3
เหตุผลที่ใจอ่อน
ท่านประธานหนุ่มนั่งมองลอดแว่นดูสาวๆ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ยืนมองมาทางเขาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็น จนเขาสงสัยระคนรำคาญใจ แต่จะให้เดินเข้าไปถามตรงๆ ก็ไม่ใช่มาดของเขา สิ่งที่เขาทำได้ คือการตีหน้าเข้มปรามพนักงานของตัวเอง จากนั้นรีบหันมาเซ็นเอกสารตรงหน้าแล้วเดินขึ้นลิฟต์สำหรับผู้บริหารไป
จริงๆ เขาก็รู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เดินเข้ามาในโรงแรมตอนเช้าแล้ว เขามั่นใจว่าเห็นหลังไวๆ ของเลขาฯ สาวที่เพิ่งปลีกตัวออกไปจากลูกพี่ลูกน้องเขาที่ยิ้มหวานให้ก่อนเดินเข้าไปทำงานของตัวเอง นั่นยังไม่นับรวมตอนเที่ยงที่เขาเดินลงมาพบลูกค้า แล้วจะไปรับประทานที่ห้องอาหารของโรงแรม พนักงานประชาสัมพันธ์ก็หันมายิ้มให้ก่อนหันไปแอบกระซิบกระซาบเมื่อเขาเดินผ่านไป แม้อยากจะรู้แต่พิธานก็เลือกที่จะไม่สนใจ
ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน เลขาฯ สาวก็รีบเดินตามเข้ามาพร้อมกับวางเอกสารให้ที่โต๊ะ ก่อนจะสอบถามเรื่องอาหารว่างของบ่ายนี้
“ท่านประธานคะ วันนี้มีเค้กชาเขียวกับเค้กช็อกโกแลต ท่านประธานจะรับเค้กรสไหนดีคะ” หญิงสาวถามออกไปแม้ในใจจะรู้คำตอบดี
“เค้กเหรอ อยากกินอยู่พอดี รู้ใจผมจริง อืม ขอเค้กชาเขียวดีกว่า” ชายหนุ่มส่งยิ้มอารมณ์ดีให้เลขาฯ สาวที่ยิ้มหวานรออยู่ก่อนแล้ว
“งั้นรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวพิศไปเอามาให้” หญิงสาวเดินจากไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับขนมเค้กและกาแฟในมือ เลขาฯ สาวบรรจงวางแก้วกาแฟไว้ทางขวามือของนาย ก่อนจะตั้งใจวางขนมเค้กลงตรงหน้าเพื่อให้เขาได้ชิมรสเลย
“ลองทานดูนะคะ ว่าชอบรสนี้มั้ย” หญิงสาวยิ้มหวานและยังคงยืนรอคำตอบ
พิธานเห็นดังนั้นก็รีบหยิบช้อนขึ้นมาและตักชิม ก่อนจะอมยิ้มกับรสชาติ
“อร่อยดีนะ ไปซื้อจากที่ไหนมา” ชายหนุ่มถามทันทีที่เคี้ยวหมด ก่อนจะขมวดคิ้วกับรอยยิ้มกริ่มของเลขาฯ สาว
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เพราะมีคนฝากไว้ให้ค่ะ” หญิงสาวว่า ก่อนจะรีบพูดต่อพร้อมยิ้มตาหยี เมื่อคิ้วเจ้านายหนุ่มเริ่มติดกัน “คุณเมฆานรีนำมาฝากไว้เมื่อเช้าค่ะ”
เพียงแค่ได้ยินชื่อ หัวใจของพิธานก็กระตุกแปลกๆ เขาหลุบตามองเค้กสีเขียวเข้มที่เขาตักไป ก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ ให้มัน และหุบยิ้มทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีคนตรงหน้าอยู่ในห้องด้วย ก่อนจะแกล้งกระแอมแล้วถามสิ่งที่เขาสงสัย
“เด็กคนนั้นมาที่นี่แต่เช้า เขามาทำอะไร” พิธานค่อนข้างมั่นใจว่าหญิงสาวตรงหน้าทราบเหตุผลของเด็กคนนั้น
