หก
เหิงเจี้ยงนั่งอ่านตำราอย่างสงบภายในห้องอักษรเฉกเช่นเคย ทว่าความเงียบสงบของเขากำลังจะถูกทำลายด้วยฝีมืออนุภรรยาแสนอัปลักษณ์
“ท่านพี่ ข้าเหวินหยาเองเจ้าค่ะ”
หยูเหวินหยาเคาะประตูอย่างเบามือตามมารยาท จนเหิงเจี้ยงเอ่ยอนุญาตให้นางเข้าไป ในคราแรกที่พบว่าผู้มาเยือนคืออนุภรรยาที่ชอบเก็บตัว เขาก็แอบสงสัยในทันทีว่านางมาหาเขาถึงที่ด้วยเหตุอันใด
“ข้านำชามาให้ท่านพี่ ตั้งแต่มาอยู่จวนนี้ก็ไม่เคยได้ปรนนิบัติท่านพี่ตามที่ท่านพ่อได้กำชับมาเลยสักครา ข้าแสนละอายใจนัก มาเถิดท่านพี่ ท่านลองดื่มชาจากผิวส้มที่ข้าปรุงขึ้นเองให้ชื่นใจ”
เหิงเจี้ยงมองนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนเอื้อมมือไปยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ความหอมอ่อนๆ ของเปลือกส้มทำให้สามีผ่อนคลายจนหยูเหวินหยาอดอมยิ้มภูมิใจไม่ได้
“เจ้าอยากได้สิ่งใด ถึงยอมออกจากเรือนนำชามาให้ข้าเช่นนี้” สามีถามตรงประเด็น หยูเหวินหยาได้ทีจึงรีบเขยิบกายใหญ่เขาเบียดกระแซะสามี จนใบหน้าเย็นชาย่นคิ้วด้วยความตกใจ
“ข้าคิดถึงท่านพี่ ตั้งแต่มาอยู่จวนเหิง ท่านพี่ไม่เคยแวะเวียนไปหาหรือค้างแรมด้วยสักครา ข้าก็เป็นหญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของท่าน แล้วเมื่อไรเราจะ...” หยูเหวินหยาหยอดคำหวานใส่เหิงเจี้ยงพร้อมทำตาเล็กตาน้อย นิ้วเรียวทำท่าปูไต่ไปบนแขนแกร่งอย่างเชิญชวน
เหิงเจี้ยงเห็นกิริยาของภรรยาสาว แทนที่อารมณ์ชายจะตื่นตัวกลับกลายเป็นขยับถอยหนี ขนลุกชันด้วยคิดไปถึงภาพบนเตียงกับภรรยาตัวอ้วนทั้งยังอัปลักษณ์ เขารีบสลัดความคิดแล้วถอยร่น ทว่าอนุภรรยาจอมยั่วก็จู่โจมอีกครา นางตั้งใจหยอกเย้าสามีหน้าน้ำแข็งที่ชอบทำเย็นชาใส่
มือที่สวมถุงผ้าวางบนแผ่นอกกว้างของเหิงเจี้ยง นางถูมือขึ้นลงอย่างยั่วเย้า ในใจสาวรู้ผลอยู่แล้วว่าอย่างไรเหิงเจี้ยงก็คงไม่มีทางร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางที่อัปลักษณ์เป็นแน่ แต่ใจนางก็อยากจะทำ ด้วยคิดสนุกตามประสาสาววัยสิบเจ็ด ที่อยากแกล้งชายตรงหน้าที่ชอบทำให้นางเจ็บช้ำน้ำใจคืนบ้างเท่านั้น
และดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วย เมื่อเหิงเจี้ยงถึงกับทำหน้าเหวอบอกบุญไม่รับ และพยายามถอยร่นหมายจะหนีอนุภรรยาตรงหน้า
“ท่านพี่! มาหาข้าก่อน” เสียงหวานแกล้งลากเสียงยาวยั่วใจสามี ทั้งที่รู้ว่าจะมีผลตรงกันข้าม
‘รังเกียจมิใช่หรือ หึๆ ต้องจัดหนัก’ หยูเหวินหยารำพึงรำพันในใจ
เหิงเจี้ยงลุกเดินไปที่ประตูอย่างฉับไว เขาทนไม่ไหวกับความอึดอัดนี้ จะให้ทนมีสัมพันธ์สวาทกับนางได้เช่นไร แค่จินตนาการว่าร่วมเสพสมกับนางที่ปิดหน้ามิดชิดบนเตียง ร่างใหญ่ก็ขนลุกชัน
ชิวหูแจ้งว่านายหญิงน้อยป่วยหนักให้เขารีบมารักษา แต่ไฉนนางถึงนั่งรินชาดื่มอย่างสบายใจเช่นนี้ ด้านคุณหนูที่ไม่เหมือนผู้ป่วยแม้เพียงนิดยักคิ้วหลิ่วตาให้ท่านหมอที่เพิ่งเข้ามา พร้อมกระซิบเล่าเรื่องราวให้หรงจุ้ยฟัง และบอกอุบายหมายให้สามีร้อนรนใจคิดถึงนางบ้าง
