กรุงเทพมหานคร ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔x
ประกายฟ้าแลบของฝนหลงฤดูมาพร้อมกับลมแรงที่โถมเข้าปะทะม่านบางในห้องนอนสีชมพูของ ‘ชลิตา’ ลูกสาวคนเล็กของบ้านโยธินพิทักษ์ เธอหลับสนิทใต้ผ้าห่มอุ่น ไฟหัวเตียงสะท้อนล็อกเกตนาฬิกาขนาดเหรียญสิบที่ห้อยติดคอเด็กหญิง เธอยังอยู่ในชุดนางฟ้าสีขาวที่ใส่ในงานฉลองวันเกิดครอบรอบเจ็ดขวบเมื่อช่วงหัวค่ำ งานปาร์ตี้ที่มีพ่อ แม่ พี่ชายวัยสิบห้าและเพื่อนของพี่ชายอีกสองคนเข้าร่วม มันเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ที่อบอุ่นและสนุกสนาน
เธอได้ของขวัญพิเศษที่อยากได้มานาน นั่นคือเสียงสนับสนุนข้างเธอมีเพิ่มอีกหนึ่งเสียง สถานการณ์เลยพลิกกลายเป็นว่าฝ่ายเธอชนะ จากสองสอง เป็นสามสอง เธอจึงมีสิทธิรับลูกแมวมาอยู่ที่บ้านได้แล้ว ทั้งหมดต้องยกความดีให้กับ ‘พี่ชาย’ คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านได้พักใหญ่ ทุกคนเรียกพี่ชายว่า ‘เคย์’ แต่เพราะเธอมีเพื่อนที่โรงเรียนชื่อนี้แล้ว จึงเลือกที่จะเรียก ‘พี่ชาย’ มากกว่า ‘พี่เคย์’
นอกจากพี่ชายจะช่วยยกมือสนับสนุนแล้ว พี่ยังสัญญาว่าจะช่วย ‘น้องเบลล์’ ดูแลสมาชิกใหม่ด้วย เธอตื่นเต้นและอารมณ์ดี สนุกเต็มที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น กระทั่งหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ลมแรงโถมเข้ามาอีกครั้ง ชายม่านสะบัดพรู เปิดให้แสงฟ้าแลบผ่านเข้ามาถึงในเตียง รบกวนการนอนของเด็กหญิง เธอพลิกตัวอย่างรำคาญ แล้วต้องสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงฟ้าผ่าดัง ‘เปรี้ยง!’ ก่อนจะตามมาอีกระลอก แสงไฟหัวเตียงสว่างพอที่จะให้เด็กหญิงเห็นว่านี่คือห้องนอนของเธอ ไม่ใช่ห้องโถงจัดปาร์ตี้เมื่อช่วงหัวค่ำ
“แม่คะ” แม้โตพอจะนอนคนเดียวได้แล้ว แต่ถ้าสะดุ้งตื่นกลางดึก เด็กหญิงจะต้องเรียกหาใครสักคน แล้วสิ่งที่ทำต่อมาคือกอดหมอนเพื่อเดินไปขอนอนกับพ่อแม่ หรือไม่ก็ห้องชรินทร์ ผู้เป็นพี่ชายที่อายุห่างกันถึงแปดปี
“ฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้าย...” เสียงพูดสำเนียงไม่คุ้นลอยเข้ามาในห้องเมื่อประตูถูกแง้ม แม้ไม่ดังมาก แต่ก็ทำให้เด็กหญิงขมวดคิ้ว รู้สึกตื่นเต็มตา เธอเงี่ยหูฟัง “ตอบฉันมา แกจะยอมกลับไปดีๆ มั้ย!”
“ไม่! ผมจะไม่กลับไปตกนรกที่นั่นอีก!”
เธอจำเสียงตอบกลับนั้นได้ นั่นเป็นเสียงของ ‘พี่เคย์’ พี่ชายคนใหม่
“ผมทนอยู่กับคุณก็เพราะแม่ ตอนนี้ไม่มีแม่แล้ว ต่อให้ตายผมก็ไม่กลับไปกับคุณ”
“แกกล้าปฏิเสธฉันงั้นเหรอ!”
คำตวาดแข่งกับเสียงของบางอย่างตกแตกทำเอาเด็กหญิงสะดุ้ง รับรู้ว่ามีใครบางคนกำลังโกรธมาก ใครบางคนที่เธอไม่รู้จัก เขากำลังตวาดใส่พี่ชาย
“แกรู้จักฉันน้อยไป!”
