1

หนึ่ง


หนึ่ง

สายลมแผ่วพลิ้วพัดโชยมาเบาๆ ต้นหญ้าเขียวแซมน้ำตาลโอนเอนตามกระแสลม บรรยากาศโดยรอบช่างสดชื่นชวนให้เคลิบเคลิ้ม ทว่าหญิงสูงใหญ่ร่างกายอ้วนฉุที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทะเลสาบกลับตัวสั่นไหว นางยกมือหนาขึ้นปาดหยาดน้ำที่ค่อยๆ ร่วงรินจากเบ้าตากลมจนอาบนองทั่วใบหน้าที่มีแต่ตุ่มหนองทุกอณูพื้นผิว เสียงสะอื้นไห้ของนางดังถี่ประดุจคนเจียนจะขาดใจสิ้นไร้ซึ่งความสุข

นัยน์ตาแดงช้ำมองพื้นน้ำกว้างที่หักเหแสงจากดวงอาทิตย์ทันทีที่ตกกระทบทอประกายระยิบระยับ ฉับพลันสตรีอัปลักษณ์นางนั้นก็ตัดสินใจทิ้งกายมหึมาดำดิ่งลงใต้พื้นน้ำ

ตู้ม!

“กรี๊ด! คุณหนู! คุณหนูตกน้ำเจ้าค่ะ!” สาวใช้คนสนิทที่มองอยู่ไม่ไกลกรีดร้องเสียงหลง ฉับพลันนั้นชายนับสิบคนก็กระโจนลงไปในทะเลสาบกว้างหมายช่วยชีวิตผู้เป็นนาย ร่างสตรีในชุดสีแดงถูกช่วยขึ้นมา นางไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ จนชายหกคนต้องช่วยกันหามร่างนางขึ้นมาวางบนพื้นดิน

“ฮือๆ คุณหนูฟื้นสิเจ้าคะ” สาวใช้โน้มกายเขย่าร่างคุณหนูของตนที่โชกชุ่มไปด้วยน้ำ พลางร่ำร้องหมายให้ร่างตรงหน้าฟื้นคืนสติ นานเกือบเค่อ1 ที่นางสิ้นลม ทว่าทันใดนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์ เมื่อลมหายใจระรวยหวนคืนกลับมาอีกครั้ง

ริมฝีปากบางซีดไร้สีเลือดอ้ากว้างเพื่อขับของเหลวออกมา นัยน์ตากลมกะพริบถี่เพื่อปรับการมองเห็น ภาพที่พร่าเลือนค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนสะท้อนภาพสาวใช้ในชุดสีเขียวอ่อนที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาและกำลังยิ้มให้นาง

“ฉันเป็นอะไรไป” เสียงสั่นถามอย่างงุนงง ก่อนหญิงสาวอีกคนจะเอ่ยถามถึงสาเหตุของการตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทว่าปฏิกิริยาที่ตอบโต้กลับมาพร้อมคำถาม “นี่! เรารู้จักกันเหรอ!” ทำเอาผู้ฟังถึงกับผงะ

“คะ...คุณหนูจำเซียงเซียงไม่ได้หรือเจ้าคะ” ใบหน้าหวานของสาวใช้ฉายแววตกตะลึง ด้วยคิดว่าคุณหนูที่รักคงความจำเสื่อมไปพร้อมกับลมหายใจที่หมดลงในคราแรก หยาดน้ำใสพลันไหลรินจากหางตาด้วยแสนเวทนาในตัวนายหญิง นัยน์ตาสาวใช้ชุดสีเขียวอ่อนทอดมองไปยังท้องฟ้าสีครามสลับกับปุยเมฆขาวที่ลอยเลื่อนแผ่วพลิ้วเปลี่ยนรูปร่างทาบทับผืนฟ้ากว้างอย่างอาดูร

“เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งคุณหนูหยูเหวินหยาของข้าเยี่ยงนี้ ฮือๆ ทั้งร่างกายที่ใหญ่โตและใบหน้าที่ต้องปกปิดไม่ให้ผู้ใดเห็นมาชั่วชีวิตยังไม่พออีกหรือ ตอนนี้ยังมาซ้ำเติมให้คุณหนูความจำเสื่อมอีก” เสียงตัดพ้อต่อโชคชะตาของสาวใช้สั่นเครือด้วยใจเวทนา

“นี่! เธอพูดอะไร ฉันไม่ใช่คุณหนูของเธอหรอกนะ ฉันชื่อเอียงจันทร์ ไม่ใช่เหวินหยาอะไรของเธอสักหน่อย” เสียงใสเอ่ยบอกด้วยความฉงน แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับยิ่งสะอื้นหนัก

“โธ่! คุณหนูของบ่าว ฮือๆ”

“เอ๊ะ! คุณหนูอะไร ไม่เอาไม่อยากพูดด้วยแล้ว ฉันจะกลับบ้าน ยังไงก็ขอบใจเธอที่ช่วยฉันไว้นะ” ร่างหนาเอี้ยวตัวพลางเหยียดแขนยันกายหมายจะพยุงตัวลุกขึ้น ทว่าทั้งร่างกลับแสนหนักอึ้ง กว่าจะยืนหยัดได้ก็ช่างปวดตัวยิ่ง

ทันทีที่เธอทรงตัวได้สำเร็จ ก็พลันหมุนตัวมองหาหนทางเดินกลับบ้าน เธอจำได้อย่างแม่นยำว่ากระโดดลงไปในแม่น้ำหมายจะช่วยชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งในระหว่างนั้นร่างกายของเธอกลับแข็งชาอย่างกะทันหัน แล้วหมดสติไปในที่สุด

ยามนี้ดวงตาใสมองดูรอบกาย ปรากฏภาพทิวทัศน์งดงาม ไม่มีตึกรามบ้านช่องที่เบียดเสียดแออัดดังก่อนที่เธอจะหมดสติ และภาพชายหญิงตรงหน้าที่แต่งกายด้วยชุดจีนโบราณพร้อมเกี้ยวและขบวนติดตามที่แต่งชุดสีแดงกันหมด ทำให้ใจเธอกระตุกเต้นอย่างตื่นตระหนกและพลันวิตกกังวลอย่างมาก แต่สมองก็พยายามออกคำสั่งให้รวบรวมสติ