ไม่นานหรงจุ้ยก็เดินออกมาจากห้องส่วนตัวของนายหญิงน้อยด้วยสีหน้าสลด ชิวหูใจเสียรีบเข้าไปถามไถ่อาการนายหญิงน้อยในทันที ด้วยหมายนำความไปบอกเจ้านายของตนตามหน้าที่ ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คืออาการนายหญิงน้อยไม่สู้ดีนัก ต้องกินยาและพักผ่อนมากๆ
ในระหว่างตอบความ ชายใจหญิงผู้นี้ก็ชำเลืองมองใบหน้าคมคายของกุนซือหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามตลอดเวลา ถึงจะอยู่จวนเดียวกัน ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้พบหน้า เพราะชิวหูมักเป็นตัวแทนเหิงเจี้ยงไปคุมค่ายฝึกทหารอยู่บ่อยครั้ง
นัยน์ตาเรียวหวานซ่อนความรู้สึกหลงใหลต่อชายตรงหน้า แต่ก็มิอาจเก็บงำได้หมดสิ้น เขาชำเลืองมองหาหยกครึ่งซีกที่เคยมอบให้ ว่าชายที่แอบชื่นชมนั้นจะยอมพกติดกายหรือไม่ ทว่าเขาก็ต้องใจสลายเมื่อไม่เห็นสิ่งนั้นอยู่ที่เอวชิวหู เขาพยายามรวบรวมสมาธิแล้วคิดตรองใหม่ แล้วก็นึกได้ว่าชิวหูจะนำมาเหน็บพกได้อย่างใด ในเมื่อมันเป็นหยกที่หักเหลือเพียงครึ่งเสี้ยว ไร้ราคา ไร้ความสวย และหมดราศี
“หยกครึ่งเสี้ยวที่ข้าเคยมอบให้ ท่านทิ้งไปแล้วหรือ” หรงจุ้ยตัดสินใจถาม ใบหน้าหวานดูเว้าวอน
“ข้าเก็บไว้ในห้อง เจ้าถามเพราะอยากได้คืนหรือไร” ชายองอาจถามกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ร่างสูงโปร่งทว่าอ้อนแอ้นพลันดีใจที่รู้ว่าชิวหูยังเก็บหยกชิ้นนั้นไว้หาได้ทิ้งไปไม่ มือนุ่มเรียวคว้ามือใหญ่กร้านอย่างลืมตัว ใบหน้าเขาแย้มยิ้มดุจดอกไม้บานสะพรั่ง นัยน์ตาสุกสกาวใสเสียจนเชิญชวนให้จ้องมอง
ด้านชิวหูเผลอจ้องมองใบหน้าชายตรงหน้าชั่วครู่ ก่อนจะรีบสลัดความคิดว่าหรงจุ้ยเสมือนหญิงงามออกจากหัวอีกครั้ง แล้วรีบเบี่ยงกายหลบ ไม่กล้ามองชายอ้อนแอ้นที่ชอบแต่งกายรุ่มร่ามและมีเสียงราวกับสตรีเช่นนี้
ยามดวงตะวันฉายแสง เหิงเจี้ยงเดินวนไปมาอยู่ภายในจวน จนชิวหูรู้สึกเวียนหัว เขาไม่รู้ว่าวันนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้านายที่รัก ถึงบอกจะเดินเล่นในจวนแห่งนี้ ทั้งที่ปกติก็หาได้สนใจทิวทัศน์ภายในจวนไม่ อีกทั้งยังบอกจะไปเยี่ยมเยียนฮูหยินใหญ่ที่เรือนอีก แต่เดินไปเดินมา ร่างถมึงทึงกลับมาหยุดอยู่หน้าเรือนซุ่นซู
“คุณชาย! ท่านจะมาหาใครที่เรือนซุ่นซูหรือขอรับ” เสียงกุนซือคนสนิทเรียกสติเหิงเจี้ยง จนเขาแหงนมองแล้วพบป้ายที่สลักอักษรบอกชื่อเรือน สีหน้าชายหนุ่มเลิ่กลั่ก ท่าทีของเจ้านายช่างมีพิรุธในสายตาชิวหูยิ่ง
“ข้าเดินผิดทาง เหตุใดเจ้าถึงไม่บอก” คำแก้ตัวของเจ้าของจวนฟังแล้วไร้เหตุผลยิ่ง ทว่าชิวหูก็เงียบไม่โต้แย้งสิ่งใด ได้แต่น้อมรับคำแก้เก้อนั้นแล้วหลุบตาลงแอบนึกขันในใจ
ยามบ่ายคล้อย เหิงเจี้ยงบอกชิวหูว่าจะมาเรือนฮูหยินรอง ทว่าเจ้านายตนก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนซุ่นซูอีกครั้ง ครานี้ชิวหูยิ่งรู้ชัดว่าแท้จริงแล้วคุณชายหมายจะมาเรือนซุ่นซูนี้ต่างหาก ด้วยคงอยากเจอใครบางคนในเรือนนี้ แต่ทำปากแข็ง เขาเลยค้อมตัวเล็กน้อยอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยคำดักทางคุณชายล่วงหน้า
