3

ขุนนางใหญ่กระทำอัตวินิบาตกรรม



สิบ

ขุนนางใหญ่กระทำอัตวินิบาตกรรม

 

ท้องฟ้าด้านนอกยังไม่สว่าง ไก่ที่ขันบอกเวลาโก่งคอไม่หยุด

โค่วจุ่นนอนตะแคงอยู่บนเตียง เด็กรับใช้หน้าตาซื่อสัตย์ค่อยๆ เปิดประตูเดินเข้ามา ปราดขึ้นหน้าไปร้องเรียกเสียงเบา “นายท่าน สมควรเข้าประชุมเช้าแล้ว”

โค่วจุ่นพลิกตัวคล้ายมิได้ยินกระนั้น ดวงตาไม่ลืมขึ้น

เด็กรับใช้ลองสะกิดไหล่เขาเบาๆ “นายท่าน สมควรเข้าประชุมเช้าแล้ว”

“เข้าประชุมเช้าอันใดกัน ไม่ไป!” โค่วจุ่นโบกมือ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

เด็กรับใช้ยืนตะลึงงันอยู่กับที่ เขาอายุไม่มากเพียงสิบห้าสิบหกปี เติบใหญ่ในจวนตระกูลโค่ว นับแต่จำความได้ไม่เคยเห็นนายของตนไม่ไปเข้าประชุมเช้า ชั่วขณะไม่รู้จะทำอย่างไรดี มิรู้ว่าจะเร่งต่อไปหรือไม่เร่งดี

โค่วจุ่นโมโหจนหายใจแทบไม่ทัน ดึงผ้าห่มมาคลุมหน้า ส่งเสียงอู้อี้ “ตำหนักอันโอ่อ่าเรืองรองถึงกับกลายเป็นที่เล่นกลแสดงปาหี่ของมารปีศาจภูตผี ข้ายังจะไปเข้าประชุมเช้าอันใดกัน ไปช่วยประสมโรงหรือชมดูล่ะ”

เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ลังเลพักหนึ่งก่อนถาม “นายท่าน เรื่องนี้หากในวังสอบถามจะตอบอย่างไร”

โค่วจุ่นดึงผ้าห่มลงจากใบหน้าดังสวบ ถลึงตาใส่เด็กรับใช้พลางเอ่ย “ข้าป่วยแล้ว! มิได้หรือ”

กล่าวประโยคเดียวจบเขาก็ดึงผ้าห่มขึ้นไปคลุมหน้าอีกครั้ง

เด็กรับใช้มองท่าทีของโค่วจุ่นแล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญา ค่อยๆ ถอยออกมา งับปิดประตูไว้

 

เวลาผันผ่านเร็วรี่ ชั่วพริบตาถึงช่วงเช้า

โค่วจุ่นนั่งดื่มสุราอย่างกลัดกลุ้มแต่ผู้เดียวในอุทยาน ปากก็ก่นด่าไม่หยุด “กษัตริย์ราชันองอาจเกรียงไกรถึงกับถูกมอมเมาโดยพวกกเฬวรากต่ำทราม งมงายในศาสตร์เทพเซียน ตกอยู่ในเงื้อมมือและถูกปั่นหัวโดยพวกแอบอ้างหลอกลวง ช่างน่าเวทนานัก!”

ขณะที่เขารินสุราดื่มเองอยู่นั้น เด็กรับใช้พลันวิ่งเข้ามารายงาน “นายท่าน สำนักภาษีส่งข่าวมา ใต้เท้าหยางต้าฉี ผู้ตรวจสอบสำนักภาษีเสียชีวิตโดยไม่คาดคิดเมื่อคืน!”

โค่วจุ่นตะลึงงัน “หยางต้าฉี? เสียชีวิตโดยไม่คาดคิด อย่างไรเรียกว่าไม่คาดคิด”

เด็กรับใช้ตอบ “คนของสำนักภาษีกล่าวว่า เช้านี้ใต้เท้าหยางถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องตำรา ประตูหน้าต่างห้องตำราปิดสนิทแน่น เหมือนฆ่าตัวตาย”

โค่วจุ่นนิ่วหน้า เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เหมือนว่า?”

เด็กรับใช้ยิ้มเจื่อนก่อนตอบ “ขอรับ! คนของสำนักภาษีกล่าวเช่นนี้”

โค่วจุ่นลดจอกสุราในมือลง ประหนึ่งว่าคิดบางอย่างออก นิ่งตรึกตรองพักหนึ่ง “หยางต้าฉี...”

เขาหรี่สองตาลง พลันยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอกแล้วลุกขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “เตรียมเกี้ยว!”

 

หน้าประตูจวนของหยางต้าฉีมีเจ้าหน้าที่มากมายกำลังปฏิบัติหน้าที่ เฝ้าประตูมิให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าออกโดยพลการ โค่วจุ่นนั่งบนเกี้ยวเล็กสองคนหามมาหยุดที่หน้าประตูจวนตระกูลหยาง เดิมทีบรรดาเจ้าหน้าที่คิดเข้ามาขับไล่ แต่เมื่อเห็นโค่วจุ่นที่ก้าวลงจากเกี้ยว ทุกคนต่างก็ถอยหลังไม่กล้ากั้นขวาง

ตอนนี้เองหัวหน้ามือปราบอายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่งสาวเท้าเร็วเข้ามาคำนับโค่วจุ่น “คารวะโค่วเซี่ยงกง”

โค่วจุ่นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ กำชับเขา “นำทาง”

“ขอรับ” หัวหน้ามือปราบมิกล้าพูดมาก นำเขาเข้าสู่โถงหลัก ก็พบสตรีวัยกลางคนยังคงความละเมียดละไมในชุดขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ สองตาเลื่อนลอย นางเป็นภรรยาเอกของหยางต้าฉีนั่นเอง

หยางฮูหยินมองเห็นโค่วจุ่น ก็ค่อยๆ หลุดจากภวังค์ สูดหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นมาคำนับอย่างแช่มช้อย ยังไม่ทันเอ่ยคำ น้ำตาก็ไหลพรากนองหน้า

โค่วจุ่นทอดถอนใจ รีบปรี่ขึ้นหน้าประคองหยางฮูหยิน เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงเสียใจสุดซึ้ง “หยางฮูหยิน หักห้ามใจด้วย”

หยางฮูหยินถูกโค่วจุ่นประคองขึ้นก็สะอื้นก่อนกล่าว “ใต้เท้าช่วยจัดการให้ความเป็นธรรมแก่นายท่านบ้านข้าด้วย!”

โค่วจุ่นพยักหน้า เอ่ยเสียงเข้มงวด “หยางฮูหยินวางใจ เรื่องนี้ราชสำนักย่อมตรวจสอบจนกระจ่าง ข้าไปสอบถามสักหน่อย หยางฮูหยินโปรดกลับไปพัก เมื่อมีข่าวข้าจะรีบรายงานท่าน”

“ขอบคุณใต้เท้า!” หยางฮูหยินคำนับขอบคุณโค่วจุ่น ปาดน้ำตาพลางถอยกลับไปยังโถงด้านหลัง

โค่วจุ่นสอบถามมือปราบที่อยู่ข้างตัว “เกิดเหตุที่ใด นำทางเถอะ”

“ขอรับ!” มือปราบเห็นโค่วจุ่นมีสีหน้าไม่สู้ดี ก็ไม่กล้าเอ่ยให้มากความ นำทางเขาเข้าสู่ห้องตำรา

บัดนี้ภายในห้องตำรามีเจ้าหน้าที่เข้าออกเป็นกลุ่ม โค่วจุ่นเพิ่งมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงโมโหของเปาเจิ่งดังลอดออกมา

“เป็นผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้าเคลื่อนย้ายเครื่องเรือน นี่ล้วนเป็นหลักฐานสำคัญ ห้ามเคลื่อนย้ายโดยพลการ รู้หรือไม่! ย้ายกลับเข้าที่เดิม!”

ภายในห้องแว่วเสียงเคลื่อนย้ายเครื่องเรือน โค่วจุ่นก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า เห็นเพียงเปาเจิ่งหันหลังให้ หันหน้าไปทางที่นั่ง คุกเข่าบนพื้นตรวจสอบวัตถุบางอย่าง

โค่วจุ่นเดินเข้าไปสะกิดเปาเจิ่ง เปาเจิ่งหันหน้ากลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นโค่วจุ่นก็สะดุ้งโหยง รีบลุกขึ้นคำนับโค่วจุ่น “โค่วเซี่ยงกง ข้าน้อย...ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”

โค่วจุ่นยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้า “ข้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงดังลั่น ก็เดาออกว่าเป็นเจ้าหน้าดำ ไม่ผิดจากที่คาดจริงเสียด้วย”

เปาเจิ่งกระอักกระอ่วน ริมฝีปากขยับ ทว่ามิได้เปล่งเสียง

โค่วจุ่นเอามือไพล่หลังมองประเมินห้องตำรา เปาเจิ่งรีบปราดเข้าไปคอยติดตาม โค่วจุ่นกวาดตามองทางซ้ายขวาสักพักก็ถามขึ้น “สำนักศาลต้าหลี่ไฉนก็มาแล้ว”

เปาเจิ่งตอบ “คนของตระกูลหยางแจ้งความที่เมืองไคเฟิง เพราะเกี่ยวเนื่องกับขุนนางสำคัญของราชสำนัก เมืองไคเฟิงจึงรายงานสำนักศาลต้าหลี่”

โค่วจุ่นพยักหน้า สอบถามเปาเจิ่ง “เจ้าเห็นว่าคดีนี้เป็นอย่างไร”

เปาเจิ่งขมวดคิ้ว ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “มีเงื่อนงำมาก”

“อ้อ มีเงื่อนงำที่ใด” โค่วจุ่นชะงักฝีเท้า มองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้

เปาเจิ่งผายมือเชื้อเชิญโค่วจุ่นไปทางเตียง “ใต้เท้า โปรดตามข้ามา”

เตียงนอนของหยางต้าฉีและโต๊ะตำราด้านนอกกั้นกลางด้วยฉากบังตา โต๊ะหันหน้าเข้าหาเตียง ผนังด้านหนึ่งข้างโต๊ะตำราตั้งชั้นวางของแบบโบราณ ด้านบนวางวัตถุสีสันหลากหลาย มีแจกันเอยโถเอย ศิลารูปร่างแปลกตา มีต้นไม้แคระกระถางขนาดเล็ก แต่ที่สะดุดตาที่สุดเป็นสิบแปดอรหันต์แกะสลักจากไม้ชุดหนึ่ง แต่ละตัวมีขนาดใหญ่กว่ากำมือของผู้ใหญ่เล็กน้อย

ด้านหลังฉากบังตาเป็นเตียงนอนของหยางต้าฉี บนม้านั่งตัวเล็กมีกระถางกำยานวางอยู่ บนเตียงนอนมีรอยผงหินปูนวาดเป็นรูปร่างคน ใต้เตียงนอนมีตำราวางกระจัดกระจายหลายเล่ม โต๊ะยาวหน้าเตียงนอนมีตำราหนึ่งตั้ง และมีเล่มหนึ่งเปิดอ้าอยู่ เหมือนเจ้าของเพิ่งพลิกอ่าน

เปาเจิ่งนำโค่วจุ่นเข้ามาถึงหน้าเตียงนอน จากนั้นก็ให้โค่วจุ่นมองรอยผงหินปูนที่วาดเป็นรูปคน “ใต้เท้า นี่คือท่านอนของผู้ตายที่ถูกพบหลังเกิดเหตุ ดูจากเบาะฟูกบนเตียงนอนและสีหน้าท่าทางของผู้ตาย ผู้ตายเสียชีวิตอย่างสงบ ราวกับว่าเสียชีวิตไปขณะนอนหลับฝัน”

โค่วจุ่นย่นยู่หัวคิ้ว แต่ไม่กล่าวคำ

เปาเจิ่งเล่าต่อไป “เงื่อนงำที่ข้าน้อยพูดถึงก็คือ หลังข้าน้อยตรวจสอบชันสูตรศพแล้ว ไม่พบบาดแผลถึงที่แก่ชีวิต รูปลักษณ์ภายนอกของผู้ตายดูแล้วเป็นปกติยิ่งนัก ตรวจสอบเล็บและผิวหนังก็ไม่พบร่องรอยว่าถูกวางยาพิษ บนร่างก็ไม่พบรอยแผลใดๆ”

โค่วจุ่นฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ สายตาเลื่อนไปตกที่กระถางกำยาน

เปาเจิ่งมองตามสายตาโค่วจุ่นไป จากนั้นก็พยักหน้าเอ่ย “พวกเราก็คิดได้แต่แรกแล้วว่าธูปสุคนธ์อาจถูกคนเล่นลูกไม้ จึงนำขี้เถ้าและธูปที่เหลือในกระถางส่งไปตรวจสอบพิสูจน์แล้ว”

โค่วจุ่นพยักหน้า กำชับสั้นๆ ได้ใจความ “เล่าต่อ”

เปาเจิ่งเงยหน้าขึ้น มองหน้าต่างรอบด้านและประตูก่อนกล่าว “ประตูหน้าต่างของห้องตำราล้วนลั่นดาลปิดตายจากด้านใน ประตูถูกคนรับใช้พุ่งชนจากด้านนอกจนเปิดออก กล่าวได้ว่าขณะเกิดเหตุผู้ตายสมควรอยู่ในห้องนี้ตามลำพัง”

โค่วจุ่นมองเปาเจิ่ง “เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ว่าเขาจะฆ่าตัวตายหรือ”

เปาเจิ่งตอบอย่างจริงจัง “นี่ย่อมเป็นความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง! แต่เรื่องที่ข้าน้อยจะกระทำก่อนเป็นลำดับแรกคือตัดความเป็นไปได้ว่าเขาถูกฆาตกรรมออก! ยิ่งไปกว่านั้น... ต่อให้เป็นการฆ่าตัวตาย ก็ต้องให้แน่ใจว่าเขาฆ่าตัวตายอย่างไร”

โค่วจุ่นพยักหน้าอย่างชมเชย ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวอีก “ถูกฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตายล้วนเป็นไปได้ หยางต้าฉีผู้นี้ เขา...”

ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาลนลานคำนับไปทางเปาเจิ่ง “ใต้เท้าเปา เจ้าหน้าที่ชันสูตรทางนั้นพบบาดแผลถึงแก่ชีวิตของผู้ตายแล้ว”

พอได้ยินเปาเจิ่งก็มีสีหน้ายินดี โค่วจุ่นรีบยืดตัวตรง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเข้มงวด “ไป! ไปดูกัน”

สองคนถูกนำทางมาถึงมุมหนึ่งของอุทยาน ที่นี่เป็นห้องเก็บของที่ถูกทิ้งร้าง ถูกใช้เป็นห้องชันสูตรชั่วคราว เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องมืดสลัวอย่างยิ่ง บนผนังสี่ด้านแขวนผ้าสักหลาดสีดำ ใช้บดบังแสงแดด

ศพของหยางต้าฉีวางอยู่บนแท่น บริเวณโดยรอบมีเครื่องมือตั้งทิ้งไว้ บนโต๊ะด้านข้างมีถาดคลุมผ้าวางอยู่

เจ้าหน้าที่ชันสูตรคำนับแล้วก็เลิกผ้า ชี้ที่ตัวศพ อธิบายแก่เปาเจิ่งและโค่วจุ่น

หยางต้าฉีนอนบนนั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หากมิใช่ว่าใบหน้าขาวอมเขียวก็คล้ายกำลังหลับ

เจ้าหน้าที่ชันสูตรชี้ที่ศพแล้วอธิบาย “สภาพร่างกายของผู้ตายสมบูรณ์ดี ไม่มีบาดแผลภายนอก สีหน้าราบเรียบ มิคล้ายเสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน แรกเริ่มเดิมทีข้าน้อยคิดว่าถูกพิษ แต่กระนั้นก็ไม่พบ สุดท้ายข้าน้อยตรวจสอบตรงนี้...”