“คุณหนูไหวหรือไม่เจ้าคะ เรายังต้องเร่งเดินทางต่อนะเจ้าคะ” คำหวังดีของสาวใช้ที่บอกคุณหนูตนซึ่งใบหน้าฉายแววสับสน

“ฉันไม่ใช่คุณหนูของเธอนะ” เสียงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางที่ตอนนี้สีเลือดฝาดเริ่มกลับมา

“จะไม่ใช่คุณหนูได้อย่างไรกันเจ้าคะ นี่เจ้าค่ะ เอาผ้าปิดบังใบหน้าไว้ก่อนที่จะเดินทางต่อเถิดเจ้าค่ะ” มือเรียวของสตรีร่างเล็กรีบส่งผ้าผืนใหม่ให้เจ้านายตน

หญิงสาวได้ยินดังนั้นพลันยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้า ปลายนิ้วเลื่อนไล้แผ่วเบา ผิวสัมผัสที่รับรู้ได้ทำให้เธอสงสัยว่าเหตุใดถึงหยาบกร้านและเต็มไปด้วยตุ่มไต ใจก็เริ่มเต้นถี่แรง เธอรีบไปที่ริมน้ำในทันใด ชะโงกมองผิวน้ำใสหมายให้สะท้อนภาพตน ทันใดนั้นดวงตาโตก็เบิกกว้าง ใจเธอกระตุกเต้นแรงราวกับมีสิ่งใดมาฉุดกระชาก

“นี่มันใครกัน! ใบหน้านี้! ร่างกายนี้! ทำไมถึงอัปลักษณ์เช่นนี้”

มือหนาลูบคลำใบหน้ากลมขณะที่สายตาทอดมองภาพสะท้อนบนผิวน้ำใสไม่กะพริบ ยามนี้มือเธอสั่นเทา ในใจสั่นสะท้าน

‘ฉันต้องฝัน! ฝันไปแน่ๆ หรือว่าฉันตายแล้ว!’ หญิงสาวพร่ำบอกตัวเองในใจ พร้อมออกแรงหยิกแขนตนเองหมายให้ตื่นจากฝันร้าย ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น นัยน์ตาที่เบิกโพลงกะพริบแล้วหลุบลงเบื้องต่ำฉายประกายหวั่นวิตก ก่อนที่น้ำใสจะไหลรินออกมาเพราะความสับสนในใจ

สมองน้อยๆ ครุ่นคิดไปถึงสารพันเหตุผลกับเรื่องที่ได้รับรู้ คิดว่าตนตาฝาด แต่ภาพกลับฉายชัดเสียจนต้องเปลี่ยนความคิด ‘หรือว่าฉันตายในขณะที่พยายามช่วยชีวิตคนอื่น แล้ววิญญาณหลุดลอยมาสิงในร่างนี้’ นี่คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ ทว่าทำไมต้องเป็นร่างของผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้ด้วย… คำถามนี้ยังคงค้างคาในใจและไร้ซึ่งคำตอบ

“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู!” สาวใช้พยายามเอ่ยเรียกสตินายตน

แต่เธอยังคงตกใจอย่างหนัก ด้วยความจริงนั้นโหดร้ายและกะทันหันเสียจนเธอตั้งตัวไม่ทัน ทันใดนั้นร่างหนาก็สิ้นสติไปอีกครั้ง

 

ย้อนไปเมื่อสามวันก่อน

ขบวนสินค้าของสกุลหยูผู้มั่งคั่งในดินแดนทางใต้เดินทางข้ามจากเมืองหนึ่งไปอีกเมือง ผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับ รวมถึงสินค้าหลากหลายถูกนำไปส่งมอบตามคำสั่งซื้อยังต่างเมือง ทว่าช่างโชคร้ายเมื่อถูกโจรภูเขากลุ่มใหญ่ดักซุ่มโจมตีหมายปล้นชิงสินค้า

กระบี่ยาววาววับของโจรร้ายถูกชักออกมาฟาดฟันใส่ทหารรับจ้างที่คุ้มกันขบวนสินค้า ร่างแล้วร่างเล่าที่เลือดสาดกระเซ็นก่อนจะหมดลมหายใจ นายใหญ่ของสกุลหยูที่เดินทางมากับขบวนสินค้าในครานี้ถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ ใจเต้นระส่ำ เพราะคิดว่าครานี้คงประสบเคราะห์ร้ายจนถึงแก่ชีวิตเป็นแน่ ทว่าดั่งสวรรค์เห็นใจ ให้ขณะนั้นมีกลุ่มทหารหาญเดินทางผ่านมาพอดี เมื่อพวกเขาพบเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าจึงไม่รั้งรอที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

เหล่าทหารในชุดเกราะเหล็กเข้าปะทะกับกลุ่มโจรป่าดั่งราชสีห์ต่อสู้กับฝูงหมาป่าและหมายเอาชีวิตอีกฝ่าย ในกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้กัน มีร่างสูงใหญ่ที่สง่ากว่าทุกคนปรากฏขึ้น เขาสวมหมวกเหล็กปิดบังใบหน้า เปิดไว้เพียงดวงตาเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นนัยน์ตาสีดำขลับดุคมประดุจพยัคฆ์ร้าย ที่ส่องประกายสะท้อนภาพชีวิตเล็กๆ ตรงหน้า

ร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหวดุจพายุ เขาโจมตีโจรป่าอย่างไร้ความปรานี เพียงไม่นานโจรร้ายก็ถูกกำราบจนราบคาบ ผู้นำขบวนสินค้าพลันคุกเข่าลงตรงหน้าทหารหาญกลุ่มนั้น