“ขออภัยขอรับ ข้าลืมเตือนคุณชายจนกระทั่งเดินมาผิดทางอีกแล้ว ทางมาเรือนซุ่นซูที่อยู่ห่างจากเรือนใหญ่นี่ช่างเดินได้สะดวกกว่าเส้นทางอื่นในจวนนัก” วาจาชิวหูราวกับยียวนกวนใจผู้เป็นนายยิ่ง เหิงเจี้ยงพลันหันขวับไปมองชิวหูที่แอบอมยิ้มตาเขียว จนเขาหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“ไปเรือนฮูหยินรอง!” น้ำเสียงเหิงเจี้ยงแดกดัน พร้อมตวัดชายผ้าเอี้ยวกายเปลี่ยนทิศทางเดินในฉับพลัน ด้านกุนซือถึงกับต้องแอบยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียง ด้วยเกรงว่าเจ้านายจะหันมาเห็นว่าตนกำลังแอบหัวเราะ
ตลอดคืนข้ามมาถึงวันใหม่ เหิงเจี้ยงผู้หลับง่ายกลับนอนไม่หลับแม้สักนิด เขากระสับกระส่ายราวกับมีเรื่องติดค้างในใจ ชิวหูที่มาดูแลคุณชายตามหน้าที่เห็นท่าทีนายเลยแกล้งหยอก
“วันนี้คุณชายจะไปเรือนใดหรือขอรับ” น้ำเสียงนิ่งทว่าแฝงด้วยความยียวนถามชี้นำ ทำให้เหิงเจี้ยงนึกถึงเมื่อวาน ทั้งที่เขาตั้งใจว่าจะไปเรือนฮูหยินใหญ่ แต่สองขาก็พาไปเรือนอนุภรรยา พอตั้งใจจะไปหาฮูหยินรอง ทว่าขาไม่รักดีก็นำไปเรือนอนุภรรยาอีกครั้ง
เมื่อเขามานั่งคิด ยามนี้ตัวเองก็แวะเวียนไปครบทุกเรือนแล้ว มีเพียงเรือนซุ่นซูเท่านั้นที่ยังไม่ได้ตั้งใจไปจริงๆ เสียที ก็พลันคิดหนัก เขาจะไปดีหรือไม่ หากไปแล้วจะพูดกับนางว่าอย่างไร หากนางคิดไปเองเหมือนทุกครั้งว่าเขามีใจให้ก็คงไม่ดีแน่ เมื่อชิวหูเห็นสีหน้าเจ้านายคร่ำเคร่งจึงเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้นายหญิงน้อยไม่สบาย คงไม่ดีหากคุณชายจะแวะไปเรือนซุ่นซูในช่วงนี้ ควรรอให้อาการนายหญิงน้อยดีขึ้นเสียก่อน เอ… วันนี้ท่านหมอยังไม่มารายงานอาการของนายหญิงน้อยเลยขอรับ ถ้ากระนั้นข้าน้อยขอตัวไปติดตาม
สักครู่” กุนซือหนุ่มเอ่ยขออนุญาต เหิงเจี้ยงที่คิดวนเวียนถึงแต่อาการป่วยของหยูเหวินหยาจึงได้โอกาสออกคำสั่งให้ชิวหูพาหรงจุ้ยมาพบตนแทน
อาการของอนุผู้ล้มป่วยถูกรายงานให้เจ้าของจวนฟัง ทำเอาชายหนุ่มยิ่งวิตก ด้วยหรงจุ้ยได้แจ้งว่าหยูเหวินหยาอาการทรุดหนักเพราะร่างกายอ่อนแอมาแรมเดือน หากจะให้ดีคงต้องเข้าป่าไปหาสมุนไพรเพิ่ม เพราะตัวยาสำคัญนี้หายาก และไม่สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยา มีเพียงตนเท่านั้นที่รู้ว่าสมุนไพรชนิดนี้มีลักษณะเช่นไร แต่ติดอยู่เรื่องเดียวคือมันชอบขึ้นตามหน้าผาสูงชัน ซึ่งเขาไม่เป็นวรยุทธ์หรือวิชาต่อสู้ จึงเป็นการยากยิ่งที่จะเสาะหามา
เมื่อเหิงเจี้ยงได้ฟังก็ยิ่งกังวลหนัก หากนิ่งเฉยอนุภรรยาของเขาอาการคงทรุดหนักจนอาจถึงแก่ชีวิต หากเขาจะไปเองก็ไม่รู้ว่าสมุนไพรนั้นมีลักษณะเช่นไร ในระหว่างที่ร่างใหญ่ใช้ความคิด ชิวหูข้ารับใช้ผู้จงรักพลันเอ่ยอาสา หรงจุ้ยที่อยู่ในสถานการณ์พลางกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่นายหญิงน้อยของเขาบอกไว้ไม่ผิดเพี้ยน เขาเลยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับกุนซือที่หมายตาอีกครา
สองร่างเดินผ่านท่ามกลางป่าเขา เสียงนกขับขานสร้างความรื่นรมย์ หรงจุ้ยเอาแต่ชำเลืองมองร่างใหญ่ที่เดินเคียงไม่วางตา จนสร้างความอึดอัดให้ชิวหูยิ่งนัก สายตาคมของชายหนุ่มลอบมองกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็พบแต่ประกายตาหวานระยิบระยับของชายร่างอ้อนแอ้นด้านข้างที่เอาแต่จ้องมองเขา ทำเอาใจของเขาแสนสะพรึง
