5

คำที่ 5


คำที่ 5

“พี่ให้มันกินไรเข้าไป”

ธันน์งงไม่น้อยเพราะหลังจากออกมาจากห้องของตัวเองก็พบว่าไลลาลิณกับมานเมตต์นั่งจ้องหน้าจ้องตากัน ทว่าไม่ได้มีแววหวาน แต่ปะทุไปด้วยภาวะสงครามเหมือนเขานั่งอยู่กลางสมรภูมิระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน ต่างก็เพียงไม่ได้มีใครปาอะไรใส่ศัตรู โดยไม่ได้รู้เลยว่าทั้งคู่ระเบิดอารมณ์ใส่กันไปแล้ว ส่วนตอนนี้เพื่อนรักของเขานั่งตาเยิ้มซบอยู่ที่บ่าข้างขวา เพราะนั่งดีๆ ด้วยตัวเองไม่ได้ เลื้อยเหมือนคนไม่มีกระดูกสันหลัง เลิกดูซีรีส์เกาหลีที่ติดงอมแงมไปนานแล้ว เอาแต่ชี้ชวนให้เขาชื่นชมความหล่อของคนที่เตะลูกบอลไปมาในจอ จนดูอะไรไม่รู้เรื่องทั้งนั้น

“ก็นี่ไง” มานเมตต์ชี้ไปที่เครื่องดื่มตรงหน้าอย่างงงๆ จากแก้วนั้นที่เขาเทให้ ไลลาลิณก็ยังไม่ได้แตะเพิ่มเลยแม้แต่หยดเดียว แต่ไหงเลื้อยเป็นงูแบบนั้น ไม่คิดว่าไลลาลิณจะคอตกเพราะเหล้าแค่ครึ่งแก้ว เห็นกินไวน์ได้ชิลชิลทั้งคืน วันก่อนก็ค็อกเทลตั้งหลายแก้วซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าหล่อนแค่จิบเอารสชาติ คนที่ดื่มให้จนหมดไม่เหลือน่ะธันน์ต่างหาก

“ตายห่า พี่ให้มันกินเหล้าเหรอ ผสมไรไปอะ”

นี่ถ้าซวยผสมโค้กเข้าไปรับรองว่านอกจากไม่ต้องนอน คืนนี้ต้องมีการเช็ดอ้วกกันอย่างแน่นอน คนที่อยู่กันมาห้าปีแต่แทบจะทุกวันรู้เป็นอย่างดีว่าอาการของไลลาลิณจะเป็นอย่างไร ไม่หลับ ไม่นอน งอแง มือไม้เป็นระวิง เอาแต่หลับตา แต่ปากก็ไม่ปิด พูดเรื่อยเปื่อยไปได้ทั้งคืนนั่นแหละ

“เปล่า”

เจ้าของวิมานรีบกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตอบ ในชีวิตตัดสินใจไม่ถูก ทำอะไรที่ไม่ควรมาก็มาก แต่ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ให้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามาก่อน รีบเปิดน้ำส่งให้ธันน์ซึ่งกำลังจะเอื้อมมาหยิบ แต่ก็ขยับตัวได้ไม่มาก เพราะไลลาลิณทาบทับอยู่เกือบครึ่งตัว

“เปล่าคือไร ไม่ได้ให้กิน แล้วทำไมมันเมาเพ้อเจ้อแบบนี้”

น้ำเสียงของคนมีวัยแค่ยี่สิบหกเอาเรื่องพอตัว จนรุ่นพี่แอบรู้สึกแย่ เพราะความผิดครั้งนี้น่ะเขาชัดๆ ที่ก่อให้เกิดขึ้น

“เปล่าคือไม่ได้ผสม ทำไมวะ เขาแพ้เหล้าหรอกเหรอ”

“พี่เอ๊ย ไม่ต้องหลับต้องนอนกันแล้ว ไลลามันกินเหล้าไม่ค่อยได้ ขนาดเหล้าบางๆ ครึ่งฝา ผสมน้ำแก้วเดียวก็เต้นเลื้อยแล้ว พี่นะพี่”

ธันน์ส่ายหัวพลางดันตัวไลลาลิณให้นั่งดีๆ ไม่ใช่ไม่ห่วงกัน แต่ตอนนี้ร่างกายซีกขวาของเขาเริ่มที่จะใช้การไม่ได้ ในขณะที่คนเมาก็พูดอยู่คนเดียว ไม่สนใจหรอกว่าผู้ชายสองคนจะกระซิบกระซาบอะไรกัน

ด้านมานเมตต์ก็เจื่อนจืดทั้งที่ทำหน้าขรึม กำลังจะอ้าปากขอโทษอยู่แล้วเชียว แต่ธันน์ก็ดันทะเล่อทะล่าออกมาจากห้องส่วนตัวเสียก่อน และหลังจากวินาทีนั้นไลลาลิณก็โผเกาะเพื่อนแจไม่ยอมปล่อย

