2

บทที่ 2


 

บทที่ 2 

๘ ปีต่อมา...

ลาสเวกัส คลาร์กเคาน์ตี้ รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา

ไฟหน้าร้านอาหารยอดนิยมแห่งหนึ่งปิดลงได้พักใหญ่แล้ว พนักงานต่างทยอยกลับกันไปเกือบหมด เหลือที่อยู่เก็บกวาดร้านไม่กี่คน พองานเสร็จก็รีบแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเพราะดึกมากแล้ว เหลือแค่ นักศึกษาไทยที่เพิ่งเข้ามาขอฝึกงานในร้านได้ไม่นาน

“จะกลับรึยังจ๊ะกวิน” ผู้จัดการร้านวัยกลางคนเปิดประตูชะโงกหน้าออกมาถามชายหนุ่มในชุดผู้ช่วยเชฟ ที่เพิ่งโยนถุงขยะใบสุดท้ายลงถังใบใหญ่ “งั้นก็ไปเก็บของเถอะ แฟนพี่โทร.เข้ามาแล้ว  วันนี้พี่ขอไปส่งที่บ้านนะ ไม่เอาแค่ส่งที่เดิมๆ แล้วนะ”

‘ที่เดิมๆ’ ที่ว่าคือหัวถนน ห่างไปอีกสองบล็อก ซึ่งที่นั่นเป็นเขตคนพลุกพล่าน สามารถไปได้หลายทาง จึงไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วกวินพักอยู่ที่ไหน...แต่จะว่าไปแล้วเธอรวมถึงคนที่ร้านก็ไม่ได้รู้ประวัติเด็กหนุ่มนี้มากนัก รู้แต่ว่าเป็นคนที่เจ้าของร้านฝากมา ให้ฝึกงานที่นี่ ทำงานแบบไม่รับค่าจ้าง ขอแค่ได้ฝึกการทำอาหารในครัว มีคำสั่งห้ามมาว่าไม่ให้ซักประวัติใดๆ สุดท้ายทุกคนจึงรู้จักเขาแค่ชื่อ

กวินเป็นคนมีความตั้งใจ หนักเอาเบาสู้ ไม่เกี่ยงงาน บวกกับเป็นคนมีฝีมือ ทำให้เวลานี้ได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้ช่วยพ่อครัว ความก้าวหน้าแบบนี้สร้างความไม่พอใจให้กับคนที่อยู่มาก่อนไม่น้อย โดยเฉพาะเจ้าถิ่น เด็กผิวสีที่มีความฝันจะเป็นเชฟ แต่หลายปีผ่านไปก็เป็นได้แค่เด็กหั่นผัก ยิ่งมาเห็นความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของไอ้หนุ่มหน้าอ่อนแต่โลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ยิ่งชวนให้หงุดหงิด ทำกร่างโวยวายไม่ยอมฟังคำชี้แจ้งใดๆ จนถึงขั้นลงมือกับผู้จัดการร้านที่เป็นผู้หญิง

กวินเข้าขวาง มันคิดจะเล่นงานเพราะคิดว่าตัวใหญ่กว่า เหนือกว่า แต่ดูเหมือนจะหาเรื่องผิดคน ถูกกวินซัดหมอบก่อนจะถูกเตะโด่งออกจากร้าน ก่อนไปมันข่มขู่ว่าเรื่องยังไม่จบ ระวังตัวให้ดี แล้วนั่นก็เป็นต้นเหตุให้ผู้จัดการร้านเป็นห่วงคนที่เคยช่วยเธอ อีกทั้งยังเป็นคนไทยด้วยกัน จึงยิ่งห่วงใย

“นั่นไงรถมาละ ไปหยิบกระเป๋าสิจ๊ะ”

“วันนี้ผมขอตัวนะครับ พอดีผมมีที่ต้องแวะ” ผู้จัดการสาวอ้าปากจะแย้ง แต่ถูกพูดแซงและตัดบท  “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะระวังตัว ไว้พรุ่งนี้เจอกันครับ”

แม้จะไม่ได้รู้เรื่องกวินมากนัก แต่เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น โดยเฉพาะกับเรื่องส่วนตัว “งั้นระวังตัวด้วยนะ มีอะไรก็โทร.หาพี่ได้ตลอด พรุ่งนี้เจอกันจ้ะ...อ้อ ฝากปิดร้านด้วยละกัน”

กวินพยักหน้ารับ รอจนรถที่มารับผู้จัดการสาวเคลื่อนออกไป เขาจึงได้กลับเข้าไปในร้าน...

 

กระจกเงาบานเดียวในห้องสะท้อนภาพชายหนุ่มที่กำลังปลดผ้ากันเปื้อนแบบครึ่งตัวออก ก่อนจะถอดเสื้อทำงานสีขาวตาม เผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างและล่ำอย่างผู้ชายที่ถูกฝึกการต่อสู้มาอย่างโชกโชน แผลเป็นจากการฝึกบางส่วนยังทิ้งร่องรอยให้เห็น รวมถึงรอยแผลเป็นยาวเกือบคืบที่ต้นแขนขวาก็ยังอยู่...