นิ้วของเจ้าหน้าที่ชันสูตรชี้ไปที่ส่วนศีรษะของหยางต้าฉี เห็นทั้งสองคนมองตามมา เขาก็ยื่นสองแขนแหวกเส้นผมของหยางต้าฉีอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นหนังศีรษะเป็นแนวยาว บนหนังศีรษะมีจุดดำ เป็นส่วนปลายเข็มเล็กกว่าตะปูโลหะ หนากว่าเข็มปักผ้า

“เข็มแบบนี้บนศีรษะของผู้ตายมีทั้งสิ้นสามแห่ง ปักเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยม” เจ้าหน้าที่ชันสูตรอธิบายไปพลางแหวกเส้นผมผู้ตายไปพลาง เผยอีกสองที่ให้พวกเขาเห็น จากนั้นก็ใช้แหนบค่อยๆ คีบออกมาเล่มหนึ่ง

เปาเจิ่งมองส่วนปลายเข็ม สีหน้าเย็นเยียบขณะพึมพำกับตนเอง “เข็มฝังลึกเยี่ยงนี้ ใช้ค้อนตอกเข้าไปหรือใช้สิ่งใดยิงเข้าไปกัน”

เจ้าหน้าที่ชันสูตรก็ไม่อุบไว้ รีบอธิบาย “อย่างลักษณะเช่นนี้มีความเป็นไปได้สามประการ จากประสบการณ์ของข้าน้อย เป็นไปได้ว่าใต้เท้าหยางถูกคนสกัดจุดหรือทำให้สลบ จากนั้นก็ปักเข็มเข้าไป หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้กลไกยิงใส่ ความเป็นไปได้สุดท้ายคือจอมยุทธ์ใช้ฝีมือทางอาวุธลับซัดเข็มโลหะใส่”

เปาเจิ่งขมวดคิ้วตรึกตรองแล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าประการใดเป็นไปได้มากที่สุด”

เจ้าหน้าที่ชันสูตรคิดแล้วก็ตอบ “ความเป็นไปได้แรกแทบตัดออกได้ เพราะตรวจสอบไม่พบร่องรอยของยาสลบหรือยาพิษ ถึงถูกสกัดจุด ใต้เท้าหยางก็สมควรรู้สึกเจ็บปวด ไม่น่ามีท่าทีสงบเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเข็มถูกตอกเข้าไป กะโหลกศีรษะน่าจะมีรอยปริ”

เห็นทั้งสองคนมองตนโดยไม่พูดไม่จา เจ้าหน้าที่ชันสูตรก็เอ่ยอีก “ความเป็นไปได้ประการที่สามก็ไม่มากนัก ข้อแรกยอดฝีมือทางด้านนี้พบเห็นได้น้อยมาก ข้อสองหากโจมตีด้วยอาวุธลับ เข็มเล่มเดียวซัดเข้าจุดสำคัญก็ถึงแก่ชีวิตแล้ว”

“เจ้าสงสัยว่าเขาตายเพราะกลไก?” เปาเจิ่งถามขึ้น

เจ้าหน้าที่ชันสูตรพยักหน้า “อย่างน้อยดูจากสภาพในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น”

เปาเจิ่งมองไปทางโค่วจุ่น ทว่าโค่วจุ่นไม่พูดไม่จา เอาแต่มองใบหน้าสงบนิ่งของหยางต้าฉี เพียงคิดในใจ

‘ถูกฆาตกรรมจริงดังคาด!’

เปาเจิ่งส่งโค่วจุ่นมาถึงนอกประตูจวนตระกูลหยาง โค่วจุ่นกำชับเปาเจิ่ง “เจ้าตรวจสอบต่อไป มีเบาะแสอันใดรายงานข้าทันที หากพบที่ลำบากใจก็ให้ไปพบข้า”

เปาเจิ่งพยักหน้าพลางประสานมือคำนับ “โค่วเซี่ยงกงวางใจ ข้าน้อยย่อมตรวจสอบจนกระจ่าง”

โค่วจุ่นตบบ่าเปาเจิ่งอย่างชื่นชม จากนั้นก็หมุนตัวจากไป ทันทีที่หมุนตัว สีหน้าก็อึมครึมทันที ได้แต่คิดในใจ ‘คดีนี้อาศัยเพียงเมืองไคเฟิงและสำนักศาลต้าหลี่ เกรงเพียงตรวจสอบไม่กระจ่างชัดแจ้งแล้ว...’

เปาเจิ่งมองส่งโค่วจุ่นจากไปไกลแล้วก็หมุนตัวกลับเข้าจวนของหยางต้าฉีเพื่อตรวจสอบต่อไป

 

หน่วยดาวพิฆาต

ในห้องดื่มชา โค่วจุ่นนั่งตรงข้ามกับต้งหมิง สีหน้าต้งหมิงสงบราบเรียบ โค่วจุ่นกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด

ต้งหมิงรินน้ำชาให้โค่วจุ่น ถามอย่างฉงนสงสัย “วันนี้ท่านโค่วไฉนมีเวลาว่างมาหน่วยดาวพิฆาต”

โค่วจุ่นตอบอย่างเคร่งขรึม “ไม่ทุกข์ร้อนไม่กราบไหว้พระรัตนตรัย164!”

ต้งหมิงเลิกคิ้วแล้วเอ่ย “หือ? ท่านโค่วมีเรื่องลำบากใจอันใดหรือ”

โค่วจุ่นเล่า “เมื่อคืนหยางต้าฉี ผู้ตรวจสอบสำนักภาษีเสียชีวิตในห้องตำราที่จวนตนเอง”

มือที่กำลังรินชาของต้งหมิงชะงักกึก ถามอย่างไม่เข้าใจ “ฆ่าตัวตาย? ถูกฆาตกรรม? คดีชั้นนี้สมควรให้สำนักศาลต้าหลี่และเมืองไคเฟิงรับผิดชอบกระมัง ท่านโค่วเหตุใดถึงมาพบหน่วยดาวพิฆาตเล่า”

โค่วจุ่นกำจอกชาก่อนวางลงด้วยจิตใจว้าวุ่น “หยางต้าฉีเสียชีวิตอย่างแปลกประหลาด ขณะเสียชีวิตประตูหน้าต่างล้วนลั่นดาลจากด้านใน แต่เขาถูกยิงสังหารด้วยเข็มโลหะสามเล่มเข้าที่ส่วนศีรษะ”

ต้งหมิงขมวดคิ้วเอ่ย “เช่นนั้นเป็นการถูกฆาตกรรมแล้ว แต่คดีนี้ยังคงมิใช่หน่วยดาวพิฆาตรับผิดชอบ ท่านโค่วน่าจะรู้ว่าหน่วยดาวพิฆาต...”

โค่วจุ่นตัดบทวาจาของเขา “ข้ารู้ หน่วยดาวพิฆาตรับผิดชอบคดีที่ฝ่าบาททรงมอบหมายและคดีประหลาดคนพิสดาร คดีนี้แม้จะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ทว่ายังไม่ถึงขั้นให้หน่วยดาวพิฆาตยื่นมือเข้าแทรก”

ต้งหมิงยิ้มมุมปาก “นั่นสิ คดีที่สมควรรับผิดชอบโดยสามหน่วยงานทางกฎหมาย หน่วยดาวพิฆาตของเราหากหลับหูหลับตายื่นมือเข้าแทรก จะก่อให้เกิดเสียงตำหนิโดยไม่จำเป็น”

โค่วจุ่นยกจอกชาขึ้นจิบหนึ่งอึก “คดีนี้ตัวมันเองอาจไม่พิลึกพิลั่น แต่ถ้าข้าวินิจฉัยไม่ผิดพลาด บุคคลและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังไม่อาจละเลยได้”

ต้งหมิงจ้องโค่วจุ่นเขม็งขณะกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่สมควรให้หน่วยดาวพิฆาตรับผิดชอบ กฎหมายไม่อาจเลิกล้ม! เว้นเสียแต่ว่า... ท่านโค่วขอพระราชทานราชโองการ”

โค่วจุ่นช้อนสายตาขึ้น จ้องต้งหมิงแล้วกล่าว “หากข้าเอ่ยว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับคดีขุนนางตรวจการเจิ้งล่ะ”

ต้งหมิงตะลึงงัน สีหน้าเย็นเยียบขึ้นมาทันที “เจิ้งจื่อเหวิน?”

โค่วจุ่นพยักหน้า “มิผิด! ขุนนางตรวจการเจิ้งถูกสังหารที่ไท่อัน ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาไปที่นั่นด้วยเรื่องใดกัน”

ต้งหมิงมองโค่วจุ่น ไม่เอ่ยวาจา

โค่วจุ่นกล่าวสืบต่อ “ที่เจิ้งจื่อเหวินเดินทางไปไท่อัน เพราะมีคนยื่นฟ้องว่า เมื่อครั้งฝ่าบาททรงทำพิธีนมัสการที่เขาไท่ซัน165 มีเจ้าหน้าที่ในกรมโยธากระทำทุจริตโกงกิน หยางต้าฉีแห่งสำนักภาษีก็คือสมุห์บัญชีกรมโยธาในตอนนั้น เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยสำคัญในคดีทุจริตต่อหน้าที่ รับสินบาทคาดสินบนนี้!”

ต้งหมิงฟังถึงตรงนี้ก็พลันรู้สึกว่ากะทันหัน ตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง “แต่... เจิ้งจื่อเหวินขณะไปปฏิบัติหน้าที่ที่ไท่อัน พบว่าเต๋อเมี่ยวแสร้งสร้างเรื่องปาฏิหาริย์เพื่อหลอกลวงทรัพย์สินเงินทองราษฎร จึงถูกสังหาร”

โค่วจุ่นตอบ “มิผิด นั่นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง แต่เต๋อเมี่ยวเพิ่งถูกพวกท่านจับกุม ก็มีคนเสนอชื่อเต๋อเมี่ยวต่อฝ่าบาท ทำให้นางรอดพ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ คดีกรมโยธากระทำทุจริต เบื้องหลังก็พัวพันไปถึง ‘เขา’ ท่านว่าสองคดีนี้ยังไม่เกี่ยวข้องกันสักนิดหรือ”

ต้งหมิงเอ่ยช้าๆ ทีละคำ “ ‘เขา’ ที่ว่า... เป็นติงเว่ย... ติงเซี่ยงกง?”

สีหน้าโค่วจุ่นเย็นยะเยือก พยักหน้าเอ่ย “เขาเป็นอัครเสนาบดี สามหน่วยงานทางตุลาการเกรงว่าไม่อาจตรวจสอบไปถึงตัวเขา ดังนั้นข้าได้แต่ขอร้องหน่วยดาวพิฆาตของท่านแล้ว!”

ต้งหมิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างจริงจังและเคร่งเครียด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หน่วยดาวพิฆาตย่อมไม่อาจปฏิเสธ!”

หลังจากส่งโค่วจุ่น ต้งหมิงก็มาถึงโถงหลัก กำชับคนให้ตามตัวอิ่นกวง หลิ่วสุยเฟิง และคนอื่นๆ มา

ทุกคนเร่งรุดมาอย่างรวดเร็ว

ต้งหมิงสบตาอิ่นกวงแวบหนึ่ง พยักหน้าแผ่วเบา หันไปเรียกหลิ่วสุยเฟิงและเหยากวง “เหวินฉวี่ เหยากวง”

ทั้งสองคนก้าวออกมายืนกลางโถง

ต้งหมิงบอกด้วยสีหน้าเข้มงวดจริงจัง “หยางต้าฉีผู้ตรวจสอบสำนักภาษีเสียชีวิตโดยไม่คาดคิดภายในจวน สาเหตุการตายพิลึกพิลั่น ข้าขอสั่งให้เจ้าทั้งสองไปช่วยทำคดี”

หลิ่วสุยเฟิงและเหยากวงประสานมือคำนับต้งหมิง “ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่ง”

ไท่สุ้ยเห็นหลิ่วสุยเฟิงและเหยากวงได้รับคำสั่งแล้ว ก็ลอบมองไคหยางปราดหนึ่ง ก้าวออกมากล่าว “ใต้เท้าผู้บังคับการ ข้าก็อยากไป”

ต้งหมิงยังไม่ทันอ้าปาก เหยากวงชิงเอ่ยอย่างดูแคลนก่อน “พลังฝีมือแมวสามขาของเจ้าน่ะหรือ ไปช่วยสร้างความยุ่งยากหรือ”

ไท่สุ้ยมองหลิ่วสุยเฟิง ชี้ไปที่ศีรษะตนเอง แย้งอย่างไม่ยอมจำนน “นี่! สตรีป่าเถื่อน พวกเราไปสืบคดี มิใช่ไปต่อยตี ต้องอาศัยตรงนี้”

เหยากวงถลึงตาใส่ “ว่าอย่างไรนะ เจ้าว่าข้าไม่มีสมองรึ”

ไท่สุ้ยแบมือ “ดูสิ เจ้ายอมรับเองแล้ว”

เหยากวงปรี่เข้าไปอย่างโมโห จะลงมือแล้ว “เจ้าบ้านี่!”

ไท่สุ้ยตั้งท่ารับ “สุภาพชนตอบโต้ด้วยวาจา ไม่ลงมือ!”

เหยากวงบีบประชิดสืบเนื่อง “สตรีลงมือ ไม่ตอบโต้ด้วยวาจา!”

ต้งหมิงมีสีหน้าไม่พอใจ เอ่ยตำหนิเสียงขรึม “อย่าก่อกวน!”

เหยากวงมองต้งหมิง หดมือพร้อมกับถอยกลับไปอย่างคับแค้นใจ

ต้งหมิงมองไท่สุ้ยแล้วกล่าว “ไท่สุ้ยระยะนี้ขยันขันแข็งฝึกซ้อม พลังฝีมือก็ดี สมองก็ดี ล้วนมีความก้าวหน้า ก็สมควรปฏิบัติงานจริงสักครั้งแล้ว”

ไท่สุ้ยได้ยินคำชมเชยของต้งหมิง ความภูมิอกภูมิใจฉายชัดเต็มหน้า ประสานมือคำนับ “ขอบคุณใต้เท้าผู้บังคับการที่ชมเชย”

พูดจบก็เหลือบมองเหยากวงปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “ผู้อาวุโสก็คือผู้อาวุโส ตาแหลมคมกว่าเจ้า”

เหยากวงย่นจมูกใส่ คิดอ้าปากถกเถียง แต่เห็นต้งหมิงมองมา ก็อดทำตัวลีบมิได้ มิกล้าอาละวาดอีก

อิ่นกวงยิ้มรื่นก่อนเอ่ยแทรก “เหยากวง ในเมื่อเจ้ารับผิดชอบนำฝึกไท่สุ้ย นี่นับเป็นโอกาสอันดีในการฝึกฝนเขา พาเขาไปด้วย สั่งสอนเขาอย่างตั้งใจ ไท่สุ้ยฉลาดยิ่งนัก ไม่ทำให้เจ้าขายหน้าแน่”

เหยากวงประสานมือคำนับอย่างไม่เต็มใจ “เจ้าค่ะ”

ไท่สุ้ยฉวยโอกาสขณะต้งหมิงมิทันระวัง ลอบทำหน้าผีทะเล้นใส่เหยากวง ก่อนเดินอย่างลำพองใจออกไป

เหยากวงแค้นจนกัดฟันกรอด ทว่ามีคำตักเตือนก่อนหน้าของต้งหมิงค้ำคอ จึงมิกล้าอาละวาดในโถงหลัก ได้แต่กำหมัดใส่ลับหลัง ตัดสินใจแน่วแน่ว่าหากมีโอกาสต้องให้ไท่สุ้ยได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเสียบ้าง

 

หลิ่วสุยเฟิง เหยากวง และไท่สุ้ย ออกจากหน่วยดาวพิฆาต ไคหยางก็ออกมาด้วย ทว่าเป้าหมายของนางต่างจากทั้งสามคน นั่นคือร้านของเมิ่งตง

ไคหยางรู้ลู่ทางเป็นอย่างดีเพราะมีประสบการณ์ จึงไม่เคาะประตู แต่เปิดเข้าไปภายในร้านโดยตรง

เทียบกับคราวก่อน ภายในร้านโล่งกว่ามาก โคไม้ม้าจรถูกย้ายออกไป เหลือเพียงเมิ่งตงผู้เดียวที่ฟุบอยู่บนตู้เตี้ยอย่างตั้งอกตั้งใจ และกำลังประกอบบางอย่าง

ไคหยางเห็นเมิ่งตงรอนางอยู่ ใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาทันที อารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด

เมิ่งตงซึ่งได้ยินเสียงเปิดประตูเงยหน้าขึ้น พอเห็นเป็นไคหยางก็ยืดตัวขึ้น ยิ้มทั้งหน้าทักทายนาง “มาแล้ว?”

