สอง
เกี้ยวเจ้าสาวเดินทางมาถึงยังโรงเตี๊ยมในยามค่ำคืน การเดินทางจากเมืองทางแดนใต้สู่เมืองทางเหนือใช้เวลานานหลายวัน จนทุกชีวิตเหนื่อยล้า กระทั่งในที่สุดหยูเหวินหยาก็มาถึงหน้าจวนแม่ทัพ ประตูสีแดงสองบานใหญ่โตจนเซียงเซียงยังตะลึงค้าง แค่ลำพังเสาที่ใช้ค้ำยันปากทางเข้าจวนก็มีมากถึงสิบเก้าต้น ด้านหน้าประดับโคมและหินแกะสลักเป็นรูปสัตว์มงคลคู่ แสดงถึงความมีอำนาจและขจัดปราณชั่วร้าย
ทหารหน้าตาถมึงทึงสองนายยืนอยู่ด้านหน้า ยืดแขนข้างที่ถือทวนกางไขว้กันขวางกั้นเป็นรูปกากบาท สาวใช้รีบบอกความว่าสตรีที่นั่งอยู่ในเกี้ยวคือคุณหนูหยูเหวินหยา อนุคนใหม่แห่งจวนแม่ทัพ ทว่าใบหน้าไร้อารมณ์ของทหารหาญกลับไม่แลเหลียว ดุจรูปปั้นที่มีไว้ประดับจวนก็มิปาน เขามีหน้าที่รับคำสั่งโดยตรงจากผู้เป็นนายเพียงเท่านั้น
สาวใช้กระฟัดกระเฟียดด้วยคนสกุลเหิงช่างไร้มารยาทกับสกุลหยูมาหลายครั้งหลายครา ขนาดคุณหนูของนางจะมาเป็นอนุของจวนนี้ ยังไม่มีการต้อนรับใดๆ แม้แต่จะเปิดประตูให้ก็ยังไม่ทำ ทั้งที่ความจริงบ่าวรับใช้ในจวนควรจะมาตั้งแถวอย่างพร้อมเพรียง
เซียงเซียงกระซิบบอกสถานการณ์ให้หยูเหวินหยาที่อยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวฟัง คนในเกี้ยวพลันสะท้านสั่นไปทั้งใจ นี่สินะความรู้สึกที่หยูเหวินหยาคนเก่าได้รับ การดูแคลนและหยามเหยียดเสมือนนางมิใช่คน สองมือจับประสานและเกร็งอยู่บนตักแสดงความอึดอัดและเจ็บหนึบ ก่อนตัดสินใจเอื้อนเอ่ยความเพื่อถอยหนึ่งก้าว
นางมาในฐานะเจ้าสาว หากอยู่หน้าจวนนานและไม่มีผู้ใดต้อนรับย่อมสร้างชื่อเสียเป็นเท่าทวี ประกอบด้วยยามนี้รอบเกี้ยวเริ่มมีชาวบ้านมารายล้อมยืนดูงานมงคลที่แสนพิสดาร ไร้เสียงดนตรี ไร้คนในจวนต้อนรับ ไร้เจ้าบ่าวเตะเกี้ยว หยูเหวินหยาก็ตระหนักในทันทีว่าคงไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงหรือยอมโอนอ่อนให้อำนาจสามีเช่นกัน
ขบวนเคลื่อนย้ายตามคำสั่งของเจ้าสาวไปยังประตูหลังของจวน เมื่อด้านหน้าไม่เปิดรับ นางก็จะยอมถอยหนึ่งก้าวไปเข้าด้านหลังเพื่อให้เรื่องราวยุติ เกี้ยวแดงถูกหามลัดเลาะไปข้างกำแพงสูง อาณาเขตจวนเหิงช่างกว้างขวาง มีเวลานานเสียจนนางสามารถนั่งข่มใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ได้
ร่างหนาโอนเอนไปมาและหยุดลงเมื่อขบวนมาถึงที่หมาย เกี้ยวเจ้าสาวถูกวางลงบนพื้นอีกครั้ง พร้อมกับเซียงเซียงที่ยังคงกระซิบบอกเช่นเดิมว่าประตูหลังจวนปิด แต่ประตูนี้ไม่มีทหารคอยเฝ้า
“เคาะประตู” หยูเหวินหยาออกคำสั่งกับสาวใช้ด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ความเดือดดาลที่สงบลงได้ในคราแรกถูกจุดขึ้นอีกครั้ง นางพยายามหลับตาแล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ หมายให้อารมณ์ที่คุกรุ่นภายในเบาบางลง
เซียงเซียงยกยิ้มในทันที ด้วยครานี้ได้ผล เมื่อประตูเล็กเปิดออกก็ปรากฏคนในจวนจำนวนมากยืนเรียงราย อย่างน้อยคนในจวนก็ยังมาต้อนรับคุณหนูที่ประตูหลัง สาวใช้คิดอย่างชื่นมื่น แต่รอยยิ้มก็ต้องหายไปเมื่อหนึ่งในคนที่ยืนเบื้องหน้าเอ่ยบางคำ
“มาผิดจวนหรือไม่ ที่นี่คือจวนแม่ทัพเหิง ไม่มีงานมงคลใด เหตุใดเกี้ยวเจ้าสาวจึงพยายามจะเข้าจวนนี้” เสียงจากฮูหยินใหญ่นามว่าชิงหนิงกล่าวชัด
“ใช่! ท่านพี่กล่าวถูกต้อง นำขบวนเกี้ยวเจ้าสาวกลับไปซะ” ฮูหยินรองนามว่าหว่านเอ๋อร์เอ่ยเสริม
สตรีสองนางยืนแอ่นกายอรชรดุจเจ้าที่หวงถิ่น ถ้อยคำข่มเจ้าสาวดังเสียจนหยูเหวินหยาที่นั่งอยู่ในเกี้ยวได้ยินชัด นางหมดสิ้นความอดทนจึงดึงผ้าคลุมสีแดงออกเหลือเพียงผ้า ที่ปิดบังใบหน้าเว้นไว้เพียงดวงตาให้มองเห็นภาพเบื้องหน้าเท่านั้น ร่างหนาก้าวย่างออกมาจากเกี้ยวหลังใหญ่
