4

โองการสวรรค์


สิบเอ็ด

โองการสวรรค์

 

“นายช่างหลวงเหยี่ยน ในห้องตำราของหยางต้าฉีก็มีหุ่นไม้ชุดนี้” เสียงของไท่สุ้ยแว่วมา

เหยี่ยนเจิ้งตะลึงวูบ หยุดคำสนทนา เงยหน้ามองหุ่นไม้ในมือเขา สีหน้าคล้ายคิดคำนึงถึงความหลัง

เขาลุกขึ้นเดินเชื่องช้าไปข้างตัวไท่สุ้ย รับหุ่นไม้สิบแปดอรหันต์มา ลูบคลำแผ่วเบาแล้วกล่าว “ท่านดูไม่ผิด นี่เหมือนสิบแปดอรหันต์ในห้องตำราน้องหยาง”

เหยากวงเดินเข้าไป เห็นหุ่นไม้ที่แกะอย่างประณีต จึงถามอย่างสนอกสนใจ “หุ่นไม้นี้แกะสลักอย่างวิจิตร ท่านซื้อหาจากที่ใดหรือ”

เหยี่ยนเจิ้งส่ายหน้า จ้องหุ่นไม้แล้วตอบ “นี่เป็นน้องหยางทำเองกับมือ”

เปาเจิ่งเอ่ยอย่างแปลกใจ “ใต้เท้าหยางมีความชอบนี้ด้วยหรือ”

ใบหน้าของเหยี่ยนเจิ้งผุดรอยยิ้มบางๆ ใช้แขนเสื้อเช็ดหุ่นไม้ จากนั้นก็วางมันกลับที่เดิมอย่างทะนุถนอม “น้องหยางชอบการแกะสลัก แต่ฝีมือและผลงานแปลกใหม่ แต่ไรมาไม่เคยเป็นที่ชื่นชอบของบัณฑิตขุนนาง ในฐานะผู้ศึกษาตำรา เขาจึงไม่เปิดเผย เพียงคอยศึกษาพิจารณาเป็นการส่วนตัวกับข้า ข้าเองถือกำเนิดในครอบครัวช่าง ขอบคุณที่เขาไม่รังกียจ เห็นเป็นสหายรู้ใจ จึงสอนจนหมดไส้หมดพุง สิบแปดอรหันต์นี้เป็นน้องหยางมอบให้ข้า ชุดในห้องตำราน้องหยาง เป็นข้ามอบให้เขา เพื่อรำลึกถึงกัน”

เหยากวงอุทานอย่างชื่นชม “ที่แท้นี่เป็นอนุสรณ์แห่งมิตรภาพของใต้เท้าทั้งสอง มิน่าเล่าผู้ตรวจสอบหยางถึงวางมันไว้ในที่สะดุดตาที่สุด”

“ยิ้มเมื่อพบหน้า จากลาน้ำตานอง” เหยี่ยนเจิ้งรำลึกความหลังเมื่อมองสิบแปดอรหันต์ในมือ ก่อนรำพึงรำพัน “นั่นสิ เพียงแต่เสียดาย นับจากนี้ไปเหลือเพียงข้าที่เฝ้ารักษาสิ่งของเหล่านี้ เห็นวัตถุระลึกถึงบุคคลแล้ว”

ไท่สุ้ย เหยากวง เปาเจิ่ง และจั่นเจา ต่างยืนอยู่ตรงนั้น มองรอยยิ้มฝาดเฝื่อนของเหยี่ยนเจิ้ง ต่างก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา

 

สำนักภาษี สำนักจัดเก็บอากรเกลือและเหล็ก และสำนักทะเบียนราษฎร์ เรียกรวมว่าสามสำนัก ควบคุมรายรับรายจ่ายงบประมาณแผ่นดิน มากอำนาจบารมี หน่วยงานอื่นใดไม่อาจเทียบ

ยามเว่ย169 เพิ่งล่วงผ่าน เจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบหลายนายกำลังสนทนายิ้มหัวกันในห้องฝ่ายบัญชี คนที่มีรูปร่างผอมกะหร่องราวกับโครงกระดูกเดินเข้ามา บรรยากาศคึกคักเมื่อสักครู่เงียบกริบฉับพลัน มีคนมองเขาอย่างระแวดระวัง

บุคคลผู้นี้มิใช่อื่นไกล เป็นเหยียนสื้อเหวย คนถ่อยสับปลับกลอกกลิ้งที่เหยี่ยนเจิ้งกล่าวถึง

ทันทีที่เขาเข้ามาในห้องพบว่าบรรยากาศแปลกพิกล แต่ก็ไม่คิดมาก กวาดตามองปราดหนึ่งแล้วจึงนั่งลงยังที่นั่งตนเอง

เขาเพิ่งนั่งลง คนอื่นก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา

“พวกเจ้าดู หยางต้าฉีตายแล้ว คราวนี้เขาสมปรารถนาแล้ว”

“นั่นน่ะสิ” มีคนมองเขาอย่างดูแคลน

“ไม่แน่เรื่องนี้อาจเป็นฝีมือเขา” ยิ่งมีคนประชดประชันแดกดัน

แม้คนเหล่านี้ซุบซิบเสียงเบา แต่ห้องก็ใหญ่เพียงเท่านั้น ไหนเลยเหยียนสื้อเหวยจะไม่ได้ยิน

เหยียนสื้อเหวยได้ฟังก็ตะลึงวูบ ก่อนตกใจลุกขึ้นพรวด ถามเจ้าหน้าที่ด้านข้างทันที “หยางต้าฉี...”

เพิ่งเอ่ยถึงชื่อ เขาก็เสียงสั่น “เขา... ตายแล้ว? ตายอย่างไร”

สหายร่วมงานมองเขาเป็นตาเดียวแวบหนึ่ง ยิ้มผิวเผินแล้วถาม “นี่ข้าเองก็ไม่กระจ่าง หรือว่าพี่เหยียนก็ไม่กระจ่าง”

รูม่านตาเหยียนสื้อเหวยหดลง หันหน้าไปมองเจ้าหน้าที่หลายนายที่กระซิบกระซาบกันเมื่อครู่ ก็เห็นหลายคนนั้นมองเขาด้วยแววตาเป็นศัตรู อดสะท้านวูบในใจมิได้ เขานั่งลงอย่างมึนงง นั่งจ้องหน้าโต๊ะว่างเปล่าครู่หนึ่ง ถึงได้ลูบใบหน้าเตรียมทำงาน กลับพบว่าบนโต๊ะตนเองไม่มีสมุดบัญชี

เขาหันหน้าไปมองก็เห็นโต๊ะเจ้าหน้าที่ตรงกันข้ามมีสมุดบัญชีกองเป็นภูเขาเลากา จึงเดินไปหยิบมาเล่มหนึ่ง กลับถูกคนกดมือไว้ ถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “เจ้าคิดทำอันใดกัน”

เหยียนสื้อเหวยมองซ้ายมองขวา คนที่ถูกเขามองล้วนก้มหน้างุด เขาได้แต่ฝืนตอบ “ลงรายการบัญชี”

เจ้าหน้าที่โต๊ะตรงกันข้ามมีใบหน้าอวบกลม ปกติมักสุภาพอ่อนโยน บัดนี้ในสายตาเหยียนสื้อเหวยพลันกลายเป็นปากคอเราะรายและใจจืดใจดำ

เขากดมือของเหยียนสื้อเหวย แย่งสมุดบัญชีกลับไปอย่างเชื่องช้าทว่ามุ่งมั่น ใบหน้าแฝงรอยยิ้ม ปากกลับเอ่ยน้ำเสียงแปลกพิกล “ไม่ต้องแล้ว บัญชีเหล่านี้ข้าจัดการแต่ผู้เดียวก็ได้ หากจัดการสองคน ข้าเกรงว่าจะมีบางแห่งต่อกันไม่ติด”

เจ้าหน้าที่รอบข้างส่งเสียงหัวเราะเยาะ แต่ละคนส่งสายตาดูถูก กระทั่งการปิดบังอำพรางอย่างก่อนหน้าก็คร้านจะกระทำแล้ว

เหยียนสื้อเหวยกวาดตามองรอบด้าน ในใจเย็นสะท้านสิ้นแล้ว ไม่พูดมาก หมุนตัวจากไปเงียบๆ มิผิด เขาประหวั่นพรั่นพรึง การถูกกีดกันและโดดเดี่ยวเช่นนี้นับได้ว่าเป็นวิธีการต่อสู้ที่บรรดาขุนนางบุ๋นชำนาญที่สุด สังหารคนด้วยดาบอ่อน170 ไม่เห็นโลหิต แต่ถึงแก่ชีวิต!

 

จวนตระกูลเหยี่ยน เหยี่ยนเจิ้งส่งหลายคนออกจากประตู

เปาเจิ่งประสานมือคำนับเหยี่ยนเจิ้ง “มิบังอาจรบกวนใต้เท้าส่งไกล”

“เหอะๆ ข้าขอลากลับไปใช้ชีวิตวัยชราที่บ้านเกิด ไม่นับเป็นใต้เท้าแล้ว” เหยี่ยนเจิ้งส่ายหน้า ยิ้มพลางคำนับตอบ

“ที่ไหนได้ๆ ใต้เท้าโปรดชะงักเท้า ข้าขออำลา!” เปาเจิ่งกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มิได้อยู่ในฐานะขุนนาง คำเรียกขานตนเองจึงเปลี่ยนไป จาก ‘ข้าน้อย’ เป็น ‘ข้า’ นี่มิใช่เพราะเขามองคนก่อนวางจานกับแกล้ม171 หรืออุปนิสัยไม่ดี แต่เป็นกฎระเบียบของราชสำนักอย่างแท้จริง ไม่อาจไม่กระทำเช่นนี้

อีกทางหนึ่งเหยากวงและไท่สุ้ยก็ประสานมือกล่าวอำลา “พวกข้าขออำลา”

เหยี่ยนเจิ้งพยักหน้า มองส่งพวกเขาหมุนตัวจากไป

 

ภายในลานที่ทำการสำนักภาษี เจ้าหน้าที่เสมียนหลายนายยืนคุยยิ้มหัวกันอยู่ใต้ระเบียง เหยียนสื้อเหวยที่รู้สึกหนักอึ้งเดินผ่านมา พวกเขาเห็นเหยียนสื้อเหวยเดินมา ต่างก็ขยิบตาส่งสัญญาณ แยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว เหมือนเห็นเทพเจ้าโรคห่า ภาพฉากนี้เหยียนสื้อเหวยเห็นตำตาจึงชะงักฝีเท้า ยืนนิ่งอยู่กับที่ครึ่งค่อนขณะ ใบหน้าบางครั้งก็เคืองขุ่น บางครั้งก็ไม่ยอมจำนน แต่สุดท้ายได้แต่ยิ้มขื่นอย่างเย้ยหยันตนเอง

ภายในห้องฝ่ายบัญชี เจ้าหน้าที่ต่างง่วนคิดบัญชี ยุ่งจนหูดับตับไหม้

ตอนนี้เองเปาเจิ่งเลิกม่านเดินเข้ามา จั่นเจาตามติดอยู่ด้านหลัง ไท่สุ้ยและเหยากวงก็ตามมาด้วย

เข้ามาในห้องแล้วก็ยืนอยู่ครู่หนึ่ง เปาเจิ่งเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจตนก็หรี่ตาลงแต่ไม่ได้ร้อนใจ หมุนตัวเดินไปยังตำแหน่งที่ใกล้ประตูมากที่สุด ประสานมือคำนับสอบถามเจ้าหน้าที่หนุ่มซึ่งก้มหน้าก้มตาคิดบัญชี

“ขอสอบถาม สมุห์บัญชีเหยียนสื้อเหวยอยู่หรือไม่”

เจ้าหน้าที่ซึ่งใบหน้าจมอยู่กับสมุดบัญชีเงยหน้าขึ้น กวาดตามองเปาเจิ่งแวบหนึ่ง ถามอย่างรำคาญใจ “เจ้าเป็นผู้ใด หาเขามีเรื่องอันใด”

“ข้าคือเปาเจิ่ง ตุลาการสำนักศาลต้าหลี่ มาเพื่อสอบถามสมุห์บัญชีเหยียนสื้อเหวยเป็นการเฉพาะ”

เจ้าหน้าที่มองเปาเจิ่งอย่างตื่นตะลึง “สำนักศาลต้าหลี่? พวกเจ้าตามหาเหยียนสื้อเหวยด้วยเรื่องใด”

เหยากวงตอบอย่างเหลืออด “มาด้วยเรื่องการตายของหยางต้าฉี” พูดจบนางก็มองซ้ายขวาพร้อมกับตะโกนลั่น “เหยียนสื้อเหวยเล่า เรียกเขาออกมา!”

เจ้าหน้าที่ในห้องต่างชะงักความเคลื่อนไหวในมือ มองเหยากวงอย่างตกอกตกใจ

เจ้าหน้าที่วัยกลางคนเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองเปาเจิ่งปราดหนึ่ง แล้วมองเครื่องแบบบนร่างเหยากวงและไท่สุ้ย ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “เหยียนสื้อเหวยไม่อยู่”

เห็นสีหน้าเขาไม่พอใจ ไท่สุ้ยจึงรีบดึงรั้งเหยากวง ปรี่ขึ้นหน้าสอบถามอย่างเกรงใจ “เช่นนั้นขอสอบถามว่าเขาอยู่ที่ใด”

เจ้าหน้าที่มองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา ตอบอย่างไม่เกรงใจ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร! พวกเจ้ารีบไปเถอะ อย่ารบกวนการทำงานของพวกเรา”

เปาเจิ่งมองทุกคนในนั้นด้วยสายตาครุ่นคิด เจ้าหน้าที่ทุกนายในนั้นก็มองตอบด้วยสายตาไม่เป็นมิตร วางท่าไม่ต้อนรับ

เปาเจิ่งประสานมือคำนับ เอ่ยอย่างเกรงใจ “เช่นนั้น... รบกวนแล้ว”

พูดจบเปาเจิ่งก็หมุนตัวออกจากประตู จั่นเจาติดตามไป เหยากวงทำหน้าไม่พอใจ ยังคิดเอ่ยกล่าวบางอย่าง แต่ถูกไท่สุ้ยลากออกไป ทั้งสี่คนอยู่หน้าห้องฝ่ายบัญชี เปาเจิ่งชะเง้อมองรอบด้านก่อนเดินไปกลางลานที่ทำการ

เหยากวงยืนใต้ระเบียงโต้เถียงกับไท่สุ้ยอย่างกระวนกระวายใจ “ไฉนเจ้าไม่ให้ข้าลงมือ ดูพวกเขาแต่ละคนแปลกชอบกล พวกเขาควบคุมเรื่องการเงิน มิใช่ว่าข้าติดเงินพวกเขาเสียหน่อย”

ไท่สุ้ยกวาดตามองโดยรอบ เอ่ยเสียงเรียบ “คนเขามิใช่นักโทษของเจ้า ไม่คิดแยแสเจ้า เจ้าทำอันใดได้ นิสัยใจคอของเจ้านี่...”