“นั่น! หน้าผาตรงนั้นมีสมุนไพรที่ข้าต้องการอยู่” นิ้วเรียวชี้ไปด้านหน้าซึ่งเป็นเขาสูงชัน
ชิวหูแหงนมองสมุนไพรที่ขึ้นบนนั้น มันสูงเสียจนคนธรรมดาไม่สามารถขึ้นไปเก็บได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับเขา เรื่องแค่นี้ไม่คณนามือสักนิด
ร่างใหญ่ย่อตัวเตรียมกระโดดไต่หน้าผาสูง แต่ชายข้างกายกลับยั้งไว้เสียก่อน
“ประเดี๋ยวก่อน หากท่านเด็ดสุ่มสี่สุ่มห้า สมุนไพรหายากต้องถูกเก็บหมดในคราวเดียวแน่ เราไม่จำเป็นต้องใช้มาก หากสมุนไพรวิเศษสูญพันธุ์ไปก็น่าเสียดาย” คำหรงจุ้ยฟังแล้วแสนจะมีเหตุผล
“กระนั้นข้าจะระวัง” ชิวหูเอ่ยคำอย่างมุ่งมาด ทว่าหรงจุ้ยก็ขัดขึ้นอีกครั้ง เขาให้เหตุผลว่ามีเขาเท่านั้นที่กะเกณฑ์ปริมาณที่ต้องการได้อย่างแท้จริง และเสนอให้ชิวหูอุ้มเขาขึ้นไปด้านบนเพื่อช่วยกันเก็บแทน
“ไม่! ไม่มีวัน” ชายร่างกำยำปฏิเสธทันใด ใบหน้าคมดุดันแสดงความไม่พึงพอใจ
“เช่นนั้นไม่อุ้มแต่ขี่หลังแทน เท่านี้พอจะได้หรือไม่ หรือท่านไม่อยากช่วยนายหญิงน้อย” หรงจุ้ยถือไพ่เหนือกว่า แค่อ้างความปลอดภัยของนายหญิงน้อยอีกคน ชิวหูก็รีบตอบรับในทันที
กายอ้อนแอ้นของหรงจุ้ยทาบทับบนแผ่นหลังกว้างของชิวหู กล้ามเนื้อแข็งสัมผัสผิวนุ่มของชายกึ่งหญิง เขาแอบขนลุกชันด้วยตนนั้นชอบสตรี และไม่เคยคิดแนบชิดพิศวาสเพศเดียวกัน ยิ่งชายที่อยู่บนแผ่นหลังเขาทำทีว่าชอบพอ เขาก็ยิ่งลำบากใจ
ชิวหูเดินปราณและออกกำลังกระโดดสูง ใช้ปลายเท้าปีนไต่บนหินผาอย่างง่ายดาย แม้จะมีร่างชายอีกคนเกาะเกี่ยวไปด้วย ทว่าชายคนนั้นกลับน้ำหนักเบาราวกับสตรี เพียงครู่วิชาตัวเบาก็นำพาสองร่างขึ้นไปยังจุดหมายที่ต้องการ
สองแขนเล็กยาวของหรงจุ้ยโอบกอดบนบ่าแกร่ง ใบหน้าหวานเอียงซบข้างซอกคอเคียงใบหน้าคมคาย ลมหายใจร้อนผ่าวของหมอหนุ่มร่างบอบบางรินรดใส่ร่างใหญ่ผู้แบกหาม ยิ่งทำให้เขากระสันเสียว
‘ใจเย็นไว้ชิวหู อย่าตื่นตูม’ เขาย้ำเตือนใจตัวเอง และพยายามทำสมาธิ กลั้นใจไม่ให้ตนเผลอโยนร่างที่แบกร่วงหล่นลงสู่พื้น
ยามนี้ราวกับเป็นภาพฝันของหรงจุ้ย ใจชายหนุ่มชุ่มชื่นเสียจนอยากหยุดเวลานี้เอาไว้ แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เมื่อภารกิจสำเร็จลุล่วงและทั้งสองลงสู่พื้นดินอย่างปลอดภัย ชิวหูก็พร้อมเดินทางกลับในทันที แต่ชายร่างเล็กยังอ้างว่าต้องเก็บรากบัวป่าเพิ่ม ใบหน้าคมพลันสะกดกลั้นความอัดอึด แล้วนำพาชายเรื่องเยอะไปยังบ่อน้ำที่มีบัวป่าขึ้นชุมอย่างไม่รั้งรอ
เมื่อมาถึงยังที่หมาย หรงจุ้ยก็บอกให้ชิวหูรอตนสักประเดี๋ยว พร้อมกระโดดลงไปในบ่อน้ำกว้าง น้ำใสเย็นฉ่ำกระจายตามแรงที่ตกกระทบ ร่างสูงเพรียวแหวกว่ายลงใต้ผิวน้ำ แล้วกลับขึ้นมาพร้อมรากบัวยาวในมือ เรือนร่างอ้อนแอ้นเปียกโชก อาภรณ์ที่เคยรุ่มร่ามคล้ายสตรีลู่แนบชิดร่างบอบบางของหรงจุ้ย
ความงดงามของชายตรงหน้าสะท้อนเข้านัยน์ตาสีนิลของชิวหู ใจของเขาพลันพลั้งเผลอเต้นระส่ำโดยไม่รู้ตัว บัวที่รากยาวว่างดงามแล้ว ภาพชายตรงหน้าที่ยื่นบัวมานั้นกลับงดงามกว่านัก ชิวหูรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วก้มหน้าไม่กล้าสบกับนัยน์ตาหวาน