ยามนี้นางเห็นผู้คนที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านหน้าอย่างชัดเจน และพอเดาได้ว่าใครมีอำนาจมากที่สุดในสถานการณ์นี้ ทั้งเครื่องแต่งกายที่มีสีสันจับตา ทั้งเครื่องประดับศีรษะลงมาถึงต่างหูระย้า และหยกงามที่เหน็บพกข้างเอวซ้ายขวาหลากหลายแบบ แสดงถึงความร่ำรวยของหญิงสาวสองนางที่แข่งกันแต่ง จนหยูเหวินหยาอดยิ้มขันในความอวดตัวของฮูหยินทั้งสองไม่ได้
ร่างหนาย่อตัวเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ คนสกุลเหิงได้เห็นหญิงชุดแดงร่างใหญ่ที่ก้าวออกมาจากเกี้ยวมงคลก็หวาดผวา เผลอก้าวถอยหลังแล้วเบือนหน้าหลบอย่างเดียดฉันท์ กริ่งเกรงรูปลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าที่พันโพกปิดบังใบหน้าไว้
“ข้าหยูเหวินหยา มาที่นี่เพราะสัญญาระหว่างท่านแม่ทัพเหิงกับท่านพ่อของข้า ว่าสองสกุลจะเกี่ยวดองกัน ขอให้ทุกคนช่วยเปิดทางและนำพาข้าไปยังเรือนพักด้วย”
สิ้นคำของหยูเหวินหยา ชิงหนิงก็ตอบโต้ในทันที จดหมายที่แนบติดกับขานกพิราบที่โบยบินมาจากแดนไกลได้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่าง แต่นางหารับได้ไม่ ด้วยกริ่งเกรงในความอัปลักษณ์ของหยูเหวินหยาจะทำให้จวนแม่ทัพเกิดโชคร้าย นางจึงขัดขวางด้วยการแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“ข้าไม่ได้รับแจ้งข่าวใดจากท่านพี่สักเพียงนิด เจ้าจะมาแอบอ้างเช่นนี้คงไม่เหมาะนัก เพราะท่านพี่ของข้าไม่มีทางตาต่ำถึงขนาดเอาสตรีอัปลักษณ์อย่างเจ้ามาทำเมียหรอก หึๆ” ชิงหนิงพูดพลางหันไปหัวเราะต่อกระซิกกับหว่านเอ๋อร์อย่างหยามเหยียด
ฝ่ามืออวบอูมของหยูเหวินหยากำชุดเจ้าสาวสีแดงแน่นจนขึ้นรอย ริมฝีปากบางภายใต้ผ้าคลุมขบเม้มด้วยความเจ็บใจ ท้ายที่สุดนางก็ถูกกลั่นแกล้งและไม่เป็นที่ต้อนรับตามที่คาดการณ์ วิญญาณใหม่ที่ฟื้นคืนยิ่งสงสารเจ้าของร่างคนก่อนที่เสียชีวิตไปยิ่งนัก แต่ยามนี้นางได้เป็นหยูเหวินหยาผู้ต้องสาปแล้ว ดังนั้นเรื่องใดที่เกิดกับร่างนี้จึงเป็นเรื่องของนางทั้งสิ้น
“แต่ข้ามีหน้าที่มาทำตามสัญญา หากแม่ทัพเหิงกลับมาทุกคนในจวนก็จะรู้แจ้ง” หญิงสาวร่างหนากล่าวยืนยัน
“หากเจ้าดึงดันเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ แต่ข้าคงให้เจ้าพักที่จวนไม่ได้หรอก ถ้าเจ้ายืนยันจะรอสามีข้ากลับมา ก็ไปนอนรอในเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า ฮึ!” ชิงหนิงเอ่ยอย่างไร้เยื่อใย
ในใจหยูเหวินหยาตระหนักได้ หากนางจะถอยกลับไปบ้านสกุลหยูในดินแดนทางใต้ก็คงไม่ได้รับการต้อนรับ เพราะหยูเกาผู้เป็นบิดาได้ออกคำสั่งไว้ว่า หากกลับไปจะตัดพ่อตัดลูก หญิงสาวจำได้ชัดเจนจากภาพความทรงจำเก่าที่ร่างนี้ทิ้งไว้
“เช่นนั้นข้าจะรอ” คำของหยูเหวินหยาทำเอาสองฮูหยินและคนในจวนตะลึงค้าง เพราะไม่คาดคิดว่าหญิงอัปลักษณ์ตรงหน้าจะกล้าบอกว่าขอรอทั้งที่ถูกแกล้งขนาดนี้
กายมหึมาย่อตัวทำความเคารพอีกครั้งแล้วกลับขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้าสาว ฉับพลันประตูจวนก็ถูกปิดลง ทิ้งให้เจ้าสาวไร้เจ้าบ่าวและไร้ที่พึ่งพิง ถึงแม้หญิงสาวจะอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ก็ฉลาดเฉลียวและมีความเป็นผู้ใหญ่พอตัว ด้วยต้องเข้าวงการและรับผิดชอบงานแสดงหลากหลายมาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ดังนั้นจึงไม่อาจละทิ้งหน้าที่ที่บิดาของร่างนี้ย้ำบอก และด้วยสภาพแวดล้อมต่างภพ เลยไม่อาจกระทำการใดสุ่มสี่สุ่มห้า
ขบวนเจ้าสาวย้ายเข้าไปพักในบ้านไม้หลังเล็กที่อยู่ด้านหลังจวนแม่ทัพ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในระยะสายตาที่สามารถสังเกตความเคลื่อนไหวของคนในจวนได้ นางใช้เงินจำนวนมากที่นำมาซื้อบ้านหลังนั้นต่อจากหญิงชรา จนหญิงผมขาวโพลนรีบโค้งคำนับยิ้มรับแล้วย้ายข้าวของออกไปอย่างเร็วรี่
ตั้งแต่วันนี้นางตั้งปณิธานกับตนเองว่าจะตั้งหลักปักฐานเพื่อรอการกลับมาจากชายแดนของเจ้าบ่าว ไม่ว่าอย่างไรนางจะเอาชนะสองฮูหยินที่พยายามกีดขวาง และเอาชนะชายใจเหี้ยมที่ทอดทิ้งนางอย่างไม่แยแส โดยการให้เขาออกมาเชิญนางเข้าจวนด้วยตัวเองให้ได้... ใจดวงน้อยเกิดประกายความคิดแค้นหมายเอาชนะ