เกิดอะไรขึ้น พี่ชายคุยกับใคร พ่อพี่ชายมาตามหรือไงนะ
ความสงสัยพาชลิตาออกมาจากห้อง ไปหยุดยืนอยู่ที่หัวบันได ซึ่งมองเห็นโถงรับแขก ไฟตรงนั้นเปิดสว่าง ต้นคริสต์มาสสีเขียวที่เธอและพี่ชายทั้งสองคนช่วยกันตกแต่งยังคงเปิดไฟกระพริบเหมือนเมื่อตอนหัวค่ำ แต่มีบางอย่างต่างออกไป อะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้เด็กหญิงต้องเดินไปดูให้แน่ใจ จนเห็นพ่อแม่และพี่ชรินทร์นั่งเหยียดขากับพื้น ทุกคนหันหลังชนกันถูกมัดแน่น มีเทปกาวปิดปาก
“พ่อคะ แม่คะ ไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น เล่นเกมกันเหรอคะ เกมใหม่ของพี่ชรินทร์เหรอคะ”
เสียงทักของเด็กหญิงเรียกสายตาทุกคนให้หันมอง พวกเขามีท่าทางตระหนกโดยเฉพาะคนที่ถูกมัดติดกัน แต่ดูเหมือนชลิตาจะมองไม่เห็นว่ามีอันตรายกำลังคืบคลานเข้าหา เธอคิดว่านี่เป็นเพียงเกมสนุกที่ครอบครัวเล่นกัน ตอนที่เธอเผลอหลับไป
“พี่ชายล่ะคะไปซ่อนเหรอ” เธอถามอย่างใสซื่อ ขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาถึงชั้นล่าง ไม่ทันสังเกตสักนิดว่าพ่อกับแม่กำลังพยายามส่งสายตาเตือนอันตรายที่ดักรออยู่ “เล่นกันไม่ยอมชวนเบลล์เลยนะ ไม่ยอมด้วย พี่ชาย ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง สิ่งที่เห็นมีมากขึ้น เธอชะงักถอยหลังเมื่อเห็นผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์ผิวสีดำสองคนก้าวออกมาจากหลังเสา และมีอีกอย่างน้อยก็สี่คนกระจายอยู่รอบๆ พวกเขาแต่งตัวสีดำเหมือนกัน บางคนมีปืนอยู่ในมือ
“แล้วนี่ใครคะ เพื่อนพ่อเหรอคะ” สิ่งที่ได้รับจากคนในบ้านคืออาการส่ายหน้าส่งเสียงอู้อี้ “เกิดอะไรขึ้นคะ”
คนแปลกหน้ายังไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาเอาแต่จ้องเธอนิ่งๆ ใบหน้าบึ้งตึงน่ากลัว
เด็กหญิงเริ่มไม่สบายใจ แต่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร นอกจากหาที่พึ่งพา ในบ้านนี้ยังมีคนอีกคนที่หายไปจากตรงนี้ “พี่ชายอยู่ไหนคะ”
“เบลล์!” เสียงพี่ชายดังมาจากอีกฟากหนึ่งของโถงบันได เด็กหญิงหันไปมอง เห็นพี่ชายกำลังวิ่งออกมาจากห้อง มีคนตามออกมากระชากตัวกลับ ก่อนจะโยนไปที่พื้น เธอเห็นหน้าพี่ชายมีรอยช้ำ ศีรษะมีเลือดเปรอะ “เบลล์หนีไป วิ่ง! หนีไป!”
ความที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราว ไม่รู้ว่านี่เกิดอะไรขึ้น จึงยังคงยืนขาตายอยู่ตรงนั้น กว่าเธอจะตั้งตัวได้ ก็ถูกผู้ชายตัวใหญ่เข้ามารวบตัว บีบแขนแน่นแสดงความคุกคามอย่างที่ไม่เคยเจอในชีวิต เธอจะกรีดร้องแต่ปากถูกอุ้งมือใหญ่และหยาบกร้านบีบแน่น เด็กหญิงรับรู้สถานการณ์ได้แล้วว่านี่คืออันตราย พวกเขาไม่ใช่คนดี พวกเขาไม่บอกให้หยุด แต่พวกเขาทำเธอเจ็บจนรู้เองว่าต้องหยุดดิ้น
“เรียนรู้ได้เร็วดีนี่...” หนึ่งในคนแปลกหน้าเดินเข้ามาหา เขาดูน่ากลัวน้อยกว่าทุกคน แต่ในมือมีปืน และกำลังยกขึ้นจ่อมาที่หน้าเธอ “รู้ว่าอยู่นิ่งๆ ก็จะไม่เจ็บตัว”
การข่มขู่นั้นไม่ได้มีผลให้เด็กหญิงกลัวไปมากกว่าเดิม แต่มันได้ผลสำหรับพี่ชายและครอบครัวของเธอที่ถูกมัดอยู่กลางห้อง ทุกคนต่างพยายามดิ้นให้หลุดหวังมาช่วยปกป้องเด็กผู้หญิง เพราะเธอคือหัวใจของบ้าน คือผ้าขาวที่ยังไม่พร้อมจะรับมือเรื่องน่ากลัว หรือคนน่ากลัวเหล่านี้
“หนูชื่อเบลล์สินะ” ชายแปลกหน้าเอ่ยถามน้ำเสียงเป็นมิตร เธอจึงพยักหน้ารับ “รู้มั้ยนี่อะไร...นี่เรียกว่าปืน...เวลาฉันยิง มันก็จะมีเสียงดังปัง! แต่นี่เป็นปืนเก็บเสียง จะดังไม่มาก แต่ปืนก็ยังเป็นปืน หนูเคยยิงปืนมั้ย...ไม่เหรอ...อยากลองยิงดูมั้ย”
“อย่ายุ่งกับเบลล์ อย่ายุ่งกับเธอ ถ้าแกแตะต้องเบลล์ ฉันจะฆ่าแก! สาบานได้นิค!”