ไคหยางเดินเข้ามา เอ่ยตอบอย่างสุขุม “มาแล้ว”

เมิ่งตงเดินอ้อมมาจากด้านหลังตู้ ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนเชิญนางนั่ง แล้วเดินไปเปิดหีบที่อยู่ด้านข้าง หยิบกล่องออกมาจากด้านใน จากนั้นก็เดินกลับมาข้างๆ ไคหยาง วางกล่องนั้นบนโต๊ะตรงหน้านาง หลังจากยิ้มเล็กน้อยก็เอ่ย “เคราะห์ดี ไม่ทำให้ผิดหวัง”

ไคหยางเอ่ยอย่างยินดี “ท่านทำออกมาได้จริง?” พูดพลางรีบร้อนเปิดกล่องเพื่อตรวจสอบชิ้นส่วน

นี่เป็นชิ้นส่วนที่สลับซับซ้อนและละเอียดแม่นยำอย่างยิ่ง ด้านบนเป็นฟันเฟืองขนาดเล็กใหญ่เกือบร้อย ยังมีท่องอโค้งขนาดหนาบางแตกต่างกัน บ้างก็หลอมจากโลหะ บ้างก็ไสจากไม้

ไคหยางตรวจสอบอยู่สักพัก ใบหน้าก็ผุดรอยยิ้ม “ฝีมือไม่เลว”

เมิ่งตงยิ้มขณะที่มองไคหยาง “แค่ไม่เลวหรือ”

ไคหยางเงยหน้า ค้อนเขาวงหนึ่ง ประกบปิดกล่อง ลุกขึ้นแล้วเอ่ยหยอกล้อ “ไม่ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่คำนึงถึงความถ่อมตนของบางคน ข้าจึงช่วยเขาถ่อมตนสักหน่อย”

เมิ่งตงหัวเราะลั่น พลันชะงักกึกแล้วไอหลายครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบม้วนภาพจากบนตู้มามอบให้ไคหยาง “นี่คือของกำนัลที่มอบให้เจ้า หากแม่นางพอใจ ภายภาคหน้าขอเชิญอุดหนุนร้านเล็กบ่อยๆ”

ไคหยางรับมาอย่างสงสัยใคร่รู้ หันกลับมากางออกบนโต๊ะ ขณะเดียวก็ถามขึ้น “ภาพวาดอักษรศิลป์ของท่านหรือ”

เมิ่งตงเอาแต่ยิ้ม ไม่ยอมตอบ

ไคหยางคลี่ม้วนกระดาษออก เห็นด้านบนเป็นภาพร่างลายเส้นประกอบกันเป็นแบบกลไก ก็อดอุทานมิได้

เมิ่งตงเดินเข้ามายืนเคียงกับนาง ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “เป็นข้าวาดเอง แต่ไม่อาจเรียกว่าอักษรศิลป์ ข้าร่างภาพการใช้งานที่อาจเป็นไปได้จากงานของเจ้า ก็เลย... ลองออกแบบ ข้าคิดว่าหากปรับแบบนี้สักหน่อย สิ่งที่เจ้าคิดประดิษฐ์น่าจะคล่องแคล่วยิ่งขึ้น ปีนป่ายที่สูงเดินลงที่ต่ำล้วนไม่เป็นปัญหา!”

ไคหยางมองเมิ่งตงอย่างตื้นตัน สองตาแวววาวด้วยความชื่นชม “การออกแบบนี้ของท่านช่วยแก้ไขส่วนที่บกพร่องของข้า ที่สำคัญกว่านั้นคือจุดประกายความคิดอีกมากให้แก่ข้า ช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!”

พูดจบนางก็ดึงตัวเมิ่งตงมาอย่างตื่นเต้นยินดี “มา พวกเราทำให้เสร็จสมบูรณ์ร่วมกันสักหน่อย!”

เมิ่งตงยิ้มพลางพยักหน้า สองคนโน้มตัวลงบนโต๊ะเตี้ย ชี้ไปที่ภาพร่างพร้อมกับยิ้มหัวให้กัน แล้วเริ่มศึกษาวิเคราะห์

ไคหยางยิ้มหน้าบานด้วยความปลาบปลื้ม อรรถาธิบายการออกแบบของตนให้เมิ่งตงฟัง ทำมือพร้อมกับร่างแบบ ทุ่มเทเป็นพิเศษ

ตัวเมิ่งตงพิงกับตู้เตี้ย สายตาจดจ้องภาพร่างอย่างตั้งอกตั้งใจ บางครั้งก็เหลือบมองไคหยาง เห็นนางเบิกบานใจก็อดยิ้มเล็กน้อยมิได้

ทั้งสองคนรุมล้อมภาพร่างอยู่บนตู้เตี้ย ในมือแต่ละคนต่างถือพู่กัน ถกวิเคราะห์กันไปพลางวาดเส้นสายบนกระดาษไปพลาง บางครั้งก็ถกเถียงรุนแรง ผ่านไปสักพักเหมือนต่างคนต่างกระจ่างแจ้ง จากโมโหกลับกลายเป็นยินดี แปะมือกันอย่างลืมตัว สุมหัวบนกระดาษวาดแบบต่อไป

 

หลิ่วสุยเฟิง เหยากวง และไท่สุ้ย สวมชุดเครื่องแบบของหน่วยดาวพิฆาต นี่เป็นครั้งแรกที่ไท่สุ้ยทำคดี ในใจทั้งตื่นเต้นทั้งฮึกเหิม เขาไม่เคยประจักษ์ความรู้สึกนี้มาก่อน ชั่วขณะทำให้เขาอารมณ์ดียิ่ง

หลิ่วสุยเฟิงเดินนำอยู่เบื้องหน้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนสุภาพ เล่นหูเล่นตากับบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ริมทางไม่หยุด ในเวลาไม่นานก็มีสตรีหน้าหูแดงซ่านเขินอายเพิ่มขึ้นไม่น้อย

เหยากวงคุ้นชินมาเนิ่นนานแล้ว จึงไม่แยแสแม้แต่น้อย นางเดินไปพลางข่มขู่ไท่สุ้ยที่อยู่ข้างตัวไปพลาง “จำไว้นะ ประเดี๋ยวถึงที่เกิดเหตุ มองให้มาก พูดให้น้อย มีอันใดไม่เข้าใจก็อย่าได้ถามในที่นั้น คนของเมืองไคเฟิงและสำนักศาลต้าหลี่ล้วนอยู่ที่นั่น จะได้ไม่ทำให้ข้าขายหน้า”

ไท่สุ้ยปรายตามองนางอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเองก็รู้ครึ่งๆ กลางๆ เป็นน้ำส้มครึ่งขวด ข้าถามเจ้ารึ ถามเจ้ามิสู้ถามพี่หลิ่ว ข้าจะบอกให้ หากคดีนี้ให้ข้าคลี่คลายได้ เจ้าอย่าได้เอาความชอบไปด้วย!”

เหยากวงจะยิ้มก็ไม่เชิง “โธ่เอ๋ย ลำพองตนถึงขนาดนั้นเชียว”

ไท่สุ้ยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ข้าบอกแล้ว สักวันข้าต้องปีนอยู่เหนือเจ้า ให้เจ้าได้แต่แหงนหน้ามอง!”

ไท่สุ้ยทางหนึ่งกล่าวคำ ทางหนึ่งเชิดหน้า กลับมิได้ระวังเหยากวงฉวยโอกาสขัดขา พลาดท่าหกล้ม ทว่าเคราะห์ดีที่ท่าร่างฉับไวปราดเปรียวเพียงพอ มือยันพื้นทันกาล จึงกลายเป็นกึ่งคุกเข่าบนพื้น

เหยากวงยืนตรงหน้า สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องยามกล่าว “โธ่เอ๋ย ยังไม่ทันปีนขึ้นไป ไฉนถึงได้คุกเข่าเสียแล้วเล่า ศิษย์ประเสริฐ รีบลุกขึ้นมา กลับไปอาจารย์จะมอบซองแดงซองใหญ่ให้”

ไท่สุ้ยยื่นมือคว้าข้อเท้านางกะทันหัน คิดดึงนางให้ล้มลง

แต่เหยากวงป้องกันเขาเล่นพิเรนทร์แต่เนิ่นแล้ว ไท่สุ้ยเพิ่งยื่นมือ นางก็กระโดดพลิกตัวไปด้านหลัง ยืนบนพื้นอย่างมั่นคงแข็งแรง เคลื่อนไหวร่างด้วยสีหน้าได้ใจ ทำหน้าผีแหย่ให้ไท่สุ้ยโมโห “ความสามารถอย่างแมวสามขาของเจ้า ขนสักเส้นของอาจารย์เจ้าก็คว้าจับมิได้”

สองคนทะเลาะถกเถียงกันอยู่ด้านหลัง หลิ่วสุยเฟิงที่อยู่เบื้องหน้าเล่นหูเล่นตากับบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ ไม่นานก็มาถึงบริเวณจวนตระกูลหยางอย่างรวดเร็ว

หลิ่วสุยเฟิงมองประตูจวนตระกูลหยางที่อยู่ใกล้ เจ้าหน้าที่เมืองไคเฟิงกลุ่มหนึ่งปิดกั้นถนนบริเวณใกล้ประตูจวน กำลังมองตรงมาอย่างฉงนสงสัย

หลิ่วสุยเฟิงหันกลับไปมองเหยากวงและไท่สุ้ยปราดหนึ่ง “สองท่าน... จะทะเลาะกันก็ถอดชุดเครื่องแบบหน่วยดาวพิฆาตออกก่อนค่อยว่ากัน อย่าให้ขายหน้าคนของหน่วยดาวพิฆาต”

เหยางกวงถลึงตาใส่ไท่สุ้ยครั้งหนึ่ง รีบเร่งขึ้นไปกล่าว “ต้าหลิ่ว ยากที่ท่านจะเอาจริงเอาจังสักครั้ง!”

หลิ่วสุยเฟิงเดินเอามือไพล่หลังไปทางประตูใหญ่ เอ่ยปากอย่างไม่เร่งร้อน “ข้าเพียงแต่ไม่อยากขายหน้าไปพร้อมพวกเจ้า” พูดจบเขาก็ก้าวขึ้นบันไดก่อน แสดงป้ายก่อนเข้าไป

เหยากวงและไท่สุ้ยต่างสบตากันอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วเดินตามเข้าไป

หน้าประตูห้องตำราของจวนตระกูลหยางมีเจ้าหน้าที่เฝ้ายามอยู่สองคน ด้านในยังมีคนตรวจสอบที่เกิดเหตุ มีคนเข้าออกเป็นระยะ หลิ่วสุยเฟิงพาเหยากวงและไท่สุ้ยเดินเข้าไป

ขณะที่หลิ่วสุยเฟิงอยู่ตรงหน้าประตูก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเข้มงวดเอาจริงเอาจัง สายตาคมกริบ กวาดตามองทั้งสี่ด้านอย่างละเอียด

มองในห้องตำราอยู่พักใหญ่ ก็เห็นว่าเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ หลิ่วสุยเฟิงสูดอากาศเข้า เดินไปหยุดข้างกระถางกำยาน เปิดฝาออก พินิจพิจารณาเศษขี้เถ้าที่เหลืออยู่ในนั้นอย่างละเอียด

ไท่สุ้ยและเหยากวงติดตามอยู่ข้างหลังหลิ่วสุยเฟิง กระทำเลียนแบบด้วยการคุกเข่าลง ตรวจสอบสิ่งของในบริเวณโดยรอบ

หลิ่วสุยเฟิงมองตำราบนโต๊ะหน้าเตียง ค้อมเอวลง กำลังจะลงมือพลิกอ่าน ก็พลันได้ยินเสียงดุดันเข้มงวดดังขึ้นที่ด้านหลัง “หยุดมือ! ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้าแตะต้องสุ่มสี่สุ่มห้า”

ไท่สุ้ยและหลิ่วสุยเฟิงหันกลับไป เห็นว่าผู้ที่เข้ามาเป็นเปาเจิ่ง ข้างกายยังมีชายหนุ่มในชุดคลุมตัวสั้นหน้าตาหล่อเหลาอีกผู้หนึ่ง

เมื่อไท่สุ้ยเห็นว่าเป็นเปาเจิ่ง ประหวัดถึงท่าทีของเขาในโถงศาลเมื่อคราวก่อน จึงดึงแขนเสื้อหลิ่วสุยเฟิง กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เป็นเจ้าหน้าดำน่าเบื่อหน่ายผู้นั้นอีกแล้ว”

หลิ่วสุยเฟิงหัวเราะ มิได้บันดาลโทสะ ยังคงประสานมือคำนับไปทางเปาเจิ่งอย่างมีมารยาท “ตุลาการเปา มิได้พบกันเนิ่นนานแล้ว ข้าน้อยรับคำสั่งของใต้เท้าผู้บังคับการมาช่วยตรวจสอบคดี”

เปาเจิ่งมองคนของหน่วยดาวพิฆาตครู่หนึ่ง กล่าวอย่างไม่พอใจ “คดีของขุนนางราชสำนัก รับผิดชอบโดยสำนักศาลต้าหลี่ เหมือนว่ามิได้อยู่ในขอบเขตรับผิดชอบของหน่วยดาวพิฆาต”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มๆ กำลังจะเอ่ยคำ แต่ไท่สุ้ยแย่งตอบ

“คดีนี้แปลกประหลาดพิลึกพิลั่น พวกเราหน่วยดาวพิฆาตไม่ออกโรง พวกท่านคลี่คลายได้หรือ”

เปาเจิ่งยิ้มเย็นชา “อ่อนต่อโลก! การตรวจสอบพิสูจน์เกี่ยวเนื่องกับชีวิตผู้คน จำเป็นต้องระมัดระวังรอบคอบ วิเคราะห์ทีละขั้นตอน ต้องถึงพร้อมด้วยหลักฐาน หน่วยดาวพิฆาตของท่านเป็นหน่วยงานทางยุทธ์ กล้าพูดพล่ามเหลวไหลที่นี่!”