กองไฟถูกก่อขึ้น หมายใช้ความร้อนของเปลวเพลิงในการผึ่งผ้าเปียก แต่หรงจุ้ยกลับยืนเหนียมอายไม่กล้าสลัดชุดออกมาอังไฟเสียที ใบหน้าเขาขึ้นสีแดงด้วยไม่กล้าเปิดเผยผิวกาย ทำราวกับว่าตนเป็นสตรี ซึ่งขัดหูขัดตาชายชาตรีอย่างชิวหูยิ่งนัก
“เป็นบุรุษ แต่ทำตัวเฉกเช่นสตรี กลัวบุรุษด้วยกันเห็นร่างกายมันน่าขันนัก รีบๆ ถอดแล้วผึ่งไฟเสีย ประเดี๋ยวต้องรีบกลับจวนแล้ว” ชิวหูพูดอย่างรำคาญใจ
“ก็ได้! แต่ท่านอย่ามองนะ” เสียงเล็กตอบ
“ข้าน่ะหรืออยากมอง เจ้าเป็นชาย ข้าก็เป็นชาย เรื่องอันใดข้าต้องอยากเห็นของเจ้า ในเมื่อเราทั้งสองก็มีเหมือนกัน” ใบหน้าคมย่นคิ้วอย่างหงุดหงิด เพราะชายตรงหน้าพูดเหมือนว่าเขาพิศวาสบุรุษด้วยกัน ทำเอาเขาอดมีโทสะไม่ได้
หรงจุ้ยได้ฟังก็กลั้นใจถอดชุดออก ผิวขาวผุดผ่องเปิดเผยสู่ภายนอก เส้นผมที่ยังเปียกน้ำลู่ติดแนบเรือนกาย ภาพเหล่านั้นชิวหูไม่ได้อยากเห็นสักนิด ทว่ามันสะท้อนเข้ามาในระยะสายตาของเขาพอดิบพอดี ใจชายหนุ่มพลันเต้นถี่ระรัว
“ข้าใจเต้นกับนาง... เฮ้ย! ท่านหมอได้อย่างไร” ชิวหูพึมพำกับตนเอง นัยน์ตาคมหลุกหลิกด้วยคิดหนัก เขาไม่มีทางชอบเพศเดียวกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ
“เอ้า! มันเผา กินรองท้องไปก่อน วันนี้รีบออกมา เจ้าคงยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน รีบกินจะได้มีแรง เดี๋ยวเราต้องเร่งเดินทางกลับ” เสียงใหญ่เอ่ยบอกพร้อมยื่นมันเผาที่เสียบไม้ให้ชายที่อยู่ด้านข้าง
“ขอบคุณนะ” เสียงเล็กหวานตอบ นัยน์ตาเขาพราวระยับราวกับจะกลืนกินชิวหูแทนหัวมันเสียมากกว่า ทำให้ร่างใหญ่ยิ่งเกร็งหนัก ทั้งผวาและหวั่นเกรง แต่เขาก็พยายามนิ่งอดกลั้นท่าทีเอาไว้
ควันขาวลอยออกมาจากหัวมันที่เพิ่งเผาเสร็จร้อนๆ หรงจุ้ยจึงกินอย่างยากลำบาก
“อุ๊ย! ร้อนจัง” หรงจุ้ยร้องเสียงหลง เมื่อนิ้วบอบบางสัมผัสกับความร้อน
ชิวหูชำเลืองมองชายร่างอ้อนแอ้นข้างกาย ยิ่งเห็นกิริยาสะดีดสะดิ้งก็ยิ่งขัดตา ‘ทำเสียงและท่าทางดั่งสตรี เสียชาติเกิดจริง’ เขาบ่นในใจ
ปากหยักได้รูปเป่าหัวมันเบาๆ มือเรียวบิมันเผาแล้วยื่นไปใกล้ปากชายร่างกำยำที่อยู่ข้างๆ เขาแค่ทำตามความรู้สึก กลัวชายที่หมายใจจะไม่อิ่มท้อง เลยคิดแบ่งให้เท่านั้น ทว่าชิวหูกลับถลึงตาใส่แล้วเบี่ยงกายหลบด้วยความตกใจ
“ชายกับชายมิควรสนิทสนม และยิ่งไม่ควรป้อนอาหารราวกับคู่รักชายหญิง มันไม่งาม วิปริตนัก!” สิ้นเสียงใหญ่ หรงจุ้ยพลันทอดถอนใจ เขาต้องทำเช่นไรถึงจะขโมยหัวใจชายผู้นี้ได้ ในเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่ระแวดระวังตัวเช่นนี้… ร่างสูงบางคิดหนัก
เมื่อกลับถึงจวนเหิง หรงจุ้ยก็แยกตัวไปยังเรือนซุ่นซูในทันที ส่วนชิวหูก็นำความไปรายงานแก่เหิงเจี้ยงที่รออย่างใจจดใจจ่อ ทันทีที่รู้ว่าเก็บสมุนไพรที่ใช้ทำตัวยามาได้สำเร็จเขาก็เบาใจ ใบหน้านิ่วดูผ่อนคลายฉับพลัน
ยามราตรีเงียบสงัดลับแสง ภายในเรือนซุ่นซูมืดมิดไร้แสงจากโคมไฟ ทุกคนต่างเข้านอนและหลับใหล แสงจันทร์กระจ่างสาดส่องลงมา ทำให้พอเห็นทางเดินภายในเรือน
