เจ็ด
เหิงเจี้ยงที่นั่งอ่านตำราอยู่ในห้องส่วนตัว เหมือนว่าจะไม่เข้าใจข้อความเหล่านั้นสักเท่าไร เขาอ่านวนซ้ำไปซ้ำมา จนชิวหูที่เก็บทำความสะอาดตำรายุทธ์ของเจ้านายอยู่ในห้องนั้นนึกสงสัย
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมสำเนียงหวานหูลากยาวจนเหิงเจี้ยงที่นั่งอ่านตำราอยู่สะดุ้งโหยง เขาจำได้ทันทีว่าเสียงแว่วหวานที่เอื้อนเอ่ยนี้เป็นของอนุภรรยาอย่างแน่นอน ใบหน้าคมปรับเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งขรึมกลายเป็นผ่อนคลายในฉับพลัน ชายหนุ่มสะกดข่มความรู้สึกภายใน ก่อนจะปั้นหน้าเคร่งขรึมต้อนรับอนุภรรยาที่มาเยือน
“เข้ามา” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยอนุญาต ประตูสองบานถูกเปิดออกกว้าง ปรากฏร่างผู้มาเยือนคนใหม่ นัยน์ตาคมทอดมองหญิงสาว สำรวจทั่วเรือนกายจนรู้แน่ว่านางหายป่วยแล้ว
ร่างในชุดหนาก้าวเท้าเข้ามาอย่างว่องไวแล้วทรุดกายลงนั่งเบียดกระแซะสามีอย่างที่ตั้งใจไว้ เซียงเซียงที่เดินตามหลังมาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างนอบน้อม ก่อนจะถอยออกไปตามมารยาท
“คิดถึงท่านพี่เหลือเกิน ข้านำชามาให้ ท่านรีบดื่มเสียก่อนที่จะเย็นเถิด” หยูเหวินหยาเอ่ยอย่างเว้าวอนด้วยเสียงสอง ทำเอาความเหงาหูหลายวันที่ผ่านมาหายไปทันใด
เหิงเจี้ยงยังคงสงวนท่าที ทำเหมือนไม่แยแสที่อนุภรรยายกน้ำชามาให้ถึงที่ มือใหญ่ยกถ้วยชาอุ่นแตะริมฝีปากหยักได้รูปเพื่อดื่ม
“เจ้าหายป่วยก็ดีแล้ว ทำทั้งจวนวุ่นวายไปหมด” ร่างใหญ่สบถเบาๆ ใบหน้าเขาเย็นชาดั่งน้ำแข็งเช่นเคย จนอนุภรรยาสาวต้องแอบย่นจมูก
หยูเหวินหยารอจนสามีดื่มชาหมดถ้วย ระหว่างนั้นก็แอบคิดสารพัด ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมแฝงเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ยามนี้นางมีสิ่งที่อยากได้จนต้องรีบเผยตัวว่าหายจากอาการป่วยแล้ว และรีบปรี่มาหาสามีอย่างไม่รั้งรอ
“ท่านพี่ ระหว่างที่ข้าพักฟื้น ได้ยินคนในจวนเล่าลือกันว่าท่านพี่จะไปร่วมงานฉลองครบรอบวันคล้ายวันประสูติขององค์ชายสี่ ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่”
นางบอกวัตถุประสงค์แท้จริง เหิงเจี้ยงถึงกับส่งสายตาเขียวปั้ดใส่อนุภรรยาฉับไว ถึงเขาไม่ตอบ แต่หยูเหวินหยาก็พอสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกจากร่างสามี ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าไม่มีทาง
ผู้เป็นอนุภรรยาทำหน้าเจื่อน นางแค่อยากหาความสนุกรื่นเริง ด้วยแสนเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่แต่ในจวน ความอึดอัดระหว่างทั้งสองก็พลันบังเกิดขึ้น จนนางต้องเอ่ยขอตัวกลับเรือน
ชิวหูที่อยู่ภายในห้องรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงถือวิสาสะเดินมาถามเหิงเจี้ยงผู้เป็นนาย เพราะกลัวจะลืมข้อความในจดหมายที่ได้รับจากองค์ชายสี่
“คุณชายขอรับ! เหตุใดจึงไม่บอกนายหญิงน้อยว่าองค์ชายสี่แจ้งไว้ว่าให้คุณชายพาภรรยาทั้งสามไปด้วย นายหญิงน้อยจะได้เตรียมตัว”
สิ้นคำย้ำเตือนด้วยความหวังดี ร่างใหญ่ที่มีฐานะเหนือกว่าพลันตอบกลับ ทว่ามิใช่ด้วยเสียง แต่เป็นสายตา ร่างชิวหูเหมือนเล็กลงในทันทีเมื่อถูกนัยน์ตาดุกร้าวของคุณชายที่เคารพถลึงใส่
เหิงเจี้ยงก้าวเดินผ่านป่าหลังจวนเหิง ข้ามเนินทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้ เขาตั้งใจจะไปยังถ้ำที่คุ้นเคยเฉกเช่นทุกครา แต่เมื่อผ่านธารน้ำใสที่ไหลหลาก ชายหนุ่มก็หวนระลึกถึงความหลัง ภาพหญิงสาวร่างอรชรที่รุกล้ำอาณาเขตตระกูลเหิงเข้ามาแหวกว่ายน้ำผุดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
ชายหนุ่มนั่งลงบนโขดหินแล้วปล่อยใจไปกับสายลมที่โชยพัด นัยน์ตาสีนิลทอดมองฝูงปลาแหวกว่ายในน้ำใส ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของใครบางคนเดินลงไปกลางลำธาร นางยืนหันหลังแล้วยกมือสองข้างขึ้นทำทีจับลูบเรือนผม
เหิงเจี้ยงใจเต้นในฉับพลัน ด้วยคิดว่าเป็นหญิงสาวปริศนา ทว่าพอจ้องมองให้ดี ร่างนั้นกลับอ้วนหนา และมือที่ลูบเรือนผมนั้น แท้จริงกำลังจับชายผ้าพลิ้วที่หลุดออกจากศีรษะของนาง นัยน์ตาคมเบิกโตเท่าไข่ห่านเมื่อตั้งสติได้ว่าสตรีตรงหน้าคือหยูเหวินหยา อนุภรรยาต้องสาปของตน
ความขุ่นข้องหมองใจเข้าครอบคลุม เหตุใดนางถึงออกมาที่นี่ได้ มิหนำซ้ำยังมายืนทำทีท่าคล้ายหญิงปริศนาที่ตนกำลังคำนึงถึง ความรื่นรมย์พลันมลายสิ้น เพราะภาพสาวงามถูกซ้อนทับด้วยภาพอนุภรรยาที่หาความงามตรงใดไม่ได้
“เหวินหยา!”