ชลิตาไม่เคยเห็นพี่ชายโกรธมากขนาดนี้มาก่อน เธอไม่ชอบให้พี่ชายเป็นแบบนี้ แต่ดูเหมือนผู้ชายที่ยกปืนจ่อหัวเธอจะชอบ เพราะเขากำลังหัวเราะ เขาทำเหมือนมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินสิ่งที่พี่ชายข่มขู่ ยังคงหันมาพูดกับเธอ
“อย่าสนใจเสียงนกเสียงกาเลย หนูมาพูดเรื่องปืนต่อกับฉันดีกว่า หนูรู้มั้ยว่าปืน มีไว้ทำอะไร...ไม่รู้เหรอ...มานี่มา มานั่งข้างๆ นี่ แล้วฉันจะบอกให้”
นิคนำไปนั่งที่หน้าโซฟา ชลิตาไม่แน่ใจหันไปมองสบตาพี่ชายอย่างต้องการขอคำปรึกษา
พี่ชายส่ายหน้าห้าม แล้วหันไปทางผู้ชายคนนั้น “อย่ายุ่งกับน้องเบลล์! อย่านะนิค อย่ายุ่งกับเธอ!”
“ฉันทำอะไร! ฉันก็แค่จะสอนเรื่องปืนให้น้องสาวคนใหม่ของแกเท่านั้น อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่ ไม่งั้นฉันจะสอนแบบรวบรัด” คนแปลกหน้าพูดกับพี่ชาย ขณะที่เล็งปืนมาจ่อหน้าเธอ “ทางที่ดีแกอยู่เฉยๆ ดีกว่าเควิน”
ชลิตารู้สึกว่าพี่ชายกำลังกลัวนิค ในขณะที่เธอกลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้ดูหน้ากลัวเท่ากับคนแปลกหน้าคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่รอบๆ พวกนั้นทำหน้าบึ้งตึง มองเธอดุๆ แล้วหนึ่งในนั้นบีบแขนเธอจนเจ็บไปหมด
“มานี่มา” นิคหันมาเรียก ยิ้มให้อย่างใจดี ชลิตาจึงทำตามทั้งที่รู้ว่าพี่ชายคงไม่อยากให้เธอเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้น “เอาง่ายๆ คือ ปืนเป็นอาวุธที่เอาไว้ฆ่า...เอาไว้ทำให้ตาย...เอาไว้ทำให้เจ็บ”
นิคบอกเด็กหญิง ซึ่งเธอเข้าใจคำว่าฆ่ากับความตาย แต่อาจไม่รู้สึกได้เท่ากับคำว่าเจ็บ
“ที่เบาสุดคือทำให้เจ็บ หนูเคยเจ็บตัวมั้ย เคยเลือดไหลมั้ย”
เด็กหญิงพยักหน้า “หนูเคยโดนกระจกบาดที่ขา เลือดไหลเต็มเลยค่ะ ต้องไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล เจ็บมากเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ” นิคพยักหน้า “ปืนทำได้มากกว่านั้นหลายเท่า ปืนสามารถยิงทะลุขาของหนูได้ ทะลุตัวได้ เดี๋ยวฉันจะสาธิตให้ดู เอาใครเป็นเป้าดีนะ...พี่ชายคนใหม่เธอดีมั้ย” นิคแกล้งถาม ชลิตาส่ายหน้าพรืด “งั้นก็หนู...”
เธอส่ายหน้าอีกครั้ง “หนูไม่อยากเจ็บ หนูกลัว”
“งั้นเอาใครดีล่ะ” นิคเล็งปืนไปที่คนนั้นคนนี้ แม้แต่ลูกน้องของตน แล้วถามเด็กหญิงซึ่งเธอส่ายหน้าตลอด
“ไม่ต้องทำใครเจ็บได้มั้ยคะ เบลล์ไม่อยากให้ใครเจ็บ”
“เป็นเด็กดีนะเบลล์” นิคยิ้มให้เด็กหญิงที่ไม่ได้เห็นความชั่วร้ายในตัวเขา ผิดกับเควินและคนอื่นๆ ในบ้านที่โตพอจะรู้ว่าที่อยู่ตรงนี้คือปีศาจร้ายซึ่งกำลังสนุกกับนางฟ้าตัวน้อยๆ ผู้ไร้เดียงสา “แต่ฉันทำไม่ได้ บอกแล้วว่าฉันจะสอนให้เธอรู้ว่าปืนทำอะไรได้บ้าง เธอไม่เลือก ฉันเลือกให้เองก็ได้...”