“น้องเมฆ เอ๊ย คุณเมฆานรีตั้งใจนำเค้กมาฝากให้ ฝากแจ้งว่าวันนี้ตอนเย็นคงไม่ได้มานั่งรอพบ เนื่องจากบ่ายนี้มีสอบคงมาที่นี่ไม่ทันท่านประธานแน่ๆ ค่ะ” พิศพราวแจ้งตามที่หญิงสาวฝากไว้
“อย่างนี้ท่านประธานก็ไม่ต้องรีบเคลียร์งานแล้วซิคะ” เลขาฯ สาวว่ากลั้นหัวเราะ
“ทำไมล่ะ” เขาตอบกลับพร้อมเลื่อนจานเค้กให้ไปไกลตัวก่อนคว้าเอกสารมาเซ็น
“ก็ไม่มีใครมานั่งรอไงคะ” คนเป็นเลขาฯ กล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหุบยิ้มเมื่อเห็นแววตาดุๆ ของเจ้านาย
“งั้นพิศของตัวก่อนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวว่าจบก็รีบเดินออกไป แต่ก็ยังอดยิ้มกับรอยยิ้มที่เห็นบนหน้าเจ้านายหนุ่มเมื่อกี้ไม่ได้
ฝ่ายพิธานเมื่อเห็นว่าลูกน้องออกไปแล้วก็รีบหยิบเค้กที่เขาแกล้งดันออกไปไกลๆ ให้กลับมาที่หน้าตัวเองอีกครั้ง และตักเข้าปากอีกคำ เขาอยากกินเค้กรสนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พยายามตามหาแบบที่ไม่หวาน เพราะส่วนใหญ่ที่ได้ลองรับประทาน เค้กชาเขียวจะออกไปทางรสหวาน ดังนั้นตอนที่ได้สัมผัสเค้กชิ้นนี้เข้าไปคำแรก บอกเลยว่าเขาชอบใจ
ที่สำคัญตัวเนื้อเค้กก็นุ่มอย่างที่ไม่เคยรับประทาน เมื่อได้ลิ้มลองเข้าไปอีกคำ คำต่อๆ ไปก็ตามเข้าไปในทันที จนกระทั่งไม่เหลือแม้แต่เศษขนมติดจาน ก่อนจะย้ายมือไปยกแก้วกาแฟดื่มอึกใหญ่แล้วทำงานต่อด้วยรอยยิ้มกว้างจนตัวเองยังรู้สึก แต่ก็ไม่คิดจะหุบลง
หากมีใครมาบอกว่าเด็กคนนี้ร้าย เขาก็จะช่วยสนับสนุนคำพูดนั้นทันที เพราะการกระทำทั้งหมดทำให้เขาแทบไม่อยากรอแล้ว การกระทำที่เหมือนไม่มีอะไรของเธอซื้อใจเขาได้มากกว่าผู้หญิงคนอื่น
ทั้งใบหน้าอ่อนวัยที่ประดับด้วยรอยยิ้ม เสียงหวานๆ ยามเอ่ยชื่อเขาที่เกิดขึ้นแบบไม่ได้ปรุงแต่ง สีหน้าที่จริงจังเวลานั่งทำการบ้าน และล่าสุด ขนมเค้กแสนอร่อยที่มาพร้อมกันถึงสองรส และเป็นรสที่เขาชอบรับประทานเสียด้วย ถึงจะไม่แปลกที่เด็กคนนี้จะรู้ เพราะเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสารเล่มหนึ่ง แต่แปลกตรงที่ว่า บทสัมภาษณ์นั้นก็นานมากจนไม่แน่ใจว่าตอนนั้น เธอเป็นสาวหรือยัง แล้วเธอไปหามันเจอได้อย่างไร
การกระทำทั้งหมดที่เธอทำไว้ส่งผลต่อจิตใจของชายหนุ่มเข้าขั้นคนแก่อย่างเขา ที่ต้องมานั่งใจหาย ห่อเหี่ยวใจเพียงเพราะลงมาแล้วไม่ได้เห็นใบหน้าน้อยๆ ของเธอ ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่า เย็นนี้เธอไม่ได้มารอเช่นทุกวัน
พิธานนั่งเหม่อลอยจนคมกฤตอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้านายของเขาเป็นอะไร จึงชวนคุยถึงสิ่งที่เขารับรู้มาในวันนี้