“ขอบคุณท่านมาก มิทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด” ชายชรากล่าวขอบคุณพลางถามไถ่ชื่อผู้มีพระคุณ แต่ชายในชุดเกราะสวมหมวกเหล็กกลับนิ่งไม่ตอบคำใด ทหารที่ยืนข้างกายจึงเอ่ยนามแทน

“ท่านผู้นี้คือคุณชายใหญ่แห่งสกุลเหิง นามว่าเหิงเจี้ยง หรือแม่ทัพเหิงเจี้ยงผู้ไร้พ่าย” เสียงคนสนิทนามว่าชิวหูกล่าวชัด เขาสวมเกราะเหล็กไม่ต่างจากนายตน ทว่าไม่มีหมวกสวมปิดคลุม และเกราะเหล็กที่สวมก็มีลวดลายแสดงถึงความมีอำนาจเป็นรองอย่างชัดเจน

ทันทีที่หยูเกาได้ยินนามของชายตรงหน้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราก็แย้มยิ้มอย่างดีอกดีใจ “ช่างเป็นบุญของข้ายิ่งนัก ที่ได้แม่ทัพเหิงผู้ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินช่วยชีวิตไว้ ข้าดีใจนัก! ได้โปรดบอกข้ามาเถิดว่าจะให้ข้าตอบแทนสิ่งใดท่านได้บ้าง”

“ท่านแม่ทัพแค่ผ่านทางมา และบังเอิญเห็นพวกเจ้ามีภัยจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่ต้องตอบแทนใดๆ หรอก” ชิวหูเอ่ยแทน ด้วยรู้นิสัยนายของตนดีว่าปากหนัก เอ่ยคำใดก็แสนยากเย็น ทว่าพอเอ่ยขึ้นมาก็เป็นแบบขวานผ่าซาก ไร้ซึ่งคารมเสนาะหู

“ไม่ได้! ท่านแม่ทัพอุตส่าห์ช่วยชีวิตข้ากับคนสกุลหยูอีกหลายชีวิต โปรดให้ข้าได้ตอบแทนเพื่อความสบายใจเถิด เช่นนั้นเอาอย่างนี้! ข้ามีบุตรสาวที่กำลังเข้าสู่วัยออกเรือน แต่นางมิค่อยงดงามนัก และมักถูกล้อเลียนอยู่บ่อยครั้ง ถึงกระนั้นข้าก็ขอให้ท่านแม่ทัพได้โปรดรับนางไว้เป็นฮูหยินในจวนท่านด้วยเถิด เผื่อนางจะช่วยงานในเรือนและแบ่งเบาความเหนื่อยยากให้ท่านได้บ้าง อีกอย่าง... ถ้าท่านแม่ทัพยินยอมเป็นบุตรเขยข้า ก็เสมือนเกี่ยวดองเป็นเครือญาติ ข้ายินดีเป็นกำลังช่วยเหลือท่านในภายภาคหน้า”

สิ้นคำของหยูเกา ร่างใหญ่ตรงหน้าก็คิดหนัก ชิวหูคนสนิทพลันกระซิบความที่ข้างใบหูของนายตนในทันที

“ท่านแม่ทัพ! รับนางไว้เถิดขอรับ ข้าเคยได้ข่าวว่าสกุลหยูร่ำรวยในดินแดนทางใต้นัก หากปรองดองเป็นเครือญาติ ต่อไปถึงคราวที่เราขาดเสบียงหรือกำลังทรัพย์และอาวุธ เขาอาจจะช่วยเหลือเราได้นะขอรับ” ชิวหูช่วยออกความคิดเห็น หมายให้นายตนได้มีอำนาจมากขึ้น เขาเปรียบเสมือนกุนซือฝ่ายซ้ายที่คอยให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ ด้วยความภักดีเสมอมา

ด้านเหิงเจี้ยงฟังคำแล้วคิดตาม คิ้วดกดำที่เรียงตัวอย่างดีภายใต้หมวกเหล็กขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มคิดว่าคำของลูกน้องก็มีเหตุผล แต่เขาไม่ชอบการกระทำที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาแต่ได้ จึงตัดสินใจเอ่ยคำตามที่คิด

“ข้าไม่ใคร่ได้บุตรีเจ้า แต่ถ้าจะตอบแทน ขอเป็นเงินก็พอ” เสียงใหญ่เอ่ยตรงๆ นิสัยแข็งทื่อดุจก้อนหิน คำพูดก็แสนจะเถรตรงจนทำให้ใครหลายคนแสลงหูมานักต่อนัก

ด้านหยูเกาได้ฟังก็พลันตกตะลึงค้าง ด้วยคำกล่าวที่บอกว่าขอเงินทองแต่ไม่เอาบุตรสาวตน ทำให้เขานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ทว่านี่คือโอกาสเหมาะที่เขาจะได้เกี่ยวดองกับแม่ทัพผู้เกรียงไกรให้เป็นบุญแก่วงศ์ตระกูล และเป็นการรวบรัดส่งบุตรสาวที่ตนกังวลว่าจะไร้คู่ให้มีคู่ครองเสียที จึงไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปเป็นแน่ ท่าทางชายชราอึกอักอย่างเห็นได้ชัด ชิวหูเห็นเช่นนั้นก็อดกล่าวความต่อไม่ได้

“ท่านหยู ข้าก็พอจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับบุตรสาวของท่านมาบ้าง คำเล่าลือถึงบุตรสาวท่านนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าใด มีหลายคนเล่าว่านางแสนอัปลักษณ์จนหาหญิงใดในใต้หล้านี้เปรียบไม่ได้ อีกทั้งยังมีคำสาปติดกายมาตั้งแต่เกิด แล้วจะให้ท่านแม่ทัพของข้าแต่งนางเป็นฮูหยินน้อยอย่างนั้นรึ” ชิวหูมีมันสมองที่เฉียบแหลมและฝีปากกล้า จึงแกล้งเอ่ยเพื่อหวังบางสิ่ง