เมื่อเสื้อขาวถูกถอดพ้นตัว เสื้อยืดถูกสวมเข้าแทน ก่อนจะทับด้วยเสื้อโค้ชสีเข้ม จัดแจงเก็บทุกอย่างเข้าที่ ก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ที่ล้วนเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับวัตถุดิบการทำอาหาร เมื่อเช็คความเรียบร้อยที่ประตูเสร็จ ชายหนุ่มจึงได้หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเป้ กดโทร.ออก

“ครับ...ทางนั้นตกลงรึยังครับ”

ดูเหมือนคำตอบที่ได้รับกลับมานั้นจะสร้างความสุขให้คนฟังไม่น้อย เพราะรอยยิ้มเล็กๆ ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นผ่านแววตาคมที่ทอดมองไปข้างหน้า ขณะก้าวเดินอย่างไม่รีบเร่ง ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจด้วยซ้ำว่ามีเด็กผิวสีสองคนโผล่ออกมาจากมุมตึกซึ่งเขาเพิ่งเดินผ่าน

“ครับ” คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ แต่คนที่กำลังสะกดรอยคงฟังไม่ออก อีกทั้งพวกมันยังรีบเร่งเกินกว่าจะสนใจบทสนทนาใดๆ ของชายหนุ่ม คิดแต่ว่าจะใช้จังหวะที่เหยื่อเผลอเข้าเล่นงาน

“ผมจะรอฟังข่าวดี...” 

โทรศัพท์ถูกตัดวางสายก่อนจะหย่อนกลับไปในกระเป๋าที่ถูกวางลงบนพื้น บ่งบอกว่ากวินรู้ตัวว่าถูกสะกดรอย และทันทีที่ถูกจู่โจม เขาก็เบี่ยงตัวหลบได้ทัน ทำให้มีดผ่านร่างเขาไปแบบเฉียดฉิว แต่คนลงมือซึ่งเป็นโจทก์เก่ายังยิ้ม เพราะคิดว่ามีพวกมาด้วย

“วันนี้มึงได้กลายเป็นศพแน่” สิ้นคำมันพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

คราวนี้กวินไม่หลบ ปล่อยให้มันเข้ามาใกล้ ก่อนจะพลิกตัวออกข้าง ตรงเข้าไปปลดมีดในมือมันอย่างง่ายดายแล้วโต้กลับครั้งเดียวด้วยศอกเข้าที่ดั้งจมูก เด็กหนุ่มผิวสีลงไปนอนกองกับพื้น สิ้นฤทธิ์ไม่ต่างกับเมื่อวันก่อน  แต่นั่นก็แค่เริ่มต้น เพราะพรรคพวกมันที่ซ่อนตัวอยู่หลังตึกกำลังตีวงล้อมเข้ามา

พวกมันมีทั้งหมดหกคน  หนึ่งในนั้นตัวใหญ่กว่ากวินเกือบเท่าและมันมีปืนเหน็บอยู่ที่เอว

“ถ้าไม่อยากหัวแบะก็อย่าขยับ” มันหยิบปืนขึ้นมาขู่

“ถ้าไม่มีปืนให้ถือกร่าง ก็คงไม่กล้ามากันสินะ...ถ้าจะเข้ามา ก็รีบซะ พวกแกกำลังจะทำให้ฉันสาย”

ปืนถูกเล็งมาที่หน้า กวินยังคงยืนเฉย ไม่ได้มีความกลัวใดๆ กระทั่งเด็กนั่นขึ้นไก มีดในมือที่เขาเพิ่งชิงมาจากเจ้าโจทก์เก่าก็ ถูกซัดออกอย่างรวดเร็วและรุนแรง อีกฝ่ายไม่ทันได้กดไกปืน มีดก็เสียบเข้าที่ไหปลาร้าขวา ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด เปิดโอกาสให้กวินพุ่งเข้าถีบยอดอกมันซ้ำไปอีกที ปืนหลุดจากมือ พวกมันที่เหลือเข้าตะลุมบอนทั้งด้วยความโกรธและย่ามใจ คนมากกว่าอย่างไรก็ชนะ...

แต่ว่าไม่ถึงห้านาทีพวกมันก็ลงไปกองที่พื้นและพร้อมใจกันร้องโอดโอย 

“สายอีกจนได้...” ชายหนุ่มบ่นอย่างหงุดหงิดหลังจากมองนาฬิกาข้อมือ ก้มหยิบกระเป๋าขึ้นคล้องบ่า ในขณะที่เด็กผิวสีต้นเรื่องเห็นจังหวะ เอื้อมไปหยิบปืนขึ้นมาเล็งพร้อมยิง

“ตายเถอะมึง!” มันยิ้มเหี้ยมพร้อมกดไกปืน

แต่แล้วก็ต้องชะงัก รู้สึกเสียวสันหลังวาบ มีปืนอีกกระบอกจ่อที่ท้ายทอยของมัน!