นิคลุกขึ้นยกปืนจ่อที่ศีรษะของเด็กหญิง แต่เบือนหน้าไปทางเด็กหนุ่มคนเดียวในบ้านที่ไม่ถูกมัด เขายังคงถูกชายร่างยักษ์เหยียบหลังให้คว่ำหน้าติดพื้น มีอีกคนยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ เขากัดฟันกรอด พยายามฝืนจะลุกแต่ถูกกระทืบซ้ำให้ต้องฟุบหน้าอยู่อย่างนั้น
“เอาใครดีนะ...” นิคยิ้มเหี้ยม สนุกกับการทำให้ทุกคนกลัว
“อย่านิค...อย่าได้โปรด...อย่ายุ่งกับเธอ” เควินอ้อนวอนอย่างหวาดกลัว ยิ่งเห็นนิคขึ้นไกปืน เด็กหนุ่มแทบลืมหายใจ ฮึดสู้อีกครั้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ่งถูกทำร้ายหนักและยิ่งนึกสมเพชตัวเองมากขึ้น หลับตาลงด้วยความขลาดเหมือนอยากหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ โดยไม่รู้ว่าเวลานี้ปลายกระบอกปืนเล็งไปที่ครอบครัวโยธินพิทักษ์ คนเป็นพ่อพยายามลุกขึ้นให้ตัวเองเป็นเป้าเพื่อปกป้องลูกชายและภรรยา
“ฉันเลือกพ่อเธอละกัน...”
“พ่อ!” เด็กหญิงผวาจะวิ่งเข้าหาทางปืน แต่ถูกสมุนของนิครวบตัวขึ้น ก่อนที่เธอจะได้กรีดร้องปากของเธอก็ถูกปิดอีกครั้ง แม้จะเจ็บเธอก็พยายามดิ้นสุดแรง พยายามจะร้องห้าม แม้ทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ๆ “อย่าทำพ่อเบลล์...อย่า!”
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าคำรามขึ้นครั้งแรก รุนแรงจนพื้นสะเทือน ก่อนจะตามมาอีกระลอก พร้อมกับการที่ชลิตาเห็นพ่อล้มลง ดิ้นร่ายๆ อย่างเจ็บปวด แม่และพี่ชรินทร์พยายามจะเข้าไปช่วย แต่ทำไม่ได้ ครู่ต่อมากางเกงสีอ่อนของพ่อก็ชุ่มไปด้วยเลือด ที่เวลานี้เริ่มไหลนองพื้น ขณะที่เด็กหญิงมองตาค้าง...
“นี่คือขั้นที่หนึ่งทำให้เจ็บ” นิคก้มลงพูดกับเด็กหญิง “พร้อมจะดูขั้นที่สองรึยัง...”
ชลิตาส่ายหน้า เธอตัวสั่นเกร็ง ร้องไห้พยายามจะพูดขอร้องแต่ทำไม่ได้จึงได้แต่ยกมือไหว้ จ้องมองนิคอย่างอ้อนวอน ในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มเหี้ยม ยิ่งเป็นการเพิ่มความกลัวให้เด็กหญิงและทุกคนที่เป็นเหยื่อ
“เริ่มที่ใครดี หนูจะเลือกหรือให้ฉันเลือก?”
“พอซะที! พอซะทีพ่อ!” คำพูดอย่างเหลืออดนั้นเฉลยตัวตนของพวกมาเฟียปริศนานี้ได้ทันที “หยุดซะที...เลิกทำให้พวกเขากลัว ถ้าอยากให้ผมกลับ ผมก็จะกลับไปกับพ่อ แค่นั้นใช่มั้ยที่พ่อต้องการ แค่ให้ผมกลับไปกับพ่อ เลิกดื้อรั้น ยอมเป็นลูกหมา เดินตามทางพ่อ แค่นั้นใช่มั้ย!”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้น...แกคิดว่าความยุ่งยากที่แกทำให้ฉัน มันจะจบลงแค่แกยอมกลับไปเป็นลูกหมาของฉันงั้นเหรอ...ไม่!...มันต้องมีคนรับผิดชอบกับเรื่องนี้ มันต้องมีคนมารองรับความโกรธของฉัน!”
เควินรู้ว่าคนที่จะรับผิดชอบนั้นนิคได้เลือกไว้แล้ว
“ผมจะรับผิดทุกอย่าง” เด็กหนุ่มเปลี่ยนความแข็งกร้าวเป็นอ้อนวอน “พวกเขาไม่รู้เรื่อง พ่อ ได้โปรด อย่าทำอะไรพวกเขา พวกเขาไม่ผิด!”
“ไม่ผิดงั้นเหรอ...” ดวงตาของนิคหันมาทางชรินทร์ ก่อนจะย่อลงมากระชากผมให้เงยหน้าขึ้น จ้องหน้าเอาเรื่อง ก่อนจะดึงเทปกาวที่ปิดปากออก “แกไม่ผิด? บอกสิ! บอก ‘เคย์’ ของพวกแกไปว่าพวกแกเป็นคนดีอย่างที่มันเข้าใจจริงมั้ย!” สิ้นเสียงตวาดด้ามปืนตบเข้าที่หน้าชรินทร์ “ฉันบอกให้ตอบ!”