เอ่ยได้เพียงครึ่งเขาก็หยุดชะงัก หันไปมองเปาเจิ่ง เห็นว่าขณะที่ตนกำลังถกเถียงกับเหยากวง เปาเจิ่งเสาะหาคนงานที่กำลังทำความสะอาดอยู่อีกฟากจนพบ สาวเท้าเดินไปทางนั้น ขณะที่จั่นเจาติดตามอยู่ด้านหลัง

ไท่สุ้ยเผยรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเบากับเหยากวง “เอาอย่างท่านเปาหน้าดำสักหน่อย!”

พูดจบก็ลากเหยากวงข้ามไปประสมโรง ได้ยินเปาเจิ่งกำลังถามคนงานผู้นั้น “อยู่ที่ห้องเก็บของ?”

คนงานพยักหน้าตอบ “ขอรับ! ใต้เท้าเหยียนมอบเงินให้ข้าพวงหนึ่ง สั่งข้าให้ซื้อสุราและเนื้อส่งไป ตอนนี้น่าจะดื่มสุราที่นั่น”

เปาเจิ่งพยักหน้า หยิบเหรียญทองแดงหลายอันให้คนงานแล้วกล่าว “รบกวนแล้ว”

เปาเจิ่งและจั่นเจาจากไป ไท่สุ้ยเดินตามโดยทิ้งระยะหลังพวกเขาหลายก้าว

เหยากวงแค่นเสียงเฮอะอย่างไม่พอใจ “นิดหน่อยก็ให้เงิน นิสัยเสียล้วนเป็นคนแบบพวกท่านสร้างขึ้นมา”

แต่ต่อว่าก็ส่วนต่อว่า นางยังคงเร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว ให้พอดีกับไท่สุ้ยหันมามองนาง ยิ้มอย่างยั่วเย้า ทำเอาเหยากวงโมโหกัดฟันกรอด

สำนักภาษีควบคุมดูแลเรื่องการเงินโดยเฉพาะ ดังนั้นภายในห้องเก็บของไม่มีสิ่งของวางระเกะระกะ ที่จัดเรียงเป็นแถวล้วนเป็นชั้นเอกสาร บนชั้นจัดวางเอกสารไว้เต็ม ทว่าราวกับว่าที่นี่มิค่อยได้รับความสนใจ ไร้คนดูแลปัดกวาด ไม่ว่าบนชั้นเอกสารหรือบนพื้น ล้วนปกคลุมด้วยฝุ่นผง ไม่เพียงเท่านี้ยังมีกลิ่นเน่าเหม็นลอยอวลในอากาศ

เปาเจิ่งและคนอื่นๆ เพิ่งเดินเข้าประตูมา ต่างอดรนทนไม่ไหว ยกแขนขึ้นโบกพัด ก่อนอุดจมูกแน่น

เหยากวงมองห้องว่างเปล่าไร้ผู้คน บ่นเสียงอู้อี้ “นี่สถานที่ใดกัน เหมือนร้อยปีไม่มีคนย่างกรายกระนั้น”

เปาเจิ่งหันไปมองนาง เอ่ยเสียงราบเรียบ “ที่นี่คือห้องเก็บสมุดบัญชีเก่าของสำนักภาษี”

อีกทางหนึ่ง จั่นเจาเข้ามาในห้องแล้วก็เดินเสาะหาอย่างระมัดระวัง ไม่นานนักเขาก็หยุดตรงหน้าชั้นวางสมุดบัญชีแถวหนึ่ง หันมาตะโกนเรียก “ใต้เท้าเปา พบเขาแล้ว!”

เปาเจิ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป เหยากวงและไท่สุ้ยตามติดกระชั้น

มุมหนึ่งในห้องเก็บของ เหยียนสื้อเหวยเอนพิงผนัง หลับคาไหสุรา ข้างกายยังมีจานกับแกล้มหลายใบ

เหยากวงเห็นสภาพนี้ของเขา ก็อดอุดจมูก เอามือโบกลมมิได้ “เหม็นตายแล้ว!”

เปาเจิ่งปรี่ตรงเข้าไป นั่งยองๆ ลงข้างตัวเหยียนสื้อเหวยแล้วลองปลุก “สมุห์บัญชีเหยียน สมุห์บัญชีเหยียน!”

เหยียนสื้อเหวยขยับตัว แต่มิได้ลืมตา

ไท่สุ้ยเห็นดังนั้นก็เข้าไป ทำท่าให้เปาเจิ่งหลีกทาง จากนั้นจึงหิ้วตัวเหยียนสื้อเหวยขึ้น ตบหน้าเขาสองครั้ง

เหยียนสื้อเหวยตื่นขึ้นทันที ตะโกนอย่างลนลาน ทำอันใดไม่ถูก “ใคร... ใครตบข้า!”

ไท่สุ้ยปล่อยมือ มองท่าทางสะลึมสะลือของเหยียนสื้อเหวย แสร้งทำท่าเป็นห่วงเป็นใยคว้าจับมือของเหยียนสื้อเหวยขึ้นแล้วร้อง “สมุห์บัญชีเหยียน ท่านเป็นอย่างไรแล้ว ฝันร้ายหรือ”

เหยากวงปล่อยหัวเราะพรวด ไท่สุ้ยรีบหันไปถลึงตาใส่นาง แล้วหันไปมองเหยียนสื้อเหวย

เหยียนสื้อเหวยมองไท่สุ้ยอย่างตระหนกขวัญผวา ผ่านไปสักพักถึงได้พยักหน้าอย่างงุนงง “อ้อ... ฝันร้าย”

เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพบว่าเบื้องหน้าสายตาเป็นคนกลุ่มหนึ่ง “พวกท่าน... เป็นใครกัน ไฉนมาอยู่ที่นี่”

เปาเจิ่งยิ้มเล็กน้อยพลางมองเหยียนสื้อเหวย ตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พวกเราเป็นคนของสำนักศาลต้าหลี่ คิดสอบถามเรื่องของคนผู้หนึ่งจากสมุห์บัญชีเหยียน”

“ผู้ใด”

“หยางต้าฉี!”

พอได้ยินชื่อนี้ เหยียนสื้อเหวยก็คล้ายถูกกระตุ้น มิรู้เอาเรี่ยวแรงจากที่ใดผลักไท่สุ้ยและคนอื่นๆ “พวกท่านคิดสอบถามอันใด เขาจะตายก็ตายไปสิ เกี่ยวอันใดกับข้า! คนก็มิใช่ว่าข้าสังหาร พวกท่านมาพบข้าด้วยเหตุใด”

เปาเจิ่งขมวดคิ้ว จากนั้นก็มีท่าทีอ่อนโยนยามกระซิบ “ใต้เท้าเหยียน ท่านช่วยสงบสติอารมณ์สักหน่อย พวกเรามิได้กล่าวว่าท่านเป็นคนร้าย พวกเราเพียงอยากทำความเข้าใจสถานการณ์ของเขาจากท่าน!”

ตอนนี้เหยากวงออกจะเหลืออด ล้วงป้ายห้อยเอวขึ้นมาจ่อตรงหน้าเหยียนสื้อเหวยโดยตรง เอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึง “หน่วยดาวพิฆาตทำคดี ท่านคิดฝ่าฝืนกฎหมายหรือ”

เหยียนสื้อเหวยเห็นป้ายห้อยเอวถึงได้สงบสติลง

ไท่สุ้ยกดแขนของเหยากวงเบาๆ ขึ้นหน้าไปสอบถามเสียงอ่อนโยน “ใต้เท้าเหยียน ท่านฟ้องร้องหยางต้าฉีหลายต่อหลายครั้งใช่หรือไม่”

เหยียนสื้อเหวยพอได้ยินคำว่า ‘ฟ้องร้อง’ ก็ตัวสั่นสะท้านขึ้น “ข้าก็รู้ว่าท่านจะถามเรื่องนี้... ใช่ คนฟ้องร้องหยางต้าฉีก็คือข้า เขารับสินบาทคาดสินบน ประพฤติผิดกฎหมาย เหตุใดข้าจะฟ้องร้องเขามิได้ แต่เขามิได้ตายเพราะข้าบีบคั้น! พวกท่านใส่ร้ายผู้อื่น”

เปาเจิ่งเห็นว่าเขาตระหนกเกินไป รีบขึ้นไปคิดประคองเขา “สมุห์บัญชีเหยียน ท่านสงบสติสักหน่อย”

เหยียนสื้อเหวยสะบัดมือเปาเจิ่งออก ตบอกตนด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน “ท่านก็รู้ว่าหากเขาตาย ผู้ที่ลำบากที่สุดคือใคร เป็นข้า! ทุกคนต่างชี้มาที่ข้า พอเห็นข้าก็หลบเลี่ยงไปไกล เหมือนข้าเป็นดาวทำลายล้างกระนั้น แต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าข้าเพียงกระทำสิ่งที่ข้าสมควรกระทำ”

เอ่ยมาถึงสุดท้าย อารมณ์ก็พังทลาย คุกเข่าร่ำไห้น่าอนาถ เอาแต่พึมพำซ้ำไปซ้ำมา “เขามิได้ตายเพราะข้าบีบคั้น! ไม่ใช่ข้า”

เปาเจิ่งคุกเข่าข้างเหยียนสื้อเหวย “หยางต้าฉีมิได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกฆาตกรรม!”

เหยียนสื้อเหวยตะลึงงัน “ฆาตกรรม? มิใช่ฆ่าตัวตายหรือ”

เปาเจิ่งพยักหน้า “มิใช่! ดังนั้นท่านไม่ต้องรู้สึกผิดบาปทางใจ พวกเรามาเพื่อตรวจสอบให้กระจ่าง เรื่องที่ท่านฟ้องร้องว่าหยางต้าฉีฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นความจริงหรือไม่”

เหยียนสื้อเหวยตื่นตัวขึ้นมาทันที “แน่นอนว่าเป็นความจริง! ตำหนักอวี้ชิงเดิมทีวางแผนว่าบูรณะซ่อมแซมให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าปี ค่าใช้จ่ายไม่เกินสามหมื่นหมื่นก้วน172 แต่สุดท้ายใช้เวลาเพียงเจ็ดปีก็แล้วเสร็จ ค่าใช้จ่ายห้าหมื่นหมื่นก้วน บรรดาขุนนางใหญ่และฝ่าบาทล้วนคิดว่าเป็นเพราะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นถึงได้บูรณะซ่อมแซมได้รวดเร็ว แต่ข้ารู้ว่าหาใช่เช่นนั้นไม่! พิธีนมัสการที่เขาไท่ซันใช้งบประมาณเจ็ดร้อยหมื่นก้วนก็สูงกว่าที่ตั้งไว้ ผู้คนรอบข้างดูสายสนกลในไม่ออก ข้าทำงานในสำนักภาษีมาทั้งชีวิต ไหนเลยจะดูไม่ออกว่าไม่ชอบมาพากล...”

เปาเจิ่ง จั่นเจา ไท่สุ้ย และเหยากางต่างเผยสีหน้าประหลาดใจ

ไท่สุ้ยรีบเดินขึ้นหน้า เข้าไปคุกเข่าข้างตัวเหยียนสื้อเหวยเช่นกัน “สมุห์บัญชีเหยียน พวกเราเชื่อท่าน เช่นนั้นท่านช่วยพวกเราค้นหาสมุดบัญชีที่หยางต้าฉีกระทำปลอมแปลงได้หรือไม่”

“แน่นอนว่าได้ ข้า...” เหยียนสื้อเหวยโพล่งรับปาก ทว่าชะงักกึกฉับพลัน รู้สึกลังเล นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนไม่พูดไม่จา คว้าไหสุรากรอกปาก

ไท่สุ้ยและเปาเจิ่งต่างสบตากัน รู้สึกประหลาดใจนัก

เหยียนสื้อเหวยกรอกเข้าปากหลายอึกแล้วก็กระแทกวางไหสุราลง ส่ายหน้าอย่างโศกเศร้า “พวกท่านไปเถอะ ตอนนี้ข้าเป้ากางเกงเลอะคราบโคลน173 มิใช่ปัสสาวะก็อุจจาระ ไม่อยากจมลึกไปกว่านี้”

เหยากวงออกจะร้อนใจ ขึ้นหน้าไปเอ่ยโน้มน้าว “สมุห์บัญชีเหยียน...”

นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเสียงหัวเราะเยียบเย็นของเหยียนสื้อเหวยตัดบท ก่อนเหลือบมองพวกเขา

“คนตายแล้วเป็นใหญ่! หยางต้าฉีตายแล้ว ทุกคนต่างคิดว่าข้าบีบเขาจนตาย หากข้ายังช่วยพวกท่านตรวจสอบ ตั้งข้อหาหลังจากเขาตาย ผู้อื่นจะมองข้าอย่างไร ข้าเหยียนสื้อเหวยยังมีที่ยืนในสำนักภาษีหรือ ไปเถอะ ไปเถอะ อย่ามากวนข้า...”

เปาเจิ่งยังคิดเกลี้ยกล่อม เหยียนสื้อเหวยยกไหสุราขึ้นดื่ม ทั้งสี่คนด้วยความจนใจได้แต่ออกมาจากห้องเก็บของชั่วคราว

เพิ่งออกประตูมา เหยากวงก็เอ่ยเดือดดาล “เหยียนสื้อเหวยผู้นี้ช่างไร้เหตุผล! ผู้ฟ้องร้องต่อราชสำนักเป็นเขา ตอนนี้ผู้ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือราชสำนักตรวจสอบหยางต้าฉีก็เป็นเขา น่าโมโหแทบตายแล้ว!”