ผู้เป็นสามีตะโกนก้องจนภรรยาต้องมาหันมอง
“อ้าว! ท่านพี่!” เสียงสองเอื้อนเอ่ยขานตอบเหิงเจี้ยง พลางขยับขาก้าวเดินมาทางสามี
“เหตุใดเจ้าถึงออกมาที่นี่ได้” เหิงเจี้ยงนิ่วหน้า ทำให้หยูเหวินหยารู้สึกอึดอัด
“ท่านพี่ออกมาได้ ข้าก็ออกมาได้ ข้าเพียงเดินตามท่านพี่มาติดๆ ถ้าออกมาไม่ได้ แล้วข้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้หรือ” คำตอบแสนยียวนพร้อมร่างที่เบียดกระแซะอกแกร่ง ทำให้เหิงเจี้ยงจนด้วยคำพูด ได้แต่ส่งสายตาเคืองขุ่นใส่อนุภรรยาที่ยืนเลื้อยกายไปมาราวกับจะเข้าสิงเขา
เหิงเจี้ยงพลันขยับกายถอยหนี สองเท้าก้าวเดินอย่างเร็วรี่ จนหยูเหวินหยาที่เห็นอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสามีถึงกับแอบยิ้มอย่างถูกใจ นางตั้งใจหยอกเย้าชายหน้าน้ำแข็งด้วยการทำท่าทางเหมือนเมื่อครั้งก่อนที่นางเล่นน้ำ ตอนนั้นสามีใช้เสียงสองและยังส่งสายตาพราวระยับ ด้วยไม่รู้ว่าหญิงงามนางนั้นแท้จริงคือภรรยาตน
นางอยากลองใจสามี ว่าหากเป็นภรรยาแสนอัปลักษณ์ลงเล่นน้ำ เขาจะทำท่าทางเช่นไร แล้วก็เป็นไปตามที่คาดเดา สามีเบือนหน้าหนีหาได้แยแสนางไม่ นัยน์ตาหวานพลันส่อประกายด้วยกำลังคิดบางสิ่ง
‘เจ้าชู้นักนะสามีข้า ทีเห็นเป็นหญิงงามละทำท่ากรุ้มกริ่ม พอเป็นภรรยารูปโฉมอัปลักษณ์กลับทำเมิน น้ำแข็งภายในใจนั้น ข้าซึ่งเป็นภรรยาที่ท่านรังเกียจจะละลายให้กลายเป็นน้ำเชียว คอยดู!’ หยูเหวินหยาเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
นางรีบจ้ำเดินตามเหิงเจี้ยงไป ทว่าขายาวของสามีช่างก้าวเร็วเสียจนนางตามไม่ทัน นัยน์ตาหญิงสาวหรี่มองสามีพร้อมเม้มริมฝีปากคล้ายกำลังขบคิด เพียงอึดใจนางก็ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา
“ท่านพี่! กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องทำให้เหิงเจี้ยงรีบหันกลับไปมองด้วยความตกใจ
เขาเห็นภรรยาทรุดลงนั่งบนพื้นพร้อมส่งเสียงคร่ำครวญว่าเจ็บเท้า ใบหน้าคมส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาหญิงสาวตรงหน้าเหลือแสน แต่จะให้นิ่งดูดายก็ไม่ได้ เขาตัดสินใจย่อตัวลงใช้แขนกำยำช้อนอุ้มร่างหนาขึ้นแนบอก
ทันทีที่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวของหยูเหวินหยานี้ เหิงเจี้ยงก็เคลือบแคลงใจขึ้นมาอีกครา คราวก่อนที่อุ้มนาง น้ำหนักก็เบาราวกับหญิงร่างเพรียวบาง มาครานี้ก็ยิ่งเบาราวกับปุยนุ่น ตรงกันข้ามกับรูปกายอ้วนหนาเสียจริง เหิงเจี้ยงครุ่นคิดพลางทอดสายตามองสำรวจเรือนร่างหญิงสาวในอ้อมอก แสนสงสัยว่าภายในชุดคลุมนี้ ร่างของนางอ้วนฉุจริงหรือ
หยูเหวินหยาสบตากับสามีที่ทำราวกับสงสัยในตัวนาง พลันนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาอุ้มนางอยู่ เขาต้องสงสัยเรื่องน้ำหนักตัวนางแน่ หญิงสาวพลันตื่นตระหนกด้วยกลัวความแตก เมื่อครู่คิดแต่จะแกล้งให้สามีสนใจจนลืมคิดให้ถี่ถ้วน
“ท่านพี่! ดูท่านมองข้าสิ นัยน์ตาแพรวพราวราวกับจะจ้องให้ทะลุเข้าไปในชุดของข้า นี่ท่านพี่ถึงขนาดอยากร่วมอภิรมย์กับข้ากลางป่าเช่นนี้เชียวหรือ อุ๊ย! แหม... หากท่านพี่อยากมีอะไรกับข้าถึงขนาดนี้ ก็อย่ารั้งรอเลย ข้าพร้อมสำหรับท่านเสมอ”
เสียงหวานชวนขนลุกเรียกขาน เหิงเจี้ยงจึงตื่นจากภวังค์สงสัย ถูกแทนที่ด้วยความคิดเรื่องบทรักเร่าร้อน ขนแขนชายหนุ่มพลันลุกชันด้วยคิดถึงเรื่องอย่างว่ากับอนุที่พันผ้าทั้งกายเหมือนซากศพเช่นนี้ ‘ข้านี่นะอยากร่วมอภิรมย์กับเจ้า ช่างน่าขันนัก’ เหิงเจี้ยงทวนย้ำความรู้สึกตน สองขาเรียวยาวรีบจ้ำอ้าวหมายกลับถึงจวนให้เร็วที่สุด
“อ้าว! ท่านพี่ ไม่...ไม่...ไม่ทำอย่างว่าแล้วหรือ” ภรรยาแสร้งยั่วเย้าสามีต่อ ร่างใหญ่ตอบกลับด้วยสายตาเขียวปั้ดแทนคำตอบ
หญิงสาวพลันสงบปาก ทำทีเศร้าสลด ทว่าภายใต้ผ้าปิดคลุมหน้า ริมฝีปากบางกลับแย้มยิ้ม
เหิงเจี้ยงอุ้มพาหยูเหวินหยาผ่านแมกไม้และเนินเขา นางสังเกตเห็นต้นไม้ใหญ่ที่แสนผูกพันระหว่างทางผ่าน จึงขอให้สามีหยุดพักตรงนั้นสักครู่
“หากไม่รีบประเดี๋ยวจะมืดค่ำ” เหิงเจี้ยงเตือน ทว่านางก็เว้าวอนจนเขาต้องใจอ่อน
หยูเหวินหยาถูกวางลงนั่งพิงลำต้น ก่อนที่เหิงเจี้ยงจะทรุดกายลงนั่งเคียงข้าง อย่างไรเขาก็ต้องพานางกลับจวน ร่างใหญ่จึงนั่งพักระหว่างรอ