“ผิด! ผมผิด ผมไม่ใช่คนดี” ชรินทร์ตอบละล่ำละลัก กลัวลนลานเกินกว่าจะเชื่อได้ว่านั่นเป็นคำสารภาพ “ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมขอโทษ...ผมขอโทษครับแม่ ผมขอโทษครับพ่อ...เบลล์พี่ขอโทษ...เคย์...ฉันขอโทษนายด้วย...”
“ชรินทร์ นายไม่ต้องขอโทษ นายไม่ผิด นายไม่ได้ทำผิด...” เควินเห็นว่าสิ่งที่ชรินทร์ทำไปเกิดจากความกลัว “พอซะทีนิค พอซะทีพ่อ! จะให้ผมทำยังไงผมก็ยอม ผมยอมแล้ว...อย่าทำร้ายพวกเขา พวกเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ต้องไปโยนความผิดให้ใคร คนที่ผิดคือผม คือผมที่เข้ามาในชีวิตพวกเขา ถ้าเขาไม่เก็บผมมาจากข้างทาง พวกเขาก็ไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาไม่ผิด...พ่อ...ได้โปรด อย่าทำให้ผมรู้สึกผิดไปมากกว่านี้”
นิคยังคงไม่พูดอะไรนอกจากจ้องมองชรินทร์ ที่เวลานี้ได้แต่ก้มหน้าสะอื้นไห้ มีเลือดไหลออกจากปากที่แตก
“ผมไม่เคยขอร้องอะไรพ่อ...แค่เรื่องนี้ ปล่อยพวกโยธินพิทักษ์ไป แล้วผมจะยอมทุกอย่าง จะเป็นทุกอย่างที่พ่ออยากให้เป็น ปล่อยพวกเขาไป...แค่ปล่อยพวกเขาไป...ได้โปรด พวกเขาไม่รู้เรื่องด้วย”
“งั้นเหรอ” หันกลับมาทางคนที่เรียกเขาว่าพ่อ “ในสายตาแก คนพวกนี้คงเป็นพระเจ้าสินะ ส่วนฉันก็คือซาตาน?!”
ความเงียบคือคำตอบซึ่งชัดเจนที่สุด มันทิ่มแทงใจของคนเป็นพ่อให้อยากร้ายกว่าที่เคยเป็น
“ดี...งั้นฉันจะเป็นซาตานให้แกดู แกจะได้รู้ว่าซาตานจริงๆ เป็นยังไง!”
เควินสัมผัสได้ว่าแววตาของนิคดูน่ากลัวกว่าทุกครั้ง “ขะ--คุณจะทำอะไร”
“ก็รับข้อเสนอแกไง แต่ไม่ทั้งหมดหรอกนะ เพราะฉันบอกแล้วว่าต้องมีคนรับผิดชอบที่ทำให้ฉันเสียเวลามาที่นี่ เพื่อทำเรื่องพวกนี้” นิคจับจ้องเหยื่อทีละคน ก่อนจะหยุดที่เด็กหญิงที่ครอบครัวพยายามห้อมล้อมเธอไว้ราวกับว่าจะป้องกันอันตรายให้ ทั้งที่รู้ดีว่าพวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย “ฉันจะยอมปล่อยคนหนึ่ง แต่สามคนที่เหลือ แกจะต้องเป็นคนฆ่าพวกเขาเองกับมือ!...ต่อหน้าฉัน!”
แววตาของนิคเยือกเย็นราวปีศาจร้ายที่จะไม่ต่อรองใดๆ อีกแล้ว
“เลือกเอา แกจะให้ฉันฆ่าทั้งหมดนี่รวมถึงแก! หรือแกจะลงมือเอง แล้วมีสิทธิเลือกเองว่าจะให้ใครรอด”
ปืนถูกวางลงตรงหน้าเด็กชายวัยสิบห้า ปืนจากผู้เป็นพ่อที่กำลังจะสอนให้ลูกชายคนเดียวเดินตามวิถีทางของตน เพราะเชื่อว่าการฆ่าครั้งแรกอาจยาก แต่ถ้าทำแล้วครั้งต่อไปก็ไม่ใช่ปัญหา แล้วที่สำคัญประตูคืนสู่ตระกูลของเควินก็จะถูกเปิดออก ตรงข้ามกับทางย้อนมาที่นี่ก็จะถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์
“อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ...ไอ้ลูกชาย!” นิคบอกเสียงกร้าวไม่มีต่อรองใดๆ
ชลิตาเห็นชัดว่าปืนกระบอกเดียวที่ยิงพ่อไปเมื่อครู่ถูกยัดใส่มือพี่ชาย
“อย่านะ...พี่ชายอย่านะคะ อย่าทำพ่อแม่เบลล์ อย่าทำพี่ชรินทร์นะ” คำอ้อนวอนคลอเสียงสะอื้นฮัก เธอพยายามยกมือที่สั่นริกนั้นขึ้นไหว้ “เบลล์ขอ...”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ชลิตารู้สึกหวาดกลัวใจของพี่ชายซึ่งกำลังก้มมองปืนในมือ...