หยูเหวินหยานอนหลับพริ้มอยู่บนเตียงนุ่ม จิตดวงน้อยพวยพุ่งสู่หมอกขาว ภาพรอบกายลอยเลื่อนรวดเร็วผ่านควันฟุ้งราวกับข้ามห้วงแห่งกาลเวลา
นัยน์ตานางเริ่มเบิกกว้าง ในใจนางเริ่มตื่นตระหนก เมื่อตอนนี้ ณ จุดที่ยืนอยู่เป็นพื้นสีแดงแห้งผาก บางพื้นที่มีลาวาแดงฉานอันร้อนระอุไหลตัดผ่าน ทำให้ต้องค่อยๆ ย่างเท้าเดินอย่างระมัดระวัง
ทว่าชายกำยำร่างใหญ่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมกลับคอยฉุดกระชากลากโซ่ตรวนเส้นหนาที่พันธนาการข้อมือนางให้ถลาเดินตามอย่างไม่ไยดี ข้อมือเล็กปวดแสบปวดร้อน ร่างกายอ่อนแรง ด้วยบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้ช่างร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ในทะเลเพลิง
นัยน์ตาหวานทอดมองรอบกายระหว่างทางที่เดินผ่าน เห็นชายหญิงยืนเรียงแถวเพื่อรอส่องคันฉ่องกรรมจากท่านฉินกวงหวาง ผู้ที่มีหน้าที่ตรวจสอบบาปบุญ ใจนางเริ่มหวาดวิตก และระลึกได้ว่าที่นี่ต้องเป็นดินแดนนรกอย่างแน่นอน นัยน์ตาหวานสอดส่ายไปมาตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่ดูเก่าแก่ และสลักอักษรว่า ‘ชูเจียงหวาง’
ในที่นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีใบเป็นคมมีด เสียงร่ำร้องยั่วยวนจากบนไม้สูงทำให้หญิงสาวที่อยู่เบื้องล่างต้องแหงนหน้ามอง นัยน์ตาใสสะท้อนภาพหนุ่มสาวมากมายที่เปลือยกายเกาะเกี่ยวอยู่บนปลายยอดของลำต้น พร่ำส่งเสียงหลอกล่อให้ดวงวิญญาณอื่นเกิดราคะจนต้องปีนขึ้นไปหา
ยิ่งก้าวเดิน ความน่าหวาดเกรงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่าทวี เมื่อดวงวิญญาณมากมายถูกมัดเท้าด้วยเชือกดำ แล้วถูกจับแขวนห้อยหัว รอคอยให้ผิวหนังตามร่างกายหลุด เสียงคร่ำครวญขอให้ช่วยดังระงมก้อง ที่นี่คือซ่งตี้หวาง… นรกขุมที่สาม
หญิงสาวเริ่มตัวสั่น ยิ่งผ่านจากนรกขุมหนึ่งไปสู่อีกขุม ภาพความน่าสังเวชในกรรมที่ก่อก็ยิ่งน่าหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ สองขาของนางพลันหยุดชะงักเมื่อรอบกายในตอนนี้เต็มไปด้วยบ่อน้ำเลือด ดวงวิญญาณมากมายถูกจับแช่อยู่ในบ่อน้ำ จมอยู่กับวัฏจักรที่ต้องกินอาจมและน้ำเน่าเสีย ที่อนุมานว่ามีกายเนื้อเน่าเปื่อยหมักหมม นรกอู่กวนหวางหรือนรกขุมที่สี่แห่งนี้ทำเอาร่างบางขาสั่นก้าวไม่ออก ผู้คุมต้องออกแรงฉุดกระชากจนนางเกือบเซถลาตกลงไปในอาจมเลือดนั้น
หยูเหวินหยาที่ฝันว่าตนคือหญิงสาวที่เดินอยู่ในนรก ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแรงและหัวใจที่เต้นถี่รัว ราวกับความรู้สึกเหล่านี้ไม่ใช่เพียงความฝัน แต่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ
เมื่อย่างกรายเข้าสู่เหยียนหลัวหวาง... นรกขุมที่ห้า นัยน์ตาสลดเศร้าก็เห็นกระทะใบใหญ่ที่บรรจุน้ำมันกำลังเดือด วิญญาณจำนวนมากถูกจับลงทอดทั้งเป็นในกระทะใบนั้น เมื่อสิ้นใจก็จะฟื้นคืนวนเวียนซ้ำ กลับมาทรมานอีกไม่สิ้นสุด นางที่เห็นภาพเหล่านั้นถึงกับน้ำตาไหลพราก ด้วยแสนเวทนาดวงวิญญาณที่ทนทุกข์เหล่านั้นยิ่ง
“เร็ว!” เสียงผู้คุมคำรามก้อง ด้วยขัดใจที่หญิงสาวชักช้าร่ำไรพานให้อารมณ์เสีย
