5

ขอเสนอที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน

5

ขอเสนอที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน

 

“คุณจะไปทานข้าวที่ไหนหรือคะ ถ้าลงไปข้างล่างต้องเจอพวกพี่ๆ แน่เลยค่ะ” หญิงสาวถามตาแป๋วก่อนจะเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่น 

คนตัวใหญ่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพาไปที่ลิฟต์ เขากดปุ่มลูกศรชี้ขึ้นแล้วหันมาทางเธอ

“โรงแรมเราก็มีห้องอาหารนะ เธอไม่รู้หรือ อยู่ชั้นสามสิบห้าน่ะ” ชายหนุ่มว่า 

ลิฟต์พาทั้งสองขึ้นไปยังชั้นบน เมื่อเดินออกจากลิฟต์ก็พบห้องอาหารสุดหรูทันทีที่ตกแต่งด้วยโทนสีมืด และใช้แสงสว่างเป็นลูกเล่นจนดูแพง ต้องคนมีเงินจริงๆ ถึงจะมารับประทานได้ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เธอ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลจริงๆ หรอกนะที่เธอไม่มารับประทานอาหารที่นี่ แต่เพราะเธอรู้สึกว่ามันไม่คุ้มพอจะรับประทานต่างหาก

“จะทานอะไรดี” ชายหนุ่มถามขึ้นทันทีที่ทั้งสองนั่งลง โดยมีบริกรยืนรอที่ด้านข้าง

เมฆานรีสอดส่ายสายตาไปบนเมนู ก่อนปิดแล้วหันไปทางบริกรหนุ่ม

“หนูเอาสปาเกตตีขี้เมาทะเลกับซุปครีมเห็ดค่ะ ขอน้ำมะพร้าวปั่นใส่นมด้วยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวานก่อนจะหันมาทางคนสูงวัยกว่า

“หนูจำได้ว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสปาเกตตีกับของทะเลสด อยากลองตั้งหลายครั้ง แต่ไม่มี...งบ” หญิงสาวเอ่ยอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรก็ตอนที่เห็นชายหนุ่มตรงหน้าขมวดคิ้ว เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย

“แล้วคุณล่ะคะ ทานอะไร” 

“เอาเหมือนเธอนะ ขอไวน์แดงมาให้ด้วย” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะหันมาสนใจคนตั้งคำถามที่สงสัยในตัวเขาไม่เลิก

“คุณไม่ทานเผ็ดนี่คะ จะทานขี้เมาได้หรือ แล้วไวน์อีก ไหนใครว่าคุณชอบดื่มไวน์ขาวมากกว่า ต้องดื่มก่อนมื้อเย็นไม่ใช่หรือคะ” 

หญิงสาวไม่ได้ทันสังเกตคนที่นั่งและยืนอยู่เลยว่า เขามองสบตากันอย่างสงสัย เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าพิธานต้องดื่มไวน์ขาวหนึ่งแก้วก่อนรับประทานอาหารทุกเย็น นี่เป็นอีกหนึ่งข้อที่เขาประทับใจในตัวเธอ เธอหาข้อมูลมาดี ก่อนมาคุยเรื่องธุรกิจ และเลือกที่จะใส่ใจคนอื่นเสมอ ตั้งแต่เรื่องเค้กชาเขียวแล้ว

“งั้นฝากสั่งว่าไม่เผ็ดให้ด้วยนะ และก็เปลี่ยนเป็นไวน์ขาวให้ด้วย ขอบใจ” ชายหนุ่มหันไปสั่งบริกรอีกครั้ง และเมื่อบริกรจากไป เขาจึงหันมาพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าที่เอาแต่กวาดตามองไปทั่วร้าน 

แม้เขาจะเคยบอกตัวเองว่าเธอเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเมื่อไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษา เธอก็เป็นสาวที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ยิ่งหากแต่งกายอย่างคนเป็นพี่ เขาเชื่อว่าเธอจะดูดีชนิดที่ว่ากินกันไม่ลงทีเดียว ชายหนุ่มพิจารณาดวงหน้า ผิวพรรณ เรือนผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีเสน่ห์มากพอจะเรียกสายตาจากชายหนุ่มที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอได้ไม่น้อยทีเดียว อย่างน้อยก็มีเขาคนหนึ่งที่หยุดสายตาไว้ที่เธอได้นานขนาดที่อาหารทั้งหมดมาเสิร์ฟที่โต๊ะแล้วถึงรู้สึกตัวเมื่อหญิงสาวเริ่มเปิดประเด็นหลังจากขอบคุณการบริการที่ดีจากพนักงาน