“ก็กูไม่รู้นิหว่า”

“ใครพูดกูมึงอะ” คนเมายังอุตส่าห์ได้ยิน เอ่ยเสียงหวานแบบห้วนๆ ขึ้นมา แต่ลืมตายกหัวมองไม่ไหว พลางหยิกแขนเพื่อนเพื่อปรามในสิ่งที่ตัวเองเคยขอเอาไว้ “ธันน์อะ ไลลาบอกแล้วว่าอย่าพูดจาไม่น่ารัก ห้ามๆ ใครพูด ไลลาจะไม่รัก อยากให้ไลลาไม่รักไหม”

“อือ ไม่พูดๆ รักกันเหมือนเดิมนะ นั่งดีๆ ก่อน” ชายหนุ่มรับคำทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเอ่ยคำดังกล่าว

ส่วนคนหลุดปากออกมาก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ รักไม่รักไม่รู้ รู้แต่ว่าประโยคเมื่อครู่ที่ได้ยินทำเขาหายใจไม่ค่อยออกขึ้นมาทันที พยายามบอกตัวเองว่าต่อไปนี้คงต้องระวังปากระวังคำมากกว่าปกติ

“กินน้ำเยอะๆ ไลลาเมาแล้ว”

มือหนึ่งของธันน์ประคองตัวเพื่อนไว้ อีกมือประคองขวดน้ำจ่อให้ที่ริมฝีปากแดงน่ารัก โดยที่มีมานเมตต์จับจ้องอยู่ตลอดเวลา อยากจะบอกธันน์ว่าควรช้อนตัวไลลาให้นั่งตรงๆ แหงนหน้าหล่อนให้สูงกว่านี้ และน้ำเขาป้อนเร็วเกินไป กลัวว่าไลลาลิณจะสำลัก และเพราะรุ่นน้องทำอะไรก็ไม่ถูกใจ ขัดหูขัดตาไปหมด คนร่างใหญ่จึงร่ำร่ำจะลุกขึ้นไปจัดการเอง แต่ก็รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ เลยได้แต่นั่งมองอยู่แบบนี้

“เมาที่ไหน ไลลากินไปแก้วเดียวเองน้า”

ก็แก้วเดียวนี่แหละ ย้วยแบบนี้ทุกครั้ง ธันน์ได้แต่คิดในใจก่อนจะหันไปคาดโทษคนตัวโตที่นั่งมองเขาจัดการกับเพื่อนรัก กำลังจะออกปากให้มานเมตต์ไปเอาผ้าชุบน้ำเย็นๆ มาให้ แต่โทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้น จะไม่รับสายก็ไม่ได้ เพราะเห็นเป็นเบอร์ที่ร้านของตัวเอง เลยต้องกวักมือเรียกรุ่นพี่ให้มาช้อนประคองสาวสวยที่หลับตา แต่ปากยังพึมพำ

“มาช่วยจับไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้มันนอนราบนะพี่ เดี๋ยวอ้วก”

“ได้ๆ”

มานเมตต์กุลีกุจอลุกขึ้น ก่อนจะรีบสอดมือเข้ารับร่างบางก่อนจะทิ้งตัวลงนั่นแทนธันน์ อาจจะเพราะด้วยสรีระร่างกายที่ไม่เหมือนกัน อุณหภูมิที่ต่างไป หญิงสาวจึงไถลตัวเองไปบนร่างคนตัวใหญ่เพื่อหามุมสบายใหม่ เล่นเอามานเมตต์ตัวแข็งทื่อ เพราะไม่ได้รับสัมผัสชิดใกล้ระดับนี้มาเป็นปีๆ ยิ่งเป็นผู้หญิงที่มีพื้นที่ในสมองเขาแบบนี้ยิ่งไม่ได้พบผ่านมานานมาก ในขณะที่อีกคนก็ไม่ได้ลืมตาดูเลยว่าคนที่อิงแอบอยู่นั้นไม่ใช่ธันน์

“ทำไมธันน์ตัวแข็ง”

เพราะที่ซบอยู่คือกล้ามแขนแน่นๆ แม้จะจับบีบทุบมานับครั้งไม่ถ้วนแต่วันนี้มันกลับให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

“อืม”

“ตัวพอง ทำไมตัวใหญ่ ธันน์อ้วนเหรอ”

เพราะมือบางสอดรอบเอวอีกคนทำให้รู้สึกได้ว่ารอบตัวชายหนุ่มไม่บางเท่าเดิม ซึ่งคำพูดนั้นเล่นเอาคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจนมีกล้ามเนื้อสวยงามไปทุกมัดนิ่วหน้า นี่ถ้าได้เห็นได้ลูบได้คลำรับรองว่าจะไม่พูดแบบนี้