หยูเหวินหยาสลัดชุดเจ้าสาวแล้วผลัดเปลี่ยนด้วยผ้าสีเหลืองเนื้อดีสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลร่ำรวย เพราะการรอคอยสามีตามคำสั่งบิดาน่าจะยาวนานเป็นแรมเดือน คนแบกหามเกี้ยวและขบวนติดตามอำลากลับสกุลหยูไปแล้ว เหลือเพียงนาง เซียงเซียง และบ่าวรับใช้อีกสามคนในบ้านหลังเล็ก ยังดีที่บ้านไม้หลังนี้พอมีห้องหับให้คุณหนูอย่างนางได้พักเป็นส่วนตัว
ร่างหนานั่งลงบนพื้นห้อง หลังตั้งตรง เชิดไหล่และใบหน้าเล็กน้อยสมดั่งกิริยาของคุณหนูตระกูลดัง จนสาวใช้สังเกตท่าทีของคุณหนูตนว่าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แต่ก่อนนางเหมือนหมดอาลัยตายอยาก จับสิ่งใดทีก็ถอนหายใจ ยิ่งให้ส่องคันฉ่องยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะนางเกรงภาพที่สะท้อนกลับมาจนไม่คิดจะแตะต้องแม้เพียงนิด ในห้องหับจึงแทบจะไม่มีของสิ่งใดที่สะท้อนภาพได้ประดับห้องตามคำสั่งคุณหนูสักชิ้น
ทว่ายามนี้สองมือคุณหนูของนางกำลังนั่งจับเลื่อนคันฉ่องที่สั่งให้ซื้อให้ตรงกับใบหน้าตน นัยน์ตานางทอดมองไปยังเงาสะท้อน เห็นตุ่มไตอันน่าสะพรึง ปลายนิ้วนางเลื่อนลูบไล้หมายสำรวจนับตุ่มหนองนั้น ทว่ามันเยอะจนนับไม่ถ้วน นางจึงหลับตาสงบใจที่ว้าวุ่น แล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากตัวบ้านไป
“คุณหนูจะไปที่ไหนเจ้าคะ” เซียงเซียงรีบถามไถ่
“ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย อยู่แต่ในห้องมาสองวันรู้สึกอึดอัดจะแย่แล้ว เซียงเซียง เจ้าไม่ต้องตามมา อยู่ที่นี่ช่วยเฝ้าข้าวของเถอะ”
คำตอบที่ว่าอยู่แต่ในห้องมาสองวันรู้สึกอึดอัดจะแย่แล้ว ทำให้สาวใช้แสนฉงน พฤติกรรมคุณหนูเปลี่ยนไปจนนางสับสน เพราะเมื่อก่อนคุณหนูเคยอยู่แต่ในห้อง ไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ใด ก็อยู่มาได้ถึงสิบเจ็ดปี แต่ตอนนี้แค่สองวันผ่านไป คุณหนูกลับบอกว่าอึดอัด และยังขอไปเดินเล่น ซึ่งไม่ใช่วิสัยคุณหนูที่นางรู้จักสักนิด
หยูเหวินหยาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่บนเนินเขาเขียวชอุ่ม บนนั้นมีต้นไม้สูงใหญ่หยั่งรากลึกแผ่กิ่งก้านเป็นแผงกว้าง ลำต้นสีเข้มบ่งบอกว่ายืนหยัดมานานหลายชั่วอายุคน เงาไม้ร่มรื่นชวนให้นางอดทอดกายพักพิงอิงแอบไม่ได้
ยามนี้ร่างหนาทิ้งตัว ทิ้งภาระ ทิ้งความเศร้าและความทุกข์จนหมดสิ้น นัยน์ตาใสค่อยๆ หรี่ลงจนกระทั่งปิดสนิท นางผ่อนคลายจนเผลอหลับใหลไปใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ ยามใบไม้ลู่ลมเกิดเสียงคล้ายเครื่องดนตรีบรรเลงขับกล่อม นำพาให้หยูเหวินหยาดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความฝัน
หญิงสาวเห็นอดีตกาลของเนินเขาลูกที่เหยียบย่ำ แต่ตรงนั้นยังไม่มีต้นไม้ใหญ่ที่นางได้อิงแอบและพักพิง ทิวทัศน์โดยรอบมีเพียงป่าไม้และพฤกษชาตินานาพรรณ ไร้ซึ่งบ้านเรือนและถนนหนทาง ช่างสวยจับตาและหอมชื่นใจเสียจนพาให้เคลิบเคลิ้ม
นางนอนทอดกายแผ่บนพื้นหญ้า สายตามองท้องฟ้ากว้าง ใบหน้าเอียงไปด้านข้างจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่เคียงกัน นัยน์ตาหวานสะท้อนภาพใบหน้าคมคาย ดวงตาสีนิลดำขลับของเขาจ้องมายังเธออย่างอ่อนโยน คิ้วดกดำเรียงตัวได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากหยักงามราวกับเทพบุตรในฝัน ใบหน้านั้นแย้มยิ้มละมุนจนเธอรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งความรักที่ฟุ้งตลบรอบร่างทั้งสอง
ฉับพลันร่างสูงใหญ่ก็เท้าศอกแกร่งเพื่อค้ำยันกาย เขาเอี้ยวตัวขนาบเธอที่นอนเคียงข้าง ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปจับลูบเส้นผมสีดำสลวยอย่างรักใคร่ สร้างความรู้สึกอบอุ่นละมุนละไมแผ่ซ่านมายังร่างเล็ก ดวงตาทั้งสองจับจ้องกันราวกับต้องมนตร์เสน่ห์แห่งรักของอีกฝ่าย