“มื้อนี้ให้หนูเป็นคนเลี้ยงคุณนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขณะที่หั่นกุ้งชิ้นโตๆ ออกเป็นหลายชิ้น

“ไหนว่าไม่มีงบ ทำไมถึงยังคิดจะเลี้ยงฉันในร้านอาหารหรูหราขนาดนี้” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มและกระด้างจนคนฟังใจหาย

“ก็หนูมารบกวนเวลาคุณไงคะ” หญิงสาวว่าไปตามความจริง แม้จะยังหวั่นๆ กับคนตรงหน้า

“แต่ฉันว่ามันคงไม่เหมาะ เพราะฉันเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอ” ชายหนุ่มว่าเสียงเข้ม ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อหญิงสาวตรงหน้ายังคงตั้งหน้าตั้งตาเถียงเขาต่อ

“แต่หนูมารบกวนเวลาคุณ เป็นคนเข้ามาขอเวลาเพื่อยื่นข้อเสนอด้วย ถ้าในทางธุรกิจ หนูจะต้องเป็นคนเลี้ยง เพราะหนูเป็นคนเชิญ” หญิงสาววางช้อนเพื่อหันไปเถียงชายหนุ่มโดยเฉพาะ

“ที่บ้านมีปัญหาเรื่องการเงิน ไม่รู้หรือไง ทำไมถึงยังใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เมื่อคราวซื้อเค้กก็ทีหนึ่งแล้ว” ชายหนุ่มดุ 

“หนูไม่ได้รบกวนเงินที่บ้านนี่คะ ที่ใช้ไปก็เป็นเงินของหนูทั้งนั้น หนูเก็บหอมรอมริบค่ะ” 

ทำไมถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาเถียงผู้ใหญ่แบบนี้ ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งเขาจะจับฟาดก้นให้เถียงไม่ออกจริงๆ เด็กสมัยนี้เถียงคำไม่ตกฟาก ดื้อรั้นหัวชนฝา ชายหนุ่มได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ เข่นเขี้ยวอยากจะดุเธอ แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจนึก เพราะเธอยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขา แต่ถ้าได้มาเป็นน้องเมียเมื่อไร จะจัดหนักเลยคอยดู

“แต่ที่นี่คือถิ่นฉัน ฉันต้องเป็นคนจ่าย เธอเป็นคนมาเยือนก็กินๆ ไปเถอะน่า อย่าเรื่องมาก” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวพูดอย่างนั้น เขาก็เลือกประโยคเด็ดที่ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้ 

แน่นอน จากที่เธอตั้งใจว่าจะค้านหัวชนฝาก็เงียบลงทันที และหันไปรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างว่าง่ายเมื่อเห็นแววตาดุๆ ของเขา

“เรื่องเงื่อนไขที่ดิฉันจะเสนอ ดิฉันอยากให้คุณเปิดใจรับฟัง อย่าเพิ่งดุดิฉันนะคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงมั่นคงรวมกับแววตาแน่วแน่ทำให้คนฟังรับฟังอย่างตั้งใจ

“คุณพิธานพูดกับคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ฟ้าว่าการแต่งงานครั้งนี้ เป็นเพียงการแต่งงานทางธุรกิจเท่านั้น” หญิงสาวเว้นวรรค ก่อนจะพูดต่อเสียงจริงจังเมื่อคนที่นั่งฟังยังคงนั่งนิ่ง แววตาอ่านยาก “จะไม่มีเรื่องของความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง” 

“พวกเขาบอกเธออย่างนั้นหรือ” เขาหายใจสะดุด แล้วยิ่งตกใจเมื่อเธอส่ายหน้า

“ดิฉันได้ยินกับหูค่ะ” หญิงสาวตอบความจริงออกไป

“ดังนั้น ข้อเสนอที่ดิฉันจะเสนอกับคุณ คือ...” หญิงสาวเว้นวรรคเพื่อให้คนตรงหน้าต้องการฟังสิ่งที่เธอจะพูดต่อไป และก็ได้ผล ชายหนุ่มตรงหน้าส่งสายตาคาดคั้นจนเธอรู้สึกว่า ถ้าไม่รีบพูด เธอจะต้องโดนเขาฆ่าแน่ ๆ