สายลมพัดเอื่อยกระทบใบไม้ก่อเกิดเสียงตามธรรมชาติ แสงแดดอ่อนใต้เงาร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านชวนให้ทั้งสองรู้สึกสดชื่น ยามนี้หยูเหวินหยาปล่อยกายอิงซบบ่าแกร่ง ชายหนุ่มหันมาหมายห้ามปราม แต่เมื่อเห็นดวงตาหลับพริ้มที่ประดับด้วยแพขนตาหนางอนก็ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ด้วยเห็นนางสบายเสียจนต้องยอมปล่อยเลยตามเลย
“ต้นร้อยปีนี้ร่มรื่นดีนัก เสียดายแต่ก่อนไม่เคยมานั่งพักใต้ต้นสักครา” เหิงเจี้ยงเปรยขึ้นเพราะชื่นชอบบรรยากาศ หญิงสาวที่ซบบ่าจึงเอ่ยขึ้นบ้าง
“น่าจะเรียกต้นพันปีหรือหลายพันปีต่างหาก ไม่ใช่ร้อยปี” นางเอ่ยในขณะที่ยังหลับตาพริ้ม ด้วยกำลังซึมซาบกับบรรยากาศรอบกาย
“เจ้ารู้อายุต้นไม้นี้ได้อย่างไร ขนาดข้าเป็นเจ้าของพื้นที่บริเวณนี้ยังไม่รู้เลย จำได้เพียงว่าบรรพบุรุษตระกูลเหิงเห็นมันตั้งตระหง่านมานานมากแล้ว” เหิงเจี้ยงย้อนถามอย่างเคลือบแคลง
“ถ้าท่านพี่อยากรู้ต้องจูบข้าก่อน” หยูเหวินหยาเอ่ยอย่างยียวนอีกครั้ง นางจะเล่าเรื่องความฝันมากมายได้อย่างไร หากเล่าให้เขาฟัง มีหวังถูกหาว่าสติฟั่นเฟือนแน่ เสียงเล็กจึงบอกให้จูบแลกกับคำตอบ ซึ่งเขาไม่มีทางทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
“งั้นก็กลืนคำตอบของเจ้าไปเถิดหญิงเจ้าเล่ห์” เหิงเจี้ยงชักสีหน้า เมินในเงื่อนไขที่อนุภรรยาหยิบยื่นให้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางจูบนางแน่ ‘เจ้าเล่ห์นัก คิดลวงหลอกหวังจูบจากข้า ไม่มีวันที่ข้าจะยอมแนบปากกับใบหน้าที่มากด้วยตุ่มหนองนั้นแน่’ ชายหนุ่มคิดอย่างมาดมั่น
“ท่านพี่รู้สึกเช่นไรกับต้นไม้ต้นนี้” เสียงใสเปลี่ยนเรื่องคุย
“ข้ารู้สึกสงบ น่ามานั่งพักมากกว่าถ้ำที่ข้าชอบไปเสียอีก” เหิงเจี้ยงตอบ สายตาเขาจ้องมองบนท้องฟ้าที่ประดับด้วยปุยเมฆขาวล่องลอย สร้างความชุ่มชื่นใจให้แก่ผู้จ้องมอง
“ท่านพี่ชอบถ้ำหรือ ทำไมเล่า” หยูเหวินหยาช่างเจรจา รู้สึกว่านี่คือโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักสามีตน
“ข้าแค่ชอบความมืดและเงียบสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบผู้คนพลุกพล่าน และยิ่งไม่ชอบสนามรบที่มีทั้งคนและม้าคับคั่ง” เหิงเจี้ยงเอ่ยความในใจที่ไม่เคยเปิดปากกับใคร นอกจากองค์ชายสี่สหายรัก คำตอบของสามีทำให้หยูเหวินหยายิ่งสงสัยจนต้องรีบย้อนถาม
“ไม่ชอบแล้วออกศึกทำไม หรือท่านพี่ชอบเวลาปลิดชีพคนในสนามรบ” เสียงเล็กตั้งข้อสงสัย ขณะเดียวกันดวงตาก็ยังหลับพริ้ม
นัยน์ตาคมยามนี้มองเหม่อ ภาพชีวิตมากมายที่มีเลือดสาดและดับสูญด้วยน้ำมือเขาผุดขึ้นในความทรงจำทันทีที่ถูกถามถึง
“ข้าแค่ทำตามหน้าที่ ตระกูลเหิงสืบทอดหน้าที่รักษาดินแดนแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน ข้าไม่รู้สึกอะไร ไม่ชอบและไม่ได้รังเกียจที่จะสังหาร สัมผัสจากเลือดที่สาดกระเซ็นโดนผิวกายข้าก็เพียงแค่อุ่นๆ เท่านั้น หาได้รู้สึกอะไรไม่” คำตอบของสามีช่างเลือดเย็น เขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา
“คนเย็นชา” หยูเหวินหยาที่กำลังเคลิบเคลิ้มสบถเบาๆ ก่อนจะผล็อยหลับใหลไปในอ้อมอกใหญ่ ด้วยบรรยากาศร่มรื่นจากสายลมที่พัดผ่านและความอุ่นจากแสงแดดอ่อน รวมถึงร่างกำยำที่อิงซบนำพาความสบายมาให้ จนนางฝืนความรู้สึกไม่ให้หลับใหลไม่ได้
เหิงเจี้ยงชำเลืองมองร่างหนาพลันส่ายหน้าช้าๆ นางช่างเหมือนเด็กน้อยที่ออกเดินทางท่องเที่ยวจนเหนื่อยแล้วเผลอหลับไปอย่างง่ายดาย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งย่างเข้ายามสนธยา หมู่นกโบยบินกลับรังพร้อมส่งเสียงร้องระงมก้อง เหิงเจี้ยงปลุกภรรยาที่นอนหลับพริ้มเสียจนน่าอิจฉา แต่นางก็ยังนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ใบหน้าคมก้มต่ำ ทอดสายตามองหญิงสาวที่หลับเพลินจนลืมเวลา เสียงใหญ่จึงเรียกขานให้ดังขึ้น
เหมือนจะได้ผล เพราะทันทีที่เหิงเจี้ยงเปล่งเสียง หยูเหวินหยาพลันสะดุ้งตื่นจากนิทราด้วยความตกใจในเสียงปลุกที่ดังราวกับฟ้าผ่า นางเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง ทว่าช่างพอเหมาะพอดีกับใบหน้าที่ก้มต่ำ ทำเอาอุบัติเหตุครั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อริมฝีปากหยักได้รูปของเหิงเจี้ยงทาบแตะโดนริมฝีปากเล็กที่โผล่พ้นผ้าคลุมศีรษะ
นัยน์ตาทั้งสองร่างเบิกโตด้วยความตกใจสุดขีด ความนุ่มหยุ่นและอุ่นชื้นจากเรียวปากของอีกฝ่ายทำใจทั้งคู่เต้นระทึก
‘จูบ! นี่ข้ากำลังจูบกับสามีหน้าน้ำแข็ง!’ หยูเหวินหยาอุทานในใจ