เปาเจิ่งเอ่ยอย่างปลิดปลง “วาจามนุษย์นั้นน่ากลัว เหยียนสื้อเหวยถูกคนประณาม ถูกคนกีดกัน มิน่าเล่าเขาถึงได้กังวลนัก...”

จั่นเจาเอ่ยกับเปาเจิ่ง “ใต้เท้าเปา ท่านไม่เหมือนเหยียนสื้อเหวย ท่านเป็นคนเที่ยงตรง ทนบรรดาสุนัขถูไถแมลงวันไชชอนมิได้ ไม่อาจทนเห็นเรื่องกินตำแหน่งแต่ไม่ทำงาน”

เปาเจิ่งยิ้มพลางตบบ่าจั่นเจา

ไท่สุ้ยและเหยากวงสบตากันอย่างแปลกใจ ฟังออกถึงความนัยในวาจาของจั่นเจา เหมือนว่าคนหน้าดำผู้นี้ก็ถูกสหายร่วมงานตั้งแง่

ทว่าเห็นเปาเจิ่งไม่อยากเอ่ยให้มากความ ไท่สุ้ยจึงไม่ถาม เบี่ยงประเด็นไปถามเรื่องนี้ต่อ “ตุลาการเปา ท่านคิดอ่านอย่างไรต่อไป”

เปาเจิ่งตอบเสียงเรียบ “แม้ยังตรวจสอบไม่พบผู้ต้องสงสัยสังหารหยางต้าฉี แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าการตายของเขาเป็นไปได้มากว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขากินสินบาทคาดสินบน ข้าคิดว่าจะกลับไปสำนักศาลต้าหลี่ก่อน เพื่อจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน”

พูดจบเขาก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า ประกบมือไปทางไท่สุ้ย “อำลาตรงนี้”

เขานำจั่นเจาจากไปโดยตรง ทิ้งไท่สุ้ยและเหยากวงตรงที่เดิม

เหยากวงเอ่ยอย่างโมโห “เปาหน้าดำผู้นี้ทำเหมือนคนติดเงินเขาหลายพวง เมื่อครู่ฟังจากผู้ติดตามข้างตัวเขา ในสำนักศาลต้าหลี่ เขาเองก็มนุษยสัมพันธ์ไม่ดี สมน้ำหน้า!”

ไท่สุ้ยส่ายหน้า “ช่างเถอะ บุ๋นบู๊ต่างวิถี เขาเป็นขุนนางบุ๋น เดิมทีก็ไม่เห็นชาวยุทธ์อย่างหน่วยดาวพิฆาตเราอยู่ในสายตา...”

เอ่ยถึงตรงนี้ไท่สุ้ยก็เผยให้เห็นสันดานเดิม ทำหน้าไม่ยอมแพ้ แบะปากแค่นเสียงเฮอะแผ่วเบา “ข้าไม่เชื่อหรอก ไม่มีเพชฌฆาตจาง ไม่ต้องกินหมูติดขน174! พวกเราทำคดีให้ดีตามลำพัง ให้เขาเห็นความร้ายกาจของหน่วยดาวพิฆาตเรา!”

เหยากวงฮึกเหิม พยักหน้าเห็นด้วยแล้วแค่นเสียง “ไป พวกเรากลับหน่วยดาวพิฆาต!”

 

จั่นเจาและเปาเจิ่งเดินอยู่บนถนน จั่นเจาคิดเอ่ยวาจาแต่ก็ชะงักไป เปาเจิ่งกลับเอ่ยปากขึ้นมา “เจ้ามีสิ่งใดอยากถามก็เอ่ยมาตามตรง”

จั่นเจาพอได้ฟังก็รีบถามอย่างฉงนสงสัย “เหยียนสื้อเหวยไม่ยอมช่วย ใต้เท้าก็ทิ้งเขาไม่แยแส นี่มิใช่วิธีการแต่ไรมาของใต้เท้า”

เปาเจิ่งยิ้มๆ ไม่ตอบคำ

“ใต้เท้าคิดว่าเหยียนสื้อเหวยเป็นคนร้ายหรือไม่”

เปาเจิ่งถามกลับ “เจ้าคิดอย่างไร”

จั่นเจาส่ายหน้าตอบ “ข้าดูแล้วมิคล้าย”

เปาเจิ่งพยักหน้าเอ่ย “มิผิด! แม้เหยียนสื้อเหวยมีความแค้นกับหยางต้าฉี แต่ไม่มีเหตุผลที่จะสังหารเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาลอบฟ้องร้องหยางต้าฉีไปทั่ว ตอนนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะชักนำเพลิงเผาผลาญตนเอง”

จั่นเจาถามอย่างสงสัย “เช่นนั้นใต้เท้าคิดว่าหยางฮูหยินน่าสงสัยมากเพียงใด”

เปาเจิ่งรู้สึกผิดคาด ผุดรอยยิ้มขันบนใบหน้า “หือ? เจ้าก็ดูออกแล้ว?”

จั่นเจารู้สึกประหม่า เกาศีรษะแล้วเอ่ย “คือว่า... ทำคดีกับใต้เท้ามานาน ไม่เคยกินเนื้อหมูก็เคยเห็นหมูเดิน175...”

เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็ทำหน้าจริงจัง “ขณะที่หยางฮูหยินตอบคำถาม สีหน้าท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ คล้ายกับว่ามีเรื่องลึกๆ ในใจ”

เปาเจิ่งพยักหน้าพลางพึมพำ “ถูกต้อง แต่ว่าเรื่องลึกๆ ในใจนั้นไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการสังหารคน ทุกสิ่งล้วนมีข้อน่าสงสัย พวกเราล้วนต้องตรวจสอบ ตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออก เช่นนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากความจริงแล้ว เจ้าลองติดต่อบ่าวไพร่รวมทั้งคนครัวและคนซื้ออาหารของจวนตระกูลหยาง ดูว่าทำความเข้าใจเรื่องใดได้บ้าง”

จั่นเจารับคำ “ขอรับ”

เปาเจิ่งเอ่ยคล้ายครุ่นคิดบางประการ “อันที่จริงหลังพบเหยียนสื้อเหวยแล้ว กลับรู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งยิ่งน่าสงสัยกว่ามาก!”

จั่นเจาถามอย่างใคร่รู้ “ผู้ใด”

เปาเจิ่งไม่ตอบ เพียงแต่ชะงักฝีเท้า ยืนข้างทางมองคฤหาสน์สูงใหญ่แห่งหนึ่ง

จั่นเจามองตามสายตาเขาไป เห็นป้ายหน้าประตูคฤหาสน์แห่งนี้สลักอักษรตัวโตว่า ‘จวนตระกูลติง’

จั่นเจาชะงักงัน ความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้า “จวนตระกูลติง... ติงเว่ย? อัครเสนาบดีในราชสำนัก! ท่าน... สงสัยเขา?”

เปาเจิ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น จ้องมองจวนตระกูลติงพร้อมกับเอ่ยพึมพำ “บูรณะซ่อมแซมตำหนักอวี้ชิง พิธีนมัสการที่ไท่ซัน ทั้งสองเรื่องล้วนเป็นติงเว่ยรับผิดชอบ หากกล่าวว่าหยางต้าฉีอาศัยไม่กี่เรื่องนี้เลื่อนขั้นหลายต่อหลายครั้ง เช่นนั้นติงเว่ยก็อาศัยไม่กี่เรื่องนี้ได้รับความไว้วางพระทัยและเป็นที่โปรดมากขึ้นเรื่อยๆ เทียบกันแล้วติงเว่ยต่างหากคือผู้ชนะ”

ผ่านไปสักพักเปาเจิ่งก็หลุดจากภวังค์ กำชับจั่นเจา “พวกเรากลับไป!”

พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินกลับ จั่นเจามองเงาหลังเขาแล้วเอ่ยถามอย่างงุนงง “ใต้เท้า กลับไปที่ใด”

เปาเจิ่งไม่แม้แต่จะหันไปมอง “กลับสำนักภาษี!”

 

หลังไท่สุ้ยและคนอื่นๆ จากไปแล้ว เหยียนสื้อเหวยก็เมามายล้มพับไปบนพื้น

เปาเจิ่งผลักเปิดประตูห้องเก็บของอีกครั้ง สาวเท้าเร็วไปยืนข้างตัวเหยียนสื้อเหวย นั่งยองๆ ลงไปคำรามเรียกเสียงต่ำ “เหยียนสื้อเหวย!”

เหยียนสื้อเหวยกรนครอก คล้ายมิได้ยิน ไม่ขยับเขยื้อน

จั่นเจาขมวดคิ้วมองแวบหนึ่ง ก็หันไปบอกเปาเจิ่ง “ใต้เท้า เขาเมามาก หลับไปแล้ว”

เปาเจิ่งหรี่ตา เอ่ยกับเหยียนสื้อเหวยที่หลับสนิท “สมุห์บัญชีเหยียน ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกคนตั้งแง่ตีตัวออกห่าง ยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งถึงสภาพจิตใจรุกถอยล้วนยากลำบากในตอนนี้ของท่าน แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านไม่ก้าวออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เช่นนั้นมลทินที่ว่าบีบคั้นหยางต้าฉีจนตายจะถูกครอบบนศีรษะท่านตลอดไป ท่านทนสายตาและคำประชดเสียดสีของผู้อื่นไปได้ตลอดหรือ ท่านทนได้หรือ หากอีกร้อยปีให้หลังต้องปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์ในฐานะคนถ่อยวางแผนทำร้ายสังหารสหายร่วมงานของตน”

นิ้วของเหยียนสื้อเหวยขยับเล็กน้อย แต่เขายังคงไม่เปล่งเสียง เพียงแต่ส่งเสียงกรนเบาลงหน่อย

เปาเจิ่งมองหน้าเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “หยางต้าฉีถูกฆาตกรรม เช่นนั้นผู้ใดคิดสังหารเขากันเล่า เรื่องตำหนักอวี้ชิงและพิธีนมัสการที่ไท่ซัน หากมีคนลอบทุจริตเบียดบัง ตอนนั้นหยางต้าฉียังเป็นเพียงสมุห์บัญชี ไม่อาจเป็นตัวการ ย่อมมีคนอยู่เบื้องหลัง!”

ร่างของเหยียนสื้อเหวยสะท้านไหวคราหนึ่ง

เปาเจิ่งรุกจู่โจมขณะได้เปรียบ “เสาะหาตัวคนผู้นั้นมา อาจได้พบฆาตกรที่สังหารหยางต้าฉี! แต่จะเสาะหาคนผู้นั้นต้องหาความผิดในการฉ้อราษฎร์บังหลวงของหยางต้าฉีออกมาก่อน ด้วยเหตุนี้ท่านสามารถหลุดพ้นข้อกล่าวหาว่าอิจฉาริษยาคนมีฝีมือเป็นประการแรก ประการที่สองยังปกป้องชีวิตท่านเอาไว้ได้!”

เห็นเหยียนสื้อเหวยยังคงไม่ลืมตา ความผิดหวังฉายชัดในดวงตาเปาเจิ่ง เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองจากที่สูงลงไปยังเหยียนสื้อเหวยที่กำลังหลับสนิทแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “สมุห์บัญชีเหยียน ท่านลองตรึกตรองให้ดี หากท่านคิดตกแล้ว ไปพบข้าที่สำนักศาลต้าหลี่”

พูดจบเปาเจิ่งก็โบกมือไปทางจั่นเจา หมุนตัวออกจากห้องไป

หลังออกจากประตูแล้ว จั่นเจาเดินเคียงไปกับเปาเจิ่ง เบือนหน้าไปมองเขา “ใต้เท้า ท่านกล่าวกับผีสุราขี้เมา เขาจดจำได้หรือ”

เปาเจิ่งตอบเสียงเรียบ “เขาแกล้งเมา!”

 

ไท่สุ้ยและเหยากวงกลับถึงหน่วยดาวพิฆาต เดินไปพลางปรึกษาหารือเรื่องรูปคดีกันไปพลาง สีหน้าของเหยากวงไม่น่าดูชม นางเตะก้อนหินข้างทางเป็นระยะ

“ตรวจสอบเที่ยวหนึ่ง ยิ่งตรวจสอบยิ่งยุ่งเหยิง ถึงตอนนี้ยังไม่ได้อันใดเป็นชิ้นเป็นอัน ต่อไปสมควรตรวจสอบอย่างไรจึงจะดี”

“อย่ารีบร้อน รอต้าหลิ่วกลับมา พวกเราค่อยปรึก...” เอ่ยถึงตรงนี้ ไท่สุ้ยพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ ก็ชะงักฝีเท้ากึก

เห็นเขาหยุดฝีเท้า เหยากวงก็ยืนนิ่งอย่างฉงนสงสัย “เจ้าเป็นอันใดแล้ว”

ไท่สุ้ยขบคิด กลอกตาไปมาเล็กน้อย พลันหันไปมองเหยากวง ริมฝีปากผุดรอยยิ้มควรค่าให้ผู้คนซาบซึ้ง “พวกเราหน่วยดาวพิฆาตทำหน้าที่ใดหรือ”

“ควบคุมจัดการเรื่องราวและบุคคลประหลาดพิสดารใต้ฟ้า ตรวจสอบคดีสำคัญแปลกประหลาดทั่วหล้า” เหยากวงตอบคล่องปาก

ไท่สุ้ยพยักหน้าแล้วถามต่อ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจุดสำคัญที่สุดในการตรวจสอบคดีคือสิ่งใด”

เหยากวงยืดอกตั้ง กวัดแกว่งหมัดพลางเอ่ย “วรยุทธ์!”

ไท่สุ้ยยิ้มบาง “เหนือคนมียอดคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ต้องมีคนวรยุทธ์สูงส่งกว่าเจ้า”

เหยากวงเห็นเขาท่าทางเขาราวกับวางแผนในกระโจม176 ไม่ว่าอย่างไรช่างคลับคล้ายสีหน้าและท่าทางยามหลิ่วสุยเฟิงฝึกฝนนาง ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ เอ่ยอย่างไม่นึกศรัทธา “เช่นนั้นเจ้าว่าคือสิ่งใด”

ไท่สุ้ยกล่าวย้ำทีละคำ “การ-สัง-เกต!”