“อืม”

“ทำไมกลิ่นธันน์แปลกๆ อะ”

เพราะนอนไม่สบายหล่อนเลยขยับตัวถูไถจมูกกับกายแกร่งจนได้กลิ่นเปลือกไม้ผสมโทแบคโคแบบน้ำหอมของผู้ชายดุดันลอยเข้าในโสตประสาท ยิ่งได้กลิ่นยิ่งทำจมูกฟุดฟิด สูดเข้าในปอดแล้วไม่คุ้น แต่รู้สึกผ่อนคลาย เหมือนกำลังโดนดึงเข้าสู่ที่นอนอันแสนสบายมากขึ้นทุกวินาที

“อืม”

“ธันน์ ไลลาว่า...” หญิงสาวพูดพลางกระชับมือที่กอดรอบตัวเขาแน่น เล่นเอามานเมตต์ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร จะขยับ อีกคนจะตื่นไหม บอกตัวเองว่านั่งนิ่งๆ ยังงี้ให้หล่อนซบต่อไปท่าทางจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ให้ไลลาลิณอยู่ในโพสิชันนี้เขาเองก็อุ่นในใจแปลกๆ ดีด้วย “...ธันน์”

“ว่าไง จะเอาอะไร”

เพราะอะไรไม่รู้มานเมตต์ยกมือขึ้นโอบรอบบ่าหญิงสาว กระชับตัวหล่อนให้อยู่นิ่งๆ ไม่ขยุกขยิกเคลื่อนไหว ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไปนั้นก่อให้เกิดความอบอุ่นแก่ไลลาลิณจนหล่อนยิ้มแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น

“ดีจัง ธันน์ห้ามไปไหนนะ”

จะให้ไปไหนได้ ก็เล่นทั้งอิงแอบ ทั้งกอดไว้แบบนี้ แต่มานเมตต์ก็ไม่ได้ตอบ เลือกที่จะกระชับมือที่โอบให้แน่นขึ้นแล้วลูบขึ้นลูบลง จำคำที่ธันน์สั่งไว้ได้ดีว่าอย่าปล่อยให้ไลลาลิณนอนราบไป แต่ไม่ได้สั่งว่าอย่าปล่อยให้หลับ ไม่รู้เลยว่าถ้าอีกคนเมาเหล้าจะยิ่งเจื้อยแจ้วผิดวิสัยธรรมดาเป็นอย่างมาก

“ธันน์ไม่เคยกอดไลลาแบบนี้เลยนะ” แม้จะโดนเนื้อถูกตัวกันตลอดก็ไม่ใช่การกอดในรูปแบบนี้ ส่วนใหญ่จะล็อกคอลากแขนกันเสียมากกว่า แม้คนอื่นจะมองว่าเป็นสัมผัสใกล้ชิดฉันชู้สาวก็ตาม “อบอุ่นดีจัง ไลลาชอบ”

ชอบก็จะได้จำไว้ คนตัวโตบอกตัวเองในใจ แล้วก็ต้องพูดกับตัวเองอีกทีว่าจะต้องทำยังไงไม่ให้ยายนี่ไปขอร้องให้ธันน์มากอดแบบนี้อีก

“อยากอยู่แบบนี้ตลอดไป ธันน์อย่าทิ้งไลลาไปไหนนะ”

คนไม่เคยได้รับไออุ่นจากครอบครัวบอกเจ้าของอ้อมกอด แปลกใจเล็กหน่อยละว่าทำไมวันนี้สัมผัสของธันน์ให้ความรู้สึกแตกต่างจากทุกที แต่ก็สรุปเอาเองว่าตัวเองน่าจะเมา เลยไม่ได้ติดใจอะไร

“ไม่ทิ้ง”

ไม่รู้อะไรเหมือนกันที่ทำให้มานเมตต์พูดแบบนั้นออกไป อาจจะเพราะกลัวอีกฝ่ายอ้วกจนเลอะเทอะเลยยอมเออออทุกอย่างหรือไม่ก็เพราะน้ำเสียงที่แสนน่าสงสารนั้นทำให้เขาอยากจะดูแล อะไรที่ทำให้สบายกายสบายใจได้ก็อยากจะทำให้ไปเสียหมด

“หนาวไหม ผ้าห่มไหม”

“ไม่อะ ไลลาร้อนด้วยซ้ำ” คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปเลยทำให้หญิงสาวรู้สึกเช่นนั้น