มือน้อยที่พันธนาการด้วยโซ่ตรวนหนาและรัดแน่นยกขึ้นปาดเช็ดน้ำใส ในขณะที่เท้ายังไม่หยุดก้าวเดินเข้าสู่เปี้ยนเฉิ่งหวาง… นรกขุมที่หก เสียงครวญคร่ำในนรกขุมนี้ทำให้หยูเหวินหยาต้องเบนสายตาหนี ไม่กล้ามองภาพดวงวิญญาณที่กำลังถูกทรมานทั้งเป็น วิญญาณบางดวงถูกเข็มแหลมคมแทงเข้าปาก บางดวงวิญญาณถูกลงทัณฑ์ให้หนูปากเหล็กที่เป็นสัตว์นรกกัดแทะอวัยวะเพศ เสียงร้องเจ็บปวดดังเซ็งแซ่ เลือดแดงที่หลั่งไหลอาบพื้นช่างน่าสะอิดสะเอียนเสียจนร่างบางไม่กล้ามอง
เท้าเล็กเหยียบย่างตามผู้คุมเข้าสู่ไท่ซานหวาง... นรกขุมที่เจ็ด เสียงกรีดร้องของวิญญาณหลายดวงก็พลันดังก้องยิ่งกว่านรกขุมก่อนหน้า ฟังแล้วชวนให้สะพรึงกลัวยิ่ง นัยน์ตานางเห็นท่านยมบาลร่างยักษ์กำลังจับดวงวิญญาณเข้า
เครื่องบดเนื้ออันใหญ่ อีกด้านหนึ่งของเครื่องบดปรากฏกองเลือดเคล้ากับเนื้อเละๆ นางงอตัวด้วยมิอาจทนเห็น พะอืดพะอมเสียจนอาเจียน
“ร่ำไร! ประเดี๋ยวก็ให้อยู่ไท่ซานหวางแห่งนี้เสีย” เสียงดุดันทำหญิงสาวผวาสั่น รีบก้าวเท้าออกจากที่แห่งนั้นในทันที ทั้งกลิ่นเลือดและภาพเนื้อเละ อีกทั้งเสียงโหยหวนยังติดตรึงในความรู้สึกของนางไม่เลือนหาย
ผู้คุมพาหยูเหวินหยาผ่านป้ายไม้โบราณที่สลักอักษรว่า ‘ตู้ซื่อหวาง’ นรกขุมที่แปดซึ่งเป็นสถานที่ที่ดวงวิญญาณถูกทรมานด้วยการจับใส่หม้อขนาดใหญ่แล้วเผา สองเท้าเล็กรีบจ้ำอ้าวออกจากที่แห่งนั้นโดยเร็ว แต่พอเข้าสู่ผิงเติ้งหวาง... นรกขุมที่เก้าที่ดวงวิญญาณถูกทรมานโดยการนำตาข่ายเหล็กร้อนพันร่าง นัยน์ตาที่เผลอสบก็พลันสิ้นแสงแห่งความสุขอีกครา
ที่ผ่านมานางอยู่ท่ามกลางมวลบุปผาและพฤกษชาติ มีสายลม แสงแดง และสัตว์น้อยใหญ่เป็นเพื่อน ทว่ายามนี้ภาพความสุขนั้นมลายสิ้นเพราะถูกแทนที่ด้วยเลือด กลิ่นเน่าเหม็น และเสียงกรีดร้อง นางอยากหายตัวไปจากดินแดนแห่งนี้ แล้วกลับคืนสู่ท้องฟ้ากว้าง หมายได้อิสระที่ถูกลิดรอนคืนกลับมา แต่คำที่ให้สัตย์สาบานแก่ชายที่รักยังตรึงจิตยึดติดในหัวใจ ว่าผ่านกี่ภพกี่ชาติทั้งสองจะหวนคืนสู่กันและกันอีกครั้ง คำมั่นแห่งรักจากเขาเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงหัวใจดวงนี้
ร่างบางผ่านความน่ากลัวเข้าสู่จ้วงหลุนหวางซึ่งเป็นนรกขุมสุดท้าย สถานที่ซึ่งดวงวิญญาณจะพานพบกับยายเมิ่ง ในภาพที่หยูเหวินหยาเห็นคือวิญญาณมากมายเข้าแถวเรียงรายรอคอยการดื่มน้ำแกงเพื่อให้ลืมอดีตชาติ ก่อนถูกส่งไปเกิดใหม่ตามแต่บุญกรรมที่ทำมา
ผู้คุมร่างใหญ่กระชากพาหยูเหวินหยาเป็นครั้งสุดท้าย จนนางเซถลาไปชนกับวิญญาณอีกดวงที่เดินอยู่เคียงกัน แรงกระแทกทำให้ป้ายไม้ในมือของทั้งสองร่วงหล่นโดยไม่ตั้งใจ ผู้คุมทำหน้าถมึงทึงมองวิญญาณทั้งสองแล้วตวาดเสียงดังสนั่น จนนางกับหญิงสาวอีกผู้หนึ่งผวาสั่น รีบก้มหยิบป้ายไม้ก่อนกำกระชับ แล้วก้าวเท้าเดินตามสายโซ่ที่ถูกดึง
ร่างอรชรยืนอยู่หลังดวงวิญญาณหญิงสาวที่เพิ่งชนกันเมื่อครู่ ตอนนี้แถวเริ่มกระชับสั้นลงจนนางเข้าใกล้ยายเมิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำแกงแต่ละถ้วยถูกส่งให้วิญญาณแต่ละดวงดื่ม ก่อนนำพาไปยังบ่อแห่งการกำเนิดที่มีมากเป็นล้านๆ บ่อ ป้ายไม้ที่มีอักษรระบุวันเดือนปีเป็นเสมือนฤกษ์กำเนิดของวิญญาณแต่ละดวง หากไร้ซึ่งป้ายไม้ที่รับมอบจากท่านยมบาล ก็มิสามารถเวียนว่ายไปเกิดใหม่ พานให้วิญญาณดวงนั้นถูกทรมานในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ รอการดับสูญไร้ซึ่งวันหวนคืน