“เปลี่ยนตัวเจ้าสาวค่ะ” เมฆานรีพูดออกไปในที่สุด

“เปลี่ยนตัวเจ้าสาว?” ชายหนุ่มย้ำก่อนจะแค่นยิ้ม

“เปลี่ยนจากพี่สาวเธอ มาเป็นเธอหรือไง” พิธานว่าติดตลก ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ก่อนจะกลืนอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นแววตาจริงจังของหญิงสาวตรงหน้า

“ใช่ค่ะ ในเมื่อคุณบอกเองว่า ลูกสาวของคุณพายุจะต้องแต่งงานกับผม ซึ่งลูกสาวท่านมีด้วยกันสองคน ไม่ว่าจะแต่งกับคนไหนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือคะ ถ้ามันแต่งเพื่อธุรกิจเพียงเท่านั้น” หญิงสาวว่าต่อ แม้จะเห็นแววตาไม่พอใจและรอยยิ้มเย้ยหยันของเขา แต่เธอก็ไม่สนใจ

“เรียนก็ยังไม่จบไม่ใช่หรือ ทำไมถึงกล้าแต่งงานกับคนที่แก่กว่าตั้งยี่สิบปี” ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา ไม่คิดเลยว่าหญิงสาวที่เขาเจอทุกวันจะใจกล้า โตเกินตัวจนเขาไม่พอใจ

“อีกสองเดือนหนูก็จบแล้วค่ะ จบก่อนที่จะมีงานแต่งด้วยซ้ำ” หญิงสาวตอบและเลี่ยงที่จะตอบเรื่องช่องว่างของอายุ 

“หนูไม่รู้หรอกนะคะ ว่าทำไมคุณถึงไม่อยากแต่งงานเพราะความรัก แต่หนูรู้ว่าคุณไม่ใช่คนใจร้ายที่จะทำลายความรักที่สวยงามของคนสองคนที่เขามีให้กันได้ลงคอ” หญิงสาวคิดว่าเธอรู้จักเขาดีพอ แม้จะรู้จักจากคำพูดคนรอบข้างที่อาจรักและเข้าข้างเขา แต่เธอก็มั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนดี แม้จะมีใครว่าเธอโลกสวยก็เถอะ

“เธอยังไม่เคยคุยกับฉัน หรือรู้จักฉันดีพอที่จะประเมินฉันหรอกเด็กน้อย” เขาพูดด้วยแววตาอ่านยาก และจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวตรงหน้า 

เธอก็มองเขาตอบอย่างไม่ลดละ

“แต่คุณพิธานที่หนูรู้จัก เขาไม่ใช่คนที่จะแย่งของของใคร ถ้าของสิ่งนั้นมีเจ้าของแล้ว” หญิงสาวบอกความจริงที่ชายหนุ่มอาจยังไม่รู้ และคำถามที่เขาถามกลับทำให้เธอมั่นใจว่า คนตรงหน้าคือคนเดียวกันกับคนที่เธอพยายามทำความรู้จักมาตลอดทั้งเดือน 

“เธอกำลังจะบอกว่าพี่สาวเธอมีคนรักอยู่แล้ว และเธอไม่อยากให้ฉันเป็นคนทำลายความรักของเขาสองคนงั้นหรือ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อพอจะเข้าใจในสิ่งที่เธอจะสื่อ 

เขาสังเกตคนตรงหน้าเสมอ จึงเห็นแววตาหมองเศร้ายามพูดถึงความรักของพี่สาวที่จะถูกทำลาย ในอกของคนตัวใหญ่โหวงว่างแปลกๆ

“ใช่ค่ะ พี่ฟ้ามีแฟนแล้ว พวกเขาคบกันมานานจะเป็นสิบปีได้แล้วมั้งคะ และกำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่เดือนนี้ แต่บังเอิญว่างานแต่งของคุณจัดขึ้นก่อน ถ้าคุณเลือกพี่ฟ้า เขาสองคนจะต้องพลัดพรากจากกันแน่ๆ ดังนั้นเลือกหนูเป็นเจ้าสาวแทนเถอะนะคะ” หญิงสาวขอร้อง หยาดน้ำตาใสคลอหน่วย 

ชายวัยสี่สิบสองปีมองเห็นดวงตาสุกใสยามเธอพูดถึงความรักของพี่สาว และดวงตาหมองหม่นด้วยหยาดน้ำตายามพูดถึงความทุกข์ใจของพี่สาว ทุกอย่างชัดเจนจนไม่เพียงติดตาชายหนุ่มเท่านั้น แต่ยังประทับลงในใจของคนที่หมดศรัทธาเรื่องของความรักอย่างเขา

