย แบบนี้ไงพวกเราถึงได้ปลื้ม พ่อม่ายเนื้อหอม อายุสามสิบห้ากรุบกริบแบบนี้แหละคือพ่อของลูก”

“ใจเย็นค่ะพี่แป๋ว ถามน้าบกก่อนไหมว่าเขาจะเอาพี่หรือเปล่า”

“เดี๋ยวเถอะยายษา” รุ่นพี่ซัดเผียะที่แขนคนแซวพร้อมส่งค้อนให้ ก่อนจะพากันหัวเราะครึกครื้น ถือเป็นการเมาท์มอยกันพอหอมปากหอมคอตามประสา ให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยเวลาบุรีมาเยี่ยมเยียนที่นี่

“น้าบกเคยแต่งงานแล้วเหรอคะพี่แป๋ว” พนักงานใหม่ยังคาใจคำพูดเมื่อครู่

“ใช่จ้ะ แต่ภรรยาตายไปแล้ว พอน้าบกโสด สาวๆ อย่างพวกเราก็เลยมีความหวังอีกครั้ง เอ...ว่าแต่ลมอะไรพัดน้าบกมาวันนี้นะ”

“นั่นสิคะพี่แป๋ว เรื่องคุณจิณหรือเปล่า”

“พี่ว่าน่าจะเรื่องคุณจา”

“หรือจะมาธุระให้คุณมน คุณจักร และคุณนาง”

“สรุปว่ามาหาคุณจินั่นแหละ คงคิดถึง”

“โอ๊ย...เดี๋ยวค่ะพี่ๆ” พนักงานใหม่มองรุ่นพี่ทั้งสองคุยกันด้วยหน้าตาเหลอหลา แล้วต้องรีบทำท่ายกมือขอเวลานอก “พี่แป๋วกับพี่ษาคุยอะไรกันคะเนี่ย แถมยังมีชื่อคนเยอะแยะไปหมด นกตามไม่ทันแล้ว”

“วุ้ย...เรื่องมันยาว เดี๋ยวค่อยไล่เรียงให้ฟังทีหลัง โน่นแน่ะ มีแขกกรุ๊ปใหญ่เข้ามาพอดี”

สามสาวรีบสำรวมกิริยา ต้อนรับคณะทัวร์ชาวต่างชาติจำนวนร่วมร้อยชีวิตกันมือเป็นระวิง แต่ก็คอยชำเลืองไปยังฝั่งห้องทำงานของผู้บริหารโรงแรมเป็นระยะ เผื่อจะเห็นบุรีเดินไปเดินมาให้ชื่นใจบ้าง เพราะหลังจากวันนี้แล้ว ก็ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าเขาจะเข้ามาอีกทีเมื่อไร


บุรีเดินเข้ามาในออฟฟิศด้วยความคุ้นเคย พนักงานแต่ละส่วนพากันลุกขึ้นยกมือไหว้แล้วนั่งทำงานต่ออย่างกระตือรือร้น มีเพียงนุจรีซึ่งเป็นผู้จัดการโรงแรมเดินตามเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวด้วยคนเดียว

ชายหนุ่มร่างสูงวางมือบนโต๊ะทำงานสะอาดสะอ้าน กวาดตามองดูข้าวของต่างๆ ซึ่งยังคงจัดเป็นระเบียบเหมือนเดิมแม้ว่าเขาจะเข้ามาใช้นานๆ ครั้งก็ตาม บนโต๊ะมีแฟ้มเอกสารเปิดกางอยู่ นุจรีบอกทางโทรศัพท์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเป็นรายละเอียดของโครงการสร้างห้องสมุดให้โรงเรียนในถิ่นทุรกันดารทางภาคอีสานซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเขา เพื่อเป็นการตอบแทนสังคมจากกลุ่มบริษัทในเครือจารุบวรกิจ

เขายังไม่ได้อ่านมันในทันที แต่หันมาพยักหน้าให้นุจรีซึ่งกำลังยืนรอรับคำสั่ง

“บอกจิว่าผมมาถึงแล้ว”

“ค่ะ น้าบกจะรับกาแฟก่อนไหมคะ น่าจะพอมีเวลา”

“ขอเหมือนเดิมก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะ นุจจะรีบจัดการให้”