พอได้ฟังเหยากวงก็ไม่พอใจ ชี้เปาเจิ่งพลางต่อว่า “คนหน้าดำ ท่านดุดันอันใดเล่า คดีของนางมารเต๋อเมี่ยว เป็นพวกเราจับกุมได้ทั้งคนร้ายทั้งของกลาง ผลคือสำนักศาลต้าหลี่ของท่านไต่สวนได้ผลออกมาอย่างไร ยังมีหน้าต่อว่าพวกเรา”

เปาเจิ่งได้ฟังวาจาเหล่านี้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูชม “ผิดหรือไม่ดูที่หลักฐาน มิได้ดูที่ไม่กี่คำจากปากแดงฟันขาวของท่าน คดีนี้ควรให้สำนักศาลต้าหลี่รับผิดชอบ หน่วยดาวพิฆาตบุ่มบ่ามเอาแต่ใจ ยื่นมือเข้าแทรกคดีนี้ ไม่เห็นขื่อแปอยู่ในสายตา”

ไท่สุ้ยแคะหูอย่างเอ้อระเหยลอยชายด้วยท่าทางเหลืออด “ผายลม! ตั้งข้อหาพวกเราให้น้อยหน่อย ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ขอเพียงตรวจสอบได้ผล จัดการลงทัณฑ์คนร้ายตัวจริง แก้แค้นให้ผู้ตายได้ ถือเป็นวิธีการที่ประเสริฐ”

เอ่ยถึงตรงนี้ ไท่สุ้ยหันไปพยักพเยิดกับเหยากวง “ใช่หรือไม่”

เหยากวงรีบพยักหน้าราวกับมีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน “นั่นสิ!”

เปาเจิ่งโกรธจนใบหน้ากระตุก คิดเอ่ยปากต่อว่า ชั่วขณะกลับเอ่ยผรุสวาจาไม่ออก ได้แต่ตวาดอย่างโมโห “เหลวไหล! โง่เขลา!”

พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ร้องเรียกชายหนุ่มที่อยู่ข้างตัว “จั่นเจา พวกเราไป!”

จั่นเจาผู้มีใบหน้าหล่อเหลาถลึงตาใส่ไท่สุ้ยอย่างฮึดฮัดแวบหนึ่ง ก่อนตามเปาเจิ่งจากไป

หลิ่วสุยเฟิงหรี่ตา อาศัยช่วงจังหวะที่ไท่สุ้ยและเหยากวงกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องเต็มหน้า ลอบออกจากห้องตำราโดยไร้สุ้มเสียง

ทันทีที่ศัตรูภายนอกจากไป การต่อสู้ภายในก็บังเกิดขึ้น เห็นเปาเจิ่งกระฟัดกระเฟียดจากไป ไท่สุ้ยก็หันมามองเหยากวง กลอกตาไปมา ยิ้มหน้าทะเล้นพลางกล่าว “จะว่าไป หน่วยดาวพิฆาตของพวกเราก็มีบางคนอาศัยเพียงพละกำลัง ไม่ใช้สมองอยู่จริง มิน่าถึงถูกคนเขาดูถูก แต่เขาก็ไม่สมควรไม้เดียวตีคนตายทั้งกลุ่ม เจ้าว่าใช่หรือไม่ อย่างข้า ความคิดจิตใจระแวดระวังรอบคอบ เป็นคนมีสมองเป็นพิเศษ เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า”

เหยากวงกวาดตามองเขาขึ้นลง “ใช่! ก็เจ้าหัวโตอย่างไรเล่า”

เหยากวงทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น หมุนตัวไปตรวจสอบที่ต่างๆ ปากก็พร่ำร้อง “หัวโต หัวโต ฝนตกไม่กลัดกลุ้ม คนเขามีร่ม เจ้ามีหัวโต...”

“เฮอะ!” ไท่สุ้ยเชิดคาง เดินไปตรวจสอบด้านหลังฉากบังตา

 

หลิ่วสุยเฟิงเตร็ดเตร่ไปทั่วภายในจวน มองประเมินบรรดาบ่าวไพร่ สาวใช้ และพ่อบ้าน บางครั้งหน้าตาเคร่งเครียดสนทนากับเด็กรับใช้ที่ใต้ชายคา บางครั้งหน้าตากลัดกลุ้มยืนพูดคุยกับพ่อบ้านใต้ระเบียงยาว

ผ่านไปพักหนึ่งก็ยิ้มเล็กน้อย สนทนากับสาวใช้ที่ข้างแจกันในโถงบุปผา

ครึ่งชั่วยามต่อมาเขาก็วิ่งไปที่โถงส่วนหลัง ใบหน้านอบน้อมสอบถามหยางฮูหยินหลายคำถาม

ปฏิบัติการราวหนึ่งชั่วยามหลิ่วสุยเฟิงก็หยุดลง ยืนครุ่นคิดตามลำพังบนระเบียง หน้านิ่วคิ้วขมวด ก้าวเดินไปพลางพึมพำไปพลาง

 

ภายในห้องตำรา เหยากวงและไท่สุ้ยยึดครองมุมหนึ่งในห้องตำรา ตรวจสอบเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ บางครั้งก็เขยิบเข้าใกล้กันปรึกษาหารือสองประโยค

เปาเจิ่งนำจั่นเจาตรวจสอบคดีอยู่อีกฟาก จุดสำคัญคือตรวจสอบเตียงของใต้เท้าหยาง

หลังผ่านการถกเถียงก่อนหน้า ทั้งสองฝ่ายต่างค้นพบวิธีอยู่ร่วมกันโดยสันติ น้ำบ่อไม่ปะปนน้ำคลอง ต่างคนต่างอยู่ ไม่ร่วมมือ และไม่ก่อกวน ต่างฝ่ายต่างอาศัยความสามารถเสาะหาเบาะแส

เหยากวงและไท่สุ้ยยืนหน้าฉากบังตาซึ่งอยู่ห่างจากเตียงนอนระยะหนึ่ง กำลังตรวจสอบตั้งแต่บนลงล่างอย่างละเอียด

เหยากวงพบว่าฉากบังตาสมบูรณ์เรียบร้อยดี ไม่มีรูเข็ม ดังนั้นจึงหารือกับไท่สุ้ยที่ยืนข้างตัว “เจ้าดูสิ พวกเขากล่าวว่าผู้ตายถูกยิงด้วยเข็มโลหะเข้าที่ศีรษะจนถึงแก่ชีวิต เช่นนั้นจากตำแหน่งที่ผู้ตายนอน เข็มโลหะสมควรยิงออกจากที่นี่”

ไท่สุ้ยพยักหน้า จากนั้นก็ยืนหน้าฉากบังตามองไปที่เตียงนอน ยื่นแขนทำท่าเล็งยิง “ทิศทางพอประมาณ สมควรยิงออกจากตรงนี้”

เหยากวงพยักหน้า จากนั้นจึงลูบคลำฉากบังตาแล้วขมวดคิ้ว “ผ้าวาดลวดลายบนฉากบังตาสมบูรณ์ดีไม่เสียหาย เข็มโลหะสมควรอยู่ระหว่างฉากบังตากับเตียงนอน ซึ่งก็คือตำแหน่งที่พวกเรายืนอยู่ยิงออกไป”

“หากมีคนยืนตรงนี้แล้วใช้กลไกอาวุธลับยิงออกไป ก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!” ไท่สุ้ยโต้แย้งตามความเคยชิน

เหยากวงมองเขาอย่างไม่ใส่ใจ “หากมีคนยืนตรงนี้ อาศัยตอนหยางต้าฉีนอนหลับแล้วลงมือ เช่นนั้นยังต้องใช้อาวุธลับไปไยกัน วิธีสังหารคนมีตั้งมากตั้งมาย อีกอย่าง... เขาสังหารคนแล้วหลบหนีออกจากที่นี่ไปได้อย่างไร ประตูหน้าต่างลั่นดาลจากด้านใน หรือคนผู้นั้นสังหารหยางต้าฉี หยางต้าฉีลุกขึ้นมาส่งเขาจากไป แล้วลั่นดาลประตูหน้าต่าง กลับมานอนรอความตายอย่างนั้นหรือ”

เหยากวงเอ่ยไปเรื่อยๆ ก็กลั้นไม่อยู่ ปล่อยหัวเราะพรืด

ไท่สุ้ยส่ายหน้ากล่าว “เฮ้อ ไม่มีสมอง ไม่มีสมอง...”

เหยากวงถลึงตาใส่ “ในเมื่อเจ้ามีสมอง เช่นนั้นเจ้าว่ามา เรื่องราวสมควรเป็นอย่างไร”

ไท่สุ้ยยิ้มแห้งๆ “ตรวจสอบคดีไม่อาจเร่งร้อน!”

เอ่ยวาจานี้จบหน้าไท่สุ้ยก็แดงซ่าน ไม่รอเหยากวงโต้แย้ง อ้อมไปที่อีกด้านของฉากบังตาอย่างมีอิสรเสรี

อีกด้านของฉากบังตา ที่พิงผนังเป็นชั้นวางของแบบโบราณ ด้านบนจัดวางของสะสมของมีค่าละลานตา มีเครื่องปั้นดินเผาหยกโบราณอย่างสิบแปดอรหันต์

ไท่สุ้ยยืนหน้าชั้นวางของแบบโบราณ หยิบแผ่นหยกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง อุทานเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างชื่นชม “โอ้!”

เปาเจิ่งและจั่นเจาได้ยินเสียงอุทานของไท่สุ้ยต่างก็รีบเข้ามาในห้องตำรา ถามอย่างตื่นเต้น “พบอันใดแล้ว”

ไท่สุ้ยหันมาทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว ชูแผ่นหยกในมือ เอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ “หยกแผ่นใหญ่ถึงเพียงนี้ ย่อมมีราคามากกระมัง”

เปาเจิ่งมองเขาด้วยสายตาเย็นชาปราดหนึ่ง “ไร้สาระ”

ไท่สุ้ยแค่นหัวเราะเสียงเย็นชา “ข้าไร้สาระ แต่ดูแล้วใต้เท้าหยางผู้นี้ก็มิได้สัตย์ซื่อสุจริต!”

เปาเจิ่งแค่นเสียงเฮอะแผ่วเบา กลับไม่อาจกล่าวต่อไป ขนบประเพณีในตอนนั้นถือว่าผู้ตายเป็นใหญ่ แม้เปาเจิ่งรู้ว่าใต้เท้าหยางผู้นี้มิใช่ขุนนางสุจริต แต่ถึงอย่างไรเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว วิจารณ์คนตายลับหลัง เขาเปาเจิ่งไม่อาจกระทำ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ควรที่จะกระทำ

ไท่สุ้ยอุทาน วางแผ่นหยกลง แล้วหยิบสิ่งของชิ้นอื่นขึ้นมา

เมื่อเขาหยิบไม้แกะสลักรูปสิบแปดอรหันต์ น่าตกใจที่พบว่าถึงกับยกไม่ขึ้น

ใบหน้าเขาฉายแววฉงนสงสัย ออกแรงดึงขึ้นถึงได้ยกขึ้นมาได้ ที่แท้ตำแหน่งที่วางสิบแปดอรหันต์บนชั้นวางของแบบโบราณล้วนมีแกนกุญแจ ด้านล่างของหุ่นสิบแปดอรหันต์มีรู เสียบเข้ากับแกนกุญแจคล้ายแท่งเทียนเสียบบนเชิงเทียนกระนั้น หุ่นไม้สิบแปดอรหันต์เหมือนตรึงติดกับชั้นวางของแบบโบราณ

ไท่สุ้ยสงสัยใคร่รู้ หยิบขึ้นมาชมอย่างละเอียด บัดนี้เปาเจิ่งก็เดินเข้ามา ต่อว่าอย่างโมโหโทโส “อย่าเที่ยวแตะต้องสิ่งของสุ่มสี่ห้า”

ไท่สุ้ยปรายตามองเขาอย่างไม่แยแส แค่นเสียงเอ่ย “ไม่แตะต้องแล้วจะหาเบาะแสอย่างไรเล่า ท่านวุ่นอยู่ครึ่งค่อนวัน พบอะไรบ้างหรือไม่”

เปาเจิ่งจนคำพูด สีหน้าไม่น่าดูชม

เห็นเขาไร้คำจะเอ่ยกล่าว ไท่สุ้ยก็ยิ้มอย่างลำพองตน ยื่นแขนวางสิบแปดอรหันต์ลง เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ตัวเองไม่ไหวยังมาว่าผู้อื่น ไม่เสียแรงเป็นแบบอย่างของสำนักศาลต้าหลี่”

เปาเจิ่งถลึงตาใส่ไท่สุ้ย แต่ไท่สุ้ยเป็นผู้ใดกัน เขาเป็นผู้โชกโชนคลุกคลีในยุทธภพมาตั้งแต่เล็ก ต่อให้เผชิญกับวาจาชั่วร้ายวจีเลวทรามก็หน้าไม่เปลี่ยนสี ไหนเลยจะกลัวเปาเจิ่งที่ถลึงถลนดวงตาใส่ ถึงอย่างไรตอนนี้ไร้เรื่องราว เขากำลังนึกเบื่ออยู่พอดี จึงนึกอยากยั่วเย้า ยืนมั่นกับที่จ้องตาเปาเจิ่งอย่างไม่ยอมแพ้

ทั้งคู่ต่างไม่พูดไม่จา ตาใหญ่จ้องตาเล็ก เวลาผ่านไปทีละน้อยทั้งอย่างนี้ เหยากวงมองฉากนี้จากที่ไม่ไกล ปล่อยหัวเราะพรวดอย่างกลั้นไม่อยู่ จั่นเจาก็จนใจ มองเปาเจิ่งแวบหนึ่งแล้วมองไท่สุ้ยอีกปราด เดิมทีคิดเข้าร่วมช่วยเปาเจิ่งถลึงตาใส่ แต่พอฉุกคิดได้ว่าเช่นนี้ก็โง่เขลาเกินไป จึงลอบเดินไปหยุดด้านข้าง แสร้งทำเป็นไม่รู้จักทั้งคู่

ชั่วเวลาธูปครึ่งดอกผ่านไป ขณะที่ไท่สุ้ยคิดว่าเปาเจิ่งอดรนทนไม่ไหวจะลงมือแล้วนั่นเอง เปาเจิ่งก็สูดหายใจเข้าลึกๆ หมุนตัวจากไปกะทันหัน

ไท่สุ้ยฉวยโอกาสนวดดวงตา ยิ้มอย่างได้ใจ ร้องเรียกไล่หลัง “ลงไม้ลงมือ ท่านไม่ไหว! ถกเถียงกัน ท่านก็ไม่ไหว! แข่งถลึงตา ท่านยิ่งไม่ไหว!”

เห็นเปาเจิ่งไม่แยแสตนสักนิด ไท่สุ้ยก็รู้สึกหมดสนุก หมุนตัวไปเห็นเหยากวงยืนอยู่ด้านหลัง สะดุ้งโหยงตกใจ เดิมทีคิดว่าเหยากวงจะต่อว่า กลับมิคาดว่าเหยากวงจะชูนิ้วโป้งให้ ยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบา

“เจ้านี่ปากคอเราะรายดีเสียจริง ทว่าข้าชื่นชมเจ้านัก”

ไท่สุ้ยยิ้มตาหยีคำนับตอบ “ขอบคุณสีฟู่ชื่นชม ข้าขัดหูขัดตาเจ้าหน้าดำมานานแล้ว ให้เขาโมโหจากไป เราจะได้ตรวจสอบคดีได้สะดวก”

เหยากวงมองไปภายนอก ส่ายหน้าตอบ “โมโหจากไป? ไม่ง่ายดายขนาดนั้น เจ้าหน้าดำเพียงเห็นก็รู้ว่านิสัยดื้อรั้น”

ไท่สุ้ยถามอย่างฉงน “นี่ก็มิใช่ว่าไปแล้วหรอกหรือ”

เหยากวงส่ายหน้า “เมื่อครู่เขาก็มิได้อยู่ในห้องตำรา เกรงว่า...”