“เค้กที่ทานวันนี้อร่อยมากเลยนะครับ ดูเหมือนคุณเมฆานรีจะรู้ว่านายชอบเค้กรสนี้” ตอนแรกก็เหมือนว่านายของเขาจะไม่สนใจคำพูดที่เขาเอ่ย แต่ไม่นานก็ได้รับเสียงตอบกลับ
“รู้ได้ไง” คนเป็นนายขมวดคิ้ว
คมกฤตจึงรีบตอบแล้วเสียวสันหลังแปลกๆ “เธอฝากคุณพิศแบ่งมาให้ผมด้วยครับ เมื่อบ่ายเลยได้ทาน”
“งั้นเหรอ ได้กินกันทุกคนเหรอ” คงไม่ใช่เขาคนเดียวที่ได้รับโอกาสสุดพิเศษนี้
“ครับ รปภ. กับแม่บ้านที่เคยช่วยเธอไว้ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คุณพิศ ผม และก็นายได้กันทั่ว” คนขับอธิบาย เหมือนเขาจะได้ยินเสียงฮึดฮัดจากคนข้างหลัง ก่อนจะรีบเอ่ยถึงประเด็นที่คนในโรงแรมพูดกัน
“แต่ได้ยินมาว่าคุณเมฆานรีจะรู้ใจนาย เพราะของนายพิเศษกว่าใคร เธอทราบว่านายไม่ทานหวาน”
พูดออกไปก็อยากจะบ้าตาย ไม่น่าเปิดประเด็นให้งานเข้าตัวเลย ตอนนี้นายหน้าหงิกกว่าก่อนที่เขาจะพูดถึงเรื่องเค้กเสียอีก
คำพูดของคมกฤตอธิบายถึงสิ่งที่เขาได้เจอมาตลอดทั้งวันได้อย่างดี
“รู้ดีไปซะทุกอย่าง อยากจะรู้นักว่าเงื่อนไขที่จะมาเสนอมันคืออะไร” ชายหนุ่มพูดลอดไรฟัน แอบไม่พอใจที่เธอใช้เงินมากมายซื้อของมาแจกจ่ายคนอื่นๆ ทั้งที่ครอบครัวมีปัญหา นี่ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจับตีให้ก้นลาย ฐานใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย
แต่สุดท้ายเขาก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากพ่นลมหายใจหนักๆ ระบายความไม่พอใจ และสั่งให้คนขับมุ่งหน้าไปอีกทางที่ไม่ใช่บ้านหรือคอนโดของเขา แต่เป็นคอนโดของคู่ควงคนปัจจุบัน
“อ้าวน้องเมฆ” เจ้าของน้ำเสียงสดใสทักขึ้นหลังจากที่หญิงสาวในชุดนักศึกษานั่งลงประจำตำแหน่งตนเองเช่นทุกวัน
“สวัสดีค่ะพี่พิศ” เมฆานรีรีบวางหนังสือ ยกมือไหว้คนมาใหม่ทันที
“วันนี้มากับนิยายเหรอจ๊ะ” เลขาฯ สาวทักเมื่อเห็นหนังสือที่เมฆานรีวางลง
“เครียดมาหลายวัน วันนี้ขอผ่อนคลายค่ะ” หญิงสาวยิ้มจนนัยน์ตาสดใส ทำให้คนที่เห็นยิ้มตามไปด้วย
“อ้อ เค้กเมื่อวาน อร่อยจังเลยจ้ะ ขอบคุณมาก นี่ท่านประธานทานแล้วก็ขอกลับไปหมดเลย เห็นท่านว่าอร่อยไม่หวาน ท่านชอบ” เลขาฯ สาวตั้งใจพูดถึงขนมที่ได้รับประทานเมื่อวาน และก็ยังต้องการให้กำลังใจเด็กน้อยที่อดทนมานั่งเฝ้าท่านประธานของเธอด้วย
“จริงเหรอคะ ดีใจจังค่ะ คิดว่าจะชอบหวานกว่านี้เสียอีก” คนในชุดนักศึกษายิ้มอย่างดีใจ
“งั้นพี่ไปก่อนนะ แวะมาบอก เอ๊ย! แวะมาขอบคุณก่อนนะจ๊ะ” เลขาฯ สาวเดินกลับเข้าไปในลิฟต์เพื่อขึ้นไปทำงานต่อ