เหยากวงทำปากเบ้ มองเขาอย่างไม่ให้ราคา “เจ้าสังเกตอันใดได้แล้ว?”

ไท่สุ้ยนึกถึงเรื่องในหงซิ่วเจา เหม่อลอยไปชั่วขณะ

“นี่ คิดอันใดอยู่ ใจลอยขนาดนั้น?” เหยากวงเห็นเขาไม่ตอบคำ กลับนิ่งงันเหม่อลอย ก็ไม่พอใจครามครัน ขึ้นหน้าไปผลักเขาทีหนึ่ง

ไท่สุ้ยคืนสติ มองเหยากวงอย่างตื่นเต้น “จู่ๆ ข้าก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง”

“ผู้ใด”

“หยางฮูหยิน!”

เหยากวงนิ่งงันไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ตกตะลึง “หยางฮูหยิน? นางเป็นภรรยาเอกของหยางต้าฉี ไฉนจึงสังหารสามี”

ไท่สุ้ยส่ายหน้า “ข้ามิใช่เทพเซียน งอนิ้วตรวจดวงชะตาไม่เป็น แต่ว่าข้ารู้สึกว่านางไม่ชอบมาพากล...”

“ไม่ชอบมาพากล?” เหยากวงไม่เข้าใจ

“มิผิด ก็คือไม่ชอบมาพากล!” ไท่สุ้ยพยักหน้าหนักหน่วง “ยังจดจำท่าทางของนางได้หรือไม่ ข้าจับสังเกตได้ว่าหลังสามีเสียชีวิต นางมิได้โศกเศร้าเท่าใดนัก สีหน้าและอากัปกิริยาไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง เฮ้อ! ตอนแรกไฉนข้าจึงไม่ค้นพบ”

ไท่สุ้ยตบหน้าผาก หันหน้าไปมองเหยากวงอย่างกระฉับกระเฉง “เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่า หยางต้าฉีถูกนางสังหาร ต้าหลิ่วเคยกล่าวว่าอัตราส่วนสูงสุดในคดีฆาตกรรมก็คือ สังหารเพราะความแค้นและสังหารเพราะเรื่องพิศวาส ในเมื่อหยางต้าฉีไม่มีศัตรู เช่นนั้นที่เป็นไปได้มากที่สุดก็เป็นการสังหารเพราะพิศวาสแล้ว!”

เหยากวงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “หยางฮูหยินเป็นภรรยาคนแรกของหยางต้าฉี เป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นคนร้ายสังหารสามีตนเอง”

ไท่สุ้ยมิได้สังเกตสีหน้าของเหยากวง กลับเต้นแร้งเต้นกาชี้นิ้วพลางเอ่ย “วาจานี้ของเจ้า ข้ากลับไม่กล้าเห็นด้วย ภรรยาคนแรกแล้วอย่างไรเล่า โลกหล้ากว้างใหญ่ เรื่องบุตรสังหารบิดา ภรรยาสังหารสามี แม้มีน้อย กลับมิใช่ว่าไม่มี เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่านางอาจชื่นชอบหนุ่มหน้ามนคนหน้าขาวอันใดเทือกนั้น จึงสังหารสามีตนเอง”

ใบหน้าเหยากวงคล้ำลง ยืนกรานอย่างโมโห “กล่าวถึงความภักดีต่อสามี ยังมีคนเหนือกว่าภรรยาคนแรกหรือ บรรดาเมียบ่าวไม่เอาไหนสะดีดสะดิ้งยั่วเย้า ดีแต่ใช้ความสวยงามสร้างความสำราญใจ พวกนั้นต่างหากถึงทรยศหักหลังสามี”

ไท่สุ้ยเกาศีรษะอย่างกลัดกลุ้ม “ไฉนข้าถกกับเจ้าไม่รู้เรื่องหนอ เรื่องประเภทนี้แน่นอนว่าไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง สีหน้าและท่าทางของนางในตอนนั้นเด่นชัดว่ามีปัญหา ต้าหลิ่วเคยบอกว่าบางครั้งความจริงก็ซ่อนอยู่ใน...”

เหยากวงหลังได้ฟังก็ผลักไท่สุ้ยอย่างแรง เอ่ยเสียงขุ่น “หลิ่วสุยเฟิง หลิ่วสุยเฟิง ในเมื่อหลิ่วสุยเฟิงเก่งกาจเพียงนี้ เจ้าไปให้หลิ่วสุยเฟิงนำฝึกเจ้าก็แล้วกัน!”

พูดจบนางก็ไม่สนใจไท่สุ้ย เดินจากไปอย่างกระฟัดกระเฟียด

ไท่สุ้ยงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก ผ่านไปสักพักถึงได้บ่นอุบ “อันใดกัน แปลกประหลาด! ช่างเป็นเด็กอมมือเสียจริง นิสัยแบบนี้คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน!”

เขาส่ายหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป

 

เช้าตรู่วันถัดมา โค่วจุ่นนอนเหยียดยาวบนเตียง สองตาจดจ้องเพดานมุ้ง ม่านข้างเตียงบดบังแสงอรุโณทัย

ตอนนี้เองเด็กรับใช้เดินเข้ามา มิได้มองบนเตียงโดยละเอียด เดินตรงไปหยิบกระโถนหลังฉากบังตา เดินกระย่องกระแย่งจะออกไป

โค่วจุ่นเอ่ยปากกะทันหัน “ไฉนไม่ปรนนิบัติข้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า”

เด็กรับใช้ตกใจสะดุ้งโหยง รีบหยุดฝีเท้า พยักหน้าแล้วค้อมตัวไปทางเตียง “นายท่าน ยังเช้าอยู่ ท่านนอนพักอีกสักหน่อยเถิด”

โค่วจุ่นลุกขึ้นนั่ง แค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา “ยังเช้า? สมควรไปเข้าประชุมเช้าแล้ว!”

เด็กรับใช้ประหลาดใจ “หา? นายท่านมิใช่ลาป่วย ไม่อยากเข้าประชุมเช้าหรอกหรือ”

โค่วจุ่นเอ่ยกับตนเอง “พิธีกรรมสามวันกระทำเสร็จสิ้นแล้ว ข้ากลับอยากไปดู พวกเขาจะเล่นลูกไม้ใด!”

เด็กรับใช้ยืนนิ่งในห้อง จ้องมองโค่วจุ่น

โค่วจุ่นกล่าวจบก็ถลึงตาใส่เขา “ยังไม่ไปเปลี่ยนชุด เตรียมเกี้ยว ข้าจะเข้าประชุมเช้า!”

“ขอรับ ขอรับ” เด็กรับใช้กระจ่างฉับพลัน หลังเช็ดมือจนสะอาดแล้วก็เข้าไปปรนนิบัติ

 

การออกว่าราชกิจช่วงเช้าของราชวงศ์ซ่งโดยทั่วไปจัดภายในตำหนักจื่อเฉิน บัดนี้ยังไม่ถึงเวลาประชุมเช้า บัลลังก์ของฮ่องเต้ยังคงว่างเปล่า ขุนนางเบื้องล่างยืนสนทนากันเป็นกุล่มๆ

ข้างกายติงเว่ยห้อมล้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่ง กำลังสนทนายิ้มหัวเสียงเบา มีคนตาไวมองเห็นโค่วจุ่นเดินเข้ามาจากภายนอก ก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนแจ้งสหายร่วมงานข้างตัว จากนั้นบรรดาขุนนางก็เริ่มฮือฮา ต่างเลื่อนสายตาไปมองโค่วจุ่น

ติงเว่ยมองเห็นโค่วจุ่น ยิ้มเสแสร้งแบบหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้มเดินเข้าไปเอ่ย “โอ้ โค่วเซี่ยงกงมาแล้ว”

โค่วจุ่นมองติงเว่ยด้วยสีหน้าอึมครึม แค่นเสียงเฮอะแผ่วเบา ไม่เอ่ยวาจา เดินไปยืนมั่นที่ตำแหน่งของตนเอง สองตาหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายกำลังพักเอาแรง

เห็นโค่วจุ่นไม่แยแสตนเอง ติงเว่ยกลับไม่ยอมรามือ สาวเท้าขึ้นหน้าหลายก้าวหยุดตรงหน้าโค่วจุ่น ยิ้มเยาะแล้วเอ่ย “โค่วเซี่ยงกง ก่อนหน้ากล่าวว่าละอายที่ต้องร่วมประชุมกับชนชั้นอย่างข้ามิใช่หรือ วันนี้ไฉนเปลี่ยนความคิดแล้ว”

โค่วจุ่นยืนอยู่กับที่ด้วยท่วงท่าสุขุมหนักแน่น ไม่เอ่ยตอบ

ติงเว่ยเห็นสภาพ ในดวงตาสาดประกายชิงชัง แต่ใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม “ช่างเถอะ ลาภยศ ผลประโยชน์ และเงินทองเป็นที่ปรารถนาแห่งมนุษย์ โค่วเซี่ยงกงก็ไม่อาจแหวกขนบ”

เขามองตำแหน่งที่โค่วจุ่นยืน พลางเอ่ยกระทบกระเทียบ “โค่วเซี่ยงกง เกรงว่าถ้ามาช้าแล้ว ในตำหนักนี้จะไม่มีที่ให้ท่านยืนกระมัง”

โค่วจุ่นลืมตาขึ้น มองติงเว่ยแวบหนึ่ง พลันยิ้มเอ่ย “ติงเซี่ยงกงปากคอฉะฉานเช่นนี้ เป็นเพียงอัครเสนาบดีช่างปรามาสต่อฝีมือ สมควรไปเป็นนักเล่านิทานในโรงน้ำชา ถึงนับว่าได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่”

ติงเว่ยเดือดปุดๆ ก่อนเอ่ย “ท่าน...!”

เขายังหวังจะบริภาษด่าทอ พลันได้ยินเสียงระฆังดังแว่ว เหลยอวิ่นกงนำขบวนขันทีชั้นผู้น้อยถือเครื่องเกียรติยศขึ้นตำหนักมาจากด้านข้าง ติงเว่ยจึงรีบระงับปาก กลับไปยืนในตำแหน่งของตนพร้อมกับก้มหน้ามั่น

โค่วจุ่นเห็นดังนั้น ใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มเยาะ

“ฝ่าบาทเสด็จ!”

ท่ามกลางเสียงขานสูงของเหลยอวิ่นกง เจินจงฮ่องเต้เสด็จมาพร้อมโจวไหวเจิ้ง ก่อนขึ้นประทับบนบัลลังก์ ขันทีชั้นผู้น้อยจัดขบวนยืนรอบบัลลังก์แล้ว

เหลยอวิ่นกงตะโกนด้วยเสียงทรงพลัง “ถวายบังคม!”

ติงเว่ย โค่วจุ่น และขุนนางบุ๋นบู๊ต่างประคองแผ่นฮู่ป่าน177 ก้าวมายืนหน้าขั้นบันได กล่าวอย่างพร้อมเพรียง “ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”

เหลยอวิ่นกงเห็นโค่วจุ่นก็มีสีหน้าแปลกไป

“ทุกท่านลุกขึ้น!” เจินจงฮ่องเต้ตรัสเสียงดัง

ถวายบังคมเสร็จสิ้น ขุนนางก็แยกยืนซ้ายขวาตามตำแหน่ง

โจวไหวเจิ้งเอ่ยปาก “ทุกท่าน มีเรื่องให้เร่งกราบทูล ไม่มีเรื่องก็เลิกประชุม!”

ติงเว่ยมองโค่วจุ่นแวบหนึ่ง โค่วจุ่นยิ้มกริ่ม ประคองฮู่ป่านเดินขึ้นหน้า กล่าวเป็นจังหวะจะโคน “กระหม่อมโค่วจุ่น มี...”

โค่วจุ่นยังกล่าวไม่ทันจบ ขันทีชั้นผู้น้อยก็วิ่งเข้ามาในตำหนัก คุกเข่าลงกลางท้องพระโรง ทูลรายงานอย่างเร่งร้อน “ทูลฝ่าบาท เหนือหอประตูกำแพงวัง พบแพรเหลืองมัดหนึ่ง”

ฮ่องเต้ทรงได้ยินก็ตบที่เท้าแขน “อันใดนะ! เจ้าลุกขึ้นพูดจา”

ขุนนางในท้องพระโรงต่างประหลาดใจ กระซิบกระซาบกัน โค่วจุ่นมองขันทีชั้นผู้น้อยด้วยสีหน้าแปลกใจ บนใบหน้าของติงเว่ยและเหลยอวิ่นกงกลับปรากฏแววตื่นเต้นยินดี

ขันทีน้อยลุกขึ้นจากพื้น ไม่กล้าเงยหน้า ก้มหน้ากราบทูล “ฝ่าบาท กระหม่อมปัดกวาดแต่เช้า พบว่าที่เหนือประตูกำแพงวังปรากฏแสงเจิดจรัสเจ็ดสี ขณะกำลังแปลกใจก็เห็นแพรเหลืองม้วนหนึ่งแขวนอยู่เหนือประตูกำแพงวัง พวกกระหม่อมมิกล้าแตะต้องโดยพลการ จึงมากราบทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เจินจงฮ่องเต้ทรงตื่นเต้นหมื่นส่วนก่อนตรัส “แสงเจิดจรัสเจ็ดสี แพรเหลืองประทานจากชั้นฟ้า หรือพิธีกรรมของเต๋อเมี่ยวเซียนกูได้ผล” ตรัสจบก็ทรงลุกพรวด ทรงพระดำเนินลงบันได รับสั่งอย่างยินดี

“ไปๆๆ ขุนนางทุกท่านตามเราไปดู”

ขุนนางบุ๋นบู๊ต่างสบตากันด้วยสีหน้าและท่าทางแตกต่าง แต่ล้วนมิได้กล่าววาจา ต่างหมุนตัวติดตามด้านหลังฮ่องเต้ออกไปด้านนอก โค่วจุ่นรั้งท้าย ขมวดคิ้วมุ่น แต่คิดแล้วก็ยังคงติดตามไป

เจินจงฮ่องเต้เสด็จลงจากเก้าอี้หาม ทรงนำขบวนขุนนางยืนใต้หอกำแพง แหงนเงยพระพักตร์ไปด้านบนแล้วโบกพระหัตถ์ ขันทีปราดเปรียวรีบเอาบันไดมาพาด ปีนป่ายขึ้นไปปลดสารผ้าลงมา แล้วนำมาคุกเข่าถวายแด่ฮ่องเต้ ทรงรับโองการสวรรค์แล้วทรงคำนับไปทางท้องฟ้าสามครั้ง ทรงวางโองการสวรรค์ในกล่องทองที่ขันทีชั้นผู้น้อยเทินเข้ามา ทรงประคองกล่องก่อนจะทรงพระดำเนินขึ้นเก้าอี้หาม พลางตรัสกำชับ

“ไปตำหนักเจาหยวน!”