“แล้วความรักของเธอล่ะ” เขากลั้นใจถาม อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าแต่งงานแทน แล้วตัวเธอเองล่ะจะเป็นอย่างไร

“ความรักของหนู ทำไมหรือคะ” หญิงสาวถามกลับ

“คนรักของเธอ ความรักของเธอ ไม่เสียดายหรือ” ชายหนุ่มถามย้ำ

“คนรักของหนูในแบบชู้สาว ไม่มีหรอกค่ะ แต่ถ้าถามหาความรักแล้วละก็ สิ่งที่หนูกำลังทำอยู่นี่แหละค่ะคือความรัก” หญิงสาวว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แววตาเลื่อนลอยราวกับคนคิดบางอย่าง

“ความรักของหนูคือครอบครัวค่ะ และการที่เราทำทุกอย่างเพื่อให้คนในครอบครัวที่เรารักมีความสุข เราก็จะมีความสุขไปด้วย แต่ถ้าคนที่เรารักมีความทุกข์ เราก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มันหมดไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” แววตาสุกใสเป็นประกายของหญิงสาวทำให้พิธานไม่อยากที่จะละสายตาไปจากดวงตาคู่นั้น

“การแต่งงานในครั้งนี้จะทำให้คนที่หนูรักมีความสุข พี่ฟ้าก็จะได้แต่งงานกับพี่แสง บริษัทก็จะได้รับความช่วยเหลือ พ่อ แม่ พี่ๆ พนักงานที่บริษัทก็จะได้ไม่ตกงาน หากเทียบแล้วมันเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน หนูก็ไม่สนใจหรอกค่ะว่าหนูจะต้องทำอะไรบ้าง แค่เพียงคุณพิธานตกลง หนูจะทำทุกอย่างที่คุณสั่ง ไม่ขัดใจเลยแม้แต่อย่างเดียวค่ะ” หญิงสาวหันกลับมาสบตาคนตรงหน้า ส่งสายตามั่นคงไปให้คนตัวใหญ่ แสดงความจริงใจที่เธอมีต่อเขา

“แต่ขอสองอย่างนะคะ” หญิงสาวยิ้มขำ ชายหนุ่มรู้สึกสดใสตามเธอทีเดียว หลังจากบรรยากาศอึมครึมมาสักพัก

“ไม่ผิดศีลห้าข้อกับไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน แค่นี้เองค่ะ ที่เหลือหนูทำให้คุณได้หมด” หญิงสาวยิ้มหวานมากขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า

“เธอคงศรัทธาในความรักของพี่สาวเธอมากจริงๆ สินะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไร้ความกระด้างในน้ำเสียงต่างจากก่อนหน้านี้

“ค่ะ หนูเห็นความรักของพี่เขาสองคนมานาน กว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย กว่าจะรักกันได้ น้ำตาหมดไปหลายปี๊บเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยติดตลก ทั้งที่แววตาไม่มีความตลกเลยสักนิด ก่อนจะวกกลับเข้าเรื่อง ด้วยความจริงจังทั้งน้ำเสียงและหน้าตา

“และที่หนูมายื่นข้อเสนอให้คุณ เพราะหนูต้องการจัดการอีกหนึ่งอุปสรรคของพวกเขาให้หมดไป ซึ่งถ้าคุณจะกรุณา ก็เลือกหนูเป็นเจ้าสาวแทนเถอะนะคะ” 

แววตามั่นคงเจือเว้าวอนของคนตรงหน้าทำให้เขาใจอ่อนอย่างน่าประหลาด แต่พิธานก็ไม่ได้ตัดสินใจในทันที เขาเลือกจะเอ่ยคำถามพร้อมกระตุกยิ้มเย็น เขามั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่มีทางเข้าใจความหมายแน่นอน

“แล้วเธอรู้ไหมว่า ทำไมฉันถึงเลือกพี่สาวเธอมาเป็นเจ้าสาวของฉัน” 

“ทราบค่ะ และหนูก็กำลังจะเปิดการขายให้คุณฟัง” หญิงสาวยกยิ้มขำขันเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำหน้าเหลอ เสียลุคประธานใหญ่อย่างไม่คาดฝัน

“หากคุณจะเทียบเรื่องคุณวุฒิและวัยวุฒิ หนูคงเทียบพี่ฟ้าไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องอื่นๆ บอกเลยว่าหนูกับพี่ฟ้าแทบจะเป็นคนคนเดียวกันเลยละค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้ม นัยน์ตาหวาน