เมฆานรีหันไปอ่านหนังสือต่อ และยังคงเป็นเหมือนเช่นทุกวันคือ เธอยังคงทำโน่นทำนี่รอชายหนุ่มเจ้าของโรงแรมจนกระทั่งท้องฟ้าไล่สีจากน้ำเงินอ่อนเป็นน้ำเงินเข้มแล้วกลายเป็นความมืดในที่สุด ไม่นานเสียงลิฟต์โดยสารสำหรับผู้บริหารก็ดังขึ้น มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น สำหรับเธอไม่ว่าจะเป็นครั้งไหน หรือวันไหน ทั้งที่เป็นเรื่องปกติของใครหลายคน
ทันทีที่พิธานก้าวออกมาจากลิฟต์ คนในชุดนักศึกษาที่มารอเขารีบลุกขึ้นยืนเต็มตัว เตรียมจะพุ่งตัวมาที่เขา วันนี้เธอมีเพียงหนังสือและกระเป๋าเท่านั้น เรียกได้ว่าสะดวกและคล่องตัวมาก แต่เมื่อเห็นใครอีกคนเดินตามเขาออกมาจากลิฟต์ เมฆานรีถึงกับชะงัก จำได้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นนักธุรกิจสาวสวยและเก่ง ชื่อ ล้อมเพชร เคยได้ยินมาว่ามีความสง่าและเหมาะสมกับชายหนุ่มคนนี้มาก แต่ก็ยังไม่เคยเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันกระทั่งวันนี้ และเธอก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยจริงๆ ว่า ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้เหมาะสมกันมาก
‘แต่เดี๋ยวงั้นวันนี้เธอก็ชวดอีกแล้วละสิ’
สีหน้านิ่งอึ้งของเมฆานรีที่เปลี่ยนเป็นผิดหวังและมีความเคร่งเครียดชัดเจนจนคนที่เดินเคียงกับนักธุรกิจสาวสวยถึงกับอมยิ้มตาเป็นประกาย แน่นอน ไม่มีทางที่หญิงสาวจะเห็น เพราะเธอมัวแต่ก้มหน้ามองพื้น ไม่รู้ทำไมเขาถึงขำขันระคนเอ็นดู อาจเพราะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่เจอกันแล้วเธอทำหน้าแบบนี้ ทั้งที่เธอมักจะยิ้มหวานสดใสให้เขาเสมอ แม้เขาจะทำเป็นไม่เห็น
พิธานรู้สึกใจอ่อน อยากให้เธอมาคุยกับเขาในตอนนี้ ถ้าไม่ติดเรื่องธุรกิจที่คุยติดข้างกับคนข้างๆ เขาคงเข้าไปนั่งคุยกับเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เวลาหนึ่งสัปดาห์ในเดือนที่สองสูญเปล่าไปโดยใช่เหตุ
ทั้งที่เธอมานั่งรอเขาจนดึกทุกวัน แต่กลับไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เขาเลย เพราะเขาต้องประชุมดึก หรือไม่ก็ต้องออกไปกับลูกค้า แต่เมฆานรีก็ไม่ยอมแพ้ แม้จะเริ่มเคร่งเครียด เพราะพ่อเริ่มรุกนภาพราวอย่างหนัก ว่าเมื่อไรจะให้คำตอบ หรือจะรอให้บริษัทมีปัญหาจนสายเกินแก้ ระยะเวลาต่อรองที่น้อยลง งานแต่งงานที่ใกล้เข้ามา ความกดดันเพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่สาวและว่าที่พี่เขย เธอกดดันจนอาจารย์ที่ปรึกษาสังเกตเห็น จึงเรียกเข้าไปคุย ทำให้วันนี้เธอไม่สามารถเข้าไปพบประธานหนุ่มอีกจนได้
ก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคหรือไม่ ที่เธอได้มาเห็นรถคันใหญ่สีดำคุ้นตาตรงหน้าคณะ หญิงสาวเดินตรงไปยังรถคันดังกล่าว ก่อนจะก้มๆ เงยๆ ดูป้ายทะเบียนรถที่หญิงสาวจำมันได้แม่น และคำตอบที่ยืนยันความสงสัยของเธอคือ...