บรรดาขุนนางและขบวนเกียรติยศห้อมล้อมฮ่องเต้มุ่งตรงไปยังตำหนักเจาหยวน

 

ภายในตำหนักเจาหยวนทรงเกียรติภูมิน่ายำเกรง โต๊ะหนึ่งตัวถูกตั้งกลางตำหนัก ด้านบนจัดวางแท่นบูชา ด้านข้างมีขุนนางบุ๋นบู๊ ที่แปลกประหลาดคือยังมีนักพรตมากมายรอคอยอยู่ที่นี่แต่เนิ่นแล้ว

เจินจงฮ่องเต้ทรงยืนหน้าแท่นบูชา เต๋อเมี่ยวที่หันหลังให้แท่นถวายบังคม

ขันทีชั้นผู้น้อยขึ้นหน้าไปคุกเข่า เทินกล่องสีทองเหนือศีรษะ เต๋อเมี่ยวรับไว้ด้วยสองมือ เอ่ยอย่างตื่นเต้นระคนยินดี “สวรรค์ชั้นฟ้าซาบซึ้งในความเลื่อมใสศรัทธาของฝ่าบาท นี่คือโองการสวรรค์ที่สวรรค์ชั้นฟ้าประทาน!”

พระหทัยเต้นไม่เป็นส่ำขณะตรัสถาม “เราเปิดออกได้หรือไม่”

เต๋อเมี่ยวไม่ตอบ ประคองกล่องทองไปวางบนแท่นบูชา คุกเข่าบนเบาะรองบริกรรมคาถาหนึ่งคำรบ ก่อนลุกขึ้นถอยหลีกทางไปสองก้าว ผายมือทำท่าเชิญฮ่องเต้

เจินจงฮ่องเต้ทรงพระดำเนินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว พระหัตถ์วางทาบบนกล่องทอง แล้วทรงลดพระหัตถ์ลงอย่างเคร่งเครียด ทรงถอยไปหนึ่งก้าวพลางตรัสด้วยสุรเสียงทุ้ม “เฉินเหยาโส่ว เสนาธิการสำนักฝ่ายกิจการทหาร เปิดโองการสวรรค์!”

เฉินเหยาโส่วรับคำ “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!”

เฉินเหยาโส่วขึ้นหน้า เปิดกล่องทอง หยิบแพรสีเหลืองออกมา ค่อยๆ ปลดสายรัดสีทองบนแพรเหลืองออก จากนั้นก็เปิดคลี่ออก เพ่งสายตามอง พลันมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเขาไม่วางตา ตรัสถามด้วยสุรเสียงตื่นเต้น “บนโองการว่าอย่างไร”

เฉินเหยาโส่วยกเทินโองการสวรรค์ขึ้นสูง เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จ้าวรับอาณัติ ยืนหยัดแดนซ่ง ส่งมอบแด่เหิง178 เถลิงปกปัก พิทักษ์เที่ยงธรรม ดำเนินเจ็ดร้อย เก้าเก้า179 มั่นคง”

เจินจงฮ่องเต้ทรงตกตะลึง ทันใดนั้นก็ทรงปลาบปลื้มยินดี โจวไหวเจิ้งมองฮ่องเต้อย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง ค้อมตัวเล็กน้อยก่อนถอยมาครึ่งก้าวเพื่อแสดงความเคารพ ติงเว่ยที่อยู่ด้านข้างยิ่งหน้าชื่นตาบาน ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง โค่วจุ่นมีสีหน้าท่าทางเหมือนเข้าใจบางอย่าง มองฮ่องเต้ปราดหนึ่งแล้วพยักหน้าแผ่วเบา ก่อนมองไปทางติงเว่ย หรี่ตาลงไม่พูดไม่จา

สีหน้าของบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ท่านอื่นแตกต่างกัน ต่างซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ แต่ละคนต่างเผยสีหน้าประหลาดใจระคนยินดี ทว่าความจริงเท็จในนั้นต่างคนต่างกระจ่างชัดแจ้งแล้ว

เมื่อเฉินเหยาโส่วอ่านโองการสวรรค์จบ วางโองการสวรรค์ลงในกล่องสีทอง ติงเว่ยก็รีบย่างออกไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว คุกเข่าถวายบังคมพร้อมกับเอ่ย “ขอแสดงความยินดีแด่ฝ่าบาท ขออวยพระพรฝ่าบาท โองการสวรรค์ที่เต๋อเมี่ยวเซียนกูกล่าวไว้ลงมาจากชั้นฟ้าอย่างแท้จริง นี่ล้วนเป็นเพราะคุณูปการที่ทรงปกครองแผ่นดินอย่างถูกต้อง ฝ่าบาททรงรับอาณัติแห่งสวรรค์ ต้าซ่งของเรามหาสมุทรสงบ ธารน้ำใสสะอาด ขุนนางผู้ปกครองร่วมใจ ชะตาแผ่นดินเรืองรอง สุขสวัสดิ์ยั่งยืนนาน”

ขุนนางบางส่วนบังเกิดความซาบซึ้งบนใบหน้า คุกเข่าลงสรรเสริญอย่างพร้อมเพรียง “ขอแสดงความยินดี ขออวยพระพรฝ่าบาท”

หน้าโค่วจุ่นคล้ำหมอง เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ขุนนางข้างกายมองเห็นจึงรีบดึงโค่วจุ่น เป็นนัยให้เขาคุกเข่าลง โค่วจุ่นรู้สึกตัว มองซ้ายขวาโดยรอบ ทอดถอนใจไร้สุ้มเสียง คุกเข่าตามคนอื่นๆ

ร้อยขุนนางสรรเสริญทรงพระเจริญพร้อมเพรียง พระพักตร์เต็มไปด้วยรอยแย้มพระสรวล เบิกบานพระทัยจนแทบสะกดกลั้นไม่อยู่ ทรงผายพระหัตถ์ไปโดยรอบ “ฮ่าๆ ยินดีร่วมกัน ยินดีร่วมกัน ทุกท่านลุกขึ้น ลุกขึ้นเถอะ ฮ่าๆๆ”

ฮ่องเต้ตรัสอย่างปลื้มปีติ “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ต้องกราบไหว้เทพยดาฟ้าดินและศาลบรรพชนจึงจะถูกต้อง เราสั่งให้กรมพิธีการรับผิดชอบการนี้ทั้งหมด พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็น ‘ต้าจงเสียงฝู180’ อ้ายชิงทุกท่านคิดเห็นอย่างไร”

ติงเว่ยก้าวขึ้นหน้า ยิ้มประจบสอพลอ “ฝ่าบาททรงพระปรีชาหาที่สุดมิได้ กระหม่อมคิดว่าประกาศอภัยโทษทั่วหล้า181 ให้ราษฎรในเมืองหลวงร่วมฉลองสามวัน ถึงคู่ควรแก่มงคลอันยิ่งใหญ่ของโองการสวรรค์”

เจินจงฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างเห็นด้วย “ยังคงเป็นติงเซี่ยงกงคิดรอบคอบ อนุมัติ!”

บรรดาขุนนางที่มีติงเว่ยเป็นหัวขบวนต่างถวายบังคม สรรเสริญพร้อมเพรียง “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

โอรสสวรรค์ตรัสต่อไป “เต๋อเมี่ยวเซียนกูช่วยอธิษฐานขอประทานโองการสวรรค์ให้ต้าซ่งของเรา คุณงามความชอบยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ เราแต่งตั้งเต๋อเมี่ยวเซียนกูเป็นเทียนซือ (ปรมาจารย์แดนสรวง) ให้อาศัยในตำหนักอวี้ชิง”

โค่วจุ่นได้ยินพระดำรัสเหล่านี้ สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน เงยหน้ามองไปทางเต๋อเมี่ยว เห็นสีหน้านางยังคงเดิม เรียบเฉย และสงบ ประหนึ่งไม่แยแสตำแหน่งสูงหรือเบี้ยหวัดงามที่ได้มาโดยกะทันหัน เห็นนางเช่นนี้ โค่วจุ่นก็ยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

ติงเว่ยที่ยืนอยู่เบื้องล่างยิ้มเต็มหน้า หันมามองโค่วจุ่นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เห็นโค่วจุ่นคิ้วขมวดพันกันแน่นก็ยิ่งอารมณ์ดีนัก

เต๋อเมี่ยวคืบหน้าหนึ่งก้าวก่อนถวายบังคม “นักพรตต่ำต้อยขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

“เทียนซือไม่ต้องเกรงใจ มีความผิดย่อมลงโทษ มีความชอบย่อมปูนบำเหน็จ เทียนซือมีความชอบต่อแผ่นดิน สมควรได้รับตำแหน่งนี้!”

เต๋อเมี่ยวขอบพระทัยอีกครั้งก่อนยืดตัวขึ้น เหลยอวิ่นกงและบรรดาลูกศิษย์ของเต๋อเมี่ยวต่างเข้ามาแสดงความยินดี บรรยากาศชื่นมื่นปรีดาไปทั้งตำหนัก

 

หลังจบประชุมเช้า บรรดาขุนนางก็เดินออกจากประตูวัง เดินไปพลางจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ไปพลาง

ติงเว่ย หวังชินรั่ว และเฉินเผิงเหนียน เดินเคียงกันออกมา

เฉินเผิงเหนียนได้ยินเสียงซุบซิบจากคนรอบข้าง ก็ฉงนสงสัยอยู่บ้าง สอบถามติงเว่ยเสียงเบา “ติงเซี่ยงกง โองการสวรรค์วันนี้... เป็นสวรรค์ประทานจริงหรือ”

ติงเว่ยยิ้ม แต่ไม่ตอบ

หวังชินรั่วเห็นสีหน้าของเฉินเผิงเหนียนก็ทำหน้าหมิ่นแคลน “สมัยฝูซี182 ปรากฏม้ามังกรในหวงเหอ ที่หลังมีแผนภูมิธารา ปรากฏเต่าวิเศษในแม่น้ำลั่ว หลังแบก คัมภีร์ลั่ว ท่านว่าแผนภูมิธาราและ คัมภีร์ลั่ว นี้เป็นจริงหรือเท็จ”

เฉินเผิงเหนียนจนคำพูด “นี่...”

ติงเว่ยเอ่ยเสียงต่ำ “มงคลแห่งสวรรค์ ไหนเลยได้รับง่ายดาย เป็นเพียงการตบตาของปราชญ์เมธีนักพรตเท่านั้น คนโบราณเล่นลูกไม้เช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว คนปัจจุบันจะเล่นบ้างมิได้หรือ อีกอย่าง... จริงเท็จแล้วอย่างไรเล่า ขอเพียงฝ่าบาททรงคิดว่าเป็นจริงก็คือของจริง ต่อให้แต่เดิมเป็นเท็จ ตอนนี้ก็เป็นจริงแล้ว!”

เฉินเผิงเหนียนกระจ่างแจ้ง พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ที่แท้ก็แบบนี้”

โค่วจุ่นเดินผ่านทั้งสามคน แค่นเสียงเย็นชาจากไป

หวังชินรั่วตกใจเพราะโค่วจุ่น ชะงักฝีเท้ามองแผ่นหลังของโค่วจุ่นอย่างหวั่นหวาด

ติงเว่ยกลับมีสีหน้าท่าทางเป็นปกติ เอ่ยแฝงรอยยิ้ม “ไม่ต้องสนใจเขา”

หวังชินรั่วรีบพยักหน้า มองเงาหลังของโค่วจุ่นแล้วมองติงเว่ยที่อยู่ด้านข้าง ค่อยๆ ยืดตัวตรง

 

อุทยานหลวง

หลิวเต๋อเฟยในชุดอาภรณ์หรูหรายืนอยู่กลางพุ่มพฤกษา คล้ายกำลังชมบุปผชาติ แท้จริงแล้วใบหน้าแฝงความกลัดกลุ้มเศร้าสร้อยจางๆ สองตาเลื่อนลอย เหมือนกำลังรำลึกถึงความหลัง สองนางกำนัลวัยเยาว์ปราดเปรียวยืนก้มหน้าอยู่ข้างหลัง ไม่พูดจาและไม่ขยับเขยื้อน

ตอนนี้เองเจินจงฮ่องเต้เสด็จผ่านมาด้วยพระอารมณ์เบิกบาน

มองเห็นฮ่องเต้แต่ไกล สองนางกำนัลก็รีบรายงานเสียงเบา “เหนียงเหนียง183 ฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว”

หลิวเอ๋อร์อุทานเสียงหนึ่งก่อนตั้งสติได้ เก็บอารมณ์เศร้าหมอง แย้มยิ้มบนใบหน้า หมุนตัวกลับมาถวายบังคม

ฮ่องเต้สาวพระบาทเร็วเข้ามา ทรงจับประคองมือของนางแผ่วเบา แย้มพระสรวลก่อนตรัส “มิต้องมากพิธีเช่นนี้”

หลิวเอ๋อร์เห็นฮ่องเต้ทรงมีท่าทางดีพระทัย ดวงตางดงามก็กลอกไปมาคราหนึ่ง ยิ้มอ่อนหวานก่อนทูลถาม “พระพักตร์ฝ่าบาทดั่งอาบลมวสันต์ มีเรื่องน่ายินดีอันใดหรือเพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ทรงจูงมือเล็กขาวราวกับหยกของหลิวเอ๋อร์พร้อมกับแย้มพระสรวล ดำเนินไปพลางตรัสไปพลาง “วันนี้เหนือประตูกำแพงวังมีโองการสวรรค์ปรากฏ ‘จ้าวรับอาณัติ ยืนหยัดแดนซ่ง ส่งมอบแด่เหิง เถลิงปกปัก พิทักษ์เที่ยงธรรม ดำเนินเจ็ดร้อย เก้าเก้ามั่นคง’ เรื่องราวแพร่สะพัด ราษฎรต่างตื้นเต้นยินดี เราเองก็ปลาบปลื้มนัก!”