“ถ้ายังไม่อยากให้สมองกระจุยก็อย่าดีกว่า” ผู้ชายในชุดสูทสีดำคือเจ้าของปืนที่จ่ออยู่บนหัวเด็กผิวสีที่กำลังหน้าซีดเผือด “พาพวกแกไสหัวไปซะให้หมด ถ้าฉันเห็นพวกแกมาป้วนเปี้ยนที่นี่อีก แกจะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีกเลย!”

โทนเสียงไม่ได้เน้นข่มขู่ แต่กลับทำให้พวกกลุ่มเด็กผิวสีตกใจ สาเหตุเพราะมันเห็นสัญลักษณ์บางอย่างบนที่หนีบเนคไท นั่นยังไม่นับกลุ่มบอดี้การ์ดในชุดสูทดำที่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังผู้ชายคนแรก พวกเขามีสัญลักษณ์ ‘มังกรเหยียบเมฆ’ เช่นเดียวกับคนแรก ซึ่งเป็นที่รู้กันว่านี่คือหน่วยรักษาความปลอดภัยของตึกสูงตระหง่านที่ชื่อ ‘มิราเคิล โอเอซีส แกรนด์’ ซึ่งอยู่ไกลออกไปไม่กี่บล็อกถนน

สำหรับคนภายนอกอาจเห็นพวกนี้เป็นแค่บอดี้การ์ดเสริมบารมีของพวกคนรวย แต่ไม่ใช่กับพวกเจ้าถิ่น เพราะพวกเขารู้ว่าคนเหล่านี้ทำได้มากกว่าติดตามเจ้านาย ถ้าเรียกแบบไม่อ้อมค้อม พวกนี้ก็คือ มาเฟียตัวเป็นๆ ที่สามารถทำให้ใครสักคนหายไปได้อย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวความผิด

“ขอโทษครับนายน้อยที่พวกเรามาช้า”

เมื่อจัดการกับตัวปัญหาได้ หัวหน้าทีมนำคนอื่นโค้งศีรษะให้กับกวิน ซึ่งเวลานี้คงไม่ใช่แค่เด็กนักศึกษาไทยทั่วไปอีกแล้ว เพราะคำเรียก ‘นายน้อย’ สำหรับบอดี้การ์ดเหล่านี้มีความหมายว่าผู้นำที่เป็นรองนายใหญ่แค่คนเดียว

“นายน้อยบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ” 

คนถูกถามตวัดตามองอย่างตำหนิ “ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาที่นี่”

สิ้นคำบอดี้การ์ทุกคนก้มหน้าลงต่ำอย่างสำนึกผิด ก่อนที่หัวหน้าทีมจะเงยหน้าขึ้น รับผิดชอบสิ่งที่ทำ

“ผมขอโทษที่ขัดคำสั่งนายน้อย แต่เพราะนายใหญ่มีคำสั่งด่วนลงมา ผมยินดีรับโทษทั้งหมด แต่ยังคงยืนยันว่าไม่ได้อยากทำลายชีวิตส่วนตัวนี้ของนายน้อยเลย ถ้าเลี่ยง...”

“ช่างเถอะ” กวินตัดบทยังคงหงุดหงิด ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกยอมรับความจริง ทั้งที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามีสาเหตุเดียวเท่านั้นที่ ‘ต้าฟง’ จะขัดคำสั่งเขา “คราวนี้เป็นใครอีกล่ะ ใครที่ผู้ชายคนนั้นอยากให้ฉันกำจัดไปพ้นทาง...” 

“เจ้าของภัตตาคารซินเยียร์ เป็นครอบครัวคนไทยครับ” ต้าฟงรายงาน “ลูกชายติดหนี้กาสิโนและยังเอาภัตตาคารมาจำนอง ตอนนี้นายใหญ่อยากได้คืนทั้งต้นและดอก นั่นหมายถึงทั้งหมดที่ครอบครัวนั้นมี”

ต้าฟงรู้ดีว่าเบื้องหลังสีหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึกนั้นคือความเจ็บปวดและเสียใจ  นายน้อยของพวกเขาพยายามจะเป็น ‘กวิน’ แต่สุดท้ายนายน้อยก็ยังต้องเป็น ‘เควิน’  ทายาทคนเดียวของ ‘นิค’ มาเฟียใหญ่ในคราบนักธุรกิจ ผู้ชายที่เอาแต่ใจและอยากได้อะไรก็ต้องได้ และสิ่งที่เขาอยากได้ที่สุดในเวลานี้คือ ให้ลูกชายคนเดียวแข็งแกร่งคู่ควรกับการสืบต่อเจตนารมณ์ของตระกูล ‘รีฟส์’

 