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทักทายของชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากข้างหลัง ทำหน้าหญิงสาวหันไปมองทันที
“สวัสดีค่ะคุณคมกฤต” หญิงสาวยิ้มหวานให้ชายหนุ่มที่ทำหน้าครุ่นคิดก่อนทำตาโตราวกับคิดคำตอบได้ แล้วโค้งตัวให้เธอน้อยๆ
“คุณเมฆานรีมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“เรียกเมฆเฉยๆ ก็ได้ค่ะ เมฆเรียนที่นี่น่ะค่ะ นี่คุณคมกฤตมาทำอะไรที่นี่คะ” คนในชุดนักศึกษาถามอย่างสงสัย
“นายมาพบรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์ที่นี่ครับ” คมกฤตตอบพร้อมรอยยิ้ม เขานึกดีใจที่มาเจอหญิงสาวที่นี่เผื่อนายของเขาจะยอมใจอ่อนคุยกับเธอ
“คุณจะรอพบท่านมั้ยครับ” คมกฤตชี้ทางให้หญิงสาว ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนตรงหน้าส่ายหน้า
“ไม่ดีกว่าค่ะ วันนี้เย็นมากแล้วถ้าออกจากที่นี่ช้ากว่านี้คงถึงบ้านดึก นายของคุณเองอยู่นอกพื้นที่ด้วย เอาเป็นว่าเมฆฝากอันนี้ให้ท่านหน่อยละกันนะคะ” เมฆานรีหยิบถุงที่บรรจุบางอย่างออกจากถุงกระดาษใบใหญ่ข้างตัว ก่อนจะส่งให้คนขับชายหนุ่ม
“เค้กมูสชาเขียวค่ะ ฝากให้นายคุณด้วย และนี่เค้กชาไทยของคุณคมกฤต สูตรใหม่อยากให้ลองทาน อ้อ เค้กชาไทย อย่าพลาดให้ท่านทานนะคะ มันเหมาะกับคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านคงไม่ชอบเพราะมันหวาน ต้องรอปรับสูตรก่อน ยังไงฝากด้วยนะคะ เมฆขอตัวก่อนค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้แล้วเดินจากไป
ทันทีที่เธอหันหลังให้คมกฤตที่พยักหน้ารับคำ พิธานก็เดินออกมาจากตึกคณะ เขามองตามสายตาของคมกฤตไปยังหญิงสาวในชุดนักศึกษา ก่อนจะหันมามองคมกฤตแล้วสังเกตที่มือของลูกน้อง
“อะไรน่ะ” เจ้านายหนุ่มทักขึ้นทันทีที่เข้ามาใกล้ลูกน้อง
“อ้าวนาย โธ่ ไม่ทันแล้ว” คมกฤตว่าอย่างเสียดาย ก่อนจะชี้ไปที่หญิงสาวในชุดนักศึกษาที่เพิ่งนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์วินออกไป ถ้าเพียงเธออดทนรอเหมือนทุกวัน เธอคงได้พบนายของเขาแล้ว
“คุณเมฆานรีเธอเพิ่งไปเมื่อกี้นี้เอง” คมกฤตบอก
“นายไม่ได้บอกหรือว่าฉันอยู่ที่นี่” พิธานถาม
“บอกแล้วครับ แต่เธอบอกว่าถ้าออกช้ากว่านี้คงถึงบ้านดึก เลยฝากให้ผมเอาเค้กให้นายครับ” คมกฤตเลือกที่จะยื่นเค้กชาเขียวให้เจ้านายหนุ่มเท่านั้น
“แล้วนั่น...” พิธานชี้อีกถุงในมือลูกน้อง
“อันนี้ เค้กชาไทยของผมครับ” คมกฤตตอบอย่างงงๆ
คนเป็นนายฟังแล้วก็ดูจะไม่พอใจ ทั้งยังหมายจะคว้าอีกถุงไป แต่คมกฤตดึงมือกลับเสียก่อน
“เธอสั่งว่าห้ามเอาเค้กชาไทยให้นายทานครับ มันหวาน” คมกฤตตอบพร้อมเดินไปเปิดประตูให้คนเป็นนาย
พิธานไม่รอช้า เขาเดินขึ้นไปนั่งรถและไม่คิดยื้อแย่งเค้กชิ้นนั้นจากคมกฤตอีก เพราะประโยคของคนขับนั้นบอกถึงอะไรหลายอย่างที่เธอทำให้เขา นั่นคือความเอาใจใส่ว่าเขาชอบอะไรเหมือนรู้ใจเขา