‘จูบ! นางแสร้งให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นแน่ๆ’ เหิงเจี้ยงเอ่ยขึ้นในใจ แล้วรีบดันกายหนาให้ออกห่างจากเขา ก่อนลุกขึ้นยืนพลางเบือนหน้าไปทางอื่น
หยูเหวินหยาเห็นท่าทีของสามีก็อดน้อยใจไม่ได้ นางเป็นสตรียังไม่มีท่าทีรังเกียจเขาสักนิด ตรงข้ามกับสามีที่แสดงท่าทีชัดเสียจนใจดวงน้อยแอบหน่วงด้วยความผิดหวัง ทว่ายามนี้สามียืนหันหลังให้ นางจึงไม่เห็นว่าฝ่ามือใหญ่กำลังยกขึ้นทาบอกแกร่งของตน ฝ่ามือของเหิงเจี้ยงสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นถี่
ชายหนุ่มข่มใจให้สงบพลางยื่นมือไปทางภรรยาที่เท้าเจ็บ หมายให้นางจับมือเขาเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น นัยน์ตาหวานสะท้อนกายใหญ่ของสามีที่ยืนหันหลังให้ด้วยท่าทีเย็นชา ทว่ามือที่ส่งมาให้กลับสื่อถึงความห่วงใยเล็กๆ ใจของนางถึงกับเต้นรัวอย่างไม่ทันตั้งตัว
มือที่ห่อหุ้มด้วยถุงผ้ายื่นส่งให้สามีหน้าน้ำแข็ง ทันทีที่มือของชายหญิงสัมผัสโดนกัน เหิงเจี้ยงพลันหมุนกายกลับมาช้อนอุ้มร่างอนุภรรยามาไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง หยูเหวินหยาเบิกตากว้างตื่นตกใจกับพฤติกรรมของสามี นางคิดว่าเขาจะไม่แยแสด้วยโกรธเรื่องจูบเมื่อครู่เสียอีก แต่เปล่าเลย ร่างหนาที่เบาราวกับปุยนุ่นจึงถูกอุ้มพากลับจวนอีกครา
ท่ามกลางโต๊ะอาหารที่รายรอบด้วยสมาชิกในจวนเหิงที่นั่งล้อมวงรอกินอาหาร หยูเหวินหยาเกร็งมือบนหน้าตัก ตอนนี้นางแสนอึดอัดเพราะถูกจ้องมองโดยฮูหยินทั้งสอง เนื่องจากเหิงเจี้ยงผู้เป็นสามีได้ส่งชิวหูกุนซือคนสนิทไปเชิญอนุภรรยามาร่วมกินอาหารอย่างพร้อมหน้า
ในใจหยูเหวินหยาชุ่มชื่นที่ได้รับเกียรติจากสามี ซึ่งปกติไม่เคยแยแสในตัวนางเลยสักนิด แต่บรรยากาศอึมครึมในระหว่างมื้ออาหารนั้นกลับทำให้นางอยากรีบกลับเรือนเสียโดยเร็วมากกว่า
นัยน์ตาดุกร้าวของชิงหนิงจ้องมองหยูเหวินหยา ไม่ต่างจากดวงตาของหว่านเอ๋อร์ที่เผยประกายริษยา เสมือนนางจะเก็บความเกลียดชังอนุภรรยาตรงหน้าได้น้อยกว่าฮูหยินใหญ่ ร่างในชุดหนากลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก เพราะตระหนักได้ว่าหากอยากให้สามีสนใจ ก็ต้องแลกมาด้วยการถูกรังควานจากภรรยาทั้งสอง
ความคิดและจิตวิญญาณของสาวยุคใหม่ที่ไม่ชอบใช้ผู้ชายร่วมกับใคร แต่เมื่อแต่งเข้ามาแล้วก็ต้องจำใจเป็นเมียน้อย ด้วยธรรมเนียมโบราณที่สตรีเป็นเพียงดอกไม้ที่มีไว้ประดับจวน ยิ่งมีหลายหลากแสดงว่าชายผู้นั้นยิ่งมากล้นด้วยบารมี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง
ตลอดมาหยูเหวินหยาไม่เคยข้องแวะกับเหิงเจี้ยง หรือแทบจะไม่โผล่หน้ามาให้เห็น ราวกับในจวนนี้ไม่มีนางอยู่ ด้วยแสนระอาในการแก่งแย่งอำนาจช่วงชิงความรัก ทว่ายามนี้นางได้ก้าวออกจากเขตแดนอันปลอดภัยนั้นแล้ว
นัยน์ตาหยูเหวินหยาสะท้อนภาพสองฮูหยิน ราวกับกำลังยื้อแย่งความรัก ตะเกียบคีบอาหารวางลงในถ้วยของสามีจนล้นพูน ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ไม่เว้นว่างคีบสลับกันจนหยูเหวินหยาที่เห็นถึงกับนิ่งค้าง
‘แค่สามีกินข้าว คนเป็นเมียต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ’ หญิงสาวนึกขันในใจ
หยูเหวินหยาขยับมือจับตะเกียบหมายคีบผัดผักตรงกลางโต๊ะ ทว่าการจับกระชับตะเกียบให้แน่นในยามนี้ยากกว่างานเย็บปักเป็นไหนๆ เมื่อต้องทำภายใต้การสวมถุงผ้า นางจึงเพ่งสมาธิมากกว่าปกติเพื่อไม่ให้ตะเกียบลื่นไหลจนอาหารหลุดร่วง
หยูเหวินหยามักจะถอดถุงผ้าทุกครั้งยามกินอาหารที่เรือน ทว่าตอนนี้ทำไม่ได้ หากถอดออก มีหวังโดนจับได้แน่ว่านางปิดบังร่างกายแท้จริงไว้ภายใน ด้วยมือที่ซ่อนไว้ช่างเรียวบางและขาวเนียน
อาหารหลุดจากตะเกียบของหยูเหวินหยาถึงสองครั้ง ทว่านางก็พยายามคีบครั้งที่สาม สายตาชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์สบกันแล้วอมยิ้ม เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของสตรีทั้งสองเข้าหูสามีที่นั่งเคียงข้าง เขามองอนุภรรยาที่ใจจดจ่อกับการคีบอาหารตรงหน้า
ตอนแรกก็แอบคิดว่า เหตุใดนางถึงไม่คีบอาหารมาให้เขาเหมือนภรรยาอีกสองคน ตอนนี้เขาพอรู้เหตุผลแล้ว นัยน์ตาคมชำเลืองมองภรรยาทั้งสองที่หัวเราะต่อกระซิกจนดูไม่งามในสายตาเขา ชายหนุ่มเกิดความสงสาร จึงคีบเนื้อชิ้นใหญ่วางลงในถ้วยข้าวของอนุภรรยา
หยูเหวินหยาตกตะลึงที่สามีหยิบยื่นความเมตตาให้ พลันส่งสายตามองไปทางสามี แม้ดวงตานางจะสะท้อนภาพใบหน้าบึ้งตึงแสนเย็นชา ทว่านางกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ภายใน