ดวงตะวันยามเที่ยงยังคงร้อนแรงเหมือนเช่นทุกวัน ขณะที่รถแท็กซี่ซึ่งรับผู้โดยสารเป็นผู้หญิงสองคนต่างวัยหันหน้าจากบ้านอุปถัมภ์เบือนหน้าออกนอกตัวเมือง ข้ามสะพานกว้าง แสงแดดสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายระยับสวยงาม เจิดจ้าพอๆ กับพยับแดดที่เต้นยิบๆ อยู่บนผิวถนน ส่งผลให้ผู้โดยสารซึ่งนั่งข้างคนขับดึงแผ่นบังแดดลงปิดแสงเพื่อคลายร้อน ในขณะที่ผู้โดยสารอีกคนบนเบาะหลังกลับยังคงยื่นหน้าชิดขอบกระจก ใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวอมชมพูมากขึ้นเมื่อต้องแดดแรง สีหน้าและแววตามีความตื่นเต้นระคนหวั่นใจ

มือเล็กเรียวที่ถือล็อกเกตนาฬิกาไว้ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถกำกระชับแน่นขึ้น ราวกับสิ่งนั้นจะช่วยให้เธออุ่นใจได้ แล้วมันก็จริง เพราะนั่นคือที่พึ่งทางใจชิ้นเดียวที่เธอมีเกี่ยวกับครอบครัว หลังฝาครอบล็อกเกตเป็นภาพถ่ายของพ่อ แม่ พี่ชรินทร์ที่กำลังกอดเธอไว้ ทุกคนยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

รถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสม่ำเสมอลดความเร็วลง เมื่อเลี้ยวเข้ามาในซอยขนาดสองเลนตามคำบอกของหญิงวัยสี่สิบที่นั่งคู่คนขับ หล่อนเหลือบดูกระจกมองหลังพร้อมกับอมยิ้ม ก่อนจะหันไปกำชับคนขับให้ชะลอความเร็วลงราวกับรู้ว่าสมาชิกใหม่ในบ้านที่นั่นอยู่เบาะหลังอาจต้องการเวลาเตรียมใจ

 ‘เบลล์รู้มั้ยว่าหนูโชคดีมากแค่ไหน คุณพิมพ์พรกับสามีเป็นคนดีมาก ครูดีใจกับหนูด้วย...ครูเล่าเรื่องหนูให้คุณพิมพ์ฟัง เธอไม่รังเกียจ ไม่คิดว่านั่นคือปัญหา เธอบอกว่าสามารถดูแลเบลล์เรื่องนั้นได้ ไม่ต้องห่วง’

นั่นคือสิ่งที่ครูบอก แต่สำหรับชลิตาแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังต้องห่วง ยังต้องเตรียมใจไว้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ใจดีเลือกเธอ เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

เมื่อสามปีก่อนมีคนใจดีมารับเธอไปอยู่ด้วย หนึ่งคือสงสารในชะตากรรมของเด็กกำพร้า อีกทั้งจะได้เป็นเพื่อนให้กับลูกสาววัยเดียวกันที่เพิ่งสูญเสียคุณพ่อ แต่ความหวังดีอย่างบริสุทธิ์ใจ กลับสร้างปัญหาให้ผู้อุปการะ จนทะเลาะกับลูกสาวและคนอื่นในบ้าน ถึงขั้นมีการยื่นคำขาดว่าระหว่างลูกแท้ๆ กับเด็กกำพร้าที่เอาแต่เรียกร้องความสนใจอย่างชลิตา จะเลือกเอาใครไว้

การ ‘เรียกร้องความสนใจ’ ที่ว่า มีอยู่สองเรื่องใหญ่ๆ หนึ่งคือเรื่องอาการแพ้อาหารรุนแรงของชลิตา เธอจะกินอาหารสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้ ต้องมั่นใจจริงๆ ว่าในอาหารนั้นจะไม่มีของที่แพ้ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งปะปนทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงหลายครั้ง สร้างความตกใจสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวใหม่เป็นอันมาก เพื่อความปลอดภัยเธอจึงต้องทานแต่สิ่งที่แม่อุปถัมภ์ปรุงขึ้นเองเป็นพิเศษเท่านั้น 

ครั้นบางวันไปทานข้างนอกกัน แม่อุปถัมภ์ก็ต้องคอยกำกับคอยบอกทางร้านอย่างเคร่งครัด สร้างความวุ่นวายให้กับคนอื่น นานวันเข้าคนในครอบครัวทนไม่ไหว แสดงออกชัดว่าไม่พอใจ แต่เด็กหญิงก็เจียมตัว ไม่โต้เถียงใดๆ หนักเข้าก็ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ แม่อุปถัมภ์พยายามปกป้องเพราะไม่ใช่ความผิดเธอ ก็ยิ่งทะเลาะกับคนอื่น กลายเป็นปัญหาที่ค่อยๆ สะสม 

ส่วนอีกสาเหตุที่ชลิตาโดนกล่าวหาว่าเรียกร้องความสนใจ คือเรื่องโรคกลัวการออกไปข้างนอกในวันที่ฝนตก เพราะทุกครั้งที่ฝนตก จะมีฟ้าร้อง ฟ้าแลบ เสียงและแสงเหล่านั้นมีผลกับการรับรู้ของเธอ กระตุ้นความเครียดทำให้กลัว เพราะมันจะทำให้เธอมองเห็นภาพคนในครอบครัวถูกฆ่าตายจมกองเลือด ภาพพ่อและแม่ถูกยิงแสกหน้าตายตาค้าง พี่ชรินทร์ถูกยิงที่หน้าอกเลือดไหลนอง