หลิวเอ๋อร์ได้ฟังพระดำรัส คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย เห็นพระพักตร์ตื่นเต้นยินดีของฮ่องเต้ คิดแล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาท มีบางคำหม่อมฉันมิทราบว่าสมควรกราบทูลหรือไม่”

พระองค์ทอดพระเนตรเห็นดอกไม้ช่อหนึ่งบานสะพรั่งสวยงามนัก ค้อมพระวรกายเด็ด แย้มพระสรวลจนพระเนตรหยีก่อนตรัส “ลองเอ่ยดู”

หลิวเอ๋อร์ยืนข้างพระวรกาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาท ทรงเป็นราชันแห่งแผ่นดิน เป็นผู้ปกครองราษฎร หนึ่งพระดำรัสหนึ่งพระจริยวัตรล้วนเป็นแบบอย่างแก่ขุนนางประชาราษฎร์ในใต้ฟ้า เรื่องภูตผีเทพเซียนเลือนรางเลื่อนลอย ทรงมิควรส่งเสริมกระแสนี้เพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ทรงตะลึงงัน ความเคลื่อนไหวหยุดชะงัก หันมาทอดพระเนตรนาง

หลิวเอ๋อร์ย่อเข่าถวายบังคม ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามแรงลม ยิ่งดูอ่อนช้อยอรชร “ฝ่าบาท อย่าทรงพิโรธ หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาททรงเป็นราชันผู้ปราดเปรื่องทรงธรรม มิสมควรลุ่มหลงในศาสตร์ภูตผีเทพเซียน กษัตริย์ราชันแต่โบราณกาลมา มิว่าฉลาดปราดเปรื่องขั้นใด แต่ถ้าลุ่มหลงงมงายศาสตร์ภูตผีเทพเซียนมักประสบความล้มเหลว”

โอรสสวรรค์ทอดพระเนตรมองหลิวเต๋อเฟย ทรงเงียบงันไปพักหนึ่งก่อนถอนพระปัสสาสะยาว ตรัสสั่งนางกำนัลในบริเวณนั้น “พวกเจ้าถอยไป”

นางกำนัลย่อเข่าถวายบังคมก่อนถอยออกไปอย่างเงียบๆ ในอุทยานเหลือเพียงหลิวเต๋อเฟยกับฮ่องเต้ ทรงยื่นพระหัตถ์ออกให้หลิวเต๋อเฟย “เอ๋อร์เหนียง เดินเล่นกับเรา”

ฮ่องเต้ทรงจูงมือนางชื่นชมทัศนียภาพในอุทยาน ตรัสเสียงราบเรียบสุขุม “เอ๋อร์เหนียง เจ้าคิดหรือไม่ว่าหลายปีมานี้เรานับถือบรรดานักพรตเหล่านั้นเกินไปสักหน่อย”

หลิวเอ๋อร์เดินเล่นเป็นเพื่อนฮ่องเต้ ก็ยิ้มแล้วตอบ “หม่อมฉันรู้ดีว่าทรงทำการใดย่อมมีเหตุผล เพียงแต่กังวลว่าใต้พู่กันขุนนางอาลักษณ์จะปรากฏวาจาสุดทานทนเพคะ”

ผู้เป็นโอรสสวรรค์ทรงส่ายพระพักตร์แล้วแย้มพระสรวล ทรงกุมมือของนางไว้ “เจ้ากล่าวอย่างอ้อมค้อมแล้ว แต่เทียบกับเรื่องชื่อเสียงในภายหลัง ที่เรากังวลเป็นเรื่องตรงหน้า”

หลิวเอ๋อร์ทูลถามอย่างเคร่งเครียด “เป็นพวกเหลียวคิดก่อการร้ายอีกหรือเพคะ”

ฮ่องเต้ทรงส่ายพระพักตร์ก่อนตรัสตอบ “ไม่ มิใช่ศัตรูภายนอก แต่เป็นภัยพิบัติภายใน”

“ภัยพิบัติภายใน?” สีหน้าหลิวเอ๋อร์เปลี่ยนไปใหญ่หลวง

นางต่างจากบรรดาสนมนางในอื่น ไม่ชอบพิณ หมากล้อม อักษรศิลป์ ภาพวาด หรืองานเย็บปักถักร้อย ที่โปรดปรานที่สุดคือต้นไม้ใบหญ้าและอ่านตำรา

ต้นไม้ใบหญ้านั้นยังไม่ต้องเอ่ยถึง ที่นางชอบอ่านมิใช่เรื่องสัพเพเหระปลีกย่อย ยิ่งมิใช่คำคมปราชญ์เมธี กลับเป็นตำราประวัติศาสตร์ที่ผู้อื่นเห็นแล้วรู้สึกห่อเหี่ยวไร้รสชาติ

อันเรียกว่าใช้คนเป็นคันฉ่อง สะท้อนส่องความผิดพลาด ใช้ประวัติศาสตร์เป็นคันฉ่อง เรียนรู้ความตกต่ำรุ่งเรือง หลังอ่านตำราประวัติศาสตร์มามาก นางย่อมรู้ว่าศัตรูภายนอกต่อให้ดุเดือดหรือรุนแรงเพียงใด ก็ไม่ชั่วร้ายเลวทรามเท่าภัยพิบัติจากภายใน

พระองค์มิได้ทอดพระเนตรสีหน้านาง ทว่าสีพระพักตร์ก็ไม่น่าดูชม ตรัสด้วยสุรเสียงต่ำ “เมื่อไท่จู่ฮ่องเต้ เสด็จลุงของเราสวรรคต เสด็จพ่อของเราทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อ ในหมู่ทวยราษฎร์มีข้อครหาว่าเสด็จพ่อทรงได้บัลลังก์มาอย่างไม่ถูกต้อง”

หลิวเอ๋อร์ตั้งสติ รีบเอ่ยปลอบพระทัยให้คลายทุกข์ “ตอนนั้นรากฐานแห่งต้าซ่งยังไม่มั่นคง จ้าวเต๋อฟางหรือปาเสียนอ๋องยังเยาว์ ไท่จงฮ่องเต้ตัดสินพระทัยครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา ด้วยเหตุผลว่าปาเสียนอ๋องยังเยาว์ ยากทำให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง มีอันใดไม่ถูกต้อง”

เจินจงฮ่องเต้พยักพระพักตร์ “มิผิด! เสด็จพ่อของเราก็ตรัสเช่นนี้ ทว่าเสด็จพ่อก็เคยตรัสว่าร้อยปีให้หลังจะคืนอำนาจการปกครองแก่โอรสของไท่จู่ฮ่องเต้ แต่หลังเสด็จพ่อสวรรคต ไม่เพียงมิได้คืนอำนาจแก่ปาเสียนอ๋อง กลับให้เราครองราชย์สืบต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อครหาในหมู่ราษฎรยิ่งมากขึ้น มักมีผู้ใช้เหตุผลนี้กล่าวหาว่าเรามิใช่โอรสสวรรค์ที่แท้”

หลิวเอ๋อร์ตกตะลึง อดก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าวมิได้ นางกุมพระหัตถ์ฮ่องเต้ไว้แน่น

พระองค์แย้มพระสรวลให้นาง ตรัสเสียงเบา “ดังนั้น... เราเชื่อโองการสวรรค์ปาฏิหาริย์อันใดหรือไม่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องทำให้ผู้คนทั่วหล้าเชื่อ ให้ทุกคนรู้ว่าเราคือฮ่องเต้ผู้ได้รับอาณัติสวรรค์ กระทั่งสวรรค์ชั้นฟ้ายังประทานความสุขสวัสดิ์แก่ต้าซ่ง เพราะความมุมานะบากบั่นในราชกิจของเรา”

หลิวเอ๋อร์กระจ่างฉับพลัน แต่ก็เผยสีหน้าเป็นกังวล ทรงทราบทันทีว่านางกังวลเรื่องใด ทรงตบมือนางเบาๆ แย้มพระสรวลก่อนตรัส “วางใจเถอะ ตาเฒ่าโค่วก็มาเข้าประชุมเช้าแล้ว เดิมทีเรากังวลว่าเขาจะอาละวาด... ยังดีที่เขาเข้าใจในความตั้งใจดีของเรา ไม่แสดงอาการ!”

หลิวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “โค่วเซี่ยงกง... แม้เจ้าอารมณ์ แต่เป็นขุนนางจงรักภักดีผู้หนึ่งโดยแท้เพคะ”

“นั่นสิ!” ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ หมุนพระวรกายไป ทอดพระเนตรชมบุปผาแล้วถอนพระปัสสาสะ “มองภูผาธารางดงามตระการตา ทวยราษฎร์... จำเป็นต้องมีชีวิตมั่งคงสงบสุข”

 

ไท่สุ้ยในชุดเครื่องแบบ ยืนตะโกนเสียงสูงหน้าประตูห้องเหยากวงด้วยสีหน้าจนใจ “ไปเถอะ สมควรไปตรวจสอบคดีแล้ว สีฟู่...”

“หลีกไปนะ! เจ้าศรัทธาเหวินฉวี่ถึงเพียงนั้น ให้เขานำฝึกเจ้าเถอะ” เสียงของเหยากวงดังลอดออกมาจากด้านใน ไท่สุ้ยที่อยู่นอกประตูรู้สึกได้ถึงความแง่งอน

ไท่สุ้ยหัวเราะพรวด ร้องเสียงดัง “เจ้าอย่าได้ใจคอคับแคบแบบนี้ได้หรือไม่”

“ข้าก็ใจคอคับแคบแบบนี้ เจ้าเพิ่งรู้หรือ”

ตอนนี้เองหลิ่วสุยเฟิงซึ่งใบหน้ายังติดรอยจุมพิตสีแดง หน้าแดงเปล่งปลั่งเดินเข้ามาหยุดข้างตัวไท่สุ้ย คว้าคอไท่สุ้ยด้วยท่าทางเจ้าสำราญ ลากเขาไปอีกฟาก หัวเราะคิกคักถามเขา “เมื่อคืนพวกเจ้าตรวจสอบคดีเป็นอย่างไรบ้าง”

ไท่สุ้ยได้กลิ่นสุราจากลมหายใจของหลิ่วสุยเฟิง ก็รีบดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเขา เอ่ยอย่างรังเกียจ “ท่านไปขลุกอยู่ทั้งคืนอีกแล้ว?”

หลิ่วสุยเฟิงรีบยืดตัวตรง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “กล่าวอันใดกัน ข้าลำบากลำบนตรวจสอบคดีทั้งวันทั้งคืน!”

ไท่สุ้ยแบะปากอย่างดูแคลน “ใช่หรือ เช่นนั้นท่านช่วยล้างกลิ่นหอมแป้งชาดบนเสื้อผ้าออกก่อน รอยจูบบนใบหน้าก็ยังมิได้เช็ดออก”

หลิ่วสุยเฟิงหัวเราะแห้งๆ “ศิษย์คิดล้างครู! ว่ามา... พวกเจ้าตรวจสอบอันใดได้”

ไท่สุ้ยถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง “พวกเราคิดว่าหยางฮูหยินน่าสงสัยมาก”

“หยางฮูหยิน?” หลิ่วสุยเฟิงตะลึงงัน จากนั้นก็ส่ายหน้าต่อเนื่อง “เป็นไปไม่ได้! ต้องไม่ใช่นาง!”

ไท่สุ้ยประหลาดใจถามว่า “เอ๊ะ? ท่านว่ามาแบบนี้ เหมือนเหยากวงอย่างไรอย่างนั้น เมื่อวานข้าเพิ่งกล่าวว่าหยางฮูหยินอาจเป็นฆาตกร นางก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง บอกว่าหยางฮูหยินเป็นภรรยาคนแรกอันใดเทือกนั้น ช่างแปลกประหลาดนัก เป็นไปไม่ได้ว่าภรรยาคนแรกจะเป็นฆาตกรหรือ”

หลิ่วสุยเฟิงหัวเราะลั่น “ที่แท้ก็แบบนี้! เหยากวงกล่าวเช่นนั้นก็ไม่แปลก เพราะมารดาของนางถูกบิดาเมินเฉย ดังนั้นเหยากวงจึงหนีออกจากบ้าน ในสายตานาง ภรรยาคนแรกทุกคนล้วนดีทั้งสิ้น สตรีอื่นข้างกายบิดาล้วนเป็นนางจิ้งจอก จึงไม่พอใจที่เจ้าสงสัยหยางฮูหยิน”

ไท่สุ้ยพยักหน้าอย่างเข้าใจฉับพลัน แต่ก็เอ่ยอย่างฉงน “เช่นนั้นไฉนท่านจึงว่าหยางฮูหยินมิใช่ฆาตกร ขณะที่ข้ากับเหยากวงไปสอบถามนาง ท่าทางเสียอกเสียใจของนางออกจะเสแสร้ง หรือนี่ยังไม่น่าสงสัย”

หลิ่วสุยเฟิงยกนิ้วโป้งให้ไท่สุ้ย เอ่ยชม “ไม่เลว! รู้จักสังเกตการณ์แล้ว ยุวชนสั่งสอนได้!”

สีหน้าภาคภูมิใจวาบผ่านใบหน้าไท่สุ้ย ก่อนย้ำอีก “ท่านยังไม่ได้บอกว่า เหตุใดถึงว่าหยางฮูหยินมิใช่ฆาตกร”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มตอบ “สิ่งที่เจ้าสังเกตเห็น ข้าก็สังเกตเห็น เริ่มแรกข้าเองก็สงสัยในตัวหยางฮูหยิน แต่ว่าข้ามองข้ามคนผู้หนึ่งไป”

ไท่สุ้ยถามอย่างงุนงง “มองข้ามคนผู้หนึ่ง? ผู้ใดกัน”

หลิ่วสุยเฟิงตอบย้ำทีละคำ “ชุน-เหมย!”