“อะ...เอ่อ… เอาเช่นนี้ ข้าจะมอบบุตรสาวและแถมสินสอดตามจำนวนที่ท่านแม่ทัพเรียกร้อง” ชายชราโค้งตัวอย่างนอบน้อม กลัวบุตรสาวจะขายไม่ออกถึงขนาดยอมเป็นฝ่ายเสนอสินสอดให้ฝ่ายชาย เพียงแค่หวังให้ฝ่ายชายเมตตารับบุตรสาวตนไปเป็นภรรยาเท่านั้น

ชิวหูได้ยินคำก็พลันยิ้มเจ้าเล่ห์ สิ่งนี้เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ไม่ผิดเพี้ยน แต่ร่างใหญ่ข้างกายกลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ข้าไม่ใคร่ได้บุตรสาวเจ้า! แต่ถ้าจะมอบ ขอเป็นเงินก็พอ” เสียงทุ้มย้ำบอกชัดถ้อยชัดคำ

เขายินดีรับน้ำใจหากชายชราตรงหน้าจะมอบให้เพื่อช่วยเหลือกองทัพ ทว่าเขาไม่ยินดีที่จะแต่งภรรยาเพิ่ม เพราะเขาก็มีภรรยาแล้วถึงสองคน ล้วนแต่เป็นสาวงามมิเป็นรองหญิงใด ทั้งคำเล่าลือว่าสตรีที่จะยกให้นั้นแสนอัปลักษณ์ เขาก็ยิ่งไม่อยากได้มาให้เคืองสายตาและยังเกะกะจวนอีก

ชิวหูได้ฟังนายตนเอ่ยย้ำก็คิดหนัก ยามนี้หากได้สกุลหยูมาเป็นกำลังช่วยสนับสนุนทุนทรัพย์ก็คงสามารถเลี้ยงดูหลายชีวิตในจวนเหิงได้สบายขึ้น เพราะถึงแม้สกุลเหิงจะเป็นแม่ทัพมาหลายรุ่น ทว่าความซื่อสัตย์และเถรตรงทำให้ไม่ฝักใฝ่อำนาจและยุ่งเกี่ยวกับเงินสินบนใดๆ จึงมีเพียงเบี้ยหวัดทหารและสมบัติที่สะสมมาใช้เลี้ยงคนในจวน รวมถึงทหารสกุลเหิงร่วมสองพันชีวิต แม้จะไม่ขาดแคลน แต่บางช่วงก็ขาดสภาพคล่อง การยื่นข้อเสนอเช่นนี้จึงเป็นการดีแก่สกุลเหิงยิ่ง

“กระนั้นแล้วแต่ท่านหยูเถิด ท่านแม่ทัพกับพวกข้าต้องขอตัวก่อน” ทหารคนสนิทรีบเอ่ยตัดบท และนำแม่ทัพเดินทางกลับฐานในทันที ถ้าขืนคุยต่อเขาเกรงว่าสกุลเหิงจะสูญเสียโอกาสทองเพราะความดึงดันของนายตนเป็นแน่แท้

 

ณ บ้านสกุลหยู

ข่าวดีถูกถ่ายทอดจากปากผู้เป็นบิดาไปยังบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าหยูเหวินหยา ซึ่งมีอายุสิบเจ็ดปี เป็นบุตรคนที่สี่ของสกุลหยู เศรษฐีมั่งคั่งผู้คุมอำนาจการค้าในดินแดนทางใต้ หยูเหวินหยามีพี่สาวสองคนคือหยูเหวินอิงกับหยูเหวินชิง และพี่ชายอีกหนึ่งคนนามว่าหยูเหวินชาง ส่วนนางเป็นน้องเล็กสุดจึงมักถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ

ด้วยความที่นางเกิดมาพร้อมรูปร่างที่ใหญ่เทอะทะ และใบหน้าที่อัปลักษณ์เต็มไปด้วยตุ่มหนองปูดโปน ยิ่งทำให้นางเป็นที่รังเกียจจากผู้คนในตระกูล ยังดีที่มีพี่ชายคอยเอ็นดูเอาใจใส่ด้วยแสนสงสารน้องสาวผู้อับโชค

ทว่าเมื่อบิดาแจ้งข่าวการแต่งงานสายฟ้าแลบ นางจึงตื่นตระหนกตกใจยิ่ง ภายในใจสั่นไหว เพราะเกรงกลัวว่าต้องแต่งเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ทั้งยังต้องแต่งกับชายที่มีข่าวลือว่าโหดเหี้ยม แม่ทัพแห่งแผ่นดินที่เข่นฆ่าคนเป็นว่าเล่น มีฉายาเย็นชาประดุจก้อนน้ำแข็ง และที่น่าหวั่นเกรงที่สุดคือ การแต่งเข้าเป็นภรรยาคนที่สาม อนุภรรยาที่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจภรรยาอีกสองคน

สองมืออวบอูมของหยูเหวินหยาประสานกันจนชื้นเหงื่อ หญิงสาวขบริมฝีปากเพื่อสะกดความอึดอัดใจ นัยน์ตากลมหลุบต่ำและทอประกายวูบไหวแสดงความหวั่นใจอย่างที่สุด

“ฮือๆ ท่านพ่อ ข้าไม่แต่ง” ร่างหนากล่าวเสียงสะอื้น แววตาตื่นตระหนกของบุตรสาวเว้าวอนต่อผู้เป็นบิดา

ด้านซ้ายและด้านขวาของนางคือพี่สาวที่ยืนขนาบข้าง พวกนางมีรูปร่างอรชร ใบหน้าขาวนวลงามงดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ผิดกับน้องสุดท้องที่มีร่างกายมหึมาดุจหมีป่า และมีใบหน้าอัปลักษณ์ดั่งต้องคำสาป จึงต้องใช้ผ้าคลุมอย่างมิดชิดเหลือไว้เพียงดวงตา