“ข้ารักเจ้าเหลือเกินอี้หลิน นางฟ้าของข้า” เสียงทุ้มนุ่มสะท้อนก้องในใจของหญิงสาว ริมฝีปากหยักเรียวสัมผัสหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม หัวใจดวงน้อยพลันเต้นแรงตอบรับรักชายผู้นั้น
และแล้วหยูเหวินหยาก็ตื่นจากความฝันขึ้นมาด้วยความฉงน สมองน้อยตรึกตรองภาพที่ยังตรึงตรา หัวใจดวงเล็กทบทวนความรู้สึกที่ยังตรึงใจ ตอนนี้ความรักความอบอุ่นที่อบอวลในฝันยังไม่เลือนหาย ทั้งใบหน้า ทั้งน้ำเสียง และสัมผัสจากชายผู้นั้นยังทำให้ใจเต้นระส่ำ
หยูเหวินหยากลับมาจากเนินเขา แต่ก็ยังคงเฝ้าคิดถึงความฝันเมื่อครู่ ‘อี้หลินคือใคร ทำไมใจข้าต้องเต้นแรง’ มือหนายกขึ้นทาบอกด้านซ้าย ความรู้สึกคุ้นเคยกับชายในฝันยังหลงเหลือและแจ่มชัด ทั้งที่นางจำได้ว่าไม่เคยรู้จักเขามาก่อนอย่างแน่นอน
“หรือจะเป็นความทรงจำของร่างเก่าอีกนะ” หญิงสาวพูดงึมงำกับตนเอง
จังหวะนั้นสาวใช้คนสนิทก็เดินมายืนเคียงข้าง มือเล็กจับหวีขึ้นสางผมนุ่มสลวยของเจ้านายอย่างแผ่วเบา เส้นผมสีดำเล็กเรียงตัวขึ้นเงาดุจแพรไหม วับวาวจนเซียงเซียงที่จ้องมองมิอาจละสายตา
“เซียงเซียง! แต่ก่อนข้าเคยฝันบ่อยหรือไม่ แบบว่าฝันเห็นนั่นเห็นนี่เสมือนตัวเองเป็นคนอื่นน่ะ” หยูเหวินหยากลัดกลุ้มจนตัดสินใจถามคนสนิทที่อาจจะพอรู้ แต่สาวใช้ร่างเล็กกลับส่ายหน้า
“ไม่เจ้าค่ะ! คุณหนูนอนหลับง่าย หลับสนิท ทั้งยังชอบนอนหลับตอนกลางวันอีกด้วย อ้อ! เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณหนูฝันเจ้าค่ะ ตอนนั้นคุณหนูบอกว่าฝันร้าย เห็นตัวเองเดินอยู่ในนรก บ่าวจำได้ว่ามีเพียงครั้งนั้นครั้งเดียวเจ้าค่ะ เพราะตอนนั้นคุณหนูมีไข้สูง น่าจะเป็นสาเหตุให้คุณหนูฝันเจ้าค่ะ”
หญิงสาวตรึกตรองในความที่ได้รับ แต่น่าแปลกที่ปกติตอนอยู่ภพก่อนตนก็นอนหลับง่าย และแทบจะไม่ฝันใดๆ เลย แต่มาภพนี้กลับฝันเสมือนตัวเองเป็นอีกคน และความรู้สึกก็ลึกล้ำราวกับไม่ใช่ความฝันธรรมดา
“เห็นนรก! แค่นี้หรือ...” นางยังคงสงสัย
สาวใช้ก็พยายามครุ่นคิดต่อ ดวงตาเล็กกลอกมองบนเพื่อทบทวนความหลัง
“อือ... อ้อ! ตอนนั้นคุณหนูเล่าว่าเห็นตัวเองเดินอยู่ในนรก กำลังเดินตามท่านยมทูตผู้ควบคุมวิญญาณไปเกิดใหม่ แล้วบังเอิญเดินไปชนหญิงสาวอีกคนเจ้าค่ะ ตอนนั้นบ่าวยังขำคุณหนูที่ฝันเป็นตุเป็นตะ จนคุณหนูงอนบ่าวเจ้าค่ะ” เซียงเซียงพูดไปพลางขำไปพลาง ด้วยนึกถึงเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว
สิ้นคำของสาวใช้ หญิงสาวพลันใจกระตุกวูบ นรก! เดินชนกับหญิงสาวอีกคน! ตนก็เคยฝันเช่นนี้ เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าเป็นเพียงการละเมอจินตนาการไปเท่านั้นเอง ทว่าตอนนี้ที่เพิ่งรู้ว่าวิญญาณเก่าของหยูเหวินหยาก็เคยฝันเฉกเช่นเดียวกัน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจนน่าสะพรึง กลายเป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออกไปเสียแล้ว
“คุณหนู ถึงเวลากินข้าวแล้วเจ้าค่ะ” เซียงเซียงรีบชวนคุณหนูตนด้วยเห็นว่าเย็นมากแล้ว นางให้บ่าวรับใช้ที่เหลือตระเตรียมข้าวปลาอาหารอย่างดีตามความคุ้นเคย ทว่าเมื่อหยูเหวินหยาเห็นอาหารบนโต๊ะก็ส่ายหน้า เพราะตรงหน้ามีทั้งขาหมู ไก่ต้ม หมูสามชั้นผัด เป็ดย่าง และอีกมากมายละลานตายิ่ง
“คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ ของชอบของคุณหนูทั้งนั้นเลยนะเจ้าคะ” ใบหน้าสาวใช้แสดงความสงสัยใคร่รู้
“ต่อไปนี้เปลี่ยนอาหารตามที่ข้าสั่ง เอาพวกผักและเนื้อปลาเล็กน้อยก็พอ”
ร่างหนาวางตะเกียบ แม้ตอนนี้จะหิวปานไส้จะขาด แต่ก็ตั้งปณิธานว่าจะเปลี่ยนแปลง ศึกครั้งนี้มีอนาคตที่เหลือเป็นเดิมพัน
นางจะเรียกคืนชีวิตใหม่ให้หยูเหวินหยาคนเดิม จะไม่ยอมถูกเหยียบย่ำจากฮูหยินทั้งสองและสามีใจร้ายอีก พอกันทีกับการสิ้นหวังและคำดูแคลน หากพยายามแล้วร่างนี้ยังไม่ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา นางก็จะยอมจำนนต่อคำสาปฟ้า... หญิงสาวคิดเช่นนั้น