หลังจากนุจรีออกไปแล้ว บุรีนั่งอ่านเอกสารเงียบๆ เพียงครู่เดียวกาแฟก็ถูกนำมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมของเอสเพรสโซ มัคคิอาโต ลอยเตะจมูกอบอวลไปทั้งห้อง เขาละความสนใจจากงานทันที

“คุณจิกำลังลงมาจากห้องพักนะคะ ยังไงนุจขอตัวไปดูแลความเรียบร้อยข้างนอกก่อน”

“ขอบใจ”

กลิ่นกาแฟช่วยให้สมองของบุรีปลอดโปร่งขึ้นมาก ปกติแล้วเขาชอบดื่มเอสเพรสโซสองชอตเพียวๆ มากกว่า ส่วนเอสเพรสโซ มัคคิอาโต ซึ่งเป็นสูตรเพิ่มนมนี้ มันคือความผิดพลาดจากการรับออร์เดอร์ในคราวแรก คือสั่งไปอย่างหนึ่งแต่ได้อีกอย่างหนึ่ง เขาเลยวางมันทิ้งไว้โดยไม่แยแส จากนั้นก็คุยงานกับจิณณะต่อ ทว่าเมื่อลืมตัว มือดันคว้าแก้วขึ้นมาดื่มเสียอย่างนั้น แล้วก็ต้องประหลาดใจรสชาติจนต้องเรียกหาทุกครั้งที่เข้ามาที่นี่

ทว่าในวันนี้ เพียงยกกาแฟขึ้นจิบ หัวคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน

“เดี๋ยวคุณนุจ”

“คะ?”

“เปลี่ยนคนชงหรือเปล่า”

ผู้จัดการโรงแรมหน้าเจื่อนทันที

“เอ่อ...พอดีคนที่เคยชงให้น้าบก วันนี้เขาลางานค่ะ”

คนตัวใหญ่สบถสองสามคำ นุจรีฟังไม่ออกหรอกว่าอะไร แต่รับรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างหนัก

“เดี๋ยวนุจให้เด็ก...”

“ไม่ต้อง ไปทำงานเถอะ”

นุจรีทำหน้าเหมือนอยากตายเมื่อถูกไล่ จังหวะนั้นเองจิระยุก็เดินเข้ามาในห้องพอดี เห็นบรรยากาศตึงเครียด และกาแฟบางส่วนกระฉอกหกอยู่บนจานรองก็พอจะเดาได้

“กาแฟไม่ถูกปากเหรอน้าบก”

เขาตวัดสายตามองหลานชายคนรองโดยไม่ตอบ...รู้อยู่แล้วยังจะถาม

“วันนี้คนชงประจำลาหยุดค่ะคุณจิ” นุจรีเป็นฝ่ายตอบด้วยเสียงอ่อยๆ

จิระยุทำเสียงรับรู้ในคอ แล้วพยักหน้าให้พนักงานสาวออกไปก่อน จากนั้นก็เดินมาหย่อนตัวนั่งที่ขอบโต๊ะ ใช้มือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตรงหน้าอกออกหนึ่งเม็ดเผยให้เห็นแผงอกรำไร ถ้าสาวๆ เห็นคงได้กรี๊ดกันโรงแรมแตก แต่สำหรับบุรีมันเป็นภาพชินตาเสียแล้ว เพราะเห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

จิระยุเป็นหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ผิวขาวสะอาดลออตา รูปร่างสูงโปร่งเหมือนนายแบบ แต่ก็มีกล้ามเนื้อแน่นปั๋ง จับตรงไหนเป็นเจอมัดแข็งๆ ทว่าเมื่อสวมเสื้อผ้าแล้วดูไม่เป็นยักษ์หนอกใหญ่ก้ามปูเทอะทะ สรุปก็คือหุ่นพิมพ์นิยมของสาวๆ สมัยนี้นั่นละ

คนเป็นน้าเหลือบมองแผงอกขาวๆ ของหลานนิดเดียว แต่ใช้เวลาจ้องใบหน้านานกว่า เพราะรอยคล้ำใต้ขอบตาของจิระยุทำให้เขานึกสงสารหลานชายที่ต้องทำงานหนักแทนฝาแฝดผู้น้องมาร่วมเดือนแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองเลยสักนิด

“เสร็จยังน้าบก เดี๋ยวเราต้องแวะบ้านก่อนไปสนามบิน”