ด้านชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์นิ่งงัน เสียงหัวเราะและสายตาดูถูกของพวกนางแปรเปลี่ยนเป็นประกายเพลิงแห่งความริษยา อนุภรรยาต้องสาปตรงหน้ามีดีอะไร มีสิ่งใดที่พวกนางไม่มีหรือ สามีถึงได้คีบอาหารให้อย่างเอาใจใส่เช่นนี้ ขนาดพวกนางคีบให้หลายต่อหลายอย่าง หลายต่อหลายมื้อในทุกๆ วัน ทว่าสามีหาได้แลเหลียวเช่นนี้ไม่ ยิ่งคิดไฟในใจก็ยิ่งลุกโชน
ดวงตาของฮูหยินใหญ่จ้องมองอย่างมาดร้าย ริมฝีปากนางยิ้มเฝื่อนก่อนเอ่ยปาก หยูเหวินหยาถึงกับสะอึก
“ท่านพี่สมเพชอนุผู้นี้จนถึงขนาดคีบอาหารให้เชียวหรือ แหม... เช่นนั้นข้าก็อดสมเพชนางตามท่านพี่ไม่ได้ มา... ข้าช่วย” เสียงหยามหยาบกระแทกเน้นคำว่า ‘สมเพช’ แล้วคีบอาหารมาวางในถ้วยของอนุภรรยาผู้แสนอัปลักษณ์
แม้ในใจหยูเหวินหยาจะรู้ความจริงว่า นางไม่ได้เป็นเช่นที่ฮูหยินใหญ่กล่าว ทว่าก็มิอาจลบความเจ็บใจที่ก่อตัวขึ้นได้ เข็มพิษเล่มแรกถูกแทงซึ่งหน้าโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว
“ท่านพี่! ข้าอิ่มแล้ว ต้องขออภัย ปกติข้ากินเยอะ แต่ข้าทนเหม็นกลิ่นเน่าจากแผลหนองที่ฟุ้งกระจายไม่ได้ ข้าขออด... หยุดกินเพียงเท่านี้ดีกว่า ก่อนที่จะทนไม่ไหวจนอาเจียนออกมาหมด” เสียงหว่านเอ๋อร์เอ่ยทับถม หมายให้ตัวเสนียดในสายตาจมดินแดดิ้นไปเสียเดี๋ยวนี้
สองมือน้อยขยำผ้าสีขาวขลิบสีเขียวบนหน้าขาจนยับ คำพูดของฮูหยินรองสร้างแรงกดดันจนโทสะนางปะทุขึ้นมา หากมิได้เป็นอนุภรรยาที่ต่ำชั้นกว่า นางคงตรงเข้าทึ้งผมสองฮูหยินตรงหน้าให้เครื่องประดับศีรษะหลุดร่วงเสียให้หมด
‘ใจเย็นไว้หยูเหวินหยา สามีมองอยู่’ นางคิดพลางนับหนึ่งถึงสิบ ก่อนเป่าลมออกจากปากเล็กน้อย หากทำอะไรบุ่มบ่ามตอนนี้ คงอดได้ใจสามีมาครองแน่ ‘อดทนให้สุดแล้วหยุดที่ใจสามีหน้าน้ำแข็ง’ นางท่องในใจ
“ท่านพี่ ฮูหยินทั้งสอง ข้ารู้สึกไม่สบาย ต้องขอตัวก่อน” เสียงเล็กตัดจบความอึดอัด กายหนายันตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง
สองฮูหยินหันไปยิ้มให้กันอย่างถูกใจ ทว่าคนตัวใหญ่กลับไม่คิดเช่นนั้น เขาลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าหายไปอีกคน ไม่ว่าภรรยาทั้งสองจะทักถามเท่าไรก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ
ศาลากลางน้ำอันแสนร่มรื่น รายล้อมด้วยทัศนียภาพอันสวยงาม หยูเหวินหยาหยุดเดินแล้วนั่งลงมองบัวในสระ นางไม่ได้เศร้าสลดจากคำดูแคลนแม้เพียงนิด แต่เบื่อหน่ายไม่อยากต่อความด้วย
ในจังหวะนั้นเสียงของสามีก็ดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้หยูเหวินหยาต้องเหลียวมองหา เมื่อชายหนุ่มมาถึงก็ยืนเบี่ยงกายเมินหน้าหนี แขนข้างหนึ่งพาดไปด้านหลัง ลำตัวเหยียดตรง คล้ายว่าเป็นท่าประจำกายของเขาไปแล้ว ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นมาทางนาง ทำให้หญิงสาวตะลึงค้าง
ซาลาเปากรุ่นไอร้อนน่าลิ้มลอง ดวงตาหญิงสาวฉายแววฉงนพลางกะพริบถี่ด้วยความสงสัย นี่สามีเดินตามมาเพื่อมอบซาลาเปาให้นางหรือ
“เมื่อครู่เจ้ายังไม่ได้กินอะไร คงจะหิว กินซาลาเปารองท้องก่อนเถอะ” เสียงใหญ่เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง หยูเหวินหยายังคงมองตาปริบๆ ที่เห็นสามีมีท่าทีเย็นชาทว่าแฝงด้วยความเมตตา นางชักไม่แน่ใจ เกรงว่าจะเป็นเขาหรือนางกันแน่ที่ใจหลอมละลายจนกลายเป็นน้ำก่อน
หยูเหวินหยารับซาลาเปามากิน น่าประหลาดเสียจริงที่กินเข้าปาก แต่ทำไมหัวใจกลับอุ่นซ่านได้ ดวงตาหวานจ้องมองร่างใหญ่เดินจากไป เขาไม่หันกลับมามองนางแม้เพียงนิด ทว่าแค่นี้ก็พอที่หล่อเลี้ยงหัวใจของอนุภรรยาผู้นี้ให้ชุ่มชื่นได้
หยูเหวินหยาเดินกลับเรือนซุ่นซูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อไปถึงกลับเห็นสภาพเรือนเละเทะจนนางตกตะลึง ดอกไม้และของประดับเรือนกระจัดกระจายเสียหายหนัก ภาพเซียงเซียงนั่งร่ำไห้บนพื้นทำให้ใจผู้เป็นนายกระตุกเต้นด้วยความห่วงใย
หญิงสาวก้าวเท้าตรงไปหา สังเกตเห็นเบื้องหน้าสาวใช้มีกรงนกตะแคงคว่ำอยู่บนพื้น ภายในกรงมีนกตัวโปรดสีฟ้าใต้ท้องแซมเหลืองนอนแน่นิ่ง
“นี่มัน...!” หยูเหวินหยาอุทานด้วยความตกใจ
ทันทีที่ได้ยินเสียงคุณหนู เซียงเซียงพลันหันหน้ามาร่ำร้องพลางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงสะอื้นหนักของสาวใช้คนสนิททำให้ใจหยูเหวินหยาปวดหนึบ