รถหรูเคลื่อนออกไปยังหน้ามหาวิทยาลัยที่คลาคล่ำด้วยผู้คน และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาหันไปสนใจคนพวกนั้น คือหญิงสาวที่อีกไม่กี่ก้าวก็จะเดินถึงป้ายรถเมล์ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากมองเธอจากในรถ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์ที่เขาเพิ่งไปพบ
‘มาด้วยตัวเองอีกแล้ว’ คนเป็นรุ่นพี่ทักขึ้น
พิธานยกมือไหว้ด้วยความเคารพ แล้วพูดอย่างสุภาพและอ่อนน้อม
‘ครับ มารับเอกสาร แล้วก็ตั้งใจมาเยี่ยมพี่ด้วย’
‘ขอบใจจ้ะ อะ ลองเอาไปตรวจดูว่าคนไหนมีแววบ้าง กองนี้ฝึกงาน ส่วนกองนี้สมัครงานจ้ะ’ คนเป็นอาจารย์ว่าอย่างสุภาพ ก่อนจะพูดบางอย่างที่ทำให้คนฟังสนใจ
‘นี่ เมื่อกี้พี่เพิ่งคุยกับนักศึกษาคนหนึ่ง แกเป็นเด็กน่ารัก เรียนดี แถมยังเก่งมากด้วย เสียดาย พ่อแม่เขาเปิดบริษัททัวร์ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นพี่จะส่งไปให้ทำงานที่โรงแรมของคุณพิธานแล้ว’ เธอยังกล่าวต่อเมื่อเห็นว่าคนฟังยังรับฟัง
‘แต่ช่วงนี้ได้ข่าวว่าบริษัทที่บ้านมีปัญหา หน้าเครียดมาเรียนจนพี่ต้องเรียกมาคุย กลัวเกรดเด็กจะตก แต่พี่ว่าคุณพิธานน่าจะรู้จักบ้านนี้นะคะ นามสกุลท่องวัจนะค่ะ แกชื่อเมฆานรี’
‘เมฆานรีหรือครับ’
‘ค่ะ เมฆานรี ท่องวัจนะ พี่พูดตรงๆ นะคะ ห่วงอนาคตแก บอกให้ไปทำงานที่อื่นก่อนก็ไม่ไป จะช่วยที่บ้านอย่างเดียว นี่ก็เห็นว่าเลิกเรียนก็รีบกลับ ไม่รู้ว่ารีบไปช่วยที่บ้านหรือเปล่า’ คนเป็นอาจารย์คาดเดาไปต่างๆ นานา แต่คนที่รู้ดีว่าหญิงสาวไปทำอะไรนั้นคือเขา แล้วเธอก็พูดประโยคที่ทำให้เขานิ่งไปว่า
‘ถ้าบริษัทนั้นล้มจริง ๆ พี่ก็อยากให้คุณพิธานช่วยแกหน่อย’
‘เอาเป็นว่า ผมขอประวัติเธอไว้ด้วยเลยนะครับ พี่มีหรือเปล่า ผมจะได้เก็บไว้เผื่อเธออยากให้ผมช่วย’ พิธานเร่งตอบ ก่อนจะได้รับเอกสารของเด็กคนนี้มาในมือ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่รุ่นพี่ที่เขาสนิทด้วยคนนี้จะเอ่ยปากชมเด็กนักเรียนคนไหน ถ้าไม่ดีจริง ดังนั้นการการันตีจึงเชื่อถือได้มาก และเขาก็ตัดสินใจแล้วว่า พรุ่งนี้เขาจะให้เด็กคนนี้เข้าไปพบกับเขา เพื่อฟังข้อเสนอที่เธอตั้งใจจะมายื่น เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่า เด็กคนนี้มีคุณสมบัติที่เขามองหา นั่นคือความอดทน
ไม่ใช่ความอดทนที่นั่งรอสบายๆ อยู่ที่โรงแรม แต่เป็นความอดทนตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่เขาเพิ่งได้เห็นวันนี้ว่า เธอต้องอดทนในการเดินทางมากเพียงไร ระยะทางจากมหาลัยไปหาเขาที่โรงแรมไม่ใช่ใกล้ๆ สำหรับการนั่งรถเมล์ แล้วไหนจะต้องนั่งรถเมล์จากโรงแรมกลับบ้านเธออีก ที่สำคัญไปกว่านั้น สิ่งที่เธอลงทุนทำไปทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อให้เขาหันมาสนใจเธอ แต่เธอทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อครอบครัวที่เธอรัก