“แวะทำไม” เขาถามพร้อมเซ็นชื่อในเอกสารแกรกเดียวก่อนจะปิดแฟ้มลง เป็นอันเสร็จภารกิจที่โรงแรมในวันนี้

“แหนมโทร. มาบอกว่ามีคนมารอพบคุณแม่ ถ้าไม่ได้เจอจะไม่ยอมกลับ เรายังพอมีเวลา ผมเลยว่าจะแวะไปดูหน่อย”

“พี่มนรู้หรือเปล่า”

“ผมยังไม่ได้บอกคุณแม่ เผื่อเป็นเรื่องเล็กน้อยจะได้ไม่ต้องกวนใจท่าน แค่ดูแลคุณยาย ดูแลรีสอร์ตที่เชียงใหม่ ไหนจะต้องรบรากับไอ้จักรและยายนาง คุณแม่ก็ปวดหัวมากพอแล้ว”

“ก็จริง เดี๋ยว...นั่นแก...”

เขามองตามแก้วกาแฟของตัวเอง เมื่อจู่ๆ จิระยุก็ยกมันขึ้นซด

“อร่อยดี”

“แต่มันไม่เหมือนเดิม” เขาตอบ หน้ามุ่ย

“น้าบกเรื่องมาก รู้ตัวปะ”

“เออ”

แม้จะทำท่าหงุดหงิดใส่ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไร เพราะเขาสนิทสนมกับจิระยุมากที่สุดในบรรดาหลานทุกคน และยังดูแลไร่ที่นครนายกด้วยกัน

ส่วนคนบริหารงานโรงแรมจริงๆ คือจิณณะ แฝดคนน้องของจิระยุ ทว่าจิณณะเดินทางไปทำธุระที่อเมริกา แฝดผู้พี่จึงต้องลงมาดูแลโรงแรมให้ชั่วคราว ซ้ำร้ายตอนนี้น้องชายดันไปมีเรื่องมีราวในต่างแดน เขาและจิระยุจึงต้องเดินทางไปที่นั่นเพื่อช่วยเคลียร์ปัญหาให้ ซึ่งภารกิจนี้มีเพียงคนในครอบครัวและนุจรีเท่านั้นที่รู้ เพราะถ้าข่าวแพร่สะพัดออกไปคงไม่เป็นผลดีต่อโรงแรมแน่

จิระยุทำงานในไร่เก่งและยังมีความเป็นผู้นำสูง แต่ก็เลือดร้อนอยู่มาก เหมือนกับนาวาผู้เป็นพ่อไม่มีผิด เสียดายที่นาวาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปตั้งแต่ลูกๆ ยังเด็กนัก จึงไม่มีโอกาสเห็นพวกเขาเติบโตเป็นหนุ่มและดูแลกิจการต่างๆ ให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

“มาอยู่โรงแรมเดือนเดียว หน้าผ่องอย่างกับผู้หญิง”

คนเป็นหลานโดนตอกกลับบ้าง ซึ่งไม่เฉพาะแค่ใบหน้า แต่ทั้งคอ แขน และหน้าอกของจิระยุที่เคยถูกแดดในไร่เผาจนแดง บัดนี้ดูขาวเนียนขึ้นผิดตา

“แรงว่ะน้าบก เดี๋ยวกลับไปอยู่ที่ไร่ก็หล่อเข้มเหมือนเดิมเองแหละ พ่อกับแม่จะผิวดีไปไหน”

เห็นหลานทำหน้าเซ็งแล้วก็นึกสะใจนิดๆ พี่น้องตระกูลนี้ได้ยีนมาจากบุพการีเต็มๆ ตัวขาวจั๊วะตั้งแต่เด็ก เวลาไปเที่ยวทะเลหรือตากแดดนานๆ อย่างมากผิวก็แค่แดง ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็กลับมาขาวดังเดิม

ครั้งหนึ่งจิระยุเคยเปรยว่าเกลียดผิวตัวเอง อยากได้สีแทนแบบเขามากกว่า มันดูเท่สำหรับผู้ชายด้วยกัน ดังนั้นเมื่อถูกแซวด้วยเรื่องความขาวผ่องเป็นยองใยทำนองนี้ หลานชายจึงออกอาการทุกครั้ง

เอาคืนมันเรื่องไหนไม่ได้ก็วกมาเรื่องนี้แหละ เดี๋ยวก็ชนะมันเอง

“หึ...อย่าคิดว่าจะได้กลับง่ายๆ เรื่องจิณยังไม่เคลียร์” เขาพูดดับฝันหลานชาย

“ไอ้จิณนะไอ้จิณ เจอตัวเมื่อไหร่จะตั๊นหน้าให้” จิระยุทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“แน่ใจ? จะตั๊นหน้าหรือจะชวนกันไปซ่า?”