“ฮือๆ คุณหนู! เมื่อครู่ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองมาหาคุณหนู พวกนางคล้ายโกรธเคืองผู้ใดมา มาถึงก็ทำลายข้าวของ ต้นไม้ และดอกไม้จนพังยับเยิน อีกทั้งยัง... ฮือๆ ยังจับกรงนกตัวโปรดของคุณหนูเขย่าไปมาจนกระทั่งมันตายเจ้าค่ะ ฮือๆ” เซียงเซียงร้องไห้คร่ำครวญหนัก
กายหนาทรุดลงบนพื้น มองเห็นแก้มสาวใช้คนสนิทบวมแดงก็พอเดาได้ ว่าคนของเธอคงกลายเป็นกระสอบทรายให้ฮูหยินทั้งสอง เสียงหยูเหวินหยาสั่นขณะเอ่ยคำขอโทษ พร้อมสัมผัสแก้มช้ำของเซียงเซียง นางไม่คิดว่าฮูหยินทั้งสองจะริษยาหนัก ถึงขั้นทำเรื่องอุกอาจภายในเรือนผู้อื่น จนทำให้สาวใช้ที่แสนดีต้องเจ็บตัวแทนนางขนาดนี้
‘เราก็เป็นสตรีเหมือนกันมิใช่หรือ ไฉนถึงเหยียบย่ำกระทำรุนแรงอย่างหยามใจกันเช่นนี้’ คำถามผุดขึ้นในใจอนุภรรยา แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ
หลังจากเหิงเจี้ยงเดินตามหยูเหวินหยาออกมา สองฮูหยินก็ตามไปแอบดู พวกนางเห็นสามียื่นซาลาเปาให้อนุภรรยา ประหนึ่งห่วงใยจนออกนอกหน้า ถึงขนาดกล้าทิ้งพวกนางกลางโต๊ะอาหาร และติดตามภรรยาใหม่แสนอัปลักษณ์ออกมา ทำไมสามีถึงไม่เคยทำดีเช่นนี้กับพวกนาง
ความคิดแค้นก่อตัวดุจพายุ แต่จะทำอะไรรุนแรงกับอนุภรรยาต่อหน้าสามีคงมิได้ พวกนางจึงไปดักรอหยูเหวินหยาที่เรือนซุ่นซู หมายใจจะเอาคืนเพราะความเจ็บช้ำ ทว่ารออยู่นานหญิงที่แสนชังก็ไม่โผล่หน้ามา พวกนางจึงระบายอารมณ์กับคนในเรือนและข้าวของ รวมถึงนกพิการที่หยูเหวินหยาเลี้ยงไว้
ยิ่งเห็นว่านกตัวนั้นพิการแสนอัปลักษณ์เฉกเช่นเดียวกับอนุภรรยาที่ตนแสนเดียดฉันท์ พวกนางยิ่งรุมเขย่ากรงนกทรมานชีวิตน้อยๆ จนตาย นกน้อยผิดอะไรถึงต้องมารับกรรม สิ่งนี้ฮูหยินทั้งสองหาสนใจไม่ ขอแค่ความสะใจก็เพียงพอ
นัยน์ตาสีดำดวงเล็กของนกแสนอาภัพสะท้อนภาพหญิงสาวสองคนหัวเราะด้วยสีหน้าแห่งความสะใจ ความเจ็บที่ถูกกระแทกกับกรงแข็งไปมาอย่างแรงทำเอาเลือดไหลออกมา เสียงร้องของเจ้านกตัวน้อยที่ฮูหยินทั้งสองมิอาจฟังเข้าใจ ราวกับจะวิงวอนร้องขอความเมตตาให้ละเว้นชีวิต ชั่วครู่ถัดมาเสียงร้องก็พลันเงียบลงพร้อมลมหายใจที่มลายสิ้น ดวงตาดำคู่นี้ไร้แววสะท้อนแสงอีกต่อไป
หยูเหวินหยาเอื้อมมือไปสัมผัสปุยขนสีฟ้าแซมเหลือง น้ำตาใสคลอหน่วยจนล้นรินหางตา สองมืออุ้มร่างเย็นชืดแล้วก้าวเดินออกจากเรือนด้วยความเศร้าสลด เซียงเซียงจะตามคุณหนูที่รักไปด้วย แต่นางห้ามปรามเอาไว้
ในเมื่อเกิดมามีกรรมต้องอยู่แต่ในกรงขัง จะโผบินทะยานบนฟ้าเฉกเช่นชีวิตอื่นก็หาทำได้ไม่ หมดสิ้นเวรสิ้นกรรมในครานี้ก็ควรส่งคืนกลับสู่ธรรมชาติเสีย หยูเหวินหยาหมายมั่นแล้วนำร่างวิหคตัวน้อยไปฝังภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกตั้งตระหง่านท่ามกลางท้องฟ้าและขุนเขา
ดวงจิตของหยูเหวินหยาอธิษฐานส่งวิญญาณ ขอให้หมดสิ้นเวรสิ้นกรรม หลุดพ้นวัฏสงสาร พานพบแต่ความสุข มือน้อยยกขึ้นปาดน้ำตาที่หลั่งไหล อำลาสหายตัวน้อยที่จากไป นัยน์ตาแดงก่ำเคล้าประกายน้ำใสที่หลงเหลือ เงยหน้ามองบนกิ่งก้านที่แผ่กว้างแล้วตั้งจิตภาวนา ขอฝากฝังร่างน้อยให้พักอย่างสงบใต้ร่มเงานี้
ก่อนจะกลับจวน นางสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของต้นไม้นี้อีกครั้ง ใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มกลับดูเหี่ยวแห้งมากกว่าครั้งก่อน ใบดูเบาบางจนเห็นกิ่งก้านเด่นชัดขึ้น ราวกับว่าต้นไม้นี้กำลังจะหมดสิ้นอายุขัย
สาวใช้จากเรือนฮูหยินใหญ่นำข่าวมาแจ้งแก่หยูเหวินหยา ว่าให้เตรียมตัวเพื่อไปร่วมงานฉลองครบรอบวันคล้ายวันประสูติขององค์ชายสี่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า ด้วยสามีได้ออกคำสั่งให้ชิงหนิงผู้เป็นภรรยาเอกที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องภายในจวนให้นำความมาแจ้ง
เมื่อถึงวันงาน ตำหนักองค์ชายสี่ก็คับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างมากันอย่างชื่นมื่น งานถูกจัดขึ้นที่ลานกว้าง โดยมีองค์ชายสี่ผู้เป็นเจ้าของงานนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ส่วนซ้ายขวาก็นั่งเรียงลดหลั่นไปตามตำแหน่งและศักดิ์ สาวงามจำนวนมากแต่งชุดสวยคอยรินสุราปรนนิบัติแขกที่มาร่วมงานอย่างเต็มที่
นางรำร่างอรชรร่ายรำอย่างอ่อนช้อย สลับเปลี่ยนเวียนมาสร้างความรื่นรมย์แก่ทุกสายตาที่จับจ้อง แต่เมื่อคนจากจวนเหิงก้าวเข้าสู่งาน ทุกสายตาก็ต่างพรั่นพรึง เพราะสตรีที่เดินรั้งท้ายช่างมีร่างกายหนาใหญ่ มิหนำซ้ำยังปิดคลุมผ้าให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น