พิธานยอมแพ้ความอดทน ความมั่นคงของเธอแล้ว แม้จะยังเรียนไม่จบแต่กลับมีความคิดที่ดีอย่างน่าแปลกใจ
“พรุ่งนี้ฉันจะรอคุยกับเธอนะ เมฆานรี”
ประธานหนุ่มเอ่ยกับตัวเอง พร้อมส่งยิ้มให้เค้กกล่องนั้น เขาอยากรู้จักเธอมากกว่านี้ ไม่ว่าจะสถานะไหนก็ตาม เขาอยากรู้ความคิดและจิตใจของเด็กคนนี้ด้วยตัวเองให้มากกว่าที่ได้ยินจากคนอื่น
หลายวันมานี้พิธานรอโทรศัพท์จากฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อเป็นสัญญาณว่า คนที่เขารอคอยมาถึงแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จนเขาต้องโทร. ลงไปเอง เป็นแบบนี้มาเป็นสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจว่า จะให้เด็กคนนั้นเข้าพบ เช้าวันถัดมาเขาก็สั่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ทันที ว่าเมื่อไรที่เด็กคนนั้นมา ให้โทร. ขึ้นมาบอกเขา แล้วเขาจะลงไปรับเธอด้วยตัวเอง
“พิม เด็กคนนั้นมาหรือยัง” พิธานโทร. ลงมาถามเป็นครั้งที่สิบของวันแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับคำตอบเดิม
“ยังไม่มาเลยค่ะ” หญิงสาวตอบกลับ วันนี้เธอได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายของเธอบ่อยไม่แพ้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่าน
“งั้นเหรอ ถ้ามาแล้วโทร. บอกพี่โดยตรงนะ” เขาย้ำกับลูกพี่ลูกน้อง ก่อนจะพ่นลมหายใจหนักๆ หลังจากที่วางสายลง
ในหัวของเขาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีแต่เรื่องของเด็กคนนั้น เป็นห่วงสารพัดว่าจะประสบอุบัติเหตุ หรือลักพาตัว หรือโดนทำร้าย และอีกมากมาย เพราะตลอดเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมาเธอแทบจะมาหาเขาทุกวันจนเป็นความเคยชิน ปกติจะต้องมานั่งเฝ้าตอนเย็น แต่ถ้าเย็นติดธุระ ตอนเช้าก็จะฝากเรื่องไว้ที่ประชาสัมพันธ์หรือไม่ก็ รปภ. ที่เธอสนิทด้วย ไม่เคยหายเข้ากลีบเมฆอย่างนี้ แต่เรื่องร้ายๆ ที่เขาคิดไว้มีอันต้องตัดไปและเบาใจขึ้น เพราะเขาไม่ได้ยินข่าวร้ายที่มีชื่อเธอ และคนของบ้านท่องวัจนะก็ยังออกงานกันเป็นเรื่องปกติ
ตอนนี้เรื่องที่มาเป็นอันดับหนึ่งคงจะเป็น ‘เธอถอดใจแล้ว’ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็เริ่มหน้าถอดสี แม้เขาจะพยายามพิสูจน์ในความอดทนของเธอ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะใจแข็งไม่ให้เข้าพบ เพราะอย่างที่รู้ เขาเองก็อยากที่จะพูดคุย อยากที่จะรู้จักเธอ มากกว่าแอบมองเธออย่างที่ผ่านมา
“พิม มาหรือยัง” ชายหนุ่มโทร. ลงไปถามอีกครั้ง ทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงห้านาที
“ยังไม่มาค่ะ พี่พีท ถ้าน้องเมฆมาแล้ว พิมจะโทร. ไปบอกนะคะ แต่ถ้ายังไม่โทร. คือยังไม่มา” พิมฐาตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งปราม ตอนนี้ไม่มีพนักงานคนไหนกล้ารับโทรศัพท์ เพราะกลัวว่าจะเป็นท่านประธานใหญ่โทร. มา