นัยน์ตาที่เคยสุกสกาวดูหม่นหมอง เมื่อชาติภพใหม่ต้องลืมชายที่รักอีกครั้ง แต่แสงแห่งความหวังยังทอประกายอยู่ในดวงจิตดวงนี้ ด้วยระลึกได้ว่าชาตินี้จะเป็นชาติภพสุดท้ายแห่งทัณฑ์สาป หากพ้นชาติภพนี้ นางกับเขาจะได้อยู่ด้วยกันนิรันดร์และไม่มีวันพลัดพราก บททดสอบรักแท้ของนางกำลังจะสิ้นสุด ใจดวงน้อยภาวนาขออย่าให้เจ้าสวรรค์กับเจ้านรกกลั่นแกล้งอีกเลย เพราะเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชาติที่ผันผ่านสุดแสนทรมานที่ต้องลืมและตายจากชายผู้เป็นที่รัก
และแล้วก็ถึงคราหญิงสาวตรงหน้ารับน้ำแกง ป้ายไม้ถูกชูขึ้นต่อหน้ายายเมิ่งเพื่อแสดงสิทธิ์ของการกำเนิดใหม่ แต่นางที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นถ้วยน้ำแกงที่ยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าก็พลางเคลือบแคลงสงสัย ว่าเหตุใดดวงวิญญาณด้านหน้าถึงได้รับถ้วยน้ำแกงไม่เหมือนกับวิญญาณดวงอื่น
ผู้คุมผลักร่างเล็กของนางให้เดินไปด้านหน้าทันทีเมื่อถึงครา มือเล็กยื่นป้ายให้หญิงชราแล้วรับถ้วยน้ำแกง มันเหมือนถ้วยที่วิญญาณดวงอื่นๆ ถูกหยิบยื่นให้ นางแสนสงสัยว่าหญิงสาวเมื่อครู่มีความพิเศษอันใด จึงได้สิทธิ์ดื่มน้ำแกงที่ไม่เหมือนผู้อื่น แต่ความเคลือบแคลงก็แฝงเร้นอยู่เพียงในใจ นางเดินตามผู้คุมอีกครั้งเพื่อไปยังบ่อแห่งการกำเนิด บ่อน้ำจำนวนมากฟุ้งไปด้วยไอขาวดูน่าหวั่นเกรง บนปากบ่อแต่ละบ่อมีอักษรเขียนไว้ แสดงถึงภพชาติ เวลา และสถานที่ที่ต้องไปกำเนิด
นางเห็นดวงวิญญาณชายดวงหนึ่งดิ้นหนีไม่ยอมลงไปในบ่อ พร้อมตะโกนร้องว่าไม่อยากเกิดเป็นหมูให้คนจับกิน ใจนางพลันกระตุกเต้น หวั่นเกรงว่าในชาติสุดท้ายจะตกระกำลำบากไปเกิดเป็นอะไร ในระหว่างนึกคิด วิญญาณ
ของนางก็ถูกพามาถึงบ่อที่เป็นจุดหมาย แขนนางถูกปลดโซ่คืนอิสระให้ ทว่าฉับพลันนั้นร่างเล็กก็ถูกผลักลงไปในบ่อลึกเบื้องหน้าโดยไม่ทันเตรียมใจ พร้อมเสียงตะโกนก้องที่ได้ยินเป็นประโยคสุดท้ายว่า...
“จงลืมทุกอย่างแล้วสร้างแต่กรรมดี”
หยูเหวินหยาตื่นขึ้นมาด้วยใจเต้นระทึก แล้วสอดส่ายสายตามองรอบกายผ่านความมืดมิด จึงรู้ว่านี่คือห้องของนางเอง แต่สมองยังจดจำภาพและความรู้สึกในความฝันเมื่อครู่ได้อย่างแม่นยำ ทั้งความหวาดกลัว ความทรมาน และความเจ็บปวดจากการถูกพลัดพรากมาร่วมพันภพพันชาติ ทำให้ร่างกายนางสั่นเทา น้ำตาไหลรินจากเบ้าตา ก่อนจะรวบรวมสติข่มใจที่เต้นถี่รัวให้สงบลง
“ความฝันนี้เป็นเพียงแค่ฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ หากเป็นจริง เรื่องราวเหล่านี้เป็นของใครกัน แล้วทำอะไรผิดถึงต้องถูกสาปให้เกิดใหม่ถึงพันชาติ อีกทั้งต้องตามหาชายคนรักที่พลัดพรากถึงพันภพ” ความตื่นตระหนกจากความฝันในดินแดนนรกอเวจีต่างจากทุกครั้งที่หยูเหวินหยาเคยฝันถึง นางจึงหวาดผวากับสิ่งที่ได้ประจักษ์จนมิอาจข่มตาหลับได้อีก
ความคิดเห็น |
---|