“ตั้งแต่คุณภาพทางการศึกษา หน้าตาทางสังคม ชาติตระกูล การเข้าสังคม การออกงานต่างๆ เคียงข้างคุณ การทำงานที่แม้จะเคยลงมือทำเฉพาะการฝึกงานที่บริษัทคุณพ่อ แต่คุณภาพไม่แพ้พี่ฟ้า หนูสามารถทำได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ และอะไรที่หนูยังไม่เคยทำ หนูก็พร้อมเรียนรู้ ส่วนเรื่องอายุ ไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ เพราะอายุเป็นเพียงตัวเลขค่ะ และคุณก็ไม่ได้ดูสูงวัยขนาดเดินข้างกันแล้วจะเหมือนพ่อกับลูก แต่เหมือนคนแต่งงานกันที่อายุห่างกันไม่กี่ปี เพราะว่าหนูหน้าแก่จะเท่าคุณอยู่แล้ว” หญิงสาวอธิบายยาวเหยียด พร้อมชี้หน้าเธอประกอบคำพูด ก่อนจะสะอึกกับคำถามของคนตรงหน้า

“แต่งงานเป็นภรรยา เรื่องที่เธอบอกมามันเป็นเรื่องภายนอกบ้าน แล้วเรื่องในบ้านล่ะ” ดวงตาชายหนุ่มเป็นประกายจนเมฆานรีขนลุก เธอไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่เรื่องในบ้านที่คิดได้ตอนนี้มีอยู่เรื่องเดียวสำหรับผู้ชาย 

สีหน้าแดงระเรื่อของหญิงสาวทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ เพราะเขามั่นใจว่าเธอคิดเรื่องเดียวกับเขา

“เรื่องนั้นต้องทำด้วยหรือคะ” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มเสียงเบาจนคนตรงหน้าหัวเราะเบาๆ เช่นกัน

“อืม...ทำด้วยสิ แต่งมาเป็นภรรยานะ เมียน่ะ” ชายหนุ่มลากเสียงยาว พลางสังเกตสีหน้าหญิงสาวที่เริ่มเคร่งเครียดขึ้นแต่ยังคงความเขินอายอยู่

ถึงแม้เธอจะทำใจกับเรื่องนี้มาบ้าง แต่พอจะต้องมาพูดถึงจริงๆ ก็อดกังวลจนตัวเกร็งขึ้นไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จำเป็นต้องตอบ เพราะคนตรงหน้ายังจ้องมองมาเพื่อจะเอาคำตอบจากเธอให้ได้

“ถ้ามันจำเป็นขนาดนั้น ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ใช่มั้ยคะ” เธอยังคงเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก ทั้งยังไม่ยอมสบตา เนื้อตัวเกร็งจนชายหนุ่มสังเกตได้ ยิ่งเขาพิจารณาคนตรงหน้า ก็ยิ่งเห็นถึงความจริงข้อหนึ่งที่เขามองข้ามมาตลอดในการสนทนาครั้งนี้กับเธอ ถึงแม้เธอจะพยายามปกปิดมันด้วยท่าทางมั่นใจ แต่ความใสซื่อและความหวาดหวั่นที่เธอแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ทันระวังตัว ทำให้เขาเห็นใจและรู้สึกสงสารจนไม่อยากที่จะแกล้งเธออีก

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แล้วเธอมีอะไรจะบอก จะขายฉันอีกมั้ย จะได้รับฟังทีเดียว” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปนขำขันกับคำพูดของเมฆานรี การกระทำนั้นก็ทำให้หญิงสาวลดอาการหวาดหวั่นลงไปได้เยอะ

“ไม่มีแล้วละค่ะ หนูพูดทุกอย่างไปหมดแล้ว และหนูก็ไม่สามารถให้คุณทดลองสินค้าได้ แต่อยากให้คุณมั่นใจว่าบริการหลังการขายประทับจิตแน่นอน อยากให้คุณลองมองสินค้านอกกระแสดูบ้าง บางทีอาจจะดีก็ได้ค่ะ อ๋อ คุณสามารถหาบุคคลอ้างอิงที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้ด้วยนะคะ” หญิงสาวว่าติดตลก