“อย่านะคะ อย่านะ เบลล์ขอ...”
เปรี้ยง! เสียงฟ้าคำรามทำเด็กหญิงขวัญผวาอีกครั้ง เธอหลับตาปี๋ ยกมืออุดหู ไม่อยากรับรู้ใดๆ เสียงฟ้ายังคงคำรามมาอีกเป็นระยะๆ ฝนด้านนอกก็ยิ่งตกแรง ราวกับจะร่ำไห้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น...
เวลาเหมือนหยุดนิ่ง...
แต่ก็ผ่านไปเนิ่นนาน เป็นนาที สองนาที หรือมากกว่านั้น ชลิตาไม่รู้ว่านานแค่ไหน เธอไม่ยอมรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกอย่างดูขาวโพลนไปหมด เสียงตวาด ความวุ่นวาย ถูกตัดออกไปด้วยความกลัว กระทั่งมือคลำไปเจอน้ำเหนียวหนืด เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองมือที่เปื้อนคราบสีแดงนั้น ดวงตากลมโตนั้นสั่นเครือ ราวกับจะสะท้อนหัวใจของเด็กหญิงที่หวาดกลัวและเต้นแรง เธอไม่กล้าแม้แต่จะเบือนสายตาไปจากมือตัวเอง
แต่แล้วความอยากรู้ก็เอาชนะ ภาพที่เธอเห็นคือร่างพ่อ แม่ และพี่ชายนอนเกยกันอยู่ ทุกคนแน่นิ่งหันหลังให้เธอ รอบตัวมีกองเลือดจำนวนมาก...มากกว่าตอนที่เธอถูกกระจกบาด มากกว่าที่ไหลออกจากขาของพ่อตอนถูกนิคยิง กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว กลิ่นที่ชวนให้สะอิดสะเอียน
ไม่...ไม่จริง เด็กหญิงปฏิเสธความคิดของตัวเองในใจ แต่เสียงนิคก็ลอยเข้ามาในหัว
‘เอาง่ายๆ คือ ปืนเป็นอาวุธที่เอาไว้ฆ่า เอาไว้ทำให้ตาย’
ฆ่า...ไม่จริง ทุกคนยังไม่ตาย เด็กหญิงปฏิเสธสิ่งที่สัมผัสได้ ผวาเข้าหาร่างชรินทร์เป็นคนแรก พยายามพลิกตัวพี่ชายขึ้น แต่ร่างนั้นหนักมาก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ชายจะตัวหนักขนาดนี้ เธอพยายามแต่ไม่สำเร็จจึงเป็นคนก้าวไปอยู่ข้างหน้าเสียเอง
สิ่งแรกที่เห็นคือรอยเลือดจากรูกระสุนบนอก คราบเลือดย้อมเสื้อสีขาวให้เป็นแดง
“พี่ชรินทร์!” เธอโผเข้ากอด กรีดร้องพลางเขย่าตัวพี่ชาย “พี่อย่าเป็นอะไรนะ พี่อย่าเป็นอะไรนะ พี่ชรินทร์ ตื่นสิคะ ตื่นมาพูดกับเบลล์ แม่คะ ปลุกพี่ชรินทร์ที”
เมื่อเรียกพี่ชายไม่ยอมตื่น เธอพยายามกระเสือกกระสนไปที่ร่างแม่ซึ่งอยู่ถัดจากร่างชรินทร์ หวังเหลือเกินว่าแม่จะลุกขึ้นมาช่วยปลุกพี่ชายเหมือนทุกๆ เช้า
“แม่คะ พ่อคะ ปลุกพี่ชรินทร์ที...”
เมื่อเธอพลิกตัวแม่ออกมาได้ ภาพที่เห็นเป็นอันดับแรกคือรอยกระสุนที่เจาะบนหน้าผาก เลือดไหลอาบหน้า เช่นเดียวกับพ่อที่ถูกยิงแสกหน้าทะลุข้างหลัง ทั้งสองตายตาไม่หลับ ดวงตายังเบิกโพลงจ้องมองลูกสาวคนเล็กที่เวลานี้ช็อกสุดขีด อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น. กระทั่งเสียงฟ้าคำรามขึ้น ก่อนที่เด็กหญิงจะกรีดร้องสุดเสียงและหมดสติไป!
การรับรู้ของชลิตาจบสิ้นไปพร้อมสติ ผิดกับเควินที่ยังช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า มือที่ถือปืนสั่นเทิ้ม เขาเหมือนหลับตาลงไปครู่เดียว แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หลังเสียงปืนและเสียงฟ้าร้อง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตลอดกาล สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวเวลานี้คือคำถามที่เขาพยายามหาคำตอบ
ทุกคนตาย! เราฆ่าทุกคน? เราคือฆาตกร?