“คุณหนูไม่สบายหรือเจ้าคะ” สาวใช้ยังถามต่อด้วยความห่วงใย
ทว่าหยูเหวินหยากลับส่ายหน้า ภพก่อนนางต้องจำกัดอาหารเพราะต้องรักษารูปร่างตลอด หากปล่อยตัวสักนิดงานแสดงก็คงหลุดลอย เรื่องเช่นนี้จึงเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
เซียงเซียงยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความงุนงง แค่ความจำเสื่อมก็ไม่น่าจะถึงขนาดทำให้ลืมอาหารที่เคยโปรดปราน... นางคิดเช่นนั้นแต่ก็ยอมทำตามที่คุณหนูที่รักสั่งการ
การรอคอยเหิงเจี้ยงช่างยาวนาน ระหว่างนั้นหยูเหวินหยาก็หาอะไรทำเพื่อคลายความเบื่อหน่าย ติดก็เพียงแต่ว่ารูปลักษณ์นางไม่เหมาะจะออกไปพบปะผู้ใด นางจึงได้แต่อ่านหนังสือบ้าง ออกกำลังกายบ้าง หาวิธีประทินผิวบ้าง จนเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน แต่ก็ยังไร้เงาของสามี
ทุกวันคนของฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองจะแอบมาระรานหยูเหวินหยาที่ตั้งหลักรอคอยอยู่ใกล้ประตูหลังจวนเหิง เศษอาหารที่ปกติต้องนำไปเลี้ยงหมู แต่ด้วยคำสั่งนายหญิงทั้งสองจึงนำมาราดหน้าบ้านหลังเล็กที่หยูเหวินหยาอาศัยอยู่ทุกวัน แต่นางก็จำทน บอกให้ข้ารับใช้ล้างออกจนเป็นกิจวัตร เพราะไม่อยากมีเรื่องมีราวตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าจวน สิ่งใดทนได้นางก็จะทน สิ่งใดที่ทนไม่ได้นางก็จำต้องทนเช่นกัน รอคอยสักวันเมื่อถึงคราวที่นางจะพลิกคืน
หยูเหวินหยาทำเช่นเคยเหมือนทุกวัน นางทิ้งร่างลงบนพื้นเบื้องหน้าคันฉ่องบานโปรด นัยน์ตาใสพินิจมองใบหน้าและรูปร่าง เฝ้าสังเกตว่าสิ่งที่นางพยายามทำมาร่วมเดือนช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่
“คุณหนู! รูปร่างคุณหนูซูบผอมลงไปมากเลยเจ้าค่ะ เสื้อผ้าก็หลวมจนไม่ได้รูป ส่วนตุ่มหนองบนใบหน้าก็แห้งและเริ่มตกสะเก็ดหลุดลอกแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปคุณหนูต้องงดงามกว่าฮูหยินทั้งสองแน่เจ้าค่ะ” เซียงเซียงชมเปาะ นางฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะหุบไม่ได้
ภายในใจของสาวใช้คนสนิทยังเคลือบแคลงอยู่ลึกๆ เพราะวันวานที่ผันผ่าน มีหมอมากมายถูกเชื้อเชิญมารักษาตุ่มหนองบนใบหน้าของคุณหนูตั้งแต่ยังเยาว์ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย ทุกคนจึงกล่าวกันไปปากต่อปากว่าต้องเป็นคำสาปจากฟ้า พานเรียกขานคุณหนูหยูเหวินหยาของตนว่าคุณหนูผู้ต้องสาป
แต่มาตอนนี้ตุ่มหนองเริ่มหายอย่างน่าประหลาด ทั้งที่คุณหนูก็ไม่ได้รับการรักษาใดแท้ๆ ทว่านางก็ยินดีจากใจจริงที่คุณหนูที่รักมีอาการดีขึ้น ด้านหยูเหวินหยาเห็นเงาที่สะท้อนกลับพลันมีความหวัง นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดรูปลักษณ์ของนางถึงดีขึ้นจนผิดหูผิดตาเช่นนี้ แต่นางก็จะพยายามต่อ ด้วยได้ตั้งปณิธานเอาไว้แล้ว
หญิงสาวคลุมกายด้วยชุดที่ยัดนุ่นไว้ด้านในจนร่างดูหนาเทอะทะเหมือนแต่ก่อน ผ้าคลุมถูกทัดหูจากซ้ายไปขวาพาดปิดใบหน้ากลมที่เริ่มเรียวและเรียบเนียนขึ้นก่อนออกจากบ้าน
“คุณหนูคลุมกายหนาเตอะด้วยเหตุใดเจ้าคะ ทั้งยังปิดบังใบหน้าอีก ถึงจะยังไม่หายสนิทแต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าปิดคลุมแล้วนี่เจ้าคะ” เซียงเซียงถามอย่างสงสัย
“ข้าไม่อยากให้ใครมาว่าข้าซูบผอมเพราะตรอมใจหรอกนะ โดยเฉพาะนายหญิงในจวนตรงข้าม และที่ปิดหน้าก็แค่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยเท่านั้นเอง” หยูเหวินหยาตอบชัดเจน สาวใช้พลันยิ้มรับ นางน้อมทำตามบัญชาคุณหนูทุกอย่าง