ในขณะเดียวกันมานเมตต์ก็หันไปสังเกตอาการ ประจวบเหมาะกับตอนที่ไลลาลิณเลื่อนตัวขึ้น ทำให้ริมฝีปากของเขาประทับลงที่หน้าผากใสไร้เครื่องสำอาง โดยที่หนุ่มใหญ่ไม่คิดจะผละออก กลับดึงลมหายใจเข้าปอดเต็มที่ หลับตาลงราวกับจะซึมซับวินาทีนี้ไว้ แต่แล้วก็ต้องรีบผละออกเพราะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนของคนที่เพิ่งขอตัวเข้าไป

“พี่หมาก”

ธันน์แค่ยื่นหน้าออกมาทั้งๆ ที่มือยังแนบโทรศัพท์ไว้กับหูพลางเขม้นตามองภาพตรงหน้า หึ คนคู่ที่จะกัดกันเมื่อชั่วโมงที่แล้วไม่รู้หายไปไหน ตอนนี้ถ้าไม่รู้มาก่อนจะนึกว่าเป็นคู่รักกำลังอิงแอบแนบชิด นี่ถ้าไม่อคติหรือหวงเพื่อนก็ต้องบอกเลยว่าภาพตรงดูน่ารัก ผู้ชายตัวใหญ่หน้าตึงกำลังโอบประคองคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน ปกป้องดูแล แต่ก็มีแววเอาเรื่องไม่น้อย

“ว่า?” คนมีชนักติดหลังรีบขานรับ แต่ไม่ได้รู้เลยว่ามือที่โอบบ่าไลลาลิณไว้ลูบแขนคนมีสติไม่ครบร้อยเบาๆ ราวกับจะกล่อมไม่ให้ตกใจเพราะเสียงที่ดังรบกวนขึ้นมา

“ฝากดูต่อแป๊บนะ ผมเคลียร์ตำรวจให้ที่ร้านอยู่ ทนคุยกับมันไปก่อนนะ ไลลามันเมาแล้วพูดมาก”

พูดจบธันน์ก็ผลุบเข้าห้องนอนไปอีกที ปล่อยให้มานเมตต์ต้องกลายเป็นเพื่อนคุยกับคนเมาที่ตอนมีสติไม่มีเรื่องดีๆ จะสนทนากันด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้หนุ่มใหญ่ขอทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีกว่าครั้งก่อน

“อยากเข้าห้องน้ำไหม ไลลา ผมพาไป หรืออยากกินอะไรร้อนๆ เอามะ จะได้ดีขึ้น”

เป็นครั้งแรกที่มานเมตต์เรียกชื่อหญิงสาวตอนพูดกับเจ้าตัว พยายามนึกหาอะไรมาชวนคุย พยายามคิดว่าคนเมาย้วยแบบนี้ต้องการอะไรถึงจะช่วยให้อาการดีขึ้น

“ไม่อาว ไลลาอยากฟังเพลงอะ ธันน์เปิดเพลงดิ”

มือบางละออกจากเอวแกร่งเล่นเอามานเมตต์อ้างว้างขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะต้องเปลี่ยนเป็นตกใจเพราะหล่อนตะปบมือไปตามหน้าขาเขา เฉียดจุดยุทธศาสตร์ไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด เล่นเอาคนจิตแข็งร้องเสียงหลง แค่มานั่งเบียดออเซาะอยู่แบบนี้เขาก็จะทนไม่ไหว ยังมาลวนลามกันอีก

“เฮ้ย! จะเอาอะไร อย่าจับไปเรื่อยสิ”

“ไลลาจะฟังเพลงงาย ธันน์เปิดเซ่ เปิด เปิด”

คนยืนหนึ่งเรื่องเอาแต่ใจตัวเองพูดอ้อแอ้ แม้สติยังไม่ครบร้อย แต่ก็ดึงดันให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

“รู้แล้วๆ นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวเปิดให้”

เพราะไม่อาจขัดใจคนที่เอาแต่ใจได้ มานเมตต์จึงรีบใช้มือข้างที่ว่างกดเปิดแอปฟังเพลงที่มีในมือถือ เลือกเพลงที่เขาชอบที่สุดในอัลบัมส่วนตัวของเขา เปลี่ยนท่านั่งให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น วินาทีนั้นใจของหนุ่มหล่อเกิดความคิดขึ้นมาว่าได้ฟังเพลงที่ชอบกับคนที่ใช่ กอดกันแบบนี้ก็มีความสุขดี

ปล่อยกายให้ผ่อนคลาย ปล่อยให้เพลงดังไปได้แค่เพียงประโยคเดียว

“ฉันเพิ่งเข้าใจความรักว่าเป็นอย่างไร ฉันเพิ่งเข้าใจความหมายที่มี”

แล้ววินาทีถัดมาก็ต้องกดปิดแทบไม่ทันเพราะเสียงหวานดังแผ่วขึ้นที่หูขวา เล่นเอามานเมตต์อยากจะจับไลลาลิณทุ่มลงพื้นทันที