ทำได้ยังไง...แกทำได้ยังไงเคย์! แกฆ่าคนที่มีบุญคุณกับแกได้ยังไง ทำได้ยังไง!
ผมขอโทษครับพ่อเชาว์ แม่นิด ชรินทร์ฉันขอโทษ!
น้องเบลล์พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ...
แม้เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่แล้ว แต่เควินยังคงขยับตัวไม่ได้ หัวใจเขาเหมือนแตกสลาย ไปพร้อมกับความตายของพ่อแม่และชรินทร์ เขายังคงรับรู้ได้ถึงแววตาหวาดกลัวที่คนเหล่านั้นจ้องมอง กระทั่งร่างเหล่านั้นทรุดฮวบ เลือดไหลอาบ เสียงปืนและเสียงฟ้าร้องยังก้องอยู่ในหัว
“เก่งมากไอ้ลูกชาย” เสียงกระซิบจากผู้ชายที่เขาเกลียดบาดลึกเข้าไปในหัวใจ “นับจากวันนี้ชีวิตแม่หนูเบลล์เป็นของแก ฉันจะไม่ฆ่าเธอตามสัญญา แต่นับจากนี้แกคงอยู่เคียงข้างเธอไม่ได้แล้ว จะอยู่ให้ตำรวจมาลากคอที่นี่หรือกลับบ้านกับฉัน... แต่ถ้าจะกลับไปก็จำใส่กะโหลกไว้ด้วยว่า นับจากนี้ชีวิตแกเป็นของฉัน!”
เสียงประกาศกร้าวนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดเข้าไปในเนื้อใจของเควินให้เจ็บปวดเจียนตาย ไม่ต่างกับชลิตา ที่นับจากนี้เธอได้สูญเสียครอบครัวและความทรงจำไปพร้อมกัน เพราะทนรับความจริงไม่ได้ เด็กหญิงกลายเป็นพยานสำคัญที่เห็นฆาตกร แต่กลายเป็นว่าเธอจำเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้
เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่เพียงไม่กี่วันผ่านไปเรื่องก็ถูกลืมเลือน ไม่มีใครสนใจการคงอยู่ของเด็กผู้หญิงที่รอดชีวิต นิคใช้อิทธิพลและเงินวิ่งเต้นเรื่องคดี ให้คนไปเผาบ้านที่เกิดเหตุรวมถึงทำลายหลักฐานทิ้ง แล้วต่อมาตำรวจสรุปสำนวนคดีว่าเป็นการฆาตกรรมในครอบครัว พ่อฆ่าลูกชายและภรรยา แล้วยิงตัวเองตายตาม ไม่มีญาติคนไหนจะรับชลิตาไปอยู่ด้วย เพราะครอบครัวนี้มีหนี้สินมหาศาล เธอจึงถูกส่งไปยังบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าในสภาพบอบช้ำ หวาดกลัวเสียงดังโดยเฉพาะเสียงฟ้าร้อง เสียงพลุ เพราะมันเหมือนสิ่งกระตุ้นให้เธอเห็นภาพพ่อแม่และพี่ชายถูกฆ่า...
ครึ่งปีต่อมา...
“ช่วยด้วยครับ เด็กแพ้อาหาร ช็อก หมดสติไปแล้วครับ!”
เสียงตะโกนเรียกดังมาจากชายในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยที่กำลังแบกร่างเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบยืนหันรีหันขวาง ก่อนจะปรี่ตรงเข้ามาเมื่อเห็นป้ายแผนกฉุกเฉิน ด้านหลังมีครูพี่เลี้ยงวัยสี่สิบกว่าๆ วิ่งตามติดมา หล่อนพยายามเรียกชื่อเด็กหญิงแต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง
“น้องเบลล์! ตื่นสิลูก ลืมตาไว้นะ ช่วยด้วยค่ะ!”
พนักงานและพยาบาลที่อยู่ในบริเวณนั้นรู้เหตุ รีบตรงเข้าไปดูอาการ คนหนึ่งเข้าไปรับคนป่วย อีกคนเข็นเตียงมาเตรียมพร้อมไว้ ช่วยกันจับเด็กหญิงให้นอนเหยียดยาว พร้อมกับเข้าช่วยเหลืออย่างรีบเร่ง
“แกเพิ่งหมดสติไปค่ะ” ครูพี่เลี้ยงบอกอย่างร้อนรน ยังคงจับมือเด็กหญิงไว้ “แกแพ้อาหาร พ่นยาให้แล้วก็ไม่ดีขึ้น ทรมานมาก แล้วก็หมดสติ แก...”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่เรา ญาติรออยู่ข้างนอกนะคะ” พยาบาลคนหนึ่งเข้ามากันออกไป ขณะที่คนอื่นกำลังเช็คอาการเบื้องต้นต่อ “ให้เราทำหน้าที่ของเราเถอะค่ะ”
“น้องเบลล์ เข้มแข็งไว้นะลูก!” ความตกใจทำให้เธอไม่ฟังเสียงห้าม พยายามจะเข้าหาตัวเด็กหญิงจนพนักงานที่มาด้วยกันต้องช่วยดึงออกมาพยายามเตือนสติ “น้องเบลล์ถึงมือหมอแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับครู ใจเย็นๆ ครับ”
“เป็นอาการอนาไพลาซิส...หลอดลมปิดไปแล้ว!” บุรุษพยาบาลที่เพิ่งดูอาการคนป่วยร้องบอก “ไป! เข็นเตียงไปเลย!”