เอ่ยถึงตรงนี้นางก็กระจ่างแจ้งฉับพลัน มองไท่สุ้ยแล้วเอ่ย “หาเบาะแสในห้องตำราไม่พบ ไฉนไม่สอบถามภรรยาหยางต้าฉี”

ไท่สุ้ยกระจ่างโดยพลัน “นั่นสิ! ไม่แน่อาจเข้าใจหลายอย่างมากขึ้นจากนาง”

เหยากวงสันนิษฐาน “เจ้าหน้าดำคงไปพบหยางฮูหยินแล้ว”

ไท่สุ้ยพยักหน้า “ไม่อาจให้เขาแย่งก่อน”

“ใช่! ไม่เช่นนั้นหน่วยดาวพิฆาตจะถูกเขาดูแคลนมากขึ้น” เหยากวงพูดจบ สองคนสบตากันครั้งหนึ่ง สาวเท้ายาวออกจากห้องตำรา วิ่งไปทางโถงด้านหลัง

เปาเจิ่งและจั่นเจาเดินมาถึงหน้าประตูห้องหยางฮูหยิน เปาเจิ่งกำลังจะย่ำขึ้นบันได คาดไม่ถึงว่าเหยากวงและไท่สุ้ยวิ่งจากอีกทางเข้ามากั้นขวางเปาเจิ่งอยู่เหนือบันได

ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยแววขบขัน เปาเจิ่งกลับมีสีหน้าไม่ดี อ้าปากเชื่องช้าถาม “หน่วยดาวพิฆาตคงมิใช่ว่ากระทั่งสำนักศาลต้าหลี่ปฏิบัติงานตามปกติก็ก้าวล่วงกระมัง”

เหยากวงรีบยกมือยิ้มแย้ม กล่าวกับเปาเจิ่ง “ตุลาการเปา ท่านคลายโทสะฟังข้าก่อน ท่านเองก็หาเบาะแสในห้องตำราไม่พบ คิดมาพบหยางฮูหยินเพื่อสอบถามใช่หรือไม่”

เปาเจิ่งพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด

เหยากวงยิ้มแล้วเอ่ย “เช่นนี้ก็ถูกแล้ว เป้าหมายของพวกเราเหมือนกัน ดังนั้นข้าเสนอให้ทุกคนปล่อยวางข้อถกเถียงลง แล้วร่วมมือกันก่อน”

เปาเจิ่งมองประเมินเหยากวง เด่นชัดว่าไม่เชื่อใจนาง “ร่วมมือ?”

เหยากวงดึงไท่สุ้ยเดินลงมาจากบันได ปรึกษาหารือกับเปาเจิ่งที่ข้างทาง “ใต้เท้าเปา ท่านอยากถามคำถาม ข้าเองก็อยากถาม พวกเราเข้าไปถามคนละเที่ยว หยางฮูหยินคงทนรำคาญมิได้ ถึงตอนนั้นย่อมไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเรา แบบนี้ในที่สุดก็ไม่มีผู้ใดได้คำตอบที่อยากได้”

เปาเจิ่งพยักหน้า มิได้โต้แย้ง ถึงอย่างไรเหยากวงก็เอ่ยอย่างมีเหตุผล หยางฮูหยินเพิ่งสูญเสียสามี เดิมทีก็เศร้าโศกเสียใจ ต้องฝืนสะกดกลั้นความทุกข์เทวษเตรียมการงานศพ ทั้งยังต้องตอบคำถามของเจ้าหน้าที่มือปราบเป็นระยะ อีกทั้งต้องวางแผนเรื่องอนาคต ภายใต้พันหมื่นสายสนกลใน เปลี่ยนเป็นสตรีอื่น ผู้ใดแบกรับไหว

เหยากวงเห็นว่าเปาเจิ่งมิได้เอ่ยปากโต้แย้ง ยิ้มอย่างยินดี รีบฉวยโอกาสตีเหล็กกำลังร้อนจึงเสนอ “ดังนั้นมิสู้รวบรวมคำถามที่อยากถามมอบให้ผู้ใดผู้หนึ่งไปสอบถาม แบบนี้ทั้งประหยัดเวลาและสมปรารถนาทุกฝ่าย”

เปาเจิ่งมิได้รับปากทันที แต่ขบคิด มองเหยากวงแล้วถาม “ผู้ใดไปถาม”

ไท่สุ้ยกำลังจะเอ่ยปาก แต่ถูกเหยากวงลอบกดเอาไว้ จากนั้นเหยากวงก็ยิ้มแล้วตอบ “ข้าเป็นสตรี เข้าใกล้หยางฮูหยินได้สะดวก เหมือนว่าง่ายกว่าพวกท่านทั้งสอง ท่านคิดว่าอย่างไร”

เปาเจิ่งพิจารณาอยู่สักพัก ก็พยักหน้าตอบ “ตกลง ข้าคิดๆ ดูว่าจะถามอย่างไรดี”

เหยากวงยินดี รีบพยักหน้าตกปากรับคำ “ดี อย่างไรก็ไม่เสียเวลาเท่าใด พวกเราเองก็ลองคิดดูว่าจะถามอันใดบ้าง”

เปาเจิ่งและจั่นเจาเดินไปอีกฟาก ทั้งคู่หันหลังให้เหยากวงและไท่สุ้ยเพื่อปรึกษาหารือ ส่วนเหยากวงก็ลากไท่สุ้ยไปสนทนาอีกด้าน

ไท่สุ้ยสะบัดเหยากวงออก เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะปรึกษากับเจ้าหน้าดำไปไยกัน พวกเราบุกเข้าไปโดยตรงก็พอแล้วมิใช่หรือ”

เหยากวงส่ายหน้ายิ้มได้ใจบอกไท่สุ้ย “เจ้าหน้าดำนั่นแม้น่าชัง แต่ความสามารถกลับมีพอตัว เขาเชี่ยวชาญด้านการทำคดี ย่อมถามตรงประเด็น พวกเราสองคนเป็นคนใหม่ หากคิดทำความชอบ ไยไม่ลอบเรียนรู้จากเขาที่นี่เล่า อีกอย่าง... เจ้าคิดออกหรือยังว่าจะถามอันใดบ้าง”

ไท่สุ้ยได้ฟังเหยากวงอธิบาย ถึงได้กระจ่างแจ้งฉับพลัน ชูนิ้วโป้งไปทางเหยากวง กล่าวอย่างเลื่อมใส “ขิงแก่ถึงเผ็ด!”

เหยากวงภูมิอกภูมิใจ เลียนแบบน้ำเสียงเขากล่าวอย่างทะนงตน “ซือฟู่อย่างไรเสียก็เป็นซือฟู่”

ไท่สุ้ยยิ้มชั่วร้ายประสมโรง “ใช่ๆๆ สีฟู่ก็คือสีฟู่”

สองคนกระซิบกระซาบหารือกัน ไม่นานนักเปาเจิ่งก็นำจั่นเจาเดินเข้ามา ไท่สุ้ยและเหยากวงรีบยืนตัวตรง

“ข้าคิดเสร็จแล้ว คำถามที่ข้าจะถามคือ...” เปาเจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เหยากวงฟังไปพลางพยักหน้าไม่หยุดไปพลาง ในดวงตาไท่สุ้ยก็สาดประกายวาบ สายตาที่มองเปาเจิ่งเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

เหยากวงกล่าวได้ไม่ผิด คนผู้นี้แม้น่าชัง แต่มีความสามารถอย่างแท้จริง หลายคำถามนี้ล้วนตรงประเด็น เปลี่ยนเป็นตนเกรงว่าจะคิดไม่ออกอย่างแท้จริง

 

หยางฮูหยินอายุเกินสี่สิบปี แต่บำรุงดูแลอย่างเหมาะสม ผิวพรรณขาวผุดผาดเต่งตึง เอวองค์แม้อวบอิ่มแต่ไม่อ้วนพี หากมิใช่เพราะรอยตีนกาที่หางตาบ่งบอกอายุของนาง ย่อมมีคนเข้าใจผิดว่านางมีอายุเพียงสามสิบกว่าปี

โบราณว่าอยากพิลาสเลิศล้ำให้สวมชุดขาวทั้งร่าง หยางฮูหยินรูปร่างสูงโปร่ง บัดนี้สวมชุดไว้ทุกข์ นั่งเหม่อลอยข้างโต๊ะ กลับดูสง่าหมดจด ยังคงความละเมียดละไม

เหยากวงเห็นแล้วออกจะอิจฉา มิรู้ว่าเมื่อตนถึงวัยนี้จะสง่างามเช่นนี้หรือไม่

สองสาวใช้ปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง เหยากวงนั่งตรงข้ามกับนาง ยื่นมือเกาะกุมมือหยางฮูหยินที่วางบนโต๊ะ เอ่ยอย่างอ่อนโยน “หยางฮูหยิน โปรดหักห้ามใจด้วย!”

หยางฮูหยินฝืนยิ้มขมขื่น มองเหยากวงแล้วถอนหายใจ “ต่างคนต่างมีบุญกรรมของตน ไม่อาจฝืนได้ ข้าได้แต่เพียงยอมรับชะตากรรม”

เหยากวงตบมือหยางฮูหยินเบาๆ จากนั้นก็ถาม “หยางฮูหยิน ท่านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ้านเมื่อวานนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่”

หยางฮูหยินตรึกตรอง จากนั้นก็ส่ายหน้า “เมื่อวานในบ้านก็ไม่มีเรื่องพิเศษใดเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนทุกวัน นายท่านกลับมาไม่นาน ใต้เท้าเหยี่ยนเจิ้ง นายช่างหลวงซึ่งเป็นสหายสนิทก็มาเยี่ยมที่จวน ทั้งสองดื่มสุรากันที่ห้องตำรา ข้าสุขภาพไม่ค่อยดี พบหน้าทักทายใต้เท้าเหยี่ยนแล้วก็กลับห้องนอนพัก ต้นยามไฮ่166 ก็ผล็อยหลับไป”

เหยากวงถามอย่างแปลกใจ “ฮูหยินไม่รอใต้เท้าหยางกลับห้องค่อยนอนพักหรือ”

หยางฮูหยินยิ้มบาง “อยู่กินกันมาเนิ่นนานแล้ว ไม่มีกฎเกณฑ์มากมายเพียงนั้น สามีบางครั้งจัดการเรื่องงานดึกดื่นแล้วก็นอนที่ห้องตำรา ดังนั้นเมื่อคืนข้าจึงมิได้สังเกต”

เหยากวงรับคำเสียงหนึ่ง เงยหน้ามองไท่สุ้ยและเปาเจิ่ง เปาเจิ่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เหมือนกำลังขบคิดบางอย่าง ไท่สุ้ยทำปากเป็นคำว่า ‘สหายสนิท’ เป็นนัยให้เหยากวงถามเรื่องนี้

เหยากวงเห็นดังนั้นก็นั่งตัวตรงแล้วถามขึ้นอีก “ใต้เท้านายช่างหลวงท่านนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับใต้เท้าหยาง”

หยางฮูหยินคล้ายกำลังใจลอย ถูกเหยากวงถามก็เงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง ตั้งสติได้จึงตอบ “เหยี่ยนเจิ้ง นายช่างหลวงเป็นบัณฑิตจิ้นสื้อติดประกาศพร้อมสามีข้า เป็นสหายสนิทกันมาหลายสิบปี มักมาสนทนาที่จวน เมื่อคืนหลังจากดื่มสุราเสร็จสิ้นแล้ว นายท่านยังถือโคมส่งเขาออกจากประตูด้วยตนเอง”

เหยากวงพยักหน้า ไล่ถามอีก “แล้วหลังจากนั้น?”

หยางฮูหยินถูชายเสื้อของตนอย่างไม่ตั้งใจ ค่อยๆ ตอบ “จากนั้น... นายท่านนอนที่ห้องตำราโดยมีสาวใช้นามชุนเหมยปรนนิบัติ เช้าตรู่วันถัดมาบ่าวไพร่ปลุกแต่ไม่ตื่น จึงต้องพังประตูเข้าไป ผลก็พบว่า...”

เล่าถึงตรงนี้ ขอบตานางก็รื้นแดง มือปิดปาก สะอื้นฮัก กล่าววาจาไม่ออก

เหยากวงมองเปาเจิ่งแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ได้แต่ฝืนถามต่อไป “หยางฮูหยิน ขอท่านอภัยด้วย พวกเราต้องรู้สภาพโดยคร่าวๆ ท่านเองก็หวังให้พบตัวคนร้ายโดยเร็ว เพื่อล้างแค้นให้ใต้เท้าหยางกระมัง”

หยางฮูหยินพยักหน้าเชื่องช้า ร่ำไห้อยู่พักหนึ่ง ฝืนสะกดกลั้นความเศร้าโศกในใจ สูดลมหายใจแล้วเล่าต่อ “ตอนเช้าคนรับใช้ไปปลุกนายท่านให้ไปเข้าประชุมเช้าตามปกติ แต่ไม่มีการตอบสนองจากภายในห้อง จึงไปรายงานพ่อบ้าน พ่อบ้านไปเคาะประตูก็ไม่มีการตอบสนอง รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล จึงมารายงานข้า เมื่อข้าไปถึงก็สั่งให้บ่าวไพร่กระแทกเปิดประตู ก็พบว่านายท่าน...”

เล่าถึงตรงนี้ หยางฮูหยินก็เอ่ยไม่ออกอีก

เหยากวงรอนางร่ำไห้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามขึ้นอีก “ใต้เท้าหยางเคยบาดหมางกับผู้ใดหรือไม่”

หยางฮูหยินส่ายหน้า “สามีมีอุปนิสัยใจคอดียิ่ง ความสัมพันธ์กับสหายร่วมงานก็ไม่เลว ไม่มีศัตรูอย่างแท้จริง แต่เพราะแบบนี้เขา...”