ไท่สุ้ยถามอย่างมึนงง “ชุนเหมย? ชุนเหมยคือผู้ใดกัน”

หลิ่วสุยเฟิงตอบ “สาวใช้นางหนึ่ง”

ไท่สุ้ยค้อนเขาวงหนึ่ง “บนล่างจวนตระกูลหยางมีสาวใช้หลายสิบนาง ข้าจะไปสังเกตนางได้อย่างไร”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มในหน้า “จวนตระกูลหยางต่อให้มีสาวใช้หลายร้อยนาง ที่ปรนนิบัติหยางต้าฉีเข้านอนมีนางเพียงผู้เดียว!”

“อา! จริงสิ! ข้านึกออกแล้ว ตอนสอบถามเรื่องรูปคดี หยางฮูหยินก็เอ่ยถึงนาง” ไท่สุ้ยตบหน้าผากเพราะเพิ่งนึกได้

“แต่ว่าเป็นเพราะนางเป็นสาวใช้ยกน้ำชาส่งน้ำ หยางฮูหยินจึงเอ่ยถึงเพียงผิวเผิน พวกเจ้าถึงได้มองข้ามนางไป” หลิ่วสุยเฟิงยิ้มขณะที่มองไท่สุ้ย

ไท่สุ้ยออกจะกระอักกระอ่วน จึงรีบเบี่ยงประเด็น “หรือว่านางรู้เรื่องบางอย่าง”

หลิ่วสุยเฟิงกดยิ้มลึกล้ำ กล่าวเชื่องช้า “ผู้ก่อคดีหากไม่สนใจว่าตนจะถูกจับได้ก็ระแวดระวังยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เบาะแสที่ทิ้งไว้ให้ มักอยู่ในสถานที่ไม่สำคัญ หรือบนร่างของผู้ที่ไม่โดดเด่นสะดุดตา! เท่าที่ข้ารู้ สถานการณ์ในตอนนั้นเป็นเช่นนี้...”

จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าถึงเบาะแสที่ตนตรวจสอบได้ให้ไท่สุ้ยฟังอย่างช้าๆ

 

คืนหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน หลังชุนเหมยปรนนิบัติหยางต้าฉีแล้วเสร็จ...

“นายท่าน เมื่อใดท่านถึงจะมอบฐานะให้ข้าเสียที” หยางต้าฉีนั่งบนเตียง ชุนเหมยถามออเซาะอยู่ในอ้อมอกเขา

“เร็วๆ นี้ เร็วๆ นี้” หยางต้าฉีรับคำส่งเดช

ชุนเหมยผลักเขาอย่างไม่พอใจ “ข้าว่าต้องให้ฮูหยินตายเสียก่อน ท่านถึงยอม...”

นางยังกล่าวไม่ทันจบ ประตูพลันถูกคนถีบเสียงดังปัง หยางฮูหยินนำบ่าวไพร่ในบ้านมา ยืนอย่างโมโหเดือดดาลอยู่หน้าประตู มองหยางต้าฉีกับชุนเหมย

หยางต้าฉีและชุนเหมยสะดุ้งโหยงตกใจนัก เขารีบผลักชุนเหมยออก ชุนเหมยก็รีบหมอบราบกับพื้น ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า

หยางฮูหยินเดินเข้ามา กวาดตามองหยางต้าฉีและชุนเหมยปราดหนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องใดหรือ ต้องรอข้าตายถึงกระทำได้”

หยางต้าฉีกลืนน้ำลายเอื๊อก เปิดปากอธิบายอย่างยากลำบาก “ฮูหยิน... ฮูหยิน นี่เป็นการเข้าใจผิด”

หยางฮูหยินมิได้แยแสหยางต้าฉี เดินตรงไปเบื้องหน้าชุนเหมย ยอบตัวลงเชยคางชุนเหมยขึ้น พิจารณาแล้วกล่าว “เจ้าอาศัยใบหน้านางจิ้งจอกนี้ล่อลวงนายท่านหรือ”

ชุนเหมยหลับตา หวาดกลัวจนตัวสั่น ร่ำไห้ขอร้อง “ฮูหยินไว้ชีวิตด้วย ฮูหยินไว้ชีวิตด้วย”

หยางฮูหยินคลายมือ ลุกขึ้นยืนกำชับบ่าวไพร่ ในเมื่อเจ้าชอบล่อลวงบุรุษถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปสถานที่ประเสริฐล่อลวงบุรุษได้เต็มที่ “พ่อบ้าน พานางออกไป ขายให้ซ่องชั้นต่ำที่สุด”

สองบุรุษเดินเข้ามาดึงชุนเหมย จะลากนางออกไป ชุนเหมยได้ฟังคำสั่งของหยางฮูหยินก็ตกใจดิ้นรนสุดชีวิต ตะโกนไปทางหยางต้าฉี “นายท่าน ช่วยข้าด้วย! นายท่าน ช่วยข้าด้วย!”

“พอแล้ว!” หยางต้าฉีเห็นสภาพการณ์ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ออกมายืนตวาดพ่อบ้านกับบ่าวลั่น “หยุดมือ!”

พ่อบ้านและบ่าวรีบหยุดมือ แต่ยังคงจับแขนของชุนเหมยไม่ปล่อย พลางมองไปทางหยางฮูหยิน

หยางฮูหยินค่อยๆ หันกลับมา มองหยางต้าฉีแล้วถาม “นายท่านว่าอันใด”

หยางต้าฉีตกใจกับแววตาของหยางฮูหยิน กระถดตัวอย่างหวาดกลัว

ชุนเหมยเห็นดังนั้นก็รีบร่ำไห้อย่างน่าสงสารเวทนา “นายท่าน”

หยางต้าฉีฝืนกล่าว “ฮูหยิน ปล่อยชุนเหมย ข้าจะรับนางเป็นอนุ”

หยางฮูหยินยืนอย่างทะนงอยู่ตรงนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หยางต้าฉี ตอนนั้นท่านยังยากจนข้นแค้น ท่านสาบานกับข้าว่าอย่างไร”

หยางต้าฉีอึ้งงัน พูดอันใดไม่ออก

หยางฮูหยินเห็นแล้วก็สอบถามเสียงสูงต่อ “ตอนนั้นครอบครัวท่านยากจนไม่มีปัญญาศึกษาตำรา เป็นข้าขายสินเดิมทั้งหมด สวมสมถะเพื่อส่งท่านเล่าเรียน ตอนท่านเร่งรุดมาสอบในเมืองหลวง เป็นข้ากลับไปขอร้องทางบ้านมารดาโดยไม่สนใจหน้าตาตนเอง ถึงได้รวบรวมเงินทองส่งท่านเข้าเมืองหลวงได้ ตอนนั้นท่านอายุเข้าสามสิบ ส่วนข้าตอนนั้นเพิ่งยี่สิบแปด... เหล่านี้ท่านลืมเลือนแล้วหรือ”

หยางต้าฉีถูกหยางฮูหยินต่อว่าจนหัวหูแดงก่ำ อดโต้แย้งมิได้ “หลายปีมานี้ข้าก็ตามใจเจ้าทุกอย่างมิใช่หรือ”

หยางฮูหยินอึ้งงัน จากนั้นก็ชี้ชุนเหมยแล้วถาม “เช่นนั้นนี่นับเป็นอันใดอีก”

หยางต้าฉีกระอักกระอ่วนเพราะจนคำพูด

หยางฮูหยินมีเหตุผลก็ไม่ยอมถอย เดินเข้ามาผลักหยางต้าฉี “ท่านว่ามาสิ ท่านว่ามาสิ... หยางต้าฉี ท่านเนรคุณ ไร้ยางอาย!”

หยางต้าฉีถูกหยางฮูหยินรุกจนไร้หนทางหลบหนี อับอายจนพานโกรธจึงตบหน้าไปทีหนึ่ง “สตรีโหดร้ายเยี่ยงเจ้า หลายปีมานี้ข้าเห็นแก่ความผูกพันในฐานะภรรยาคนแรก ยอมอดทนยอมลงให้เจ้า แต่เจ้ายิ่งไร้เหตุผลขึ้นทุกที! เจ้า

แหกตาดูสิ ทั้งเมืองหลวงผู้ที่มีฐานะอย่างข้าผู้ใดบ้างไม่มีภรรยาสามอนุสี่ แต่ข้ากระทั่งมองสาวใช้สักแวบยังต้องลักลอบ เจ้ารู้หรือไม่ ด้านนอกมีผู้คนกี่มากน้อยที่หัวเราะเยาะข้า!”

หยางฮูหยินยืนกุมหน้าอยู่ตรงนั้น เต็มไปด้วยความตระหนกตกใจ

สีหน้าของหยางฮูหยินค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตามคำก่นด่าต่อว่าของหยางต้าฉี จากตระหนกตกใจก็เป็นเจ็บปวด จนสุดท้ายก็หัวเราะเสียงเย็นชา “ดี เป็นข้าผิดแล้ว ตอนนั้นข้าตาบอดมองผิดคน ข้ายอมแล้ว”

หยางต้าฉีเห็นหยางฮูหยินแค้นเคืองก็หยุดปากโดยไม่รู้ตัว

หยางฮูหยินมองหยางต้าฉีด้วยสายตาเยียบเย็น “ข้าไม่หย่าขาดจากท่าน มิใช่เพราะหวังในอำนาจชื่อเสียง แต่เพราะเห็นแก่หน้าบุตรชายของข้า เขาเป็นขุนนางอยู่ต่างถิ่น ข้าไม่อาจให้เขาถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ส่วนท่าน...”

เอ่ยถึงตรงนี้หยางฮูหยินก็มองหยางต้าฉีอย่างดูหมิ่น เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “นับจากนี้ไป ท่านรับอนุหรือหาเมียน้อย ข้าไม่สนใจ ข้าอยู่เรือนหลัง กราบไหว้ขอพรให้บุตรชายของข้า ท่านก็อย่ามารบกวนข้า ความเป็นสามีภรรยาของเราขาดสะบั้น! ความเป็นตายทุกข์สุขของท่านไม่เกี่ยวข้องกับข้าทั้งสิ้น!”

หยางฮูหยินกล่าวจบก็จากไปอย่างแค้นเคือง พ่อบ้านบ่าวไพร่ต่างก้มหน้าก้มตาออกจากห้องไป เหลือเพียงหยางต้าฉีกับชุนเหมย

 

หลิ่วสุยเฟิงเอ่ยเสียงทุ้ม “หลังจากครั้งนั้น หัวใจหยางฮูหยินราวกับขี้เถ้าดับมอด มักอยู่ที่เรือนส่วนหลัง กับหยางต้าฉีทำประหนึ่งไม่รู้จักกัน ส่วนหยางต้าฉีอาจเพราะละอายแก่ใจหรืออาจเพราะหวาดผวา ไม่กล้าเลี้ยงชุนเหมยออกหน้าออกตา เพียงย้ายนางมาปรนนิบัติข้างตัว”

ไท่สุ้ยพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ดังนั้นแม้หยางฮูหยินไม่ถูกกับเขา แต่ก็อดทนมาหลายปีแล้ว ไม่มีเหตุผลจะสังหารเขาอย่างกะทันหัน ยิ่งไปกว่านั้น... หากจะสังหาร สมควรสังหารชุนเหมยจึงจะถูกต้อง”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้าพลางเอ่ย “ถูกต้อง”

ไท่สุ้ยพลันนึกขึ้นได้ ออกจะไม่ใคร่เชื่อ “เรื่องเหล่านี้ท่านไปฟังมาแต่ที่ใด เชื่อถือได้หรือ”

หลิ่วสุยเฟิงกระหยิ่มยิ้มย่องตอบ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า เมื่อวานข้าเข้าไปสนทนากับพวกสาวใช้ในจวนตระกูลหยางเป็นการเฉพาะ เมื่อวานข้าสอบถามทั่วจวน รู้เรื่องชุนเหมยกับหยางต้าฉี พบว่าในบรรดาสาวใช้ไม่มีร่องรอยของชุนเหมย จึงไปเสาะหานาง”

ไท่สุ้ยตะลึง “เวลาสั้นเพียงเท่านี้ หยางฮูหยินก็จัดการนางแล้วหรือ”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า “เรื่องแบบนี้ในครอบครัวคนใหญ่คนโตกลับเห็นได้บ่อย อนุหรือบ่าวเป็นที่โปรดปรานของนายผู้ชาย ฮูหยินทำอันใดมิได้ แต่ทันทีที่นายท่านสิ้นชีวิต ฮูหยินที่กล้ำกลืนฝืนทนมานานปีแทบทนรอไม่ไหวจัดการหนามยอกอกเหล่านี้ จะว่าไปก็น่าสงสาร”

หลิ่วสุยเฟิงถอนหายใจยาวเฮือก “ตอนข้าไปถึง พ่อบ้านจวนตระกูลหยางพาแม่เล้ามาแล้ว จะขายชุนเหมยทิ้ง!”

ไท่สุ้ยมองหลิ่วสุยเฟิงอย่างเลื่อมใส “ท่านช่วยชุนเหมยไว้ได้ นางย่อมตื้นตันซาบซึ้งในความช่วยเหลือ ยอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า ในรอยยิ้มแฝงความเอาจริงเอาจัง “นอกจากมั่นใจแล้วว่าหยางฮูหยินมิใช่ฆาตกรสังหารหยางต้าฉี ข้ายังมั่นใจอีกเรื่องหนึ่ง”

ไท่สุ้ยถาม “เรื่องอันใด”

หลิ่วสุยเฟิงเคาะเสาประตูระเบียงขณะกล่าว “สองสามวันก่อนหยางต้าฉีจะเสียชีวิต เขากลัดกลุ้มเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด”

พอได้ฟังคำนี้ไท่สุ้ยก็โพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น “มีคนฟ้องร้องว่าเขาฉ้อราษฎร์บังหลวง?”