“ใคร” ชายหนุ่มขมวดคิ้วถาม

“ก็อาจารย์ที่ปรึกษาของหนูไงคะ อ. ไพรจิต ที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของคุณไง” หญิงสาวบอกยิ้มๆ ดีที่เธอหาข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนรุ่นพี่ของเขาที่เป็นอาจารย์ในคณะเธอได้ และที่โชคดีไปกว่านั้น คือเพื่อนรุ่นพี่ของเขาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะรับไว้พิจารณาก็แล้วกัน หลังจากนี้เธอก็ไม่ต้องมาหาฉันแล้ว เลิกเรียนก็อยู่บ้านเถอะ คุณแม่จะได้ไม่ต้องห่วง เธอจะได้ไม่ต้องถูกกักบริเวณด้วย” ชายหนุ่มว่าพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“คุณจะให้คำตอบหนูได้เมื่อไหร่คะ” หญิงสาวถามและรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“เมื่อกี้เธอว่าจะเรียนจบเมื่อไหร่นะ” ชายหนุ่มย้อนถาม

“ถ้าตามตารางมหาวิทยาลัยก็อีกสองเดือนค่ะ แต่ถ้าเอาจริงๆ สอบวันสุดท้าย วันที่ 27 เดือนนี้ค่ะ รับวุฒิ 31 เดือนหน้า จริงๆ สอบเสร็จก็ถือว่าเรียนจบแล้ว” หญิงสาวตอบตาแป๋ว พลางสงสัยว่าเขาถามทำไม

“งั้นหลังสอบเสร็จเราค่อยคุยกันอีกที รีบกินเถอะ มันดึกแล้ว” ชายหนุ่มชี้อาหารในจานตรงหน้าของเมฆานรี

หลังจากที่ทั้งสองรับประทานอาหารตรงหน้าที่เหลือจนหมด พิธานก็อาสาลงไปส่งเธอที่ด้านหน้าโรงแรม และตั้งใจจะแยกย้ายกันทันที พอลงมาถึงด้านล่างก็พบพิมฐาและพิศพราวยืนคอยอยู่ด้วยความเป็นห่วง 

ทันทีที่เห็นประธานหนุ่มกับสาวมหา’ลัยวัยใสลงมาด้วยกัน สองสาวก็แทบจะพุ่งตัวไปหาโดยทันที

“น้องเมฆ สองคนนั้นเป็นใครกันคะ” พิมฐาเป็นคนแรกที่ถามขึ้น 

เมฆานรีมีสีหน้าหนักใจไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก่อนอึกอักว่า

“เอ่อ คือ พี่สองคนเขาเป็น คนที่คุณแม่ส่งมาคุมประพฤติ เมฆเองค่ะ” 

“ทำไมกันคะ เกิดอะไรขึ้น” พิศพราวถามต่อ

“เมฆกลับดึกหลายวันติดต่อกันเป็นเดือน คุณแม่เลยสั่งกักบริเวณค่ะ แต่เมฆมีธุระสำคัญกับคุณพิธานจริงๆ ที่ไม่อยากให้คนที่บ้านรู้ เลยหนีมาค่ะ ถ้าพี่สองคนนั้นเห็นว่าเมฆมาพบคุณพิธาน ต้องเอาไปรายงานคุณแม่แน่ๆ” หญิงสาวเป็นพวกกล้าทำกล้ารับ ใครถามก็ตอบไปตามจริง

“ต้องขอโทษพี่พิม พี่พิศที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ และขอบคุณที่ช่วยเมฆกันพี่สองคนนั้นด้วย” หญิงสาวว่าพร้อมยกมือไหว้หญิงสาวทั้งสองคนตรงหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ก็แค่เป็นห่วง นึกว่าพวกโจรจับตัว หรือไม่ก็พวกอุ้มฆ่าน่ะค่ะ” พิมฐาแสดงสีหน้าหวั่นใจ พลางรับไหว้แล้วพูดต่อ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กลับบ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวจะดึกอีก” 

พิศพราวพยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นเมฆขอตัวก่อนนะคะ” เมฆานรีว่า พร้อมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครั้ง และทั้งสองก็รับไหว้ด้วยรอยยิ้มใจดีอีกเช่นเดิม

การพูดคุยกันอย่างสนิทสนมของทั้งสามสาวทำให้พิธานอดสงสัยไม่ได้ว่า เวลาแค่เดือนกว่าๆ จะทำให้พวกเธอสนิทกันได้จริงๆ หรือ และก็มีความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจของชายหนุ่มอีกข้อว่า ถ้าเขายอมให้เด็กคนนี้เขามาคุยกับเขาตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาหาเขา สรรพนามที่เธอใช้คุยกับเขาจะสนิทสนมเหมือนกับที่ใช้คุยกับสองคนนี้หรือไม่