“นี่คนหรือผี! เหตุใดวิญญาณเร่ร่อนจึงออกมากลางวันแสกๆ เช่นนี้” เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังขึ้น จนสายตาผู้อื่นจับจ้องมองตาม
หยูเหวินหยารู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที จากที่สงบใจเตรียมพร้อมเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่พอเอาเข้าจริง มือน้อยถึงกับชื้นเหงื่อ ผิดกับสองฮูหยินที่ชูคอเชิดหน้าราวกับพญาหงส์ ยิ่งคนที่เดินตามหลังดูอัปลักษณ์เท่าไร พวกนางก็ยิ่งรู้สึกงดงามมากขึ้นเท่านั้น
ชุดที่สั่งตัดเป็นพิเศษโดยช่างมือหนึ่งของเมืองหลวง ทำให้อาภรณ์ของชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์งามเด่น สีชมพูบานเย็นกับเขียวตองดูสดใส บนศีรษะประดับด้วยปิ่นเก้าอันแสนหรูเรียกสายตาทุกคู่ให้หันมอง แตกต่างจากหญิงสาว
ที่เดินอยู่ด้านหลัง ชุดนางสีขาวนวลเรียบปักดอกบ๊วยเล็กๆ ทั่วทั้งผืน ดูงามแตกต่างจากฮูหยินเอกกับฮูหยินรอง ชุดคลุมกายที่สร้างสรรค์ด้วยตัวเองนั้น ทำให้ทั้งร่างที่ห่มคลุมผ้าปิดมิดชิดดูไม่น่าหวาดผวาเท่ายามปกติ
ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์นั่งซ้ายคนขวาคนเคียงข้างสามีที่รัก จนไม่มีพื้นที่เหลือให้หยูเหวินหยาแม้เพียงนิด ตามจริงภรรยาเอกเท่านั้นมักได้สิทธิ์ออกงานพิธีสำคัญ แต่อนุภรรยาผู้ต่ำต้อยคนนี้กลายเป็นสหายขององค์ชายสี่ไปเสียแล้ว การได้รับเชิญจึงพิเศษกว่าคนทั่วไป
ร่างในชุดหนานั่งถัดจากอีกสามชีวิตของจวนเหิง สายตาทุกคนจับจ้องให้ความสนใจเธอมากกว่าการแสดงตรงกลางลานกว้าง แต่นางก็นิ่งเฉยหาได้สนใจเสียงซุบซิบที่ดังราวกับเสียงแมลงหวี่แมลงวันไม่ นางเพ่งความสนใจไปที่ความงดงามอ่อนช้อยของเหล่าสตรีตรงหน้า ทั้งสวยและดูมีมนตร์ขลังจนนางตกอยู่ในภวังค์
เมื่อการแสดงจบลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง จังหวะนั้นเองร่างสูงสง่าในชุดสีทองอร่ามตาปักลวดลายมังกรก็ก้าวเข้าสู่งานเลี้ยง ทุกชีวิตต่างลุกขึ้นถวายความเคารพอย่างตื่นใจ เสียงผู้เป็นพระบิดาเอ่ยอวยพรโอรสคนสำคัญ แล้วตามด้วยขุนนางใหญ่น้อยที่ตรงเข้าไปถวายของขวัญ เสียงหัวเราะและงานรื่นเริงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงคราเหิงเจี้ยง
กายใหญ่ลุกขึ้นถวายของขวัญที่ดูแล้วสุดแสนจะธรรมดาในสายตาทุกคู่ ทว่านัยน์ตาองค์ชายสี่กลับลุกวาวด้วยแสนต้องตาต้องใจ มันคือเขี้ยวเสือขาวป่า ซึ่งองค์ชายสี่หลี่ซื่อเคยบ่นว่าอยากได้มานานแล้ว เพราะเสือขาวมักแฝงกายในป่าลึกแถบชายแดน จะออกมาในยามหิมะโปรยปรายเท่านั้น น้อยคนนักที่จะได้พบเจอ
“เขี้ยวเสือขาวป่าชิ้นนี้คือของขวัญที่ข้าถูกใจที่สุด สมเป็นสหายรักของข้านัก” องค์ชายสี่ลั่นคำกึกก้อง ทำให้สายตาที่แอบดูแคลนเล็กน้อยเมื่อครู่ถึงกับแปรเปลี่ยนไป
ชิงหนิงเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงรีบถวายของขวัญที่ตนหมายมั่นจะมอบให้เป็นการส่วนตัว องค์ชายสี่หลี่ซื่อกับเหิงเจี้ยง รวมถึงองค์ฮ่องเต้แสนประหลาดใจ ที่ฮูหยินของแม่ทัพรักษาดินแดนมีของขวัญแยกมาเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ ราวกับนางสนิทสนมกับองค์ชายสี่ยิ่งนัก หว่านเอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบถวายของขวัญที่ตนนำมาบ้าง บุรุษทั้งสามจึงมองมาทางภรรยาอีกนางที่นั่งนิ่ง
ชิงหนิงสั่งให้สาวใช้นำความไปแจ้งแก่หยูเหวินหยาเพียงแค่ว่าให้เตรียมตัวมาร่วมงานครบรอบวันคล้ายวันประสูติขององค์ชายสี่ ทว่ามิได้บอกเรื่องที่ได้นัดแนะกับหว่านเอ๋อร์ว่าให้ภรรยาทุกคนนำของขวัญไปมอบเป็นการส่วนตัว หยูเหวินหยาจึงไม่รู้และรู้สึกสงสัยที่สายตาทุกคนจับจ้องมาทางนาง เสมือนนางทำตัวแปลกแยก
“ชิงหนิงขอถวายพระพรฝ่าบาท องค์ชายสี่ ขอให้องค์ชายสี่มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเพคะ”
“หว่านเอ๋อร์ขอถวายพระพรฝ่าบาท องค์ชายสี่ และขอให้องค์ชายสี่มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเช่นกันเพคะ” เสียงหญิงสาวสองนางอวยพรอย่างนอบน้อม ของขวัญที่พวกนางมอบคือถ้วยกระเบื้องงามวิจิตรและเครื่องเงินชั้นดี
“ขอบใจฮูหยินทั้งสองนัก ตามจริงมิต้องนำมาเพิ่มก็ได้ พวกเจ้าก็เสมือนเป็นคนเดียวกับเหิงเจี้ยงสามีเจ้า” องค์ชายสี่ตอบด้วยไมตรี