“ดูให้พี่ด้วยนะพิม นี่จะอาทิตย์หนึ่งแล้ว” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงจนคนเป็นน้องจับได้
“เข้าใจแล้วค่ะ คงไม่มีเรื่องอะไรหรอก โฟกัสที่งานนะคะ เดี๋ยวทางนี้พิมจะดูให้” พิมฐาพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเข้าใจ ก่อนจะวางโทรศัพท์ แล้วหันไปสั่งงานคนเป็นลูกน้อง
แน่นอนว่าหลังจากนั้นเขาก็จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า และก็ได้แต่หวังว่า หญิงสาวที่เขารออยู่จะปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มวัยสี่สิบสองปีจะมานั่งกระวนกระวายใจให้หญิงสาวที่อายุเพียงยี่สิบสามปี โดยไม่เป็นอันทำอะไร คอยแต่จ้องนาฬิกาและโทรศัพท์ จนแล้วจนรอดก็อดต่อสายตรงจากโทรศัพท์มือถือตัวเองไปยังเครื่องของลูกพี่ลูกน้องไม่ได้
“พิม...” ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ย ปลายสายก็ตอบว่า
“ยังไม่มา ยังไม่เห็นค่ะ” แม้เธอจะเข้าใจสิ่งที่พี่ชายเป็น แต่ก็อดรำคาญและแขวะเล็กน้อยไม่ได้
“อย่าหาว่าพิมว่าเลยนะคะ ตอนเขามาเฝ้าก็ทำเป็นเล่นตัว แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่พอมาตอนนี้น้องเมฆอาจจะถอดใจไปแล้ว พี่พิธานกลับมาสนใจ ไม่คิดว่ามันสายไปหรือคะ” คนเป็นน้องพูดด้วยอาการหมั่นไส้ เธอเป็นอีกคนที่เห็นการกระทำของทั้งสองคนชัดเจน คนหนึ่งนั่งรอ อีกคนก็แกล้งให้รอ ถ้าเป็นเธอ เธอคงไม่ทนรอขนาดนี้หรอก
“นี่ พิมเป็นน้องพี่ ต้องเข้าข้างพี่สิ” ชายหนุ่มย้อนอย่างหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้ถือสา เข้าใจว่าคนเป็นน้องเองก็หมั่นไส้ในความวางมาดของเขาเหมือนกัน
“ก็ได้ ถ้ามาแล้วโทร. บอกพี่ด้วย” ชายหนุ่มว่าก่อนจะวางสาย ก่อนจะหันไปจัดการงานที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
พิธานใช้เวลาสองชั่วโมงเต็มในการจัดการงานที่เขาทำค้างไว้ตลอดสัปดาห์ เพราะมัวแต่คิดถึงเด็กคนนั้น แต่จนแล้วจนรอด งานที่ค้างก็หมดลงแล้ว เขาก็ยังไม่ได้รับโทรศัพท์จากพิมฐา หรือแผนกประชาสัมพันธ์ของโรงแรม เมื่อลองมองนาฬิกาก็พบว่า ดึกเกินกว่าที่เด็กคนนั้นจะมาหาเขาได้ เขาจึงทำได้เพียงโทร. ลงไปเช็กเพื่อความแน่ใจอีกครั้งที่แผนกประชาสัมพันธ์และคำตอบที่ได้รับคือ...
“ยังไม่มาค่ะ และคงไม่มาแล้วละค่ะวันนี้ มันดึกแล้ว” พิมฐาตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ก่อนจะได้รับคำตอบกลับเป็นเพียงคำว่า อืม ก่อนสายจะตัดไป ทำให้คนที่ยกหูโทรศัพท์ค้างไว้ถึงกับพ่นลมหายใจตาม
พิมฐาวางโทรศัพท์ลงก่อนจะหันไปคุยกับลูกน้อง แล้วต้องหันไปมองประตูโรงแรมทันที เพราะตรงนั้นเธอเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในโรงแรม ด้วยสีหน้าปั้นยากที่พิมฐาจำได้แม่นยำ
“น้องเมฆ!!”
ความคิดเห็น |
---|