พิธานเดินออกมาส่งเมฆานรีที่ด้านหน้าโรงแรม หญิงสาวเลือกที่จะนั่งแท็กซี่กลับบ้านแทนรถเมล์ เพราะเธอมั่นใจว่า บอดีการ์ดสองคนคงกลับบ้านไปแล้ว และถ้ารอรถเมล์อาจจะไม่ทันการณ์ เพราะคุณแม่อาจสั่งลงโทษปีกับผลไปแล้ว ก่อนออกมาประธานหนุ่มอาสาจะไปส่งเธอที่บ้าน แต่เธอปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้คนที่บ้านรู้จริงๆ ว่าเธออยู่กับเขา 

ทันทีที่รถแท็กซี่มาจอดเทียบ เมฆานรียกมือไหว้คนที่มีอายุเยอะกว่า พร้อมย้ำว่าให้เขาพิจารณาข้อเสนอของเธอ หรือถ้าจะให้ดีก็ยอมรับข้อเสนอตอนนี้เลย 

เมื่อรถของหญิงสาวเคลื่อนออกไปจนไฟท้ายรถลับตาแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มพิจารณาการขาย ไม่ใช่สิ ต้องเป็นข้อเสนอของหญิงสาวทันที

แววตามุ่งมั่น ท่าทาง และน้ำเสียงจริงจังของเธอเตือนให้เขารู้ว่าเธอเอาจริง และที่สำคัญ มีสิ่งหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในใจของเขาตลอดนับตั้งแต่ฟังข้อเสนอของเธอ

เธอทำทุกอย่างนี้เพื่อความรักของพี่สาวอย่างนั้นหรือ เมฆานรี เธอเสียสละตัวเอง เพื่อคนส่วนมาก เพื่อครอบครัว เพื่อคนที่เธอรักอย่างนั้นหรือ 

นี่กระมัง ที่เขาเรียกว่า ความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่จีรัง ความรักที่ตัวเขาเองไม่เคยเจอ ความรักที่เขาคิดเข้าข้างตัวเองว่า ถ้าเขาได้รับความรักบ้างก็คงดี หัวใจที่ตายด้านของเขาอาจจะเปิดรับใครคนใหม่ให้เข้ามาในชีวิตได้อีกครั้ง 

 

ทันทีที่ลงจากรถแท็กซี่ เสียงโวยวายของสายธารก็แว่วออกมา เมฆานรีมั่นใจว่าผู้เป็นแม่กำลังจัดการกับสองบอดีการ์ดที่ปล่อยให้เธอหนีไปได้ และเพื่อไม่ให้เกิดการฆาตกรรม หญิงสาวรีบวิ่งจากรั้วบ้านเข้าสู่ตัวบ้าน เป็นโชคดีอย่างมากที่เธอเข้าไปทันก่อนจะเกิดการลงไม้ลงมือ 

“เมฆกลับมาแล้วจ้า” หญิงสาวส่งเสียงใสไปก่อนตัว เพื่อลดบรรยากาศตึงเครียดภายในบ้าน

“ยายเมฆ!/คุณหนู!” หลายเสียงประสานกัน แต่คนที่หญิงสาวเลือกจะเข้าไปหาคนแรกคือผู้เป็นมารดา

“แม่จ๋า เมฆฮิ้วหิว มีอะไรให้ทานบ้างคะ” หญิงสาวที่ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อนโอบกอดมารดาไว้หลวมๆ ก่อนจะซุกไซ้หน้ากับไหล่แม่ เมฆานรีรู้ดีว่าการประจบแบบนี้จะทำให้ผู้เป็นแม่หายโมโหได้ไว เพราะสายธารที่แสนเย็นสบายของบ้านไม่มีทางร้อนเป็นลาวานานแน่ๆ

เป็นไปอย่างที่คิด คนเป็นแม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลูบหัวเธออย่างรักใคร่กึ่งโมโห

“หายไปไหนมา แม่จะเป็นลมตายตอนสองคนนี้บอกว่าหนูหนีไป” นายหญิงประจำบ้านหันไปถลึงตาใส่ชายหนุ่มสองคนที่ยืนมองเมฆานรีด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงอยู่ไม่ไกล

“ไปทำธุระค่ะแม่” หญิงสาวตอบด้วยสัตย์จริง

“ธุระอะไร ทำไมต้องหนี!” คนเป็นแม่ถามเสียงดัง

“ธุระส่วนตัวค่ะแม่ ถ้าพี่สองคนไปด้วย ก็ไม่ส่วนตัวสิคะ” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์