“หือ” น้ำเสียงแบบคนโดนขัดใจ “ธันน์เปิดเพลงอะไรอะ ไลลาเกิดไม่ทัน”

 

เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคู่ดังที่มานเมตต์ชวนธันน์ดูด้วยกันทั้งเพราะเป็นแฟนตัวยง ทั้งเพราะอยากหาเรื่องมาเห็นหน้าคนที่ซบบ่าเขาตอนนี้จบลงไปแล้วพักหนึ่ง แต่อีกคนก็ยังไม่โผล่หัวออกมาหลังจากขอตัวเข้าไปโทรศัพท์เคลียร์ปัญหาเรื่องงาน ส่วนคนที่เขาประคองไว้ก็หลับลึกไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะไม่ว่าจะเรียก จะขยับอย่างไร หญิงสาวก็คอพับคออ่อนซบเขาอยู่แบบนั้น

มานเมตต์ตัดสินใจช้อนตัวหล่อนขึ้นในอ้อมแขน รับรู้ ณ วินาทีนั้นว่าตัวไลลาลิณเบาโหวงจนแทบไม่รู้สึกอะไร ก้มมองคนที่อิงหน้าแนบชิดไปกับอก หวั่นใจว่าหล่อนจะได้ยินเสียงหัวใจเขาที่เต้นอยู่ในอกหรือไม่ เลยรีบก้าวขามุ่งไปทางห้องนอนอีกห้อง ก่อนจะวาง

ร่างเล็กลงบนเตียง ไม่วายเอื้อมมือเข้าใกล้หน้าสวย หมายจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้ารุงรังออกให้ แต่เหมือนใจไม่ได้ฟังสมอง เพราะมานเมตต์เผลอประกบฝ่ามือหนาลงบนแก้มที่เย็นชืดของหล่อน รู้ตัวตอนที่หน้าใสเอียงเข้าดูดอุณหภูมิอุ่นไป เลยรีบใช้ปลายมือจัดการตามสิ่งที่บอกตัวเองให้ทำตั้งแต่ทีแรก แล้วรีบห่มผ้าให้คนที่ผ่อนลมหายใจยาวหนักแน่นขึ้นทุกวินาที รีบปิดไฟห้องนอนให้เข้าสู่ความมืด หวังเพียงว่าหล่อนจะหลับได้สนิท ไม่มีความคลื่นเหียนใดๆ ที่ต้องทำให้ตื่นกลางดึกรบกวนเวลาพักผ่อน

ดูเหมือนคนที่มีปัญหาเรื่องแสงสว่างอย่างไลลาลิณจะรับรู้ได้ตั้งแต่วินาทีที่ห้องอยู่ในความมืด หล่อนจึงดิ้นซ้ายขวา ยกมือขึ้นไขว่คว้าบางอย่างไว้

“ไม่...อย่า...อย่าทิ้งหนูไป”

คำพูดนั้นเล่นเอาคนขายาวที่คิดว่าเขาไม่ควรใช้เวลาอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงคนนี้อีกต่อไปหันหลังเดินกลับมาคว้ามือบางบีบเบาๆ ตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ซึ่งอีกคนก็โผเข้ารัดรอบเอวสอบไว้แน่น ปากก็พึมพำพูดอะไรไม่เป็นภาษา จนมานเมตต์ต้องเอ่ยถามซ้ำเพื่อความแน่ใจว่าหล่อนต้องการออะไร

“ว่าไง เอาอะไรไลลา”

มือหนาลูบหัวของคนที่มาซุกนอนอยู่บนกล้ามท้องแน่นหนั่น เอากับเขาสิ นี่ต้องนั่งกล่อมไปถึงเมื่อไร

“อย่า...อย่าปิด”

“หืม? ว่าไงนะ อย่าปิดอะไร จะเอาอะไร พูดชัดๆ เดี๋ยวทำให้”

“อย่าปิดไฟ อย่าไป หนูกลัว”

มือบางบีบมือคนที่จับมือหล่อนไว้แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปไหน ในห้วงวินาทีนั้นเหมือนหล่อนจะรับรู้ว่าคนที่ให้ความอบอุ่นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ธันน์เพื่อนรัก เพราะในจังหวะที่มีคนใจดีกดเปิดไฟให้ ไลลาลิณก็แหงนหน้าขึ้นไปดู เห็นว่าเป็นหน้าหล่อของผู้ชายดุดัน พร้อมกับที่เสียงทุ้มๆ ของเขาคอยพูดปลอบเอาใจ จนหล่อนไม่คิดจะลืมตาหาความจริงเพราะกำลังสบาย ปล่อยสติสัมปชัญญะให้เข้าสู่ภาวะนิทรา ได้แต่บอกตัวเองในความฝันว่าไม่ใช่มานเมตต์หรอก ต้องเป็นธันน์นี่ละที่ดูแลอยู่ ที่เห็นเป็นหน้าอีกคนคงเพราะฝังใจกับความใจร้ายของเขา ไม่ได้รู้เลยว่าระหว่างที่อีกคนพูดว่าเขาจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ตัวเองก็ตัดพ้อออกไปจนชายหนุ่มวูบโหวงในอกพอตัว