ทั้งสองมาเดินตลาดเป็นครั้งแรก หยูเหวินหยาอึดอัดกับการเก็บตัวมาแสนนาน จึงอยากมาเปิดหูเปิดตาดูตลาดโบราณในอดีตเสียหน่อย ว่าแตกต่างจากภพปัจจุบันเพียงใด นัยน์ตาหวานทอดมองโดยรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้จะไม่มีของที่สร้างด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่สิ่งของเครื่องใช้ก็งดงามประณีตด้วยฝีมือแท้จริงของช่างที่สรรค์สร้าง
“เซียงเซียง ข้าอยากได้เสื้อผ้า เครื่องประดับ และเครื่องหอมใหม่” เสียงใสเอ่ยบอกอย่างเบิกบาน นี่เป็นความสุขครั้งแรกตั้งแต่ได้มาอยู่ในภพโบราณแห่งนี้
“นั่นใช่คุณหนูต้องสาปแห่งสกุลหยูหรือไม่ ดูสิ! ร่างกายอ้วนใหญ่ มีผ้าปิดหน้าที่ซ่อนความอัปลักษณ์ ต้องใช่แน่ๆ” เสียงชาวบ้านซุบซิบนินทาดังจนเข้าหูหยูเหวินหยากับเซียงเซียง
“คุณหนู! บ่าวจะไปจัดการคนปากมากพวกนั้นเองเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดอย่างเดือดดาลแทนเจ้านาย ทว่าหยูเหวินหยากลับฉุดรั้งเอาไว้
“อย่าเลย คนมีปากก็พูดกันไป หากใส่ใจทุกคำชีวิตก็น่าเบื่อแย่” เสียงใสบอกอย่างสุขุม นางเคยชินกับการเป็นขี้ปากชาวบ้านเสียแล้ว
“คุณหนูของบ่าวโตขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะต้องเก็บตัวร้องห่มร้องไห้ไปแล้ว” สาวใช้ยิ้มอย่างภูมิใจ
ข้าวของเครื่องใช้จำนวนมากถูกกว้านซื้อตามความต้องการของหยูเหวินหยา ต่อไปถ้าเข้าจวน นางเกรงว่าคงจะหาโอกาสออกมาข้างนอกยากขึ้น
หญิงสาวเลือกสีผ้าอย่างนำสมัย ทั้งสีสันและรูปแบบงามต้องตาจนเซียงเซียงตะลึงในความสามารถ นี่น่ะหรือคุณหนูที่ไม่เคยออกมาชมความงามภายนอก
นอกจากชุดแต่งกายแล้ว นางยังซื้อเครื่องแป้งและเครื่องประดับ สายตาเฉียบแหลมเลือกได้อย่างชำนาญ เครื่องหอมหลากกลิ่นถูกซื้อนำกลับมาดัดแปลง ผสมเข้ากันเพื่อสร้างกลิ่นใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของนางเอง กลวิธีสยบสามีใจน้ำแข็งเริ่มต้นอย่างแยบยล
สองเดือนที่หยูเหวินหยากลายเป็นเจ้าสาวม่ายไร้สามี นางมักจะปลีกตัวไปที่เนินเขาลูกนั้นทุกสองหรือสามวัน ร่างกายที่ตอนนี้เล็กอรชรทว่าถูกปกปิดด้วยชุดหนาอำพรางนั่งลงพิงลำต้นสูงใหญ่ของต้นไม้แกร่ง ใบหน้าหวานใต้ผ้าคลุมค่อยๆ เคลื่อนเปลือกตาปิดลงช้าๆ ยามลมโชย แขนเล็กทิ้งลงข้างลำตัว ขาเหยียดตรง
ทุกครั้งที่ทำเช่นนี้นางจะรู้สึกผ่อนคลายจากทุกสิ่ง จนเผลอปล่อยใจหลับใหลเสียทุกครา และในยามที่เข้าสู่ห้วงนิทรา จะฝันถึงชายคนเดิมซ้ำๆ แต่เรื่องราวกลับแปรเปลี่ยนไป
บางครั้งฝันว่านางกับชายผู้นั้นเกิดเป็นผีเสื้อโบยบินเคียงคู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้กว้าง
บางครั้งฝันว่านางกับชายปริศนานั่งหย่อนขาสองข้าง ร่างอิงแอบกันริมลำธาร ศีรษะเล็กของนางอิงซบบ่ากำยำ นัยน์ตาทั้งคู่จับจ้องไปยังท้องฟ้า ท่ามกลางอาทิตย์อัสดงสาดแสงสีทองอำไพ
“ข้ารักเจ้า” เสียงนุ่มพร่ำบอกรักจนกระทั่งนางตื่น
และในฝันหนึ่ง นางเห็นว่าตัวเองเกิดเป็นกระต่ายน้อยขนขาวปุกปุย ส่วนชายที่คุ้นเคยนั้นเกิดเป็นราชสีห์ตัวใหญ่ยักษ์ เป็นธรรมดาที่สรรพสัตว์จะต้องมีวิถีของตัวเอง แต่ราชสีห์ตัวนี้กลับหลงรักเจ้ากระต่ายน้อย มันยอมอดเนื้อและกัดกินแต่ผักหญ้า เพื่อแสดงความรักอันบริสุทธิ์จนกระทั่งตัวตาย
“ถึงข้าตาย วิญญาณข้าก็ยังรักเจ้า” ประโยคสุดท้ายก่อนราชสีห์จะสิ้นลม มันยังคงยืนยันในรักมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ด้านกระต่ายน้อยเมื่อประจักษ์ในรักแท้ก็ตรอมใจ พลันหลั่งน้ำตาใสจนกลายเป็นสีเลือด มินานร่างขาวก็มอดม้วยดับสิ้นลมหายใจตาม
ในความฝันอบอวลไปด้วยความรักที่ท่วมท้น หยูเหวินหยาทั้งอิ่มเอมทั้งซาบซึ้งตราตรึงใจ ทุกเรื่องราวที่ได้รับจากความฝันทำให้ใจนางกระตุกเต้นแรงทุกครั้ง วันนี้จึงหมายมั่นอยากมาอิงแอบใต้เงาไม้ใหญ่เพื่อพบพานกับชายในความฝันอีกสักครา
ยามนี้หญิงสาวหลับใหลอีกครั้ง จิตวิญญาณดำดิ่งลงลึกจนเห็นภาพเนินเขาที่คุ้นเคย มันคือเนินเดียวกับที่นางพักพิงอย่างแน่นอน... นางมั่นใจ