นางสะอื้นติดต่อกันหลายครั้ง ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาปาดน้ำตา เหยากวงและคนอื่นต่างรู้สึกเวทนา แต่เปาเจิ่งกลับพินิจพิจารณาอย่างเอาจริงเอาจัง พบว่าแม้ขอบตารื้นแดง แต่แท้จริงหลั่งน้ำตาน้อยมาก แม้ใบหน้าโศกสลดถึงที่สุด แต่เมื่อมองอย่างละเอียดก็พบว่าอากัปกิริยาเป็นขั้นเป็นตอน ท่าทางภูมิฐาน เด่นชัดว่าความคิดจิตใจมิได้ล่องลอย เปาเจิ่งเหมือนฉุกคิดบางอย่างได้

“ฮูหยินโปรดหักห้ามใจ” เห็นนางเริ่มหลั่งน้ำตา เหยากวงจึงรู้สึกสงสาร กระเถิบเข้าไปปลอบโยน ตบหลังมือของนางแผ่วเบา

เหยากวงหันมาทางไท่สุ้ยและเปาเจิ่ง เปาเจิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เป็นนัยว่าถามพอประมาณแล้ว ไท่สุ้ยส่ายหน้า แสดงว่าตนไม่มีสิ่งใดจะถามแล้ว

จนกระทั่งหยางฮูหยินเป็นปกติ เหยากวงถึงได้คลายมือ จากนั้นก็กล่าวลา “หยางฮูหยิน ตอนนี้ท่านเป็นหลักของทั้งจวนตระกูลหยาง โปรดอย่าเสียใจจนเสียสุขภาพ ขอโปรดหักห้ามใจด้วย หน่วยดาวพิฆาตของพวกเราย่อมตรวจสอบคดีนี้จนกระจ่าง จับกุมคนร้าย ให้ใต้เท้าหยางตายตาหลับ”

เปาเจิ่งกระแอมเสียงเบาคราหนึ่ง จั่นเจาเอ่ยอย่างอดรนทนไม่ได้ “ใต้เท้าเปาแห่งสำนักศาลต้าหลี่ออกโรง ย่อมสอบสวนคลี่คลายคดีนี้ จับกุมคนร้ายได้ ฮูหยิน ท่านโปรดวางใจ”

หยางฮูหยินลุกขึ้นมาคำนับขอบคุณ “รบกวนทุกท่านแล้ว”

เหยากวงรีบประคองหยางฮูหยินที่งอเข่าคำนับ “นี่เป็นสิ่งที่พวกเราสมควรกระทำ ท่านไม่ต้องมากพิธี”

เพราะความเคลื่อนไหวของเหยากวง ชายแขนเสื้อไว้ทุกข์ของหยางฮูหยินเลิกขึ้น เผยให้เห็นขอบสีแดงของแขนเสื้อตัวใน เหยากวงกลับไม่ทันสังเกต แต่ดวงตาเปาเจิ่งแหลมคมฉับไว ประจักษ์แก่สายตา แต่ก็ไม่เอ่ยอันใด คำนับแล้วก็หมุนตัวออกจากห้องโถง

 

ออกจากประตู เปาเจิ่งและจั่นเจายืนเรียงกันเบื้องหน้า เหยากวงและไท่สุ้ยติดตามอยู่ด้านหลังพวกเขา

ไท่สุ้ยเดินไปพลางกล่าวไปพลาง “ทางหยางฮูหยินก็ไม่ได้เบาะแสมีประโยชน์อันใด”

เหยากวงพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “นั่นสิ ไร้ความแค้น ไร้ศัตรู สังหารคนในห้องปิดตาย วิธีลงมือและอาวุธล้วนเสาะหาไม่พบ หากมิใช่ภูตผีเทพเซียน ไม่อาจกระทำได้ชัดๆ!”

สีหน้าเปาเจิ่งเคร่งขรึม ส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว คล้ายคิดบางประการได้

ไท่สุ้ยเห็นดังนี้ก็กระทุ้งศอกใส่เปาเจิ่ง “นี่ตุลาการเปา ท่านค้นพบอันใดใช่หรือไม่”

เปาเจิ่งหลุดจากภวังค์ จ้องมองไท่สุ้ยด้วยสีหน้าราบเรียบพลางกล่าว “ไม่มี”

ไท่สุ้ยกระฟัดกระเฟียด เปาเจิ่งหันข้างไปบอกเหยากวงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีบางเรื่องยังมิได้กระทำ ขอล่วงหน้าไปก่อน”

เปาเจิ่งบอกจั่นเจา “พวกเราไป”

จั่นเจาจงใจปรายตามองไท่สุ้ยปราดหนึ่ง ก่อนเชิดหน้าตามเปาเจิ่งไป

สองคนเดินจากไปอย่างไม่แยแสผู้อื่น กลับทำให้ไท่สุ้ยโมโหแทบกระอัก ยืนกระหืดกระหอบอยู่กับที่ ชี้ด่าตามหลังเปาเจิ่ง “เจ้าดู เจ้าดู เจ้าหน้าดำผู้นี้ อารมณ์บูดเน่าเช่นนี้ ผู้ใดทนได้!”

เหยากวงขมวดคิ้วมองเงาหลังของสองคนนั้น “เจ้าหน้าดำผู้นี้ต้องพบบางอย่างแล้วแน่นอน”

ไท่สุ้ยได้ฟังก็ชะงักงัน บ่นอย่างหมดอาลัยตายอยาก “เฮ้อ ต่อให้รู้ว่าค้นพบแล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรเขาก็ไม่บอกพวกเรา”

เหยากวงได้ฟังก็อดท้อใจมิได้ สองคนสบตากันแวบนึ่งก่อนถอนหายใจเฮือก รู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง

 

เปาเจิ่งนำจั่นเจาเดินออกมาจากจวน ย่ำไปหลายก้าว จั่นเจาก็มองเปาเจิ่งแล้วเอ่ย “ใต้เท้า ท่านเหมือนค้นพบบางอย่าง”

เปาเจิ่งยิ้มในหน้า เห็นซ้ายขวาไม่มีผู้คนก็พยักหน้าเบาๆ “หยางฮูหยินมีปัญหา”

จั่นเจาสองตาสว่างวาบ “หือ?”

เปาเจิ่งมองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มแล้วเอ่ยวิเคราะห์ “นางพยายามให้ตนทำท่าเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกที่นางแสดงออกมาช่างแข็งฝืน”

จั่นเจามีความจำดียิ่ง พอได้ฟังก็เริ่มประหวัดถึงสภาพในตอนนั้น พยักหน้าอย่างกระจ่างชัดแจ้งฉับพลัน “มิผิด แม้หยางฮูหยินใช้ผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตาอยู่ตลอดเวลา ทว่าน้ำตานางน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...” กล่าวถึงตรงนี้จั่นเจาก็อ้าปากค้าง คิดอยู่เป็นนานถึงส่ายหน้ากล่าว “ข้ากล่าวไม่ใคร่ดี มักรู้สึกว่านางคล้ายกับว่า...”

“นางงดงามหรือไม่” เปาเจิ่งถามแทรกขึ้นกะทันหัน

จั่นเจาตะลึงงัน มองเปาเจิ่งอย่างฉงน เห็นอีกฝ่ายยิ้มมองตนเอง รอยยิ้มนี้เขาคุ้นเคยยิ่งนัก ทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายจะชี้แนะตนมักยิ้มเช่นนี้ จึงอดพยักหน้าไม่ได้ “งดงามมาก”

เปาเจิ่งผงกศีรษะ “มิผิด นางงดงามมาก อีกทั้งเสื้อผ้าก็กระชับรูปร่าง”

จั่นเจาอึ้งงันขณะมองเปาเจิ่ง “นี่อย่างไรหรือ”

เปาเจิ่งยิ้มแล้วอธิบาย “เจ้าไม่รู้อันใด หยางฮูหยินผู้นี้ถือกำเนิดในครอบครัวใหญ่ ข้าจำได้ว่าในเอกสารมีบันทึกว่าปีนี้นางอายุสี่สิบสามปีแล้ว”

“สี่สิบสามปี?” จั่นเจาประหลาดใจ “อายุมากถึงเพียงนั้นหรือ ดูแล้วคล้ายอายุสามสิบกว่ากระนั้น”

เปาเจิ่งพยักหน้า “มิผิด ดูแล้วยังอ่อนเยาว์ ประการแรก นางไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่ บำรุงดูแลสุขภาพได้ดี อีกประการหนึ่ง เจ้าอาจไม่ทันสังเกต นางประทินโฉม อีกทั้งชุดไว้ทุกข์ก็กระชับรูปร่าง แสดงว่าเย็บตัดอย่างตั้งใจไว้ก่อนหน้า ถึงขั้นมีการปรับแก้มาก่อน”

เห็นท่าทีตกตะลึงของจั่นเจา เปาเจิ่งก็ยิ้มก่อนกล่าวอีก “นอกจากนี้ ขณะที่นางตอบคำถาม สุขุมสงบนิ่งจนเกินไป ตรรกะความสอดคล้องกระจ่างชัดแจ้ง มิคล้ายสตรีที่สูญเสียญาติพี่น้อง ยิ่งไปกว่านั้น... เจ้าอาจไม่ทันสังเกต ใต้ชุดไว้ทุกข์ นางสวมเสื้อผ้าสีแดง มิใช่เสื้อตัวใน แต่เป็นชุดคลุมยาวที่สวมภายนอก”

กล่าวถึงตรงนี้เปาเจิ่งก็นิ่งเงียบ ภาพชายแขนเสื้อสีแดงผุดวาบขึ้นมาในสมอง อธิบายเชื่องช้า “เช้าตรู่วันนี้นางเพิ่งพบว่าสามีเสียชีวิต ช่วงเวลาคับขันไม่ทันผลัดเปลี่ยนเสื้อตัวนอกในให้เป็นชุดไว้ทุกข์ยังพอเข้าใจได้ ทว่าสีแดงเจิดจ้า อีกทั้งเป็นชุดคลุมตัวนอก คงมิใช่ไม่ทันผลัดเปลี่ยนกระมัง อีกประการคือ กระทั่งชุดคลุมตัวนอกไม่มีเวลาผลัดเปลี่ยน แต่มีเวลาตัดแก้ชุดไว้ทุกข์ อีกทั้งยังมีเวลาประทินโฉม กอปรกับหลายข้อก่อนหน้า มั่นใจได้ว่านางลอบยินดีในการตายของสามี หรือไม่ก็ไม่แยแสใส่ใจสักนิด”

จั่นเจายืนนิ่ง “ใต้เท้า เช่นนั้นพวกเราสมควรไต่สวนหยางฮูหยิน!”

เปาเจิ่งไม่หยุดฝีเท้า เดินไปพลางส่ายหน้าไปพลาง “เหลวไหล! อาศัยเพียงเหล่านี้ก็ไต่สวนหยางฮูหยินได้แล้วหรือ”

จั่นเจาลองคิดก็จนใจ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มิได้กระทำความผิด ต่อให้สามีภรรยาไม่ลงรอยกันก็ไม่มีเหตุผลไปไต่สวนนาง อีกประการ หยางต้าฉีเป็นขุนนางตรวจการขั้นห้าของสำนักภาษี ภรรยาเอกของเขาย่อมได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เอ่ยตามหลักแล้ว หยางฮูหยินผู้นี้ก็ดำรงตำแหน่งขุนนาง บุคคลประเภทนี้ในสถานการณ์เช่นนี้จะไต่สวนง่ายๆ ได้อย่างไร

จั่นเจาคิดแล้วก็จนใจไม่ดึงดัน ได้แต่ถามอีก “เช่นนั้นพวกเราจะไปที่ใด”

“ไปเยี่ยมใต้เท้าเหยี่ยน นายช่างหลวงก่อน ปริศนาของหยางฮูหยินนี้พวกเราค่อยๆ สืบ”

เปาเจิ่งเห็นเขาคิดกระจ่างแล้วก็ยิ้มอย่างยินดี เงยหน้ามองทางเดินไปยังจวนของเหยี่ยนเจิ้ง จั่นเจารีบติดตามไป

 

ไท่สุ้ยและเหยากวงเดินอย่างร้อนใจในอุทยาน ต่างมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ไม่มีวิธีการใด

ไท่สุ้ยมองเหยากวงแวบหนึ่งแล้วถาม “ใต้เท้าสีฟู่ ตอนนี้พวกเราสมควรทำอย่างไร”

เหยากวงตอบ “เมื่อคืนหยางต้าฉีดื่มสุรากับใต้เท้าเหยี่ยนเจิ้ง นายช่างหลวงมิใช่หรือ พวกเราไปทำความเข้าใจสถานการณ์ที่จวนใต้เท้าเหยี่ยนกันสักหน่อย”

จู่ๆ เหยากวงก็ชะงักกึก เหลียวซ้ายแลขวา ฉงนสงสัยอย่างยิ่ง “เอ๊ะ! ต้าหลิ่วเล่า”

ไท่สุ้ยมองสี่ทิศรอบด้านอย่างงุนงง “มิน่าเมื่อครู่ข้าถึงรู้สึกว่าขาดบางอย่างไป ที่แท้ก็ขาดไปหนึ่งคน”

เหยากวงจ้องไท่สุ้ยอย่างไม่พอใจ มือปราบผู้หนึ่งเดินผ่านตรงหน้าเหยากวง นางจึงเรียกเขาไว้ “นี่ เจ้าเห็นต้าหลิ่วของพวกเราหรือไม่”

มือปราบตกตะลึง “พวกเจ้ายังนำสุนัขมาด้วยหรือ”

ไท่สุ้ยหัวเราะคลุ้มคลั่ง “ฮ่าๆๆ...”

เหยากวงบอกอย่างไม่สบอารมณ์ “มิใช่สุนัข เป็นจิ้งจอกบ้ากามตัวหนึ่ง!”

มือปราบยิ่งงุนงง “หา?”

ไท่สุ้ยหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน “ฮ่าๆ ต้าหลิ่วเป็น... ฮ่าๆ... คนของหน่วยดาวพิฆาต สวมชุดเครื่องแบบเหมือนพวกเรา”

มือปราบเข้าใจทันที “อ้อ เจ้าหมายถึงคนผู้นั้นหรือ อยู่อุทยานด้านหลังโน่น”

เหยากวงและไท่สุ้ยสบตากัน เดินไปทางอุทยานด้านหลัง

 

ทั้งคู่เดินมาถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของสตรีกลุ่มหนึ่ง

เหยากวงดึงรั้งไท่สุ้ยไว้ ทั้งคู่ชะงักฝีเท้าลง หลบหลังต้นไม้ลอบมองไปทางต้นเสียง เห็นเพียงในศาลาคลายร้อน ข้างกายหลิ่วสุยเฟิงมีสาวใช้เจ็ดแปดคน บ้างยืนบ้างนั่งห้อมล้อมเขาอยู่

หลิ่วสุยเฟิงยืนอยู่กลางศาลาสนทนาพาทีกับพวกนาง พักหนึ่งตบแผ่นหลังแม่นางคนหนึ่งเป็นทำนองปลอบใจ อีกพักหนึ่งก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากชายแขนเสื้อช่วยเช็ดน้ำตาให้แม่นางอีกคนอย่างอ่อนโยน

ไท่สุ้ยอดหัวเราะมิได้ “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง เป็นจิ้งจอกบ้ากามจริงเสียด้วย”

เพลิงโทสะเหยากวงลุกโชนสามจั้ง ก่อนวิ่งเข้าไปผลักแม่นางที่กำลังสะอึกสะอื้นออก ตบโต๊ะอย่างโมโหเดือดดาล ชี้หลิ่วสุยเฟิงแล้วด่า “งามหน้านักคนแซ่หลิ่ว พวกเราสองคนง่วนปฏิบัติหน้าที่ทั้งภายในภายนอก น้ำลายล้วนแห้งสิ้นแล้ว ท่านกลับเอ้อระเหยลอยชายสบายเหลือเกิน”

หลิ่วสุยเฟิงเห็นว่าเป็นเหยากวงและไท่สุ้ย ไม่เพียงไม่มีท่าทีละอายแก่ใจ กลับยิ้มแย้มอย่างเบิกบานเป็นพิเศษ แล้วร้องทัก “พวกเจ้ามาแล้ว ตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วหรือ”

ไท่สุ้ยเดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามา ส่ายหน้าอย่างไม่คิดเช่นนั้น “เหลาหลิ่ว167 มิใช่พี่น้องต่อว่าท่าน วันนี้ท่านออกจะเกินไปอย่างแท้จริง ตอนนี้แล้วยังไม่ลืมเด็ดบุปผาเย้ายอดหญ้า ท่านไม่สมควรเรียกขานว่าหลิ่วสุยเฟิงที่หมายถึงต้นหลิ่วลู่ลม สมควรเรียกว่าหลิ่วสุยเฟิงที่หมายถึงต้นหลิ่วพลิ้วไหวตามผึ้งภมรจึงจะถูก”

หลิ่วสุยเฟิงมีสีหน้าปลาบปลื้ม “ชื่อเล่นของข้าคือผึ้งน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ไท่สุ้ยอึ้งงัน “หา?”