“คุณใจร้าย คุณพูดทำร้ายหัวใจไลลา”

 

“ไงเรา แฮงก์ละสิ”

เช้าแล้ว แต่ธันน์ยังไม่ได้นอน เมื่อวานกว่าเขาจะเคลียร์ปัญหาเรื่องงานได้ก็เป็นเวลาตีหนึ่ง เมื่อเดินออกมาที่ห้องรับแขกก็ตกใจไม่น้อยเพราะไม่พบทั้งเพื่อนทั้งพี่ ก่อนจะมาพบว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันในห้องนอน แม้จะเปิดเข้ามาแล้วไม่เห็นภาพอนาจารใดๆ มีไฟสว่างเปิดโร่ แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาเขาพูดไม่ออก และก็ดูเหมือนว่ามานเมตต์จะรู้ดี เพราะอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ดึงแขนและตัวออกมาลุกขึ้นยืนนิ่งข้างเตียงที่ไลลาลิณนอนอยู่ทันที

...

‘อะไรกันพี่’ ธันน์มองสีหน้าเรียบเฉยของรุ่นพี่ ในแววตาแน่วแน่มั่นคง แต่แปลความหมายไม่ออก จนคนอ่อนวัยกว่าต้องเปิดปากถาม

‘ไม่มีอะไร’ มานเมตต์ตอบธันน์ แต่ชั่วพริบตาหนึ่งผู้ชายวัยยี่สิบหกจับสังเกตได้ว่าตาคมกริบของเจ้าของวิมานทอดมองร่างเล็กด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันมามองเขาอย่างราบเรียบเหมือนเดิม

‘งอแงเหมือนกันนะ เมาแล้วโวยวาย ไม่ยอมอยู่คนเดียว พี่เลยต้องนั่งเป็นเพื่อน’

ตอนนั้นธันน์ได้แต่ยืนนิ่ง มองไลลาลิณที มองมานเมตต์ที ก่อนจะผายมือให้รุ่นพี่เดินออกมาจากห้องนอนของหญิงสาว ตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อยู่ในหัว และถามสิ่งที่ค้างในใจ คุยกันอยู่อีกนานสองนานจนเกือบตีสามจึงได้คำตอบที่แม้จะไม่ต้องการ แต่ก็ถือว่าชัดเจนมากพอเท่าที่เวลาจะอำนวยถึงได้แยกย้ายกัน

จากนั้นธันน์เองก็นอนไม่หลับ เลยตัดสินใจชงกาแฟ ลากคอมพ์มานั่งทำรายงานที่วันนี้ตั้งใจว่าต้องทำกับไลลาลิณ จนตอนนี้เหลืออีกแค่ไม่กี่หน้าที่รอข้อมูลเพิ่มเติมจากลูกน้องที่เขาจ่ายพิเศษให้ช่วยหาข้อมูลก็จะเสร็จสิ้น อาจจะไม่ได้เอ ไม่ได้คะแนนสูงสุด แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่าทั้งธันน์และไลลาลิณจะมีสิทธิ์สอบวิชาสุดท้ายนี้ จากนั้นก็เหลือแต่ทำโพรเจกต์ส่ง ทั้งคู่ก็จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีกันเสียที

“อือ ปวดหัวนิดนึงอะ เมื่อคืนธันน์เอาไลลาเข้าไปนอนกี่โมงเหรอ ขอบคุณนะ”

คนเพิ่งตื่นหาวหวอดใส่ชายหนุ่มที่นั่งตรงหน้า วางมือถือที่เดินไถมาตลอดทางจากห้องนอน ลุกไปกดกาแฟจากเครื่องเนสเพรสโซที่วิมานมีไว้บริการแขกในห้องพัก ในขณะที่ธันน์ได้แต่มองตามร่างบางที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าตัวใหม่เรียบร้อย แม้หน้าตาจะมีร่องรอยของความไม่สดใส แต่ก็ดูสดชื่นไม่น้อย

“หึ จำไรไม่ได้เลยหรือไง พูดกี่ครั้งว่าเหล้าน่ะอย่าแตะ ไม่ก็ให้ธันน์อยู่ด้วย”

คนแก่กว่าส่ายหัว ถามตัวเองอีกทีว่าสิ่งที่ตอบธันน์ไปเมื่อคืนเป็นความจริงของหัวใจใช่ไหม

...