เบื้องหน้าคือชายคนเดิมที่เฝ้าถวิลหา เขายื่นมือใหญ่และสากเล็กน้อยมากุมมือนางที่เรียวเล็กและนุ่มนิ่ม สัมผัสจากสองมือต่างแผ่ไออุ่นแห่งรักถ่ายทอดสู่อีกมือที่เกาะกุมกัน
ณ ตอนนี้ทั้งสองช่วยกันสรรค์สร้างพยานรัก ต้นกล้าสวรรค์ถูกปลูกกลบด้วยพื้นดินอันอุดม สายลมเอื่อยที่พัดผ่านทำให้ต้นไม้นี้ยิ่งร่มรื่น ใบหน้าคมพลันคลี่ยิ้มส่งกลับมาให้หญิงสาวอันเป็นที่รัก ในขณะที่มือทั้งสองยังถ่ายทอดความรู้สึก
“รักเราจะหล่อเลี้ยงต้นไม้เล็กจนโตเป็นไม้ใหญ่ แม้ไร้น้ำ แม้ไร้แสง ก็หาได้เหี่ยวเฉาไม่ แต่ถ้าวันใดที่เราสองหรือแม้เพียงใครหนึ่งคนหมดสิ้นในรัก ตัดเยื่อใยแล้วไซร้ ไม้สวรรค์จะเหี่ยวเฉาและมลายสิ้น” เจ้าของพฤกษาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
นัยน์ตาคมทอประกายหวานละมุน “ขอไม้นี้เป็นสักขี อีกพันปีรักข้าจะเติบใหญ่” เสียงทุ้มรำพึงรำพันบอก
กรุ่นกลิ่นอายรักจากชายตรงหน้าช่างหวานจับใจ เสียงใสจึงเอ่ยตอบรับ “ขอไม้นี้เป็นสักขีพยาน อีกพันปีรักข้าไม่แปรผัน”
สิ้นคำกล่าวหยูเหวินหยาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นในทันที หัวใจนางเต้นถี่แรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก ความสุขที่ได้รับตรึงใจจนนางไม่อยากตื่นอีกเลย
ใบหน้าหวานแหงนมองไม้ใหญ่ นางไตร่ตรองหาเหตุผลที่ฝันบ่อยครั้ง แล้วเชื่อว่าต้นไม้นี้คือสาเหตุที่ทำให้เกิดความฝันอย่างแน่นอน ดวงจิตสองดวงคงรักกันมาก ถึงขนาดตายก็ยังหลงเหลือความผูกพันไว้... นางคิดเช่นนั้น
เมื่อวันแห่งการรอคอยมาถึง หยูเหวินหยาก็เตรียมตัวย้ายเข้าจวนเหิง ประตูเมืองเปิดกว้างต้อนรับกองทหารหาญ เสียงฝีเท้าม้าที่เหยียบพื้นทำให้ผู้คนที่รายล้อมรอต้อนรับจิตใจฮึกเหิม บัดนี้ขบวนสง่าแห่กลับมาอย่างภาคภูมิ ธงสีน้ำเงินประทับตัวอักษร ‘เหิง’ โบกสะบัดพลิ้ว เบื้องหน้านำด้วยม้าสีดำตัวใหญ่ที่มีร่างสูงในชุดเกราะแสนองอาจ
หลังจากเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ขบวนกองทหารของสกุลเหิงก็เคลื่อนมาเบื้องหน้าจวน ที่เวลานี้ละลานตาไปด้วยคนในตระกูล ทั้งฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง พ่อบ้าน และบ่าวรับใช้ รายล้อมรอรับนายใหญ่อย่างชื่นมื่น เหิงเจี้ยงยั้งม้า กายใหญ่ทิ้งตัวลงมาเบื้องล่าง ทุกคนพลันย่อกายทำความเคารพ
“ท่านพี่! ข้าดีใจเหลือเกินที่ท่านพี่กลับมาเสียที”
“ใช่ๆ ท่านพี่ไปรบถึงห้าปี ข้าคิดถึงเหลือเกิน”
ภรรยาทั้งสองรีบแย่งกันประจบสามีที่ห่างไปนาน
ทั้งคู่แต่งเข้าด้วยวิธีคลุมถุงชน แต่ชิงหนิงแต่งก่อนครึ่งปี หว่านเอ๋อร์ก็ถูกส่งให้แต่งตามหลัง ทว่าหลังจากนั้นเพียงสามเดือนเหิงเจี้ยงในวัยเพียงยี่สิบปีก็ได้รับมอบหมายให้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แทนบิดาที่ป่วยกะทันหัน
แต่ประสบการณ์ที่ติดตามบิดาออกรบตั้งแต่อายุสิบสามปี ก็ทำให้เขามากด้วยความสามารถทางการศึก เสียเพียงอย่างเดียวคือนิสัยที่เย็นชาและหยาบกระด้าง จนเสมือนเป็นคนไร้หัวใจ
เหิงเจี้ยงนั่งลงบนเก้าอี้ที่สลักลวดลายพยัคฆ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในระดับที่ยกสูงกว่าพื้นโถงรับแขก เบื้องหลังมีฉากสลักลายพร้อมอักษรตัวใหญ่แสนประณีตเขียนคำว่า ‘เหิง’
แขนขาของเขาเรียวยาว ผมสีดำสนิทรวบขมวดเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ขับผิวขาวที่คล้ำแดดจากการกรำศึกให้ยิ่งมีเสน่ห์ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักได้รูปชวนให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้ม แต่นัยน์ตาสีนิลกลับฉายแววเย็นชา เพียงแค่ปรายตามองก็ทำให้รู้สึกถึงความกดดัน
สองฮูหยินรีบรายงานความสงบร่มเย็นของจวนเหิงให้สามีได้รับรู้ นางกล่าวในเรื่องดีที่ทำเอาเจ้าบ้านที่เพิ่งกลับมาเบาใจ คิดว่าอย่างน้อยภรรยาทั้งสองก็ดูแลจวนได้