หลิ่วสุยเฟิงยืดตัวขึ้นส่งสัญญาณมือ เชิญบรรดาสาวใช้ให้แยกย้าย ยังคำนับอย่างเกรงอกเกรงใจ รอจนกระทั่งพวกนางแต่ละคนจากไป ถึงได้หมุนตัวกลับมาชี้ที่สมองตนเอง ยิ้มบอกไท่สุ้ย “ลืมไปแล้วหรือว่าข้าสอนเจ้าอย่างไร ตรวจสอบคดีไม่อาจอาศัยกำลังป่าเถื่อน ต้องใช้ตรงนี้”

ไท่สุ้ยมึนงง “ท่านก็กำลังตรวจสอบคดีรึ เช่นนั้นตรวจสอบอันใดได้บ้าง”

หลิ่วสุยเฟิงจงใจโคลงศีรษะ ทำท่าทางลึกลับ “ตรวจสอบได้บางอย่าง แต่ข้าต้องหาคนรับรองให้แน่ชัดเสียก่อน”

เหยากวงโมโห “ท่านหาข้ออ้างชัดๆ พอเห็นสตรีก็เดินไม่ไหว ไม่ได้เรื่อง”

ไท่สุ้ยรีบไกล่เกลี่ย “เอาละๆ ปรองดองเป็นเลิศ ปรองดองเป็นเลิศ”

พูดจบเขาก็เกี่ยวลำคอหลิ่วสุยเฟิง “ในเมื่อคนครบแล้ว พวกเรารีบไปจวนเหยี่ยนเจิ้งเถอะ”

พอได้ฟังหลิ่วสุยเฟิงก็ทำสีหน้าไม่ยินยอม กล่าวอย่างขอไปที “มีพวกเจ้าไป ข้าก็ไม่ต้องไปแล้วกระมัง”

เหยากวงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟขณะชี้เขา “ท่าน...!”

หลิ่วสุยเฟิงหยิบพัดจีบออกจากหลังเอว คลี่ออกด้วยมาดสง่างาม “พวกเจ้าตรวจสอบที่จวนของเหยี่ยนเจิ้งเถอะ เมื่อครู่มีแม่นางชุนเหมย ข้ายังมิได้สอบถาม ข้าไปเสาะหาตัวเพื่อสนทนากับนาง” เอ่ยประโยคนี้จบโดยไม่ใส่ใจสีหน้าโมโหของเหยากวง หลิ่วสุยเฟิงก็เดินส่ายอาดๆ จากไป

เหยากวงโมโหจนสะบัดแขนเสื้อ หันขวับจากไป ไท่สุ้ยจึงรีบติดตาม

 

ดวงอาทิตย์จ้ากระจ่างกลางฟ้า ลมแผ่วพลิ้วกรูปะทะใบหน้า

เมืองไคเฟิงนับได้ว่าเป็นเมืองใหญ่สุด ประชากรเฉียดร้อยหมื่น ทุกยามตรงหัวมุมถนนหรือปลายซอยล้วนบังเกิดเรื่องราวเล็กบ้างใหญ่บ้าง

บางเรื่องราวนั้นหวานเชื่อม บางเรื่องราวน่าโศกสลด บางเรื่องราวทำให้ผู้คนจิตใจฮึกเหิม และบางเรื่องราวทำให้ผู้คนใฝ่ฝันหา...

บางคนทุ่มเทเพื่อชาติเพื่อประชาแทบล้มประดาตายเฉกเช่นโค่วจุ่น

บางคนวางแผนเพื่อความมั่งมีรุ่งเรืองของตนเฉกเช่นเต๋อเมี่ยว

บางคนลำบากเพื่อคุณธรรมความถูกต้องในจิตใจและหน้าที่รับผิดชอบเฉกเช่นหน่วยดาวพิฆาต

ทว่าในตรอกเงียบสงบครึ้มเย็นแห่งนี้ ในมุมหนึ่งที่ไม่สะดุดตา สองหนุ่มสาวกำลังกล่าวลากันอย่างอาลัยอาวรณ์

หน้าประตูร้านของเมิ่งตง ไคหยางหอบกล่องบรรจุชิ้นส่วนและม้วนภาพวาด สองคนสบตากันแล้วนิ่งเงียบ

ผ่านไปสักพักหนึ่ง ไคหยางถึงก้มศีรษะลง ปิดบังความอาวรณ์ในดวงตา เอ่ยเสียงเบา “ข้าไปแล้ว”

เมิ่งตงพยักหน้าเงียบๆ

ไคหยางก้มหน้าก้มตา หมุนตัวคิดจากไป ทันใดนั้นเมิ่งตงก็เอ่ยปาก

“ข้า... ก็จะไปแล้ว”

ไคหยางหมุนตัวกลับมาร้องถามอย่างแปลกใจ “จะกลับบ้านเกิดแล้วหรือ”

เมิ่งตงพยักหน้าเงียบๆ อีกครั้ง

ไคหยางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เมื่อครู่ท่านกล่าวว่า หากข้าพอใจในผลงานชิ้นแรกของท่าน ก็ให้มาอุดหนุนร้านเล็กของท่านบ่อยๆ”

เมิ่งตงมองนาง ไม่พูดไม่จา

ไคหยางออกแรงพยักหน้าอย่างเชื่องช้า “ข้าพอใจมาก!”

ดวงตาของเมิ่งตงสาดประกายแวววาว จ้องไคหยางเนิ่นนาน เอ่ยแผ่วเบา “เช่นนั้น... ข้าต้องกลับมาแน่นอน!”

ไคหยางแย้มยิ้ม หอบกล่องถอยหลังช้าๆ ไปหลายก้าว จดจ้องดวงตาเมิ่งตงพลางเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้น... ข้ารอท่านกลับมา!”

 

เหยากวงเดินกระฟัดกระเฟียดอยู่บนถนน ไท่สุ้ยตามติดอยู่ด้านหลัง เอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยสีหน้าระรื่น “โธ่เอ๊ย สีฟู่ที่ประเสริฐของข้า เจ้าอย่าได้โมโหไป หลิ่วสุยเฟิงดีร้ายก็อาวุโสกว่าพวกเรา ข้าคิดว่าเขากระทำเช่นนี้อาจมีเหตุผลของเขา”

เหยากวงชะงักกึก หมุนตัวมาตวาดแว้ดใส่ไท่สุ้ย “เหตุผลอันใด! เขาผู้นี้เดิมทีก็ชอบเด็ดบุปผาเย้ายอดหญ้า อาศัยว่าตนอาวุโสกว่า เห็นข้าเป็นเด็กน้อยไปเสียทุกเรื่อง พวกเราคราวนี้ต้องทำคดีให้สำเร็จลุล่วงตามลำพังให้ได้ ให้เขาทึ่งในตัวพวกเรา”

ไท่สุ้ยเอ่ยอย่างขอไปที “ได้ๆ”

ขณะกำลังสนทนากัน ไท่สุ้ยพลันได้ยินเสียงเรียกอย่างประหลาดใจที่ด้านหลัง “เหยากวง ไท่สุ้ย พวกเจ้าไฉนมาที่นี่”

ทั้งคู่หมุนตัวกลับไปเห็นไคหยางยืนอยู่ด้านหลัง ต่างก็รู้สึกแปลกใจยิ่ง

ในมือไคหยางหอบกล่องบรรจุชิ้นส่วนและม้วนภาพ น้อยครั้งนักจะได้เห็นนางในชุดเครื่องแบบ ดูแล้วขาดความนุ่มนวลไปบ้าง แต่องอาจขึ้นมาก แต่ไม่อาจไม่กล่าวว่าชุดเครื่องแบบของหน่วยดาวพิฆาตนั้นงดงามอย่างแท้จริง ขับรูปร่างที่สูงโปร่งของไคหยางให้ดูอรชรอ่อนช้อยยิ่งขึ้น

ทันทีที่เห็นไคหยาง ดวงตาของไท่สุ้ยก็สว่างเป็นประกาย ประหนึ่งมีดวงดารากะพริบระยิบระยับ

ไคหยางมองทั้งคู่แล้วก็ถามอย่างฉงนสงสัย “พวกเจ้ามิใช่ไปทำคดีหรอกหรือ เหวินฉวี่เล่า”

เหยากวงหายใจฮึดฮัดจะเอ่ยฟ้อง ไท่สุ้ยดึงรั้งนางอย่างแรง ยิ้มบอกไคหยาง “พวกเราเพิ่งออกจากจวนตระกูลหยาง ตอนนี้จะไปสืบหาเบาะแสอีกที่หนึ่ง ต้าหลิ่วค้นพบอย่างอื่น ดังนั้นพวกเราจึงแยกกำลังเป็นสองสาย”

ไคหยางพยักหน้า ไท่สุ้ยมองท่าทางของไคหยางก็ถามอย่างใคร่รู้ “พี่ไคหยาง ไฉนท่านมาอยู่ที่นี่ผู้เดียว”

ไคหยางยิ้มตอบ “ข้าไปถนนนายช่าง รับชิ้นส่วนที่สั่งทำเมื่อคราวก่อนกลับมา”

ไท่สุ้ยพอได้ฟังก็รีบขันอาสา “ข้าช่วยท่านนำกลับไป” พูดพลางก็จะเข้าไปประจบเอาใจ

เหยากวงถลึงตาใส่ไท่สุ้ยครั้งหนึ่ง ร้องเรียกอย่างโมโห “ไท่สุ้ย! เจ้าไม่ต้องทำคดีแล้วหรือ”

ไท่สุ้ยปรายตามองนางอย่างรำคาญใจ “โธ่เอ๋ย เหยี่ยนเจิ้งไม่หนีไปไหน ข้าช่วยพี่ไคหยางส่งของกลับไปหน่วยดาวพิฆาตก่อนก็ไม่สาย!”

เหยากวงเดือดถึงขีดสุด “เจ้าคนหนึ่ง ต้าหลิ่วคนหนึ่ง ต่างไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองทั้งคู่” นางหายใจฮึดฮัดบอกไคหยาง “พี่ไคหยาง ข้าไปก่อนแล้ว!”

เหยากวงหันหน้าได้ก็จากไป ไคหยางปิดปากแล้วยิ้ม ก่อนเอ่ยกับไท่สุ้ย “เหยากวงขณะปฏิบัติงานยังคงมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง เจ้าอย่าได้แพ้นางเชียว”

ไท่สุ้ยเอ่ยอย่างลังเล “เช่นนั้นท่าน...”

ไคหยางยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ชิ้นส่วนพวกนี้แค่เพียงละเอียดซับซ้อน ไม่หนักนัก ไม่ต้องกังวล”

ไท่สุ้ยพยักหน้า หันกลับไปมองเหยากวงแวบหนึ่ง เห็นนางเดินไปไกลแล้ว จึงรีบกล่าว “อ้อ ดี! เช่นนั้น... ข้าไปก่อนแล้ว”

ไท่สุ้ยเดินถอยหลังหลายก้าว โบกมือให้ไคหยาง ก่อนหมุนตัวเร่งฝีเท้าวิ่งตามเหยากวงซึ่งเดินออกไปไกล

ไคหยางหลุดหัวเราะพลางส่ายหน้า หอบข้าวของเดินเชื่องช้าไปทางหน่วยดาวพิฆาต

 

หลังไท่สุ้ยไล่กวดมาทันเหยากวงแล้ว ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าถูกตำหนิสั่งสอนยกหนึ่งทันที จนเหยากวงคลายโทสะแล้ว สองคนก็เดินมาถึงหน้าประตูจวนตระกูลเหยี่ยน กำลังจะเคาะประตู เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเปาเจิ่งและจั่นเจาเดินเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง

ทั้งสี่คนพบกันที่หน้าประตู สองฝ่ายต่างคาดไม่ถึง

ไท่สุ้ยสบตาเหยากวงแวบหนึ่งก่อนชิงเดินเข้าไป ทักทายเปาเจิ่งด้วยรอยยิ้มผิวเผิน “ตุลาการเปา พวกเราช่าง... พบหน้ากันได้ทุกแห่งหนเสียจริง”

เปาเจิ่งมองไท่สุ้ยด้วยสายตาเรียบเฉย ตอบเสียงเฉื่อยเนือย “ทุกคนล้วนกำลังตรวจสอบคดี ต่างหนทาง เป้าหมายเดียวกัน เป็นปกติธรรมดา”

เหยากวงเดินเข้ามาชี้ด่าเปาเจิ่งอย่างโมโห “ท่านเปาหน้าดำ คิดไม่ถึงว่าหน้าดำแล้วใจยิ่งดำ เมื่อครู่พวกเรายังช่วยตะล่อมถามหยางฮูหยินให้ท่าน แต่ผู้ใดจะคาด พอท่านค้นพบบางอย่างก็ทิ้งพวกเราทันที”

เปาเจิ่งเผชิญหน้ากับการต่อว่าของเหยากวงอย่างสุขุม ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ต่างสังกัด คนละหน่วยงาน เดิมทีผู้แซ่เปาก็ไม่มีหน้าที่รายงานพวกท่าน ยิ่งไปกว่านั้นท่านกล่าวว่าร่วมมือในตอนแรกก็แค่เพียงตอนสอบถามหยางฮูหยิน เรื่องหลังจากนั้นพวกเรายังคงต่างคนต่างทำมิใช่หรือ”

เหยากวงโกรธจนพูดไม่ออก “ท่าน...”

ไท่สุ้ยเห็นดังนั้นก็เข้าไปรั้งเหยากวง ยิ้มเย็นชาใส่เปาเจิ่ง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นต่อไปต่างคนต่างอาศัยฝีมือตนเองแล้ว”

เปาเจิ่งพยักหน้า เอ่ยอย่างใจเย็นอย่างยิ่ง “เช่นนี้ดีที่สุด ร้องขอแต่ไม่สมปรารถนา”

เปาเจิ่งและจั่นเจาเดินนำเข้าไปในจวนตระกูลเหยี่ยนก่อน เหยากวงกระทืบเท้าอย่างเดือดดาลอยู่ข้างหลัง ไท่สุ้ยดึงรั้งนางไว้แล้วมองเปาเจิ่ง จิตใจเปี่ยมการต่อสู้ก่อนเอ่ย “ไป! ข้าไม่เชื่อว่าคราวนี้พวกเราจะเอาชนะเขาไม่ได้!”

ไท่สุ้ยและเหยากวงไล่ตามหลังพวกเขาเข้าสู่จวนสกุลเหยี่ยน

เปาเจิ่งกับจั่นเจา เหยากวงกับไท่สุ้ย สองกลุ่มเดินเรียงหน้าหลังตัดลานสวนจวนตระกูลเหยี่ยนโดยมีคนรับใช้นำทาง

เหยากวงเห็นว่าในลานสวนมีรถม้ามากมาย คนรับใช้บางส่วนทยอยยกลังสัมภาระขึ้นรถ นางและไท่สุ้ยต่างสบตากันด้วยความประหลาดใจคราหนึ่ง ไม่เปล่งวาจาสักคำ สาวเท้าไปเบื้องหน้า

เปาเจิ่งเห็นบรรดารถม้ากลางลาน หัวคิ้วก็ขมวดเป็นร่องลึก

ไท่สุ้ยและคนอื่นๆ ถูกพามายังโถงใหญ่ บ่าวในเรือนขานรายงานเสียงดังเข้าไปในโถง

“นายท่าน เปาเจิ่งตุลาการสำนักศาลต้าหลี่ เหยากวงและไท่สุ้ยแห่งหน่วยดาวพิฆาตขอเข้าพบ”

“เชิญพวกเขาเข้ามา” เสียงของเหยี่ยนเจิ้งดังแว่วมาจากด้านใน

คนรับใช้นำทั้งสี่คนเข้าไปในโถงใหญ่ พวกเขาพบว่าภายในนั้นค่อนข้างระเกะระกะ บนพื้นโถงเต็มไปด้วยลังสัมภาระ เหมือนกำลังบรรจุสิ่งของ

เหยี่ยนเจิ้งยืนนิ่งงันข้างลังที่ยังมิได้ตอกตะปู เห็นไท่สุ้ยและคนอื่นๆ เข้ามาก็ยิ้มเล็กน้อย หมุนตัวมามองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าว “หน่วยดาวพิฆาต สำนักศาลต้าหลี่ ไยจูงมือกันมาที่นี่”

เหยากวงคิดปรี่ขึ้นหน้า คิดไม่ถึงว่าเปาเจิ่งชิงลงมือก่อนหนึ่งก้าว ประสานมือคำนับเหยี่ยนเจิ้ง

“เปาเจิ่งตุลาการสำนักศาลต้าหลี่คารวะนายช่างหลวงเหยี่ยน ข้าน้อยมาด้วยเรื่องการตายของหยางต้าฉี ผู้ตรวจสอบสำนักภาษี”

เหยี่ยนเจิ้งได้ฟังคำนี้ก็นิ่งงันอยู่กับที่ด้วยสีหน้าตกตะลึง เอ่ยเสียงสั่น “ท่านว่าอันใดนะ! หยาง... น้องชายผู้ประเสริฐแซ่หยางตายแล้ว?”