ภาพเหล่านั้น ทำให้เธอสับสน เพราะมันเป็นภาพที่แย้งกับความจริงเกี่ยวกับตัวเธอในวัยเจ็ดขวบ ซึ่งเธอจำช่วงเวลานั้นไม่ได้ แต่ทุกคนรอบตัวบอกว่า เธอสูญเสียครอบครัวจากเหตุไฟไหม้ ไม่มีใครถูกยิงตาย มันจึงเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมเธอจึงเห็นภาพเหล่านั้นเวลาได้ยินเสียงฟ้าร้อง ความกลัว ความเครียดทำให้อาการไมเกรนกำเริบ จนบางครั้งควบคุมและจัดการกับความกลัวของตัวเองไม่ได้ เธอไม่อยากอยู่คนเดียว ต้องมีใครสักคนคอยอยู่ใกล้ คอยเรียกสติ

‘แม่ไปไม่ได้?! แต่นี่วันเกิดหนู แม่ต้องอยู่เฝ้ามันงั้นเหรอ! แม่บอกว่าแม่รับมันเพื่อมาเป็นเพื่อนหนู แต่มันไม่ใช่เลย มันมาแย่งเวลาของแม่ไปจากหนู! มันเอาแต่เรียกร้องความสนใจด้วยโรคบ้าๆ ของมัน แม่เอาแต่สนใจมัน ดูแลมัน! ไม่เคยนึกถึงใจหนูเลย หนูเกลียดมัน! หนูจะไม่ทนอีกแล้ว แม่เลือกมาเลยว่าจะเอาหนูหรือว่ามัน!’

วันนั้นแม่อุปถัมภ์ไม่ยอมเลือกใคร ทำให้ลูกสาวโกรธ หนีออกจากบ้าน ชลิตาไม่อยากเห็นคนที่ดีกับเธอทุกข์ใจ จึงตัดสินใจกลับมายังบ้านอุปถัมภ์ เลือกจะไม่ไปอยู่ที่ไหนอีก ตัดสินใจอยู่ช่วยครูดูแลน้องๆ

แต่เมื่อโตขึ้นเธอต้องออกไปเรียนข้างนอก  ไหนจะค่าเล่าเรียน ค่าเดินทาง ค่าอาหารของเธอที่ต้องระวังเรื่องการแพ้ จึงทำแยกต่างหากจากคนอื่น ค่าใช้จ่ายของเธอกลายเป็นการสร้างภาระให้กับบ้านอุปถัมภ์ ซึ่งนับวันจะมีคนมาบริจาคน้อยลงทุกที ในขณะเด็กที่ต้องดูแลกลับมีมากขึ้นทุกวัน

ชลิตาพยายามหาทางช่วย ออกไปทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน แต่ด้วยความที่เป็นผู้หญิงกลับมืดค่ำก็อันตราย เพราะบ้านอุปถัมภ์อยู่ลึกเข้าไปในซอย ที่เป็นสลัมเต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นมีปัญหา ทั้งการพนัน เหล้า และยาเสพติด และเมื่อนึกอันตรายเหล่านั้น ชลิตาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้มีพระคุณอีกคนที่เข้ามาช่วยเธอจากคนร้าย

ผู้มีพระคุณที่แสนลึกลับ เธอรู้แค่ว่าเป็นผู้ชายและมีแผลเป็นบริเวณต้นแขนขวา

“จอดบ้านรั้วประตูสีขาวนั่นเลยค่ะ” เสียงพิมพ์พรเรียกสายตาของชลิตาให้หันกลับมา ก่อนจะมองไปบนถนนตรงหน้า รถกำลังค่อยๆ เคลื่อนผ่านรั้วไม้สูงพ้นศีรษะ บริเวณนี้บ้านอยู่ห่างกัน บ้านแต่ละหลังมีพื้นที่กว้างรวมถึงบ้านที่รถเข้าเทียบจอด

“ตรงนี้ล่ะค่ะ”  บอกกับคนขับรถก่อนจะหันมายิ้มให้คนข้างหลัง “ขอต้อนรับสู่บ้านริมน้ำนะจ๊ะเบลล์”

‘บ้านริมน้ำ’ คือป้ายที่แขวนไว้ตรงซุ้มประตู  ชลิตามองผ่านรั้วไม้ระแนงไปที่บ้านสีขาวหลังใหญ่นั้นอย่างตะลึง บ้านเก่าทรงโคโลเนียลสีขาวสองชั้นอยู่ในพื้นที่เกือบไร่ มีรั้วรอบขอบชิด ตัวบ้านชั้นล่างโปร่งสบาย แนวเสาด้านหน้าของตัวบ้านเป็นระเบียงยาว ประดับตกแต่งด้วยลวดลายฉลุอ่อนช้อย รอบตัวบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ข้างตัวบ้านมีเรือนกล้วยไม้ซึ่งกำลังออกดอกเต็ม และบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ริมน้ำ 