จวนเหิงแห่งนี้ถูกสร้างแยกออกมาจากจวนใหญ่ ที่มีบิดากับมารดารวมถึงพี่น้องที่ยังไม่ได้แต่งงานของเหิงเจี้ยงอาศัยอยู่ ถึงแม้จวนนี้จะไม่ใช่จวนหลักของตระกูล ทว่าอาณาบริเวณพื้นที่ช่างกว้างขวาง และตัวเรือนที่สร้างแยกเป็นหลายหลังพร้อมกับการตกแต่งภายในที่บรรจงสร้างอย่างยิ่งใหญ่กว่าจวนหลัก โดยให้ลูกคนโตเหิงเจี้ยงดูแลต่อ บ่าวรับใช้และทหารในสังกัดสกุลเหิงจึงถูกแบ่งมาอยู่ใต้อาณัติของคุณชายใหญ่ของตระกูลเป็นส่วนมาก
“นางมาหรือยัง” เสียงเข้มเอ่ยถามชิวหู กุนซือคนสนิท ร่างสูงใหญ่ทว่าเป็นรองเหิงเจี้ยงโน้มตัวลงบอกความต่อเจ้านายที่เคารพว่าไร้วี่แววของคุณหนูสกุลหยู
ด้านชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ได้ยินคำสนทนาถึงสตรีอัปลักษณ์ที่ตนขับไล่ก็ถึงกับตกใจ เพราะพวกนางลืมไปเสียสนิทว่าสามีเคยสั่งให้รับหญิงสาวอีกคนเข้าจวน ใบหน้าขาวฉายแววสตรีมากเล่ห์กระตุกหัวคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงสดเม้มเข้าหากันราวกับขบคิดบางสิ่ง
“ท่านพี่! ทั้งหมดเพราะข้าไม่ดีเอง ความจริงคุณหนูหยูได้เดินทางมาถึงจวนเหิงนานแล้ว ข้าได้นำพาคนทั้งตระกูลไปยืนรอต้อนรับตั้งแต่หน้าจวนอย่างเอิกเกริก แต่คุณหนูหยูกลับไม่พึงพอใจและอาละวาดยกใหญ่เพียงเพราะไม่
พบท่านพี่ ก่อนนางจะจากไป ได้ลั่นวาจาว่าหากท่านพี่ไม่ไปเชิญนางอย่างอ่อนน้อมด้วยตัวเองแล้วไซร้ นางจะไม่มีวันยอมมาเหยียบจวนเหิงอย่างเด็ดขาด”
สิ้นคำของฮูหยินใหญ่ คิ้วเข้มพลันขมวดชนกัน นัยน์ตาสีนิลที่ดูเย็นชาในคราแรกทอประกายวาวด้วยความโกรธจนทุกคนเห็นได้ชัด นางช่างกล้าโอหังยื่นคำต่อรองกับเขาที่เป็นเจ้าของจวนเหิง เป็นสามีในนามของนาง และเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแผ่นดิน แค่ให้เข้ามาเป็นคนสกุลเหิงก็ดีเกินไปสำหรับนางที่อัปลักษณ์และมีคำสาปติดตัวแล้ว
ปัง!
เหิงเจี้ยงบันดาลโทสะ ทุบฝ่ามือใหญ่ลงบนโต๊ะที่วางถ้วยน้ำชาเสียงดังสนั่น
“ปล่อยนาง” ร่างสูงลั่นคำด้วยโทสะ เขาไม่มีทางยอมนบนอบลดตัวลงไปเชื้อเชิญสตรีที่จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาใต้อาณัติเขาเป็นแน่
ชิวหูได้ยินดังนั้นก็พลันกลุ้มใจ นี่เขาคิดถูกหรือไม่ที่วางแผนปรองดอง หมายให้นายของตนมีอำนาจมากขึ้น เพราะตอนนี้เหมือนจะไม่เป็นไปตามที่คิดเสียแล้ว
สองฮูหยินหลุบตาลงต่ำและชำเลืองมองกันเล็กน้อยอย่างรู้ความ นี่คือสิ่งที่พวกนางต้องการ บ้านที่น้อยภรรยาและไร้ตัวเสนียด โดยมีพวกนางเป็นใหญ่ที่สุดรองจากสามีคือสิ่งที่พึงปรารถนา
หยูเหวินหยาหยิบชุดสีแดงมงคลมาสวมอีกครา ด้วยหมายว่าเมื่อเหิงเจี้ยงมาถึงคงไม่นิ่งดูดาย อย่างน้อยคงมีมารยาทมารับนางเข้าจวนตามคำที่ได้รับปากบิดาไว้เป็นแน่ ทว่านางสวมชุดเจ้าสาวนั่งคอยอยู่หน้าบ้านไม้หลังเล็กอย่างสะดุดตา ทันทีที่รู้ข่าวในยามตะวันขึ้นจนกระทั่งดวงอาทิตย์เคลื่อนลับดับแสง แต่ก็ยังไร้วี่แววเจ้าบ่าวใจทมิฬผู้นั้น
“คุณหนู! ฮือๆ เลิกรอเถิดเจ้าค่ะ พอทีกับชายไร้ใจผู้นั้น เขาหยามคุณหนู หยามนายท่าน หยามสกุลหยูมาหลายครั้งแล้วนะเจ้าคะ ฮือๆ คนอะไรใจร้ายยิ่ง กลับบ้านเราเถิดเจ้าค่ะ”
เซียงเซียงร่ำไห้แทนเจ้านายที่รัก นางเห็นคุณหนูทนทุกข์มาทั้งชีวิตไม่พอ ยังต้องมาเห็นคุณหนูพยายามฆ่าตัวตายจนกระทั่งความจำเสื่อมอีก ไหนจะต้องมารับรู้เรื่องงานแต่งที่ถูกยกเลิกเพราะไร้เจ้าบ่าว จนสุดท้ายคุณหนูต้องร่อนเร่จากดินแดนทางใต้มายังแดนเหนือเพื่อขายตัวเองเข้าบ้านสามี แต่ก็ยังไม่ได้รับการต้อนรับจากคนในจวน อีกทั้งผู้คนที่นี่ยังคอยกลั่นแกล้งตลอดมา ยิ่งคิดนางก็ยิ่งเดือดดาลแทนคุณหนู จนอยากจะจุดไฟเผาจวนเหิงให้มอดสิ้น
“รอต่อไป” เสียงเล็กสั่นนิดๆ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงมงคลเริ่มมีน้ำตาซึมด้วยความย่อท้อที่เข้ากัดกร่อนหัวใจ หลายครั้งที่นางอดทนทำใจเข้มแข็ง หวังข้ามผ่านชะตาฟ้าที่แสนโหดร้าย แต่ยามนี้นางเหมือนล้มลงอีกครั้งด้วยการถูกมองข้ามจากเหิงเจี้ยง!
ความคิดเห็น |
---|