ไท่สุ้ยเห็นสถาพจึงชิงขึ้นหน้าหนึ่งก้าว “นายช่างหลวงเหยี่ยนยังไม่ทราบข่าวนี้หรือ”

คำถามออกจากปาก ทุกคนต่างจดจ้องสีหน้าของเหยี่ยนเจิ้ง คิดสังเกตบางอย่างจากปฏิกิริยาตอบสนองของเขา

แต่ที่ทำให้ไท่สุ้ยและคนอื่นๆ ผิดหวังก็คือสีหน้าของเหยี่ยนเจิ้งเป็นปกติยิ่งนัก ตะลึงงันไปพักหนึ่งก่อนส่ายหน้า “เดือนก่อนข้ายื่นฎีกาขอกระดูกฝังบ้านเกิด168 ได้รับพระราชานุญาต เมื่อวานจึงไปจวนตระกูลหยางอำลาน้องหยาง วันนี้ตื่นขึ้นก็จัดเก็บข้าวของสัมภาระ ถึงบัดนี้ยังมิได้ออกไปที่ใด จะรู้ข่าวได้อย่างไร”

เหยี่ยนเจิ้งชะงักไปแล้วถามอย่างร้อนใจ “เมื่อวานน้องหยางยังดีๆ อยู่ ไฉนจึงเสียชีวิตแล้ว”

ทั้งสี่คนต่างสบตากัน ล้วนจับท่าทีของเหยี่ยนเจิ้งไม่แม่นยำ

ทว่าเปาเจิ่งอย่างไรเสียก็หนักแน่น กระแอมเสียงเบาครั้งหนึ่ง “นายช่างหลวงเหยี่ยน พวกเราหาสถานที่สงบเงียบเถอะ”

เหยี่ยนเจิ้งรีบพยักหน้า “ถูกต้องๆ ไป ทุกท่านเชิญที่ห้องตำราของข้า”

 

ภายในห้องตำราของเหยี่ยนเจิ้ง ชั้นวางตำราและชั้นวางสิ่งของส่วนมากล้วนว่างเปล่า ภาพแขวนบนผนังก็กระจัดกระจายไม่สมบูรณ์ เด่นชัดว่าเก็บไปแล้ว

“ข้าขอเกษียณจะกลับบ้านเกิดแล้ว ในบ้านรกรุงรังสักหน่อย ขออย่าถือสา” เหยี่ยนเจิ้งประสานมือคำนับ

ทั้งสี่คนรีบคำนับตอบ “มิบังอาจ มิบังอาจ”

หลังเอ่ยเป็นพิธีก็เข้าสู่ประเด็นหลัก ยังคงเป็นเปาเจิ่งที่ชิงสอบถามก่อน “นายช่างหลวงเหยี่ยน ท่านเป็นสหายสนิทของผู้ตรวจสอบหยาง และเป็นคนสุดท้ายที่พบเขาก่อนตาย พวกเราจึงมาสอบถามถึงที่ อยากทำความเข้าใจสภาพการณ์ของผู้ตรวจสอบหยางอย่างเช่น... เขามีศัตรูคู่แค้นหรือไม่”

เหยี่ยนเจิ้งครุ่นคิดหน้าดำคร่ำเคร่งครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าตอบ “น้องหยางเป็นคนมีอารมณ์ขัน ยึดมั่นสัจจะเหนือทรัพย์สินเงินทอง ความสัมพันธ์กับสหายร่วมงานล้วนดีเป็นที่ยิ่ง แม้มีความร้าวฉานกับผู้อื่น ก็ไม่ถึงขั้นเป็นความแค้นสังหารคน”

เหยากวงพยักหน้า “ฟังคนในจวนตระกูลหยางเล่าว่า ระยะนี้อารมณ์ของผู้ตรวจสอบหยางไม่ดีนัก แต่บ่าวไพร่ไม่กล้าสอบถาม หยางฮูหยินก็ไม่รู้สาเหตุ นายช่างหลวงเหยี่ยนพอทราบหรือไม่”

เหยี่ยนเจิ้งหน้านิ่วคิ้วขมวด นิ่งเงียบไม่พูดจา

เปาเจิ่งเห็นดังนั้นก็รีบสอบถาม “ท่านมีเรื่องไม่สะดวกบอกกล่าวผู้อื่นหรือ”

เหยี่ยนเจิ้งนั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าท่าทางสลับซับซ้อน สองตาเหม่อลอย เหมือนกำลังหวนรำลึกบางอย่าง อีกนานหลังจากนั้นเขาถึงถอนหายใจเฮือกก่อนกล่าว “ระยะนี้น้องหยางมีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่จริง...”

ดวงตาทั้งสี่คนสาดประกายจ้องมองเขา ฟังเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

 

คืนที่หยางต้าฉีเสียชีวิต เหยี่ยนเจิ้งนั่งดื่มกับหยางต้าฉีในห้องตำรา บนโต๊ะมีกับแกล้มหลายจาน หยางต้าฉีเด่นชัดว่าเมามายแล้ว หัวหูแดงก่ำก่นด่า “เหยียนสื้อเหวยสุนัขบ้าตัวนั้นกัดข้าไม่ปล่อยทั้งวัน! ไม่เพียงปล่อยข่าวลือไปทั่ว ยังลอบตรวจสอบข้าลับหลัง”

เหยี่ยนเจิ้งกดมือของหยางต้าฉีไว้ แย่งจอกสุราของเขามา เอ่ยปลอบใจ “น้องหยาง เจ้าดื่มมากแล้ว คนถ่อยพรรค์นั้นเจ้าไปคิดเล็กคิดน้อยอันใดกับเขา ร่างตรงไม่กลัวเงาเอน ถือว่าเขาผายลมก็ผ่านไปแล้ว”

หยางต้าฉีตบโต๊ะอย่างแค้นเคือง เอ่ยอย่างโมโห “ผายลมรึ! หากเขาผายลมจริง ข้าก็ดีแล้ว อย่างมากเหม็นไปครู่เดียว โบกๆ มือก็หายไปแล้ว แต่เขามิใช่นี่สิ!”

หยางต้าฉีคว้ากาสุรารินหกเลอะไปทั่ว เหยี่ยนเจิ้งห้ามไม่ทัน

หยางต้าฉีวางกาสุราลงบนโต๊ะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “เขาเขียนฎีกาลับฟ้องร้องข้าให้สำนักตรวจการ ยังแล่นไปฟ้องปรักปรำข้ากับตาเฒ่าดักดานแซ่โค่ว ต่อหน้าสหายร่วมงานแพร่ข่าวที่ไม่เป็นผลดีต่อข้า เจ้าคนถ่อยผู้นี้!”

เหยี่ยนเจิ้งกดตัวหยางต้าฉีที่เมากรึ่มลงกับเก้าอี้ ยิ้มแล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมเขา “อย่าโมโห อย่าโมโห คนพรรค์นั้นก็แค่ดีแต่ปาก ทำการใหญ่ไม่สำเร็จ เจ้าอย่าไปใส่ใจ อย่าสนใจ”

 

เหยี่ยนเจิ้งเล่าคำต่อว่าต่อขานของหยางต้าฉีจบก็ถอนหายใจ “เมื่อวานที่สนทนากับน้องหยาง หลักๆ แล้วก็เป็นเรื่องเหล่านี้ ข้ารู้ดีว่าเอ่ยเรื่องนี้เอาตอนนี้ทำให้พวกท่านเข้าใจเหยียนสื้อเหวยผิด อีกทั้งยังทำให้ผู้คนคิดว่าน้องหยางนินทาสหายร่วมงานลับหลัง มิใช่การกระทำของวิญญูชน กระนั้นเรื่องถึงขั้นนี้ก็ไม่อาจไม่พูด”

เปาเจิ่งนั่งไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้นเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง เหยากวงถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นสนใจ “ใต้เท้าเหยี่ยนวางใจ พวกเราสืบคดีอาศัยหลักฐานที่แท้จริง ไม่สงสัยผู้ใดโดยง่าย ระหว่างหยางต้าฉีกับเหยียนสื้อเหวยมีบุญคุณความแค้นใดหรือไม่”

เหยี่ยนเจิ้งลูบเครา ยิ้มขมขื่นก่อนกล่าวอย่างจนใจ “ความขัดแย้งของพวกเขาทุกคนล้วนล่วงรู้ กล่าวโดยละเอียดกลับเป็นเพียงเหยียนสื้อเหวยจงใจหาเรื่องโดยไร้เหตุผลเท่านั้น”

เหยากวงถามอย่างสนอกสนใจ “หือ? ยินดีฟังรายละเอียด”

เหยี่ยนเจิ้งค่อยๆ เล่า “น้องหยางเดิมเป็นสมุห์บัญชีสำนักภาษี เหยียนสื้อเหวยก็เช่นกัน เอ่ยถึงประสบการณ์ เหยียนสื้อเหวยมีอาวุโสกว่า ตอนนั้นฝ่าบาททรงสร้างตำหนักอวี้ชิง เพราะน้องหยางจัดงบประมาณมีความชอบ จึงได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจสอบสำนักภาษี ต่อมารับผิดชอบการเบิกจ่ายทุกอย่างที่เกี่ยวกับการบูรณะซ่อมแซมพระตำหนักและถนนหนทาง เมื่อครั้งฝ่าบาททรงแปรพระราชฐานไปนมัสการที่เขาไท่ซัน ยิ่งได้รับความสำคัญมากขึ้น...”

เขาเล่าเรื่องการเมือง เหยากวงก็เบื่อหน่ายอย่างรวดเร็ว หันหน้าไปมองไท่สุ้ยแวบหนึ่ง ต้องประหลาดใจที่พบว่าจากท่าทีไม่สนใจไยดีเมื่อสักครู่ของไท่สุ้ยกลายเป็นตั้งอกตั้งใจฟัง ดังนั้นจึงหันหน้ากลับมา ฝืนทนฟังต่อไปแม้จะเอือมระอา

“เหยียนสื้อเหวยคิดว่าตนมีอาวุโสกว่าน้องหยาง แต่ถูกน้องหยางข้ามหน้าข้ามตา จึงคิดแค้นในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มักปล่อยข่าวลือใส่ไคล้ ต้นปีมีจดหมายเวียน น้องหยางจะได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้ว่าการสำนักภาษี เหยียนสื้อเหวยก็ยิ่งริษยาตาร้อนหนักข้อขึ้น”

เปาเจิ่งถาม “เช่นนั้นท่านคิดว่าเหยียนสื้อเหวยอาจเป็นคนร้ายหรือไม่”

เหยี่ยนเจิ้งส่ายหน้า “เป็นไปได้อย่างไร ตอนนี้ผู้ที่ถูกตรวจสอบโดนใส่ความจนกลัดกลุ้มสุดทานทนก็คือน้องหยาง หากกล่าวว่าน้องหยางโกรธแค้นคิดสังหารเหยียนสื้อเหวยยังพอเป็นไปได้ เขาจะลงมือกับน้องหยางได้อย่างไร”

ไท่สุ้ยเอ่ยแทรก “นั่นก็ไม่แน่ หากเขาคิดว่ายื่นฎีกาฟ้องร้องและปล่อยข่าวลือก็ยังทำอันใดอีกฝ่ายไม่ได้ จึงบันดาลโทสะสังหารคนเล่า”

เหยี่ยนเจิ้งตะลึงงัน เปาเจิ่งมองไท่สุ้ยคล้ายกำลังขบคิดบางประการ เหยากวงพยักหน้าเป็นระยะ เผยให้เห็นสีหน้าชื่นชม

เปาเจิ่งคิดแล้วก็ถามเหยี่ยนเจิ้ง “ตามความเห็นของท่าน ฎีกาฟ้องร้องที่เหยียนสื้อเหวยร้องเรียนผู้ตรวจสอบหยางล้วนปั้นน้ำเป็นตัวหรือ”

เหยี่ยนเจิ้งมีสีหน้าเป็นการเป็นงาน “นั่นย่อมแน่นอน น้องหยางมีนิสัยใจคอซื่อสัตย์สุจริต จัดทำบัญชีกระจ่างชัดแจ้งยิ่ง เขาจะโกงเข้าพกเข้าห่อตนเองได้อย่างไร...”

ทางนี้เขาสรรเสริญความประพฤติของหยางต้าฉี ทางนั้นไท่สุ้ยเริ่มชะเง้อตะวันออกชะแง้ตะวันตก ทันใดนั้นเหมือนเขาเห็นบางอย่าง ลุกพรวดด้วยสีหน้าฉงนสงสัยก่อนเดินเข้าไป เหยากวงเกรงว่าเขาไร้มารยาท รีบยื่นแขนดึงชายเสื้อเขา แต่รั้งไว้ไม่อยู่ ได้แต่ตาถลนจ้องแผ่นหลังเขา

เหยี่ยนเจิ้งกลับมิได้มองไท่สุ้ย ยังคงสนทนากับเปาเจิ่ง “น้องหยางเป็นคนมีอุปนิสัยดี อีกทั้งคำนึงถึงชื่อเสียง แม้ไม่พอใจกับการกลั่นแกล้งใส่ร้ายของเหยียนสื้อเหวย แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คงยื่นฎีกาต่อฝ่าบาทฟ้องคนแซ่เหยียนสักฉบับแล้ว”

ไท่สุ้ยเตร่มาถึงมุมหนึ่งของห้องตำรา อาจเป็นเพราะความบังเอิญ มุมห้องตำราจวนเหยี่ยนเจิ้งก็มีชั้นวางของแบบโบราณคล้ายคลึงกับจวนของหยางต้าฉี เพียงแต่ของเหยี่ยนเจิ้งอาจจะค่อนข้างข้นแค้น ไร้ซึ่งศิลาหยกล้ำค่าและไร้ซึ่งกระถางไม้แคระ มีเพียงตำราจัดวางเต็มชั้น และสิบแปดอรหันต์วางที่มุมเหมือนจวนของหยางต้าฉีอย่างไรอย่างนั้น

ไท่สุ้ยเดินเข้าไปอย่างมั่นใจ ยกขึ้นมาตัวหนึ่ง มองอย่างฉงนสงสัยสักครู่ พลันหันหน้าไปบอกเหยี่ยนเจิ้ง “นายช่างหลวงเหยี่ยน ในห้องตำราของหยางต้าฉีก็มีหุ่นไม้ชุดนี้”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น