‘มาถามพี่ ธันน์ตอบตัวเองก่อนดีกว่าว่าธันน์ชัดเจนเแค่ไหน’

ตาคมกริบมองธันน์ เขาว่าเขาก็มีสิทธิ์ถามไม่ต่างกัน

‘ผมพูดกับพี่หลายทีแล้วนะว่าไลลาเป็นเพื่อนรัก ผมรักมันแบบน้องสาว’

ทุกครั้งเขาก็บอกไปแล้วว่าความสัมพันธ์ที่มีกับไลลาลิณเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นความผูกพันแบบเพื่อนที่รักกันแบบพี่น้อง เป็นการเติมเต็มในส่วนที่ไม่มีของคนที่ขาดเหมือนๆ กัน ไม่เคยสักครั้งที่ธันน์จะมองไลลาลิณอย่างผู้หญิงที่จะมีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้องได้

‘พี่ก็เห็นหลายทีว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่พูด’

ก็ความใกล้ชิดสนิทสนมต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นแก่สายตาไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกับคำพูดของธันน์แม้แต่น้อย

‘ผมรู้ แต่ทั้งผม ทั้งไลลา บริสุทธิ์ใจ’

‘แกแน่ใจว่าผู้หญิงเขาไม่ได้คิดอะไรกับแก’

นี่ขนาดมานเมตต์เพิ่งพูดกับธันน์ไปว่าเขาแค่ ‘สนใจ’ ไลลาลิณ ยังตอบไม่ได้หรอกว่าจะพัฒนาไปถึงการเป็นความรักได้ไหม จะยืดยาวถาวรหรือเปล่า เพราะระยะเวลาแค่สี่ห้าวันที่รู้จักกันทำให้ยังตอบไม่ได้ แต่ให้รุ่นน้องรับรู้ไว้ว่าสิ่งที่เขามีคือความจริงใจที่ไม่ได้จะมาหลอกเอาประโยชน์ หรือหาความสุขฉาบฉวย

‘ไม่แน่นอน เราคุยกันแล้ว’

ธันน์พูดตรงๆ ว่าตอนที่เขาสนิทกับไลลาลิณใหม่ๆ มีทั้งคนที่พูดด้วยความชื่นชมเชียร์ให้เป็นคู่จิ้นกับหล่อนที่เป็นดาวมหาวิทยาลัย บ้างก็หาว่าไลลาลิณไร้สติ คว้าคนที่เรียนไม่รู้กี่ปีก็ยังไม่ไปถึงไหนมาไว้ใกล้ตัว จึงเปิดอกเคลียร์กันว่าเข้าใจถูกใช่ไหมว่าไม่ได้มาจีบ คำตอบที่ธันน์ได้ในวันนั้นก็เล่นเอาชายหนุ่มขำ เพราะหญิงสาวที่ได้ตำแหน่งสวยที่สุดในมหาวิทยาลัยบอกหน้าตาเฉยว่าที่ยอมสนิทสนมด้วยก็เพราะดูออกนี่ละว่าเขาไม่มีเจตนาชู้สาวใดๆ ยังบอกต่ออีกว่าไม่เดือดร้อนถ้าใครจะเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกัน ดีเสียอีกจะได้ไม่มีใครมาวอแว เพราะหล่อนไม่เชื่อว่าความรักมีจริง และไม่ต้องการสานสัมพันธ์กับใคร

เมื่อย้ำแล้วย้ำอีกก็ได้คำตอบที่ไม่ต่างจากเดิมว่าสิ่งที่มีอยู่ระหว่างเขากับไลลาลิณไม่มีทางเลี้ยวไปเป็นอย่างอื่นได้ คนบางคนเกิดมาเพื่อจะเป็นเพื่อนรัก ไม่ใช่คนรัก

...

“ก็เพื่อนธันน์แหละไหมที่ให้ไลลากินอะ” แม้ว่าจะรู้ตัว แต่ตอนนั้นก็โดนยั่วโมโหจนลืมคิดไปว่าตัวเอง ‘อ่อน’ แค่ไหน “อีกอย่างธันน์ก็อยู่นิ นอนเฝ้าจนไลลาหลับเหอะ จะว่าไปก็หลับสบ๊ายสบายแหละ”

คนที่คิดว่าจำได้กลับจำไม่ได้เลยว่าผู้ชายที่ดูแลหล่อนไม่ใช่เพื่อนรักเหมือนทุกที แถมพูดหน้าตาเฉยระหว่างยกกาแฟขึ้นจิบ ถือวิสาสะหมุนหน้าจอแมคบุ๊กที่ธันน์วางไว้ตรงกลางพร้อมชี้นิ้วให้หล่อนสนใจมาดู ถึงได้เห็นว่ารายงานที่ต้องทำนั้นสำเร็จไปเกินกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์