ตั้งแต่เกิดมาหยูเหวินหยาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกจากเรือนสกุลหยูสักครั้ง นางทำได้เพียงปีนบันไดแล้วใช้แขนเกาะกำแพงสูง ส่งสายตาทอดมองอาณาบริเวณนอกกำแพงทุกวัน แต่เมื่อมีชาวบ้านที่ผ่านไปมาสังเกตเห็นว่านางมาแอบดู ทุกคนก็จะส่งเสียงบ้างซุบซิบบ้าง เพราะข่าวความอับโชคที่นางได้รับเป็นที่กล่าวขวัญจากคนในสู่คนนอก จนไม่มีผู้ใดไม่รู้จักหยูเหวินหยาสตรีต้องคำสาปผู้นี้ ยังดีที่นางได้เล่าเรียนผ่านตำรามากมาย นางจึงมีไหวพริบมิด้อยกว่าผู้ใด

ยามนี้ริมฝีปากบางของพี่สาวทั้งสองเหยียดใส่น้องสาวร่วมสายเลือดที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น พวกนางมิเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องแม้เพียงนิด ด้วยในใจส่วนหนึ่งรังเกียจและเกรงกลัวคำสาป และอีกส่วนก็แสนอิจฉาที่น้องสาวผู้อัปลักษณ์ได้แต่งเป็นภรรยาแม่ทัพใหญ่ผู้มีชื่อเสียงระบือไกล แต่พวกนางกลับได้แต่งกับพ่อค้าเล็กๆ

“อย่ามาบีบน้ำตาให้ท่านพ่อสงสาร เลิกเสแสร้งทำเหมือนไม่อยากแต่งเสียที อย่างเจ้า! แค่ได้ออกเรือนก็น่าจะดีใจมากกว่า เพราะดูหน้าตาแสนทุเรศทุรังเช่นนี้ยังหาสามีได้ก็นับว่าบุญโขแล้ว เจ้าทำให้ท่านพ่อต้องเสียทรัพย์สิน

มากมายเพื่อเป็นสินสอดให้ท่านแม่ทัพเหิงยอมรับปากแต่งกับเจ้า ยังไม่ดีใจอีกรึ! มีสตรีนางใดบ้างที่ต้องเอาเงินเร่ไปจ้างให้บุรุษมาเป็นสามีเช่นนี้”

“ท่านพี่! ฮือๆ” หยูเหวินหยาสะเทือนใจอย่างหนักหน่วง คำพูดของพี่สาวช่างคมราวกับมีดที่กรีดลงกลางใจนาง

“พอที! เลิกโต้เถียงกันได้แล้ว เหวินอิง เจ้าเป็นพี่คนโตสุด อย่าพูดในสิ่งที่ไม่ถนอมใจน้องเจ้าเช่นนี้” หยูเกาเอ่ยเตือน หลายครั้งหลายหนที่เขาเห็นบุตรสาวคนเล็กถูกต่อว่าอย่างเดียดฉันท์ จนใจคนเป็นบิดาก็อดสงสารไม่ได้

“ท่านพ่อ!” หยูเหวินอิงตวาดใส่บิดาอย่างฉุนเฉียว

“ส่วนเจ้า! กลับไปเก็บข้าวของเพื่อเตรียมย้ายไปจวนแม่ทัพเสีย ไม่ใช่เวลามาคร่ำครวญแล้ว การเดินทางช่างแสนไกล ต้องเตรียมของให้พร้อม อีกอย่าง... เจ้าต้องเตรียมชุดพร้อมผ้าปิดบังใบหน้าที่มิดชิด อย่าให้ท่านแม่ทัพเห็นหน้าตาอัปลักษณ์ของเจ้า จนเกรงกลัวต้องส่งเจ้ากลับมาเป็นอันขาด หากเกิดเรื่องเช่นนั้น ข้าจะตัดพ่อตัดลูกกับเจ้า!” คำสั่งบิดาลั่นบอกอย่างเผด็จการ

หยูเหวินหยายังไม่ทันได้เปิดปากเอ่ยคำใดต่อ ก็ถูกบ่าวรับใช้ในตระกูลนำตัวนางกลับไปยังห้องของตน

หลังจากวันที่รู้ข่าวการแต่งงาน หยูเหวินหยาก็แสนตรอมตรม ข่าวงานแต่งงานของคุณหนูต้องสาปถูกลือปากต่อปาก จนผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา แต่ส่วนมากจะกล่าวไปในทางไม่ดีว่าสกุลหยูอับจนหนทางที่จะหาสามีให้บุตรสาวคนเล็ก ถึงขนาดยอมเป็นฝ่ายมอบสินสอดให้แก่ฝ่ายชาย ราวกับจ้างวานให้ยอมแต่งเสียมากกว่า

ด้านหยูเหวินหยา ทุกวันก็เอาแต่ร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้ากับการแต่งงานครั้งนี้ จนกระทั่งวันรับตัวเจ้าสาวมาถึง นางแต่งกายด้วยชุดสีแดงสดปักลายดอกด้วยดิ้นทองแสดงถึงฐานะอันร่ำรวย หยูเกาผู้เป็นบิดาเอาแต่เดินไปซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน ไม่ต่างจากพี่สาวทั้งสอง พวกนางอยากยลโฉมหน้าท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกรให้เป็นขวัญตาจนอดตื่นเต้นไม่ได้

เงินทองและข้าวของมากมายถูกบรรจุลงในหีบใหญ่หลายใบเพื่อเตรียมรอออกเดินทาง ทว่าก็ไร้วี่แววของเจ้าบ่าว ผู้คนที่รายล้อมตัวบ้านสกุลหยูต่างเริ่มหันซ้ายแลขวาก่อนจะเอ่ยซุบซิบนินทากันระงม

ในจังหวะนั้นเอง ม้าศึกตัวใหญ่ก็วิ่งทะยานเข้ามาทางประตูที่ประดับด้วยผ้าแดงและของตกแต่งในงานมงคล แต่เมื่อมาถึงกลับไม่ใช่เหิงเจี้ยง เป็นเพียงทหารม้าผู้ส่งข่าวเท่านั้น!