“เกลียดน้าบกว่ะ รู้ทันตลอด”

คนฟังหัวเราะเบาๆ เขารู้ทันหลานคนนี้ ก็เหมือนกับที่มันรู้ทันเขาทุกเรื่องนั่นละ

แต่แล้วบทสนทนาก็ต้องชะงัก เพราะเสียงเพลงจากสมาร์ตโฟนดังขัดจังหวะก่อน

“จาโทร. มา” บุรีบอก แต่จิระยุรีบโบกไม้โบกมือ

“คุยกันไปเลย”

“เออ” เขาตอบก่อนจะกดรับสายหลานชายคนโต “ว่าไงจา”

“น้าบกเจอไอ้จิหรือยังครับ”

“เจอแล้ว จิก็อยู่ตรงนี้ด้วย จะคุยไหม”

“เปิดลำโพงเลยดีกว่า”

“ว่าไงพี่จา ถึงส่วนไหนของประเทศแล้ว” จิระยุถามเมื่อรู้ว่าพี่ชายต้องการพูดด้วย

“ยังอยู่ภูเก็ต พอดีมีปัญหาที่ฟาร์มนิดหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะรีบขึ้นไป”

“ฟาร์มหอยมุกปัญหาเยอะ เลิกทำแล้วมาดูแลโรงแรมแทนเถอะ ผมจะได้กลับไร่ซะที”

“มะเหงก ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ติดขัดแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้น”

“ติดสาวมากกว่าละมั้ง” คนเป็นน้องแซวอย่างรู้ทัน

“ปากหมา”

“ก็ยังดีกว่าคนปากจัด แถมยังปากไม่ตรงกับใจ”

“ไร้สาระ คุยเรื่องแกก่อน นี่เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง”

“แน่ะ เปลี่ยนเรื่อง”

“ซีเรียสโว้ยไอ้นี่”

“เออๆ คนแค่แซวเล่นน่า ผมเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วครับหัวหน้าใหญ่” จิระยุแสร้งทำเสียงขึงขัง ก่อนจะหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย

“แล้วเครื่องออกกี่โมง” จามรว่าต่อ

“ห้าโมง แต่เดี๋ยวคงต้องแวะบ้านก่อน มีคนมารอพบคุณแม่”

“ใครวะ”

“ไม่รู้”

“อ้าว”

“แหนมมันไม่ได้บอก เอาเถอะ เดี๋ยวไปก็รู้เอง”

“พี่เพิ่งคุยกับคุณแม่เมื่อกี้ ไม่รู้ว่ามีคนมาหา จะได้บอกท่าน”

“เดี๋ยวผมจัดการเอง ขอไปดูก่อนว่าเป็นใคร มาหาทำไม จะได้สรุปให้คุณแม่ฟังทีเดียว”

“เอางั้นก็ได้ เออ...น้าบก คุณแม่ฝากบอกว่ามะรืนนี้ยายนางจะต้องเข้ากรุงเทพฯ นะครับ งานสั้นๆ แค่สองวัน ตรงกับวันหยุดพอดี”

“จักรมาด้วยหรือเปล่า” เขาถามด้วยความเคยชิน

หลานสาวของเขายังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่เชียงใหม่ เพิ่งจะขึ้นปีสามหมาดๆ เมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา มีแมวมองมาเจอตัวตอนถ่ายทำซีรีส์วัยรุ่นที่สถาบัน เห็นในความน่ารักสดใสของณาราที่โดดเด่นระดับดาวคณะก็รีบจีบเข้าสังกัดทันที แถมยังเข้าทางพี่สาวและแม่บุญธรรมของเขาจนผ่านฉลุย ขนาดดั้นด้นมาขออนุญาตเขาถึงนครนายกด้วยตัวเองอีกทาง