“ธันน์ทำเหรอ”

หญิงสาวตาโตเมื่อเห็นผลงาน หล่อนเองก็ไม่ใช่คนขยันแม้แต่น้อย แต่ก็น่าจะมีความรับผิดชอบมากกว่าธันน์ยังไม่คิดอยากทำ จึงอดถามไม่ได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนลงมือเขียนรายงานฉบับนี้เองหรือเปล่า

“เปล่า จ้าง แค่นั่งรอเขาส่งข้อมูลมา เลยทำไรไปเรื่อยเปื่อย”

“ไลลาก็ว่างั้นแหละ จ้างใครอะ คนเดิม?”

ไลลาลิณหมายถึงลูกน้องในร้านของธันน์ เรียนปีเดียวกับพวกหล่อน คณะเดียวกัน แต่คนละมหาวิทยาลัย ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีงานส่งอาจารย์

“ก็ต้องดูแลตัวเองบ้างสิ ไลลาไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ไม่อายพี่หมากบ้างหรือไง”

ธันน์ก็ได้แต่โคลงหัวใส่คนที่ได้กาแฟแล้วเดินกลับมานั่งไถรายงานดูผ่านๆ ก่อนที่อีกคนจะดันคอมพิวเตอร์กลับมาให้ชายหนุ่ม

“อือ โทษทีละกัน แล้วนี่ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า อย่าบอกนะว่ามานั่งอ่านรายงานอะ”

ปกติถ้าถึงคราวต้องจ้างทำรายงาน ธันน์กับหล่อนก็ไม่มีเสียเวลานั่งอ่านหรอก ส่งไฟล์ต่อให้อาจารย์เลย

“ยังไม่ได้นอน ที่จริง...” ธันน์กำลังจะบอกว่าเขาตัดสินใจหลังจากพูดคุยกับมานเมตต์ และนั่งคิดมาจนสว่างคาตา ชายหนุ่มก็คิดว่าจะกลับกรุงเทพฯ เช้านี้ แม้จะรับปากอีกฝ่ายแล้วว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แต่คนหวงน้องสาวนอกไส้ขอหอบไลลาลิณกลับไปตั้งหลัก ทั้งๆ ที่หญิงสาวน่าจะยังไม่รู้ว่ามีคนบางคนอาจจะคิดเกินเลย ตั้งใจจะยกข้ออ้างเรื่องงานที่ร้านมาเป็นเหตุผลในการจากที่นี่ไปก่อนกำหนด แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ไลลาลิณก็ยกมือห้ามพร้อมทั้งหงายหน้าโทรศัพท์ที่สั่นระรัวให้ดูว่ามีสายที่ต้องรับ คนหน้าสวยเบ้ปากเพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคือชื่อพี่สาวคนโต หายมาไม่รู้กี่วัน เพิ่งจะว่างโทร. มาหาหรือไง

แม้จะคิดแบบนั้น แต่วินาทีที่กดรับสาย หน้าใสก็มีรอยยิ้มประดับพร้อมกรอกเสียงลงไป

“พี่รุ้งว่าไง” พูดดีได้คำเดียวแล้วยิ้มหวานก็หายไปทันที มีแต่ความตระหนกตกใจปรากฏบนใบหน้า จนธันน์ที่มองอยู่พานใจไม่ดีไปด้วย “อะไรนะ! ได้ๆ ไลลาจะกลับไปเดี๋ยวนี้”

พอสิ้นเสียงสนทนา ชายหนุ่มก็ไม่รอให้ไลลาลิณเป็นคนเฉลยความข้องใจ

“เกิดไรขึ้นไลลา ใครเป็นอะไร”

“ธันน์ คุณย่าไม่สบาย เรากลับบ้านกันเลยได้ไหม”

คนที่บอกว่าตัวเองทนได้ทุกอย่างเสียงสั่นใส่เพื่อน แม้จะรู้ว่าท่านไม่ได้ใส่ใจ แต่หม่อมราชวงศ์ศศินิภาก็คือคุณย่าของหล่อน

“ได้สิได้” ธันน์เองก็ไม่ปฏิเสธแม้แต่นิดเดียว รู้สึกว่าโชคช่วยขึ้นมาทันควันที่ไม่ต้องเอ่ยเรื่องกลับบ้านกับไลลาลิณก่อน แต่เป็นว่าหล่อนมีเหตุด่วนทางบ้าน จึงไม่รอช้า “ไปเก็บของไป เดี๋ยวธันน์ไลน์บอกพี่หมากก่อน”

“งั้นไลลาไปเก็บของนะ อีกสิบห้านาทีเจอกัน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น