“ท่านคือท่านหยูใช่หรือไม่” นายทหารถามพร้อมกับยื่นม้วนกระดาษที่ถูกปิดผนึกในกระบอกไม้อย่างแน่นหนาให้หยูเกา มันคือจดหมายแจ้งความจำนงของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ชายชราในชุดมงคลจึงรับมาและมิรั้งรอที่จะเปิดอ่านในทันที

ข้อความในนั้นระบุว่าเขาติดภารกิจไม่สามารถมารับเจ้าสาวได้ และหากฝ่ายหญิงยังยืนยันจะเกี่ยวดองเป็นเครือญาติตามที่ลั่นวาจา ก็ให้ส่งบุตรสาวเดินทางไปที่จวนสกุลเหิงด้วยตัวเอง เมื่อไปถึงจะมีคนรอต้อนรับอยู่ที่นั่น ส่วนเขาอีกไม่นานก็จะได้ย้ายกลับไปพำนักที่จวน และครานั้นก็จะได้พบกับคุณหนูสกุลหยู

ทุกถ้อยคำที่เขียนลงในจดหมายที่ส่งถึงทำให้หยูเกาตกใจอย่างมาก ฝ่ามือใหญ่กำแน่น ริมฝีปากขบกัน แสดงอาการไม่พึงใจ “แล้วพิธีแต่งจะทำเช่นไร” ชายชราหน้าเปลี่ยนสี เพราะพิธีมงคลอันแสนสำคัญถูกละเลย บรรยากาศครื้นเครงกลับสงัดเงียบแฝงด้วยความตึงเครียดจนเสียกลิ่นอายและฤกษ์ยามมงคล

“แม่ทัพเหิงย้ำเพิ่มเติมมาว่า ท่านหยูเอ่ยปากอยากตอบแทนที่ช่วยชีวิตโดยการมอบบุตรสาวให้เอง ทั้งที่ท่านแม่ทัพก็ปฏิเสธอยู่หลายครั้ง และยังมีคำเล่าลือเรื่องคำสาปที่ติดตัวบุตรสาวท่านตั้งแต่เกิดอีก ดังนั้นการเป็นแค่อนุก็คงเพียงพอกับคุณหนูหยูแล้ว จึงขอให้ท่านอย่าเคร่งครัดในพิธี”

หยูเกาได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล ทว่าก็สิ้นคำพูด เพราะเขาเคยเอ่ยเป็นเชิงยัดเยียดบุตรสาวให้แต่งงานเช่นนั้นจริง เพียงแต่ไม่คิดว่าจะถูกปฏิบัติอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้

นายทหารส่งจดหมายเห็นอาการชายชราตรงหน้ามีท่าทีลังเล จึงถามกลับด้วยหมายจะหาข้อสรุป “หรือท่านจะยกเลิก” เสียงทุ้มถามอย่างเยือกเย็น ทว่าทำใครอีกคนร้อนรน

“ไม่ๆ ข้าไม่ยกเลิก ข้าจะรีบส่งบุตรสาวขึ้นเกี้ยวล่วงหน้าไปรอที่จวนตามที่ท่านแม่ทัพต้องการ” หยูเกาลั่นคำแล้วรีบจัดแจงจับบุตรสาวขึ้นเกี้ยวขบวนแห่ตามที่ตกลง

หากเหวินหยาไม่ได้ออกเรือนวันนี้ก็คงไม่มีหวังจะได้ตบแต่งอีกแน่ ด้วยขบวนเจ้าสาวได้ม่ายเจ้าบ่าวไปแล้ว ทั้งยังรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ แล้วจะหวังให้ผู้ใดมาสู่ขอก็คงหาไม่ได้ ดังนั้นการส่งตัวนางออกเรือน แม้เป็นเพียงแค่ตำแหน่งอนุภรรยา ก็ยังดีกว่าให้นางแก่ชราอยู่ในสกุลหยู ไร้คนดูแล และเมื่อยามบุพการีตายจากไป ผู้ใดเล่าจะมาอุ้มชูนางที่โดดเดี่ยว คงไม่วายถูกพี่สาวกลั่นแกล้งไปชั่วชีวิต

 

ร่างหนาโอนเอนเล็กน้อยตามแรงเหวี่ยงของเกี้ยวเจ้าสาว ภายใต้ผ้าแดงที่คลุมทับผ้าที่โพกเพื่อเร้นใบหน้าอีกชั้นกำลังเปียกชื้น น้ำใสหลั่งไหลดั่งเกลียวคลื่นโถมทะลักจากเบ้าตากลม ขบวนเจ้าสาวนี้ไร้ซึ่งเจ้าบ่าว พิธีมงคลถูกทำลายจนสิ้นด้วยน้ำมือของแม่ทัพใจเหี้ยมที่ไม่เคยจะได้เห็นแม้แต่หน้า

นางกำเอี๊ยมสีแดงที่ต้องมอบให้เจ้าบ่าวเมื่อครามารับตัว เพื่อแลกปิ่นทองที่เขาต้องมอบให้นางใช้ประดับศีรษะตามประเพณีก่อนออกจากบ้านเจ้าสาว สิบนิ้วของนางขยำขยี้เอี๊ยมสีแดงที่ปักตัวอักษรว่า ‘อยู่ด้วยกันจนแก่ร้อยปี’ บนตักด้วยใจแสนเจ็บปวด เพราะเจ้าบ่าวไม่มา เอี๊ยมนี้ก็ไร้ความหมาย ทว่าบิดายังคงยัดเยียดใส่มือนางก่อนออกเดินทางจากสกุลหยู

ไร้ซึ่งปี่ไร้ซึ่งขลุ่ยหรือเครื่องดนตรีส่งเสียงนำขบวนเจ้าสาวม่ายขันหมากแม้เพียงนิด มีเพียงนางที่ร่อนเร่เสนอตัวพร้อมหอบเงินทองที่เป็นสินสอดไปมอบให้ชายแปลกหน้าถึงจวน ความรู้สึกของนางแสนชอกช้ำ ไม่หลงเหลือความภาคภูมิใจใดๆ ในฐานะสตรีอีกแล้ว