หลิ่วสุยเฟิงตะลึงงัน “เจ้าก็รู้หรือ”

ไท่สุ้ยตอบอย่างภูมิใจ “พวกเราไปจวนตระกูลเหยี่ยน สืบความลับนี้มาได้”

หลิ่วสุยเฟิงจ้องไท่สุ้ยตาเขม็ง “เหยี่ยนเจิ้งว่าอย่างไร”

ไท่สุ้ยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “หยางต้าฉีกลัดกลุ้มเรื่องถูกเหยียนสื้อเหวยฟ้องร้องมาโดยตลอด”

หลิ่วสุยเฟิงมองไท่สุ้ย ผ่านไปพักหนึ่งก็ส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า เอ่ยเสียงเข้มงวด “ข่าวที่ข้าได้ยินมิใช่เช่นนี้”

“อันใดนะ!” ไท่สุ้ยมีสีหน้าประหลาดใจ

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า ขมวดคิ้วแน่น เอ่ยเสียงทุ้ม “เท่าที่ข้ารู้เรื่องราวเป็นแบบนี้...”

 

คืนวันเกิดเหตุ หยางต้าฉีและเหยี่ยนเจิ้งกล่าวอำลากันที่ประตูห้องตำรา เหยี่ยนเจิ้งประสานมือคำนับกล่าวลา มีพ่อบ้านถือโคมนำทางไปด้านนอก หยางต้าฉีมึนเมา มีชุนเหมยคอยประคองกลับไป

ชุนเหมยเอ่ยอย่างเป็นห่วง “นายท่าน ท่านช้าหน่อย ระวังสะดุดล้ม”

หยางต้าฉีโซซัดโซเซเข้าห้องด้านใน นั่งแหมะลงบนเตียง หยิบกาสุราเตรียมกรอกปาก

ชุนเหมยเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปแย่งกาสุรามา เอ่ยเกลี้ยกล่อม “นายท่าน ท่านดื่มจนเมามายแล้ว”

หยางต้าฉีผลักชุนเหมยออก แย่งกาสุราไปกรอกปากโดยตรง ดื่มอึกๆ หลายครั้ง ล้มเอียงพิงอยู่บนเตียง พลางรำพึงรำพัน “ได้ก็ร้องไชโย พลาดก็ช่าง กลุ้มมิสร่าง วางลงไม่อับเฉา วันนี้มีสุรา วันนี้เมา วันพรุ่งเศร้า วันพรุ่งค่อยทุกข์ใจ184”

ชุนเหมยดึงผ้าห่มผืนบางมาให้หยางต้าฉี คลุมบนร่างเขาแผ่วเบา แล้วประคองศีรษะเขาขึ้น คิดสอดหมอนรองให้

หยางต้าฉีมองสักพัก หลังแน่ชัดว่าเบื้องหน้าสายตาเป็นชุนเหมยก็คว้ากอดนางไว้แนบอก หลั่งน้ำตาเงียบเชียบแล้วพึมพำ “รื้อกำแพงตะวันออก อุดกำแพงตะวันตก รื้ออุดอยู่นั่นแล้ว ต่อให้เป็นช่างปูนเก่งกาจเพียงใดก็ทำมิได้...”

ชุนเหมยฟังแล้วก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่ตบหลังหยางต้าฉีเพื่อปลอบประโลม “นายท่าน ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว เราไม่อุดกำแพงอันใดแล้ว”

ชุนเหมยจัดวางหมอนให้หยางต้าฉีแล้วก็ปล่อยให้เขานอนลง

หยางต้าฉีจ้องมองเพดานเขม็งพร้อมกับพึมพำ “ไม่อุดแล้ว อุดไม่ไหวแล้ว หนี้ที่ติดค้าง อย่างไรก็ต้องคืน ข้า... สมควรคืนหนี้แล้ว...”

 

หลิ่วสุยเฟิงกล่าว “เท่าที่ชุนเหมยเล่ามา หยางต้าฉีคืนนั้นหลังเมามายแล้วเสียกิริยา ร่ำไห้จนหลับไป ชุนเหมยจัดให้เขานอนบนเตียง ไปห้องครัวขอน้ำแกงแก้เมา เมื่อวกกลับมาก็พบว่าห้องถูกลั่นดาลจากด้านใน ชุนเหมยคิดว่าหยางต้าฉีอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง จึงจากไป”

ไท่สุ้ยถามเหมือนคิดบางอย่างได้ “ดังนั้นหมายความว่า ‘รื้อกำแพงตะวันออก อุดกำแพงตะวันตก’ ‘หนี้ที่ติดค้าง อย่างไรก็ต้องคืน’ เป็นคำสั่งเสียก่อนตายของหยางต้าฉี?”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า

สายตาไท่สุ้ยวูบไหว ขบคิดครู่หนึ่ง เอ่ยเชื่องช้า “หนี้ของเขานี้หมายถึงสิ่งใดกัน”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มมุมปากมองเขา “เจ้าคิดว่าอย่างไร”

ไท่สุ้ยตอบ “กล่าวเช่นนี้... เหยียนสื้อเหวยมิได้ใส่ร้ายป้ายสี หยางต้าฉีทุจริตเงินหลวงอย่างแท้จริง!”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้าแล้วกล่าว “งานก่อสร้างที่หยางต้าฉีมีส่วนร่วมเด่นชัดว่ามีปัญหา”

ไท่สุ้ยคึกคัก “เช่นนั้นรีบไปตรวจสอบสิ!”

หลิ่วสุยเฟิงแบมือพลางยิ้มฝาดเฝื่อน “ตรวจสอบอย่างไร”

ไท่สุ้ยงุนงง “ยื่นขอตรวจสอบสมุดบัญชีที่เขาเป็นผู้จัดทำ!”

หลิ่วสุยเฟิงกล่าว “พูดนั้นง่าย ไม่ว่าคดีสร้างตำหนักอวี้ชิงหรือพิธีนมัสการที่ไท่ซัน ขุนนางหลักผู้รับผิดชอบล้วนเป็นติงเว่ย อัครเสนาบดีแห่งราชสำนัก เจ้าคิดว่าพวกเราตรวจสอบได้อย่างเปิดเผยหรือ”

ไท่สุ้ยจนคำพูดในชั่วขณะ “นี่...”

หลิ่วสุยเฟิงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “นอกจากนี้งานการของกรมโยธาพวกเราก็ไม่คุ้นเคย ในบรรดาบัณฑิตน้อยนักจะมีผู้ที่เก่งเรื่องการก่อสร้าง การคำนวณ และการบริหารการเงิน ต่อให้พวกเรามีโอกาสเสาะหาสมุดบัญชีเหล่านั้นจนพบ ก็ยากตรวจสอบปัญหาที่อยู่ในนั้น”

ไท่สุ้ยและหลิ่วสุยเฟิงต่างจมอยู่ในภวังค์

คิดอยู่ครู่ใหญ่ พลันสองตาของไท่สุ้ยก็สว่างวาบ คว้าจับแขนหลิ่วสุยเฟิงอย่างตื่นเต้น “หน่วยดาวพิฆาตของเราเป็นหน่วยงานตรวจสอบทำคดีพิเศษ ไม่ถนัดตรวจสอบคดีตามเบาะแสทีละขั้นทีละตอน ไยต้องใช้สิ่งที่เราไม่เชี่ยวชาญไปรับมือกับสิ่งที่คนร้ายเชี่ยวชาญด้วยเล่า”

หลิ่วสุยเฟิงมองเขาอย่างสงสัย “เจ้าเห็นว่า...?”

ไท่สุ้ยตอบ “เด่นชัดยิ่งว่าหยางต้าฉีถูกผู้ร่วมสมคบคิดกระทำทุจริตสังหารปิดปาก! ต่อให้พวกเราตรวจสอบบัญชีหยางต้าฉีว่ามีปัญหาได้จริง จับขุนนางกระทำทุจริตได้เป็นกลุ่มก้อน แต่คิดจับกุมผู้ที่สังหารทำร้ายเขา ยังต้องเสาะหาหลักฐานที่สังหารเขาออกมาก่อน เช่นนั้นไฉนพวกเราไม่กระทำตรงกันข้าม เสาะหาฆาตกรสังหารคนออกมาก่อนเล่า”

ดวงตาของหลิ่วสุยเฟิงสว่างวาบ “จริงสิ คำเดียวปลุกคนในฝันให้ตื่นโดยแท้จริง เป็นไปไม่ได้ว่าสังหารคนแล้วจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ พวกเราควรลงมือจากการตายของหยางต้าฉี นี่ถึงส่งเสริมในสิ่งที่พวกเราเชี่ยวชาญ หลีกเลี่ยงสิ่งที่พวกเราไม่เชี่ยวชาญ”

ไท่สุ้ยพยักหน้าต่อเนื่อง “เป็นเช่นนี้!”

หลิ่วสุยเฟิงตบบ่าไท่สุ้ยอย่างดีอกดีใจ “ไป พวกเราไปจวนตระกูลหยางอีกครั้ง”

ไท่สุ้ยลังเลยามเอ่ย “แล้ว... เหยากวง...”

หลิ่วสุยเฟิงโบกมือ “คลี่คลายคดีสำคัญ ไม่ต้องสนใจนางแล้ว”

พูดจบเขาก็คว้าไหล่ไท่สุ้ย สองคนจากไปอย่างสนิทสนม

 

เหยากวงนั่งอารมณ์บูดตรงขอบเตียง ลองเงี่ยหูฟัง ด้านนอกไร้ความเคลื่อนไหว ก็ยิ่งโมโหหนักขึ้น จึงพึมพำ “เศษสวะ! ไม่มีน้ำอดน้ำทนแบบนี้ โดนเอ็ดไปสองคำก็หนีไปเสียแล้ว”

นางอดรนทนไม่ไหวอย่างแท้จริง กระโดดพรวดพุ่งตัวมาดึงเปิดประตู แต่เมื่อนางโผล่หน้ามองไปด้านนอก ก็เห็นหลิ่วสุยเฟิงและไท่สุ้ยกระซิบกระซาบอย่างตื่นเต้นยินดีเดินออกไปด้านนอกพอดี เหยากวงโมโหจนกระทืบเท้ารุนแรง เดิมทีคิดเหวี่ยงประตูปิดไม่แยแส แต่กัดริมฝีปากตรึกตรองแล้วก็ลอบติดตามไปเงียบๆ

หลิ่วสุยเฟิงและไท่สุ้ยเดินกอดคอกัน เหยากวงแฉลบหลบหลังภูเขาจำลองลอบมอง เห็นรอยจุมพิตบนแก้มและคอเสื้อของหลิ่วสุยเฟิง ก็บ่นพึมพำอย่างโมโห

“หลิ่วสุยเฟิงตัวดี จะพาไท่สุ้ยไปถนนบุปผาตรอกหลิ่ว185 อีกแล้ว!”

นางเดือดดาลแทบพุ่งตัวออกไป สองตาพลันกลอกไปมา หันขวับเดินจากไป

บัดนี้ไคหยางสวมชุดเข้ารูปกำลังปรับแต่งอะไหล่บนหุ่นเกราะแมงมุม เหยากวงกระหืดกระหอบวิ่งเข้ามา

“พี่ไคหยาง ยืมสิ่งของให้ข้าหน่อย!”

ไคหยางนั่งยองๆ อยู่บนหุ่นเกราะแมงมุม ยิ้มตาหยีถามนาง “ยืมอันใดหรือ”

“ยืมเกราะรบชุดหนึ่ง!”

ไคหยางออกจะคาดไม่ถึง จึงถามขึ้น “เกราะรบ? เจ้าจะเอาของสิ่งนั้นไปทำอันใด”

“ข้าจะสั่งสอนเหวินฉวี่ เขาไม่รักดียังพอว่า ตอนนี้กระทั่งลูกศิษย์ข้ายังถูกเขาชักนำไปในทางเสียหายแล้ว! แต่พละกำลังยามสำแดงพลังระห่ำของข้าประเดี๋ยวใช้การได้ ประเดี๋ยวใช้การไม่ได้ ขอเพียงมิใช่เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟก็สำแดงไม่ออก เอาชนะเขาไม่ได้” เหยากวงมีสีหน้าเคืองขุ่น

ไคหยางขมวดคิ้ว “หลิ่วสุยเฟิงพาไท่สุ้ยไปเที่ยวหอคณิกาอีกแล้วหรือ”

เหยากวงบ่นอย่างโมโห “หรือมิใช่ เมื่อวานพวกเราไปจวนตระกูลหยางสืบคดี ผักกาดหัวหลายใจผู้นั้นก็เอาแต่เกาะแกะสตรี ค่ำคืนไม่กลับยังพอว่า เมื่อครู่ยังมีรอยจูบทั้งตัวแล้วพาไท่สุ้ยออกไปอีก ท่านว่าพวกเขายังไปกระทำเรื่องดีอันใดได้”

ไคหยางได้ฟังคำนี้แล้วก็เคร่งขรึมขึ้น “เหวินฉวี่นิสัยดั้งเดิมเจ้าชู้ประตูดิน ยามปกติก็ช่างเถอะ ขณะปฏิบัติหน้าที่ยังสำมะเลเทเมาเยี่ยงนี้ ช่างไม่เข้าท่าอย่างแท้จริง”

พูดจบนางก็หมุนประแจหุ่นเกราะแมงมุม กระโดดลงมาบนพื้น “ไป! ข้าไปพร้อมเจ้า!”

“ท่านไปด้วย? ประเสริฐเหลือเกิน!” เหยากวงยิ้มหน้าบาน

สองคนเดินมาถึงห้องเก็บของ ไคหยางทาบมือบนอิฐก้อนหนึ่งหน้าประตูอย่างแผ่วเบา แล้วหมุนซ้ายขวาหลายครั้ง ประตูศิลาเปิดออก แสงแดดสายหนึ่งสาดส่องเข้าสู่ด้านใน เผยให้เห็นเกราะอันน่าเกรงขามหลายชุดภายในห้อง ชุดเกราะเหล่านี้ตั้งเรียงรายแนบติดผนัง คล้ายยามรักษาการณ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่เต็มกำลัง แผ่รังสียะเยือกเย็นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนโดยไม่มีสาเหตุ

ไคหยางกวาดตามองสี่ด้านด้วยสีหน้าท่าทางกระฉับกระเฉง ชี้นิ้วไปด้านในพลางเอ่ย “เหยากวง เลือกสักชุดเถอะ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น