อันที่จริงแล้วเขายังไม่อยากให้หลานสาวว่อกแว่กเรื่องอื่นนอกจากตั้งใจเรียนให้จบก่อน แต่ณาราเป็นเด็กดี ทำให้ครอบครัวจารุบวรกิจภูมิใจเสมอ ดังนั้นเมื่อหลานอยากหาประสบการณ์ชีวิตในแบบที่น้อยคนจะได้สัมผัส แถมวรรษมนยังมอบหมายให้จุลจักรเป็นผู้ดูแลหลานสาวให้เขาอย่างใกล้ชิด น้าคนนี้จึงค่อยเบาใจ

แต่มีครั้งหนึ่งจุลจักรติดงานที่รีสอร์ตจริงๆ เนื่องจากวรรษมนล้มป่วย เขาจึงกังวลใจมาก กลัวว่าคนที่ต้นสังกัดส่งมาจะดูแลณาราไม่ดี แต่ทุกอย่างก็ราบรื่น กระนั้นถ้าให้เลือก เขาก็ไว้ใจจุลจักรมากกว่าใคร ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันก็เถอะ อย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน

“มาครับ มันขัดคำสั่งคุณแม่ได้ที่ไหน”

“โอเค งั้นเดี๋ยวน้าค่อยโทร. คุยรายละเอียดกับยายนางทีหลัง จามีอะไรอีกไหม ได้เวลาที่น้ากับจิจะต้องไปแล้ว”

“ไม่มีครับ เดินทางปลอดภัยนะน้าบก ไอ้จิด้วย” จามรบอกเผื่ออีกคนที่ฟังอยู่

“ฝากดูแลโรงแรมด้วยนะพี่จา”

“วางใจน่า ส่วนแกก็ต้องดูแลตัวเองเหมือนกันนะจิ อย่าทำอะไรใจร้อนวู่วาม สงสารคุณแม่กับคุณยายบ้าง ท่านเป็นห่วง”

“หึ...พูดไม่ดูตัวเองเลยนะพี่ชาย ผมมีน้าบกไปด้วยจะกลัวอะไรล่ะ”

“เออ...งั้นก็จบ ขอให้แกโชคดี กลับมาครบสามสิบสองก็แล้วกัน”

หลังจากวางสายแล้ว จิระยุก็เอื้อมมือมาตบต้นแขนผู้เป็นน้าป้าบๆ

“ชื่อคนหรือยันต์กันผีครับน้าบก จบได้ทุกประเด็น”

“เบาโว้ย มือหนักฉิบ”

นอกจากมือหนักแล้ว เท้าของมันก็หนักไม่แพ้กัน เรื่องนี้เขารู้ดี ยิ่งถ้าได้จามรมาเป็นลูกคู่ด้วยแล้วละก็ ไปที่ไหนมีแต่พังยับที่นั่น พี่สาวบุญธรรมของเขาจึงต้องส่งจามรลงไปอยู่ภาคใต้ไกลๆ จะได้เจอกันลำบากหน่อย

“ไปยัง” จิระยุถามพร้อมส่งสายตาวิบวับมาให้ จะเรียกว่ากวนบาทาก็ไม่ผิด

“รออะไรล่ะ”

“นึกว่ายังหิวกาแฟ”

เขาแยกเขี้ยวใส่มันทันที “อยากปากแตกก่อนขึ้นเครื่องไหม”

“ดุว่ะ ไม่ได้กลัวนะ แต่ง่วงนอน ไปดีกว่า”

ว่าแล้วหลานรักก็เดินออกจากห้องไปทันที

เมื่อเขาตามมาที่รถก็เห็นว่าจิระยุหลับคอพับไปแล้ว จากที่จะตามมาเอาเรื่องต่อก็นึกสงสารแทน

“ไปบ้าน” เขาสั่งคนขับรถ จากนั้นก็นั่งคิดถึงเรื่องราวบางเรื่องที่กำลังกวนใจเขาอยู่ในขณะนี้ไปตลอดทางจนถึงจุดหมาย


เมื่อรถตู้เลี้ยวเข้ามาจอด ณ บริเวณหน้ามุขของบ้านจารุบวรกิจ บุรีก็เห็นสาวใช้ทอมบอยยืนชะเง้อคอรออยู่ก่อนแล้ว เขาและจิระยุก้าวลงจากรถ พอดีกับแหนมวิ่งซอยเท้าลงบันไดเข้ามารายงานด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน

“มากันแล้วเหรอฮะ มีคนมารอพบคุณมน ไม่พูดไม่จา เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว แหนมกับป้าสร้อยไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

จิระยุหันมาสบตาเขาด้วยหน้าตาเคร่งเครียดเหมือนกัน เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะต้องเดินทาง

“ใคร” เขาถามสั้นๆ

“เป็นผู้หญิงฮะ อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบ ไม่ยอมบอกชื่อ ขอเจอคุณมนอย่างเดียวเลย บอกว่ามีของสำคัญจะต้องมอบให้กับมือ พอรู้ว่าคุณมนอยู่เชียงใหม่ก็เอาแต่นั่งซึม น้าบกกับคุณจิช่วยเข้าไปดูหน่อยเถอะฮะ”

เขาเดินเข้าบ้านโดยมีหลานชายตามมาติดๆ เมื่อถึงห้องรับแขกก็พบหญิงสาวคนหนึ่งนั่งรออยู่ที่โซฟา ใบหน้าซึ่งมีเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มของเธอดูขาวซีด ผมยาวสลวยถูกรวบไว้ที่ต้นคอผูกทับด้วยโบสีดำซึ่งเป็นสีเดียวกับเสื้อลูกไม้และกระโปรงที่สวมใส่ เนื้อตัวไม่มีเครื่องประดับประดาหรือของมีค่าเลยสักชิ้น นอกจากกระเป๋าผักตบชวาสานซึ่งวางอยู่บนตัก ร่างเล็กโน้มตัวจนไหล่งองุ้ม มันกระเพื่อมไหวด้วยแรงสะอื้นน้อยๆ จากการร้องไห้

ภาพที่เห็นทำให้เขาและจิระยุต้องยืนนิ่ง มองเธอผู้นั้นโดยปราศจากคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง

“ผมเข้าไปก่อน”

เขาพยักหน้าให้หลานชายแล้วเดินตามเข้าไปเงียบๆ


เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังสลับกันแสดงจำนวนคนเข้ามาในห้องมากกว่าหนึ่ง เรียกให้คนที่กำลังจมอยู่กับความเศร้าหมองต้องเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ ฉับพลันนั้นเองดวงตากลมโตซึ่งยังมีน้ำขังคลอหน่วยก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

หญิงสาวเหลียวมองไปรอบห้องเพื่อค้นหาอะไรบางอย่างเลิ่กลั่ก กระทั่งพบมันเข้า ริมฝีปากอวบอิ่มถึงกับเม้มแน่น ร่างกายเกร็งทื่อขึ้นมาทันที

อาการเหล่านั้นอยู่ในสายตาของบุรีตลอด แต่ก็เดินไปนั่งข้างจิระยุโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ นอกจากวางตัวนิ่งขรึมอย่างที่ควรจะเป็น

ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าคนตระกูลจารุบวรกิจทุกคน ถ้าไม่ยิ้มแล้วดูน่ากลัวเหมือนมาเฟียเพียงใด โดยเฉพาะสายตาที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกอึดอัดร้อนๆ หนาวๆ ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะจิระยุ ดังนั้นเขาจึงนั่งเฉย รอให้หลานชายเป็นผู้จัดการทุกอย่าง

“เธอเป็นใคร มีธุระอะไรกับคุณแม่”

แม้น้ำเสียงนั้นจะเรียบนิ่งตามปกติ แต่ก็ทำให้คนที่ตัวเล็กอยู่แล้วดูตัวลีบลงกว่าเดิมอีกหลายเท่า

“หนูชื่อ สุพรรณิการ์ วิบูลย์ธรรม ค่ะ คุณจะเรียกว่าแตงกวาก็ได้” เธอผู้นั้นตอบอย่างหวาดๆ

“ฉัน...จิระยุ เป็นลูกชายคนรองของบ้าน ส่วนนี่คุณบุรี เป็นน้าของฉัน ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่เชียงใหม่ เธอน่าจะรู้แล้ว ถ้ามีธุระกับท่าน ฉันจะรับเรื่องไว้ให้ก่อน”