นางตระหนักอยู่เสมอว่าตนแสนอัปลักษณ์และเป็นที่รังเกียจ แต่สิ่งที่เหิงเจี้ยงกระทำนั้นช่างหยามเกียรตินางจนเกินจะรับไหว ร่างหนาคร่ำครวญปานจะขาดใจ ด้วยสิ้นเยื่อใยจากเจ้าบ่าวใจทมิฬ

 

ขบวนเจ้าสาวผู้ต้องสาปยังคงเดินทางแข่งกับเวลา ทุกย่างก้าวที่เกี้ยวแดงไกลห่างจากบ้านสกุลหยู หัวใจของนางยิ่งถูกบีบรัด ความกลัวและความเจ็บปวดกลางอกตอกย้ำจนนางไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป ในเมื่อฤกษ์มงคลถูกทำลายสิ้น แล้วนางต้องกลัวสิ่งใดอีกเล่า

เหวินหยาคิดเช่นนั้นพลันออกคำสั่งให้ขบวนหยุดพัก ก่อนเยื้องย่างไปเบื้องหน้าทะเลสาบ นัยน์ตาแดงช้ำทอดมองไปยังผืนน้ำกว้างที่สะท้อนแสงอาทิตย์ซึ่งตกกระทบ ปลายเส้นผมสีดำพลิ้วลู่ตามสายลมที่พัดโชยมา จนผ้าคลุมหน้าสีแดงผืนนอกปลิวไป นางยกมือหนาขึ้นปาดหยาดน้ำตาที่ร่วงรินจากดวงตากลมจนอาบนองทั่วใบหน้า เสียงสะอึกสะอื้นของนางดังถี่คล้ายคนเจียนจะขาดใจที่สิ้นไร้ซึ่งความสุข

“สหายหรือ ข้าไม่มี! ความรักหรือ ข้าไม่รู้จัก! ตลอดชีวิตข้าต้องทนทุกข์อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ทุกคำที่ดูถูกตลอดสิบเจ็ดปี และทุกสายตาที่หยามเหยียดข้ามานานแสนนาน ข้าเหนื่อยเหลือเกิน แต่ข้าก็กล้ำกลืนฝืนทนมีชีวิตอย่างน่าสังเวช

“แต่ยามนี้ท่านพ่อส่งข้าให้ไปแต่งงานกับชายแปลกหน้าที่ไม่แม้แต่จะมารับข้า หรือยอมเข้าพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีกับข้าเสียด้วยซ้ำ แล้วข้าจะแต่งไปทำไม เพียงแค่ให้ข้าไปพ้นหูพ้นตาเท่านั้นหรือ

“หรือเพียงแค่ให้ข้าที่เป็นตัวเสนียดของวงศ์ตระกูลไม่สร้างชื่อเสียเรื่องไร้ชายตบแต่ง ท่านพ่อถึงกับยอมมอบทรัพย์สินให้เจ้าบ่าวเพื่อเป็นสินสอดเช่นนี้ ข้าก็เหมือนแค่ของแถมสินะ เพราะเขาสนใจในเงินทองแต่หาได้สนใจข้าไม่ ตัวข้าช่างไร้ค่าต่ำต้อยเสียกว่าสิ่งของอีกหรือนี่

“พอแล้ว พอกันที ข้ามิอาจทนไหว ข้าขอจบชีวิตสิ้นลมหายใจที่แสนระทมทุกข์ภายใต้สายน้ำที่สงบนิ่งนี้ เทพแห่งสายน้ำได้โปรดนำพาวิญญาณข้าไป และช่วยปลดปล่อยข้าจากความตรอมตรมอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เสียทีเถิด”

ร่างหนาในชุดเจ้าสาวทอดอาลัยอยู่เบื้องหน้าทะเลสาบขณะที่ขบวนมงคลหยุดพัก เพราะการเดินทางช่างแสนไกลและสร้างความเหนื่อยล้าให้แก่ผู้ติดตามยิ่ง ชั่วลมหายใจนางพลันตัดสินใจทิ้งร่างหนาดำดิ่งลงใต้ผิวน้ำ

ตู้ม!

วงคลื่นน้ำขยายตัว หยดน้ำใสสาดกระเซ็นทั่วบริเวณ

“กรี๊ดๆๆ”

เสียงสาวใช้กรีดร้องด้วยความตกใจ นำพาให้หญิงสาวได้สติขึ้นมาฉับพลัน ลมหายใจหอบถี่ หัวใจเต้นแรง ทว่าแสนเจ็บปวด ความรู้สึกจากภาพฝันยังตราตรึง และทิ้งความรวดร้าวดั่งหัวใจถูกบดขยี้เอาไว้

“คุณหนู! รู้สึกตัวแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างยังคงเอื้อนเอ่ยอย่างห่วงใย

ร่างหนากะพริบตาถี่เพื่อตั้งสติ วิญญาณใหม่ในร่างของหยูเหวินหยากวาดตามองรอบกาย ก็พบว่าตนยังคงอยู่ในสถานที่แปลกตา ยังอยู่ในร่างกายมหึมาและใบหน้าที่มีแต่ตุ่มหนองเฉกเช่นเดิม

‘เมื่อครู่เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างนี้สินะ ทรมานเหลือเกิน ความรู้สึกเจ็บปวดจนอยากจะตายยังหลงเหลืออยู่ เจ้าของร่างคงตั้งใจปลิดชีวิตตนเองเป็นแน่ แต่ทำไมฉันถึงกลับมาอยู่ในร่างนี้แทนกันนะ’ เธอพร่ำคิดในใจ ก่อนตัดสินใจหันไปคุยกับสาวใช้ที่นั่งเคียงข้าง