เธอคิดภาพบ้านใหม่ไว้มากมาย แต่ไม่คิดว่าจะเป็นบ้านที่วิเศษน่าอยู่อย่างนี้มาก่อน มันเหมือนบ้านในฝันที่เด็กกำพร้าทุกคนฝันอยากได้ บ้านไม่ต้องใหญ่ แต่ดูอบอุ่น เต็มไปด้วยความรักที่พร้อมจะให้กับเด็กอย่างเธอ

“เป็นไงจ๊ะ ชอบมั้ย” ป้าพิมพ์ทักเมื่อหันกลับมาเห็นแววตากลมโตที่มีคำถาม “ทำไมจ๊ะ”

“เบลล์จะได้อยู่บ้านนี้จริงเหรอคะ”

พิมพ์พรยิ้มอย่างเอ็นดู “จ้ะ เพราะนับจากนี้ไปนี่คือบ้านของหนู”

ชลิตาอยากให้ความใจดีของพิมพ์พร

อยู่ตลอดไป อดกลัวไม่ได้ว่าสักวันความใจดีนี้จะเลือนหายไป แต่จะว่าไปแล้วความกลัวนั้นก็ยังดูน้อยกว่า กลัวในสิ่งที่ตัวเธอเป็น เพราะสิ่งเหล่านั้นจะเป็นต้นเหตุให้คนอื่นเดือดร้อน กลายเป็นภาระในการใช้ชีวิตของพวกเขา ถึงจะบอกว่าพวกเขารู้เรื่องนี้แล้ว แต่เชื่อเหลือเกินว่าพวกเขาคงแค่รู้ แต่จะไม่เห็นภาพและไม่เข้าใจว่ามันหนักหนาแค่ไหนกับการต้องอยู่กับคนอย่างเธอ

“ไปเถอะจ้ะ เข้าบ้าน ป่านนี้จุ๋นเจี๋ยคงคอยหนูแย่แล้ว...” 

ชลิตาตอบรับพลางหยิบกระเป๋าใบเดียวที่เธอมีเดินตามป้าพิมพ์เข้าบ้านไป โดยไม่ทันรู้ว่าไกลออกไปไม่มากนัก มีใครคนหนึ่งกำลังซุ่มอยู่บนต้นไม้ พร้อมกล้องในมือ มันกดชัตเตอร์รัวๆ ตั้งแต่รถแท็กซี่เลี้ยวมาจอด กระทั่งผู้หญิงสองวัยเดินหายเข้าไปในบ้าน จึงได้วางมือจากกล้อง เพื่อกดโทรศัพท์เรียกให้รถจักรยานที่ซุ่มอยู่ไม่ไกลมารับ แล้วซ้อนกันออกไป จากนั้นจึงเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋า บ่งบอกว่ามันได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว...

 

ห้องกว้างบนชั้นสองของบ้านริมน้ำห้องนี้ตกแต่งสไตล์วินเทจ เน้นโทนสีพาสเทลเพื่อให้เหมาะกับการเตรียมไว้สำหรับเด็กสาววัยสดใส เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นตกแต่งลายดอกไม้อ่อนหวาน เช่นเดียวกับเตียงนอนกลางห้องที่เน้นโชว์ความอ่อนช้อยของลวดลายเหล็กดัด ซึ่งเข้าชุดกับเครื่องนอนสีขาวแต่งระบายลูกไม้เล็กๆ ชวนให้หลงใหล แล้วเจ้าของห้องคนใหม่เพิ่งตอบพิมพ์พรไปว่าเธอชอบมันมาก

“หนูชอบก็ดีแล้ว ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกป้าได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

ชลิตายกมือไหว้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว เธอเองก็ไม่ทันได้นับ เพราะตั้งแต่เข้ามาในบ้าน หญิงวัยสี่สิบตรงหน้าก็ทำอะไรมากมายให้ ทั้งเรื่องอาหารมื้อแรกในบ้านที่ปรุงกันเอง เป็นผัดไทย ไม่ใส่ถั่วลิสง บ่งบอกว่าใส่ใจเรื่องของที่เธอแพ้ ขนมหวานก็เป็นวุ้นกะทิแช่เย็นแสนอร่อย

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นป้าขอตัวไปดูจุ๋นเจี๋ยก่อนนะ ไว้เจอกันตอนบ่ายสาม เดี๋ยวมาคุยเรื่องที่เรียนใหม่ของเบลล์กัน ป้าดูโรงเรียนใกล้ๆ บ้านเราไว้ให้แล้ว บรรยากาศน่าเรียนเลยล่ะ ป้าคิดว่าหนูน่าจะชอบ” 

“ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวรอจนประตูห้องปิดจึงได้เบือนหน้ากลับมาในห้องอีกครั้ง ยืนมองนิ่งๆ ครู่หนึ่งจึงได้จะเดินไปนั่งบนเตียงนุ่มอ่อนยวบตามน้ำหนักตัวเธอ ซึ่งดูตรงข้ามจากเบาะนอนเก่าๆ แข็งๆ ในบ้านอุปถัมภ์มาก สัมผัสจากผ้าปูก็เรียบลื่นก็ช่างต่างกับผ้าปูเนื้อหยาบหนาเพราะอาศัยความทนอย่างที่เคยใช้

“นี่ห้องเราจริงๆ เหรอ”  ยังคงไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นห้องส่วนตัวของเธออย่างที่ป้าพิมพ์บอก นิ้วเรียวเล็กลูบไล้ผ้าปูนั้นอีกครั้ง แม้กรีดนิ้วเพียงแผ่วเบาแต่เธอกลับยิ่งสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของป้าพิมพ์และลุงจุ๋นเจี๋ยที่มอบให้

เวลานี้เธออาจยังมองไม่เห็นว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็มีบ้านใหม่ ที่สำคัญคือเธอไม่ต้องเป็นภาระให้บ้านอุปถัมภ์อีกแล้ว หน้าที่ต่อไปคือทำตัวให้ดี อยู่บ้านนี้ต่อให้ได้เพื่อให้ครูหมดห่วง

หญิงสาวเปิดล็อกเกตนาฬิกาที่ห้อยติดตัวเสมอออก มองดูรูปครอบครัวที่ติดใต้ฝาครอบล็อกเกตนั้นครู่หนึ่ง ก่อนบอกกับตัวเองและคนในรูปว่าชีวิตใหม่ของเธอกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้งที่นี่ ในบ้านหลังนี้ ชีวิตใหม่ที่สามีภรรยาคู่นี้เป็นผู้มอบให้ นับจากนี้พวกเขาคือผู้มีพระคุณที่เธอเป็นหนี้ชีวิต วันนี้อาจยังทำอะไรไม่ได้มาก แต่วันข้างหน้าเธอจะเฝ้าเตือนตัวเองว่าต้องกตัญญู ทดแทนสิ่งที่ ‘ผู้มีพระคุณ’ ให้จงได้ 

“ผู้มีพระคุณ...” คำคำนี้ทำให้ชลิตานึกถึงใครอีกคนที่เคยช่วยชีวิตเธอเมื่อเกือบครึ่งปีก่อน

เธอจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้แม่น มันเป็นวันที่ฝนตกหนัก เธอติดอยู่ข้างนอก กว่าฝนจะหยุดก็ดึกมากแล้ว ความเกรงใจทำให้เธอไม่กล้าโทรศัพท์ไปรบกวนครู พยายามข่มความกลัวเดินเข้ามาในซอยลำพัง โชคร้ายเจอกลุ่มวัยรุ่นตั้งวงเหล้า พวกนั้นเข้ามาลวนลาม และฉุดกระชากเข้าข้างทาง เสื้อผ้าถูกกระชากขาด เธอพยายามดิ้นรนต่อสู้ จะร้องให้คนช่วยก็ทำไม่ได้เพราะพวกมันล็อกตัวปิดปากไว้ พร้อมกับกระซิบคำขู่ข้างหู  

ทว่า...เสียงที่เธอได้ยินกลับไม่ใช่เสียงของวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้า

‘เรียนรู้ได้เร็วดีนี่...’ เสียงผู้ชายปริศนาดังขึ้น ภาพเบลอๆ แทรกเข้ามาพร้อมกัน ก่อนจะค่อยๆ ชัดขึ้นจนเห็นว่าเป็นภาพตัวเธอมีปืนจ่อหน้า ‘รู้ว่าอยู่นิ่งๆ ก็จะไม่เจ็บตัว...’

ความรู้สึกเหมือนเธอเคยผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน เหตุการณ์ที่ถูกล็อกตัวปิดปาก ความกลัวที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มทวี เธอดิ้นหนีสุดแรงจนถูกตีจนสลบ มารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาล

ครูตกใจมาก สั่งเด็ดขาดว่าห้ามแวะไปทำงานพิเศษอีก บอกว่าโชคดีแค่ไหนที่เธอไม่ถูกข่มขืน ดีที่มีผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปช่วยเธอได้ทัน ชลิตาอยากขอบคุณเขา แต่ไม่มีโอกาส เพราะเขากลับไปก่อนที่เธอจะฟื้น แถมยังช่วยจ่ายค่ารักษาไว้ให้ทั้งที่ไม่ยอมบอกชื่อ ถามความจากพยาบาลที่เจอผู้ชายคนนั้น จึงรู้แค่ว่าเป็นผู้ชายอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า เป็นคนตัวสูง หน้าตาดีมาก ผิวขาว