ความวุ่นวายเมื่อครู่เลือนหายไป เมื่อประตูห้องฉุกเฉินกระแทกปิด แต่ความเศร้าสะเทือนใจกลับยังคงตกค้างอยู่ด้านนอก
“ผมเห็นเด็กวนเวียนมาที่บ้านอุปถัมภ์ก็เยอะ แต่ไม่เคยเห็นใครจะโชคร้ายเท่าน้องเบลล์เลย” ชายที่เพิ่งแบกร่างเด็กหญิงเข้ามารำพันอย่างสะท้อนใจ เขาก้มมองดูล็อกเกตนาฬิกาขนาดเหรียญสิบในมือ ก่อนจะเปิดมันออก มองดูภาพถ่ายครอบครัวของเด็กหญิงบนฝาครอบนั้นอย่างสะท้อนใจ นี่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เด็กหญิงมี เธอจะถือมันติดตัวไว้เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องทรมานจากอาการแพ้ กุมมันไว้กระทั่งหมดสติไป ร้องไห้คร่ำครวญถึงครอบครัว “เวรกรรมอะไรนักหนาลูกเอ๊ย...”
ไม่ต้องช่วยหนู ปล่อยให้หนูตาย หนูอยากตาย...
นั่นคือเสียงอ้อนวอนจากห้วงลึกของเด็กหญิงผู้กำลังถูกช่วยชีวิต
‘ไม่เป็นไรนะลูกเบลล์ หนูไม่ต้องกลัว ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะอยู่กับลูก พ่อ แม่และพี่ชรินทร์จะอยู่กับลูกตลอดไป...หนูนอนหลับซะนะ พ่อสัญญาว่าเมื่อหนูตื่น พวกเราจะอยู่ข้างๆ หนู จะคอยยิ้มให้หนู...พ่อสัญญา’
ใบหน้าของพ่อที่แสนใจดีลอยเข้ามาในห้วงความทรงจำ ก่อนภาพนั้นจะกลายเป็นรอยยิ้มของแม่
‘แม่ทำตามสัญญาแล้วนะ นี่เป็นเค้กผลไม้สูตรพิเศษสำหรับเด็กแพ้อาหารอย่างหนู เมอรี่คริสต์มาส แอนด์แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะจ๊ะลูกรัก ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานนางฟ้าน้อยๆ มาให้ครอบครัวเรา อธิษฐานสิจ๊ะ แล้วเป่าเทียนนะ’
‘อธิษฐานยังไม่เสร็จอีกเหรอ เทียนจะหมดเล่มแล้วนะ ขออะไรนักหนาเนี่ย’
‘พี่ชรินทร์อย่าเร่งสิคะ เบลล์มีเรื่องต้องขอเยอะแยะเลย เบลล์ขอให้คุณพ่อคุณแม่แข็งแรง ขอให้เบลล์เรียนเก่ง ขอให้พี่ชรินทร์ได้เป็นเชฟชื่อดังอย่างที่พี่ชรินทร์ตั้งใจด้วยไงคะ ข้อหลังเนี่ยต้องตั้งใจมากหน่อยค่ะ เพราะพี่ชรินทร์ทำอาหารไม่ได้เรื่องเลย’
‘ว่าพี่เหรอ แต่คอยดูนะพี่จะทำให้ได้ เพราะพี่เคยสัญญากับนางฟ้าแถวนี้ไว้แล้วว่า พี่จะตั้งใจเรียนทำอาหาร พี่จะเชฟเป็นที่เก่งที่สุด ปรุงอาหารที่วิเศษที่สุดสำหรับคนที่พี่รัก โดยเฉพาะกับเบลล์ ไม่ว่าเบลล์อยากทานอะไรพี่ก็จะทำให้ทาน รอหน่อยนะ พี่สัญญาแล้ว พี่จะต้องทำให้ได้’
ทั้งที่เคยสัญญากับหนู ทำไมทุกคนไม่รักษาสัญญา
ทำไมถึงทิ้งหนูไว้ตรงนี้
พ่อขา แม่ขา พี่ชรินทร์ อย่าทิ้งเบลล์ไว้คนเดียว
เบลล์ไม่ไหวแล้ว มารับเบลล์ไปอยู่ด้วย เบลล์อยากตาย...
ความคิดเห็น |
---|