“ฉัน... ไม่สิ ข้าชื่ออะไรหรือ” เอียงจันทร์ที่อยู่ในร่างหยูเหวินหยาเอ่ยถาม

“คะ...คุณหนู! จำแม้กระทั่งตัวเองก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสียงเล็กที่มีสถานะต่ำกว่าถามกลับอย่างตกใจ

เอียงจันทร์ในร่างหยูเหวินหยาส่ายหน้าแทนคำพูด ไม่สามารถบอกความจริงเรื่องวิญญาณตนไม่ใช่คุณหนูผู้นี้ได้ เพราะอาจถูกกล่าวหาว่าบ้าหรือเพี้ยนจนดูน่าสมเพชมากกว่าเดิม

เซียงเซียงเห็นอาการของคุณหนูที่ตนรักแปลกไปก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ตลอดมานางเติบโตมาพร้อมหยูเหวินหยาในฐานะลูกของบ่าวรับใช้ แต่หยูเหวินหยากลับรักใคร่และเห็นนางเป็นเสมือนพี่น้อง มีอะไรก็แบ่งปัน ทั้งยังร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด

“คุณหนูความจำเสื่อมจริงหรือเจ้าคะ ฮือๆ ต้องเป็นเพราะคุณหนูหยุดหายใจไปนานแน่ๆ ฮือๆ คุณหนูเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของสกุลหยูชื่อว่าเหวินหยาเจ้าค่ะ โธ่สวรรค์! ทำไมถึงโหดร้ายกับคุณหนูเช่นนี้ ฮือๆ” เซียงเซียงร่ำไห้อย่างหนัก มือเล็กพยายามปาดเช็ดหยาดน้ำใสที่ไหลรินไม่หยุด

ด้านหญิงสาวที่อยู่ในร่างใหญ่ยังคงสับสน สมองน้อยๆ กลั่นกรองและคิดไปสารพัด ‘หยูเหวินหยา ชีวิตเธอช่างน่าสงสารจัง ขนาดแค่ความทรงจำเบาบางที่ได้รับรู้ยังทำให้ฉันเจ็บปวดใจไม่หาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงคิดสั้น ฉันขอโทษที่เคยว่าร่างของเธออัปลักษณ์ในตอนแรกที่เห็น ฉันขอโทษนะหยูเหวินหยา’ วิญญาณดวงใหม่ในร่างหยูเหวินหยารำพึงรำพันในใจ

“เธอ... เอ๊ย! เจ้าชื่ออะไรล่ะ” หญิงสาวตัดสินใจถามต่อ

“เซียงเซียงเจ้าค่ะ ฮือๆ คุณหนูจำบ่าวยังไม่ได้เลย ขนาดเราเติบโตมาด้วยกันแท้ๆ ฮือๆ” สาวใช้คร่ำครวญ

“ขอโทษนะเซียงเซียง ข้าจำไม่ได้จริงๆ” เสียงใสเอ่ยบอกพร้อมเอามือจับศีรษะ พลางทำทีว่าจำไม่ได้อย่างจนใจ

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ฮือๆ ต้องโทษสวรรค์ที่กลั่นแกล้งคุณหนูไม่หยุดหย่อน ตลอดมาคุณหนูเจ็บช้ำมามาก แต่ก็ดีเหมือนกันที่คุณหนูลืมทุกสิ่ง ต่อไปคุณหนูก็อย่าคิดสั้นเช่นวันนี้อีกนะเจ้าคะ”

“ฉัน... เอ่อ... ข้าจะพยายาม เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลย” เธอพยายามใช้คำพูดที่ไม่คุ้นปากเอ่ยบอก มืออวบอูมยกขึ้นลูบคลำใบหน้าตน ทันทีที่สัมผัสโดนตุ่มตะปุ่มตะป่ำและน้ำหนองที่ไหลบางส่วน ก็ทำให้ใจเธอสั่นไหว

‘ฉันคงจะไปทำบาปอะไรไว้สินะ ถึงถูกโชคชะตานำพาให้วิญญาณมาสิงในร่างนี้ แต่ทำไมถึงย้อนมาไกลถึงยุคโบร่ำโบราณของจีนเช่นนี้ล่ะ แล้วต่อไปฉันจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร โดยเฉพาะในร่างนี้ที่ต้องแต่งงานแบบไร้เจ้าบ่าวไร้พิธีการเช่นนี้’ เธอคิดพลางทอดถอนใจ

เอียงจันทร์ สาวลูกครึ่งไทยจีน เกิดมาพรั่งพร้อมด้วยรูปโฉมและสติปัญญา ทั้งยังเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่วัยเจ็ดขวบ จนกระทั่งปัจจุบันอายุสิบเจ็ดปี เธออาศัยอยู่ในประเทศจีน แต่ก็ยังไม่ลืมถิ่นฐานบ้านเกิดของบิดาซึ่งก็คือประเทศไทย ตลอดชีวิตเอียงจันทร์มีแต่ความสุข ครอบครัวรักใคร่ปรองดอง

แล้ววันหนึ่งเมื่อชะตาฟ้าดินราวกับจะกลั่นแกล้งให้เธอกระโดดลงไปในแม่น้ำ หมายจะช่วยชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าผู้หญิงคนนั้นมีหน้าตาเช่นใด แต่ด้วยจิตใจที่แสนดีก็ทำให้ตัดสินใจกระโดดลงไปช่วยอีกหนึ่งชีวิต ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้ผืนน้ำกลับไม่พบร่างผู้หญิงคนนั้น และฉับพลันร่างกายเธอก็แข็งชาไปทั้งร่าง ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองที่อยู่ใต้น้ำได้

เอียงจันทร์พยายามตะเกียกตะกายหมายเอาชีวิตรอด ทว่าอากาศที่เบาบางก็พลันหมดลง สติของเธอค่อยๆ เลือนหาย และมารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองถูกกลุ่มคนที่แต่งกายเหมือนคนในยุคจีนโบราณแปลกตาช่วยเอาไว้ ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้คือต้องยอมรับชะตากรรมที่แสนอับโชคในครั้งนี้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น