‘พี่อยู่ตรงนี้ตอนที่เขาอุ้มหนูวิ่งเข้ามา สีหน้าเขากังวลมากเลย เขาพยายามเรียกหนู พี่ว่าเรียกชื่อนะ น้องอะไรสักอย่าง ติดอยู่ที่ริมฝีปาก...อ้อ น้องเบลล์ เขาเรียกหนูว่าน้องเบลล์...พี่อาจจะฟังผิดก็ได้ แต่ตอนนั้นพี่ยังคิดเลยว่าเขาน่าจะเป็นพี่ชายหนู เพราะดูห่วงมาก...อ้อ นึกออกอีกเรื่อง เขามีแผลเป็นที่ต้นแขนขวานะ เป็นรอยยาวเหมือนถูกมีดฟัน เป็นแผลใหญ่เลยแหล่ะ’

จากคำบอกเล่าทำให้ชลิตาสามารถปะติดปะต่อภาพเลือนรางที่เธอเห็นในวันนั้นได้ ก่อนหมดสติเธอรับรู้ได้ว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามาช่วย เขาถอดเสื้อนอกออกมาเพื่อห่อตัวเธอไว้ เพราะเสื้อผ้าถูกฉีกขาด แล้วในช่วงที่เธอถูกอุ้มขึ้น เธอเห็นรอยแผลที่ว่า รอยแผลที่เหมือนถูกบาดด้วยของมีคม หรือไม่ก็ถูกฟันเป็นทาง ยาวเกือบๆ คืบ นั่นคือร่องรอยเดียวที่เธอรู้เกี่ยวกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต

ระหว่างที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายวัน ชลิตาหวังว่าผู้ชายคนนั้นจะแวะมาเยี่ยม  แต่เธอก็ผิดหวัง แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ก็มีข่าวมาว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ทำร้ายเธอถูกจับยกแก๊ง พูดกันว่าพวกมันถูกซ้อมยับจำหน้าแทบไม่ได้ ส่วนใหญ่ถึงขั้นแขนขาหัก แล้วที่น่าตกใจคือพวกนั้นส่งตัวแทนมาพบเธอเพื่อขอคำมาถึงบ้านอุปถัมภ์ บอกว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก 

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ครูจะอนุญาตให้ชลิตาออกไปทำงานข้างนอก เธอจึงยังคงรู้สึกกังวล เริ่มคิดที่จะออกไปอยู่กับผู้อุปการะอีกครั้ง แต่เด็กที่โตแล้วอย่างเธอก็หาคนอุปการะยากขึ้น แล้วยังต้องคัดกรองบางอย่างให้รอบคอบกว่าเดิม เพราะครูไม่อยากปล่อยให้เธอไปเจอเรื่องร้ายๆ อีก

‘เบลล์จำพวกเราได้มั้ย ป้าพิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยจะมาอยู่เมืองไทยแล้วนะ จำคำที่ป้าเคยบอกหนูได้มั้ย’  

‘พิมพ์พร’ เป็นหญิงไทยวัยสี่สิบที่ไปทำงานแม่บ้านในต่างแดนมาเกือบทั้งชีวิต จนแต่งงานกับ ‘จุ๋นเจี๋ย’ ซึ่งเป็นพ่อครัวในคฤหาสน์ที่เธอทำงาน จุ๋นเจี๋ยเป็นชาวจีนที่อายุมากกว่าพิมพ์พรถึงสามสิบปี แต่ยังดูแข็งแรง ทว่าโชคร้ายประสบอุบัติเหตุทำให้เป็นอัมพาตครึ่งตัวต้องพึ่งรถเข็น นั่นเป็นเหตุผลให้พิมพ์พรพาสามีกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยบ้านเกิด

ชลิตาจำสองสามีภรรยาน่ารักคู่นี้ได้ เพราะพวกเขาจะมาที่บ้านอุปถัมภ์เกือบจะทุกปี ทุกครั้งจะแวะมาคุยกับเธอคราวละนานๆ ถามสารทุกข์สุขดิบ ถามถึงความฝัน สิ่งที่อยากได้ สิ่งที่อยากเป็น พร้อมกับเล่าว่าพวกเขาอยู่ต่างประเทศ สักวันจะกลับมาอยู่เมืองไทย และถ้าเธอไม่รังเกียจ หรือยังไม่ได้มีคนรับไปอุปการะ พวกเขาอยากได้เธอไปอยู่ด้วย วันนี้พวกเขามาทวงถามสัญญา เธอตอบรับอย่างไม่ลังเล แล้วนั่นก็ทำให้เธอมาอยู่ตรงนี้ ในห้องนอนที่พวกเขาบอกว่าทำให้เธอ และดีใจมากที่รู้ว่าเธอชอบมัน

“พ่อคะ แม่คะ พี่ชรินทร์” เด็กสาวก้มลงพูดกับล็อกเกตที่ห้อยติดตัว “เอาใจช่วยเบลล์ด้วยนะคะ เบลล์ไม่อยากกลับไปเริ่มใหม่อีกแล้ว เบลล์อยากมีบ้านที่อบอุ่นกับเขาซะที อวยพรให้เบลล์ด้วยนะคะ”

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น