คนเป็นแม่ก็ไม่คิดจะคาดคั้นว่าธุระที่ว่าคืออะไร เพราะรู้ว่าหากถามไปก็ไม่ได้คำตอบอะไร

“อย่างน้อยก็ควรจะบอกบ้างนะคะ ว่าจะไปไหน อยู่ที่ไหน ไม่ใช่แกล้งปวดท้องแล้วหนีไปแบบนี้” คนสูงวัยที่มาใหม่เอ่ยขึ้น โดยมีใสใจประคองอยู่ข้างๆ ราวกับเพิ่งฟื้นจากการเป็นลม

“ป้านวล เมฆขอโทษนะคะ ที่โกหกป้านวล โกหกใส และก็พี่ปีกับพี่ผลด้วย” คนเป็นนายน้อยรีบผละจากแม่แล้วตรงไปยกมือไหว้ขอโทษคนสูงวัยอย่างรู้สึกผิดจริงๆ ก่อนจะหันไปหาคนอื่นๆ เธอรู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน

“แต่ถ้าเมฆบอกไปดีๆ ตรงๆ พี่ปีกับพี่ผลก็ไม่พาไปหรอกค่ะ พี่สองคนเชื่อฟังแม่จะตาย” หญิงสาวว่าก่อนจะส่งค้อนวงโตให้คนสองคน ที่เมื่อกี้เธอเพิ่งขอโทษไป

“ก็มันเป็นหน้าที่ไงครับ คุณหนู” ปีพูดขึ้น ซึ่งผลก็พยักหน้ารับ

“ก็ใช่ไงคะ หน้าที่ของพี่คือทำตามคำสั่งแม่ ส่วนเมฆก็มีหน้าที่ที่ต้องทำเหมือนกัน สรุปงานนี้ต่างคนต่างทำหน้าที่ ไม่มีใครผิดแล้วนะคะ คุณแม่” หญิงสาวส่งเสียงและสายตาออดอ้อนไปยังผู้เป็นแม่ที่เอาแต่ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ ส่วนคนอื่นๆ ที่ยืนดูเหตุการณ์ก็หัวเราะ โดยเฉพาะคนเป็นพ่อที่รู้อยู่แล้วว่า อย่างไรเสียเหตุการณ์ก็ต้องจบลงแบบนี้

“แล้วเรื่องกักบริเวณยังมีผลต่อมั้ยล่ะแม่” คนเป็นพ่อถามอย่างขำขันเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มๆ ของลูก

“มันคนละเรื่องค่ะ ยิ่งทำแบบนี้ ก็ยิ่งต้องกักบริเวณ” คนเป็นแม่ชี้นิ้วคาดโทษ ไปยังลูกสาว ก่อนจะหันไปดุลูกน้อง

“คราวนี้ถ้ายายเมฆหนีไปได้อีก ฉันจัดการนายสองคนแน่”

ลูกน้องสองคนรีบพยักหน้ารับ ก่อนนายหญิงของบ้านจะเดินแยกไป โดยมีคนเป็นสามีเดินไปด้วย เช่นเดียวกับป้านวลที่มีเด็กใสประคองไปจากมือของเมฆานรี ในห้องจึงเหลือเพียงเธอ ปี ผล และใครอีกคนที่นั่งเงียบๆ ตลอดการสนทนาและความวุ่นวายของคนในบ้าน

เมฆานรีหันกลับมา ปะทะสายตากับคนสองคนที่มีแววตาแตกต่างกัน คู่หนึ่งจ้องมาอย่างคาดโทษราวจะบอกว่าจะไม่มีทางปล่อยให้เธอคลาดสายตาอีกเป็นแน่ สายตานั้นมาจากปี พี่ชายที่รู้ทันน้องสาวเสมอ ส่วนอีกคู่ ผลยังคงมองเธอด้วยแววตาอบอุ่น ขอร้องกลายๆ ว่าอย่างทำแบบนั้นอีก

“ไม่ต้องห่วงค่ะ หลังจากนี้จะไม่หนีอีกแล้ว เพราะไม่มีอะไรที่ต้องไปทำแล้ว” หญิงสาวว่าพร้อมยิ้มหวานให้ทั้งสองคน ทั้งสองก็พยักหน้ารับก่อนจะขอตัว 

ตอนนี้ในห้องโถงของบ้าน เหลือเพียงเธอกับหญิงสาวอีกหนึ่งคน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น