ระหว่างฟังบทสนทนาของทั้งสอง บุรีนั่งกอดอกมองสำรวจหญิงสาวรูปร่างบอบบางเหมือนแจกันแก้วที่สามารถแตกหักได้ง่ายๆ เพียงบีบด้วยมือเปล่า ตอนนี้เธอเงียบไปอีกครั้ง เขารู้ว่าเธอผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เพราะมันทิ้งร่องรอยเอาไว้เด่นชัด ทั้งดวงตา จมูก แม้แต่ริมฝีปากอิ่มรูปกระจับนั้นก็แดงช้ำไปหมด และเมื่อดูจากชุดสีดำที่เธอสวมใส่ก็ทำให้คาดเดาอะไรๆ ได้ไม่ยาก

ในวินาทีนั้นเอง จู่ๆ แม่คุณก็เหลือบตาขึ้นมองเขาตรงๆ จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็สุดคาดเดา แล้วใบหน้าซีดเซียวก็ยิ่งจืดเจื่อนกว่าเดิม รีบหลุบตาลงมองมือบนตักแล้วบีบกระเป๋าสานไว้แน่น

“ฉันกับน้าจะต้องเดินทางไปสนามบิน ถ้าเธอยังไม่รีบพูดธุระมาก็ควรกลับไปซะ”

ได้ยินอย่างนั้นสุพรรณิการ์ถึงกับหน้าตาตื่น

“กวาต้องการพบคุณมนค่ะ คุณพ่อ...” เสียงหวานเริ่มเครือเล็กน้อย “คุณพ่อสั่งเสียไว้ก่อนตายว่าให้กวานำจดหมายมามอบให้คุณมนที่บ้านหลังนี้ค่ะ กำชับว่าต้องส่งให้ถึงมือ”

“เอามาให้ฉัน”

“แต่ว่า...”

“หรือเธอจะไปพบคุณแม่ที่เชียงใหม่เองก็ตามใจ น้าบก...เราไปกันเถอะ” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างสูงก็ทำท่าจะลุก

“เดี๋ยวค่ะ” หญิงสาวร้องห้าม พร้อมหยิบซองจดหมายสีขาวออกจากกระเป๋าสาน ทว่ายังไม่ยอมมอบให้ในทันที “คุณมนจะไม่ลงมากรุงเทพฯ เลยเหรอคะ”

“ไม่”

ท่าทางคอตกนั้นดูน่าสงสาร แต่มันไม่ทำให้จิระยุใจอ่อนได้หรอก...บุรีรู้ดี

“ส่งมา”

“งั้น...เอ่อ...กวาขอฝากด้วยนะคะ เพราะคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปเชียงใหม่ ถึงจะไม่ได้มอบให้คุณมนด้วยตัวเอง แต่กวาไว้ใจคุณได้ใช่ไหมคะ มันเป็นคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของคุณพ่อ กวาไม่อยากให้ท่านเป็นห่วงอะไรอีก”

“เอาเถอะน่า รับรองว่าจดหมายนี่จะถึงมือคุณแม่ของฉันแน่นอน ว่าแต่เธอได้อ่านมันหรือเปล่า”

จิระยุมองซองจดหมายซึ่งถูกปิดผนึกไว้แน่นหนา ก่อนจะชำเลืองมาที่น้าชายนิดหนึ่ง

“ไม่ได้อ่านค่ะ คุณพ่อแค่ให้นำมาส่ง คงเป็นเรื่องสำคัญ หมดหน้าที่ของกวาแล้ว ขอตัวกลับเลยนะคะ” พูดจบก็ยกมือไหว้ด้วยท่าทางหงอยๆ แล้วต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฉีกกระดาษดังแควก

จิระยุจงใจเปิดซองจดหมายอ่านต่อหน้าต่อตาเธอตรงนั้นเลย

“คุณ!” หญิงสาวตกใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งมองตาค้าง

จิระยุอ่านข้อความทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนย่นเมื่ออ่านจบ แล้วยื่นให้บุรีอ่านต่อ...เท่านั้นเองความรู้สึกอย่างหนึ่งก็ถาโถมเข้าใส่คนเป็นน้าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จะว่าเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะหรือถูกค้อน

ปอนด์ทุบหัวยังน้อยไป

“น้าบกคงไม่ได้ไปอเมริกาแล้วละ” จิระยุบอกเสียงขุ่น พร้อมตวัดสายตามองตัวต้นเหตุด้วยความหงุดหงิด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น