“ไม่เป็นไรเพคะ องค์ชายสี่เป็นสหายรักของท่านพี่ พวกหม่อมฉันต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษเพคะ แต่ภรรยาใหม่ของท่านพี่ดูจะไม่สนใจนัก” สองฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ คราวนี้ภรรยาคนใหม่ของสามีได้หน้าแหกเป็นแน่ เพราะนางไม่มีสิ่งใดมามอบให้องค์ชายสี่ ทั้งที่ภรรยาสองคนนำมา พวกนางหมายใจให้หยูเหวินหยาไม่ได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้ องค์ชายสี่ และสามี
ทว่าไม่เป็นอย่างที่ฮูหยินทั้งสองคิด เมื่อหยูเหวินหยาได้นำบางสิ่งมาเป็นของขวัญเช่นกัน ถึงนางจะไม่ได้รู้เรื่องที่ต้องเตรียมของขวัญจากฮูหยินใหญ่ แต่นางก็เตรียมมาด้วย เพราะองค์ชายสี่ดีกับนางและไม่เคยนึกรังเกียจ หญิงสาวจึงให้ความสำคัญแก่งานในวันนี้ยิ่งนัก
‘ใครดีเราควรดีตอบ ใครร้ายเราไม่ควรคบหา’ นี่คือคติของหยูเหวินหยา
“มันอาจดูเล็กน้อย ไม่มีค่า เปรียบไม่ได้กับของขวัญที่ได้รับจากผู้อื่น แต่หม่อมฉันก็ใช้เวลาร่วมสามวันสามคืนเพื่อของขวัญชิ้นนี้เพคะ” สิ้นเสียงหวาน ห่อผ้าที่ผูกปมไว้พลางถูกคลายออก ปรากฏรองเท้าสีดำที่ปักลวดลายราชสีห์ด้วยดิ้นทองสลับแดงเขียว เกิดเป็นลายปักที่งดงาม กระทั่งฮ่องเต้ยังตรัสชม
“นี่เจ้าทำเองจริงหรือ ดูลวดลายวิจิตรแช่มช้อย ในวังยังหารองเท้างามเช่นนี้ไม่ได้เลย” บารมีผู้ที่อยู่เหนือคนทั้งปวงเจิดจรัส พระองค์แย้มพระสรวลบางๆ อย่างมีเมตตา
สองฮูหยินถึงกับส่งสายตาเขียวปั้ดใส่อนุภรรยาอัปลักษณ์อีกครา
“ขอบพระทัยที่ตรัสชมเหวินหยาเพคะ” ร่างในชุดหนาย่อตัวอย่างสง่า ถ้อยคำที่ตอบรับก็ดูสมกับเป็นคุณหนูตระกูลมั่งมียิ่งนัก
“ขอบใจนัก ของขวัญชิ้นนี้ ข้าชอบยิ่งกว่าเขี้ยวเสือขาวป่าเสียอีก” หลี่ซื่อยิ้มละมุน สลับกับจ้องมองรองเท้าในมือ
‘นางลงแรงทำเช่นนี้ แสดงว่านางใส่ใจแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย’ เขาคิดอย่างชื่นชม
เหิงเจี้ยงที่ปกติหน้านิ่งงันเสมือนไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลานั้น ตอนนี้กลับส่อประกายขุ่นข้องในดวงตา งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกระจายไปทั่วทั้งงาน ฮ่องเต้ตรัสกับหยูเหวินหยาให้เย็บรองเท้าที่งามกว่าของโอรส องค์ชายสี่กับหยูเหวินหยายิ้มปนหัวเราะ พานให้บรรยากาศน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก
ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์เลิกสนใจอนุภรรยาอีกคน แล้วหันมาเอาใจออดอ้อนออเซาะเหิงเจี้ยง มือสาวงามรินสุราบ้าง คีบป้อนอาหารบ้าง แต่สามีพวกนางช่างเคร่งขรึมจนเหมือนไร้ความรู้สึก สุราจอกแล้วจอกเล่าถูกยกดื่มรวดเดียวหมด พร้อมนัยน์ตาที่สะท้อนรอยยิ้มของสหายรักกับอนุภรรยาของตน
เมื่อแขกเหรื่อเริ่มทยอยลาลับ สองฮูหยินพลันเอ่ยปากชวนสามีกลับจวนบ้าง เสียงแข็งกร้าวตอบกลับในทันทีว่าจะอยู่ถึงรุ่งเช้า ด้วยมีเรื่องต้องคุยกับองค์ชายสี่อีกมาก ชิงหนิงได้ยินเช่นนั้นก็พลันครุ่นคิด นางเริ่มเบื่อและอยากกลับไปพัก จึงหันไปออกคำสั่งกับอนุภรรยาที่ต่ำชั้นกว่า ให้อยู่รอเพื่อพาสามีกลับจวนอย่างปลอดภัย หยูเหวินหยาเองจึงมิอาจปฏิเสธ
เหิงเจี้ยงกับหลี่ซื่อยังคงคุยกันถูกคอ จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก องค์ชายสี่สังเกตเห็นหยูเหวินหยาแอบหาวหลายครั้ง จึงเอ่ยขอตัวกลับไปพักผ่อน เพราะเกรงใจภรรยาสหายที่ต้องนั่งเฝ้ารอสามีเช่นนี้
ร่างใหญ่เดินเซเล็กน้อยไปที่รถม้า มืออนุภรรยาพยายามประคองร่างสามี แต่ถูกปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย เขาดูเย็นชา เมินเฉย และเหินห่าง ทั้งที่ช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้าเขาเริ่มดีกับนางแล้วแท้ๆ แม้หญิงสาวรู้สึกสงสัย แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ด้วยหนทางในยามนี้ช่างมืดมิด การระแวดระวังภัยจึงต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงกลางวันนัก คิ้วเข้มขมวดมุ่นดูแล้วน่าเกรงขามกว่ายามปกติหลายเท่า
‘นี่สามีเครียดอะไรนักหนา ถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับเช่นนี้’ หญิงสาวข้างกายฉุกคิด
“ท่านพี่ดื่มหนักนัก ไหวหรือไม่” หยูเหวินหยาเอื้อมมือไปแตะแขนสามีด้วยความเป็นห่วง เห็นเขานั่งปั้นหน้านิ่ง ลำตัวตรงในขณะที่รถม้าโอนเอน เห็นก็รู้ว่าฝืน ขนาดเมื่อครู่ยังเดินซวนเซ ยามนี้กลับดูสงบนิ่งอย่างประหลาด
เหิงเจี้ยงปัดมือที่น่ารำคาญออก แม้แต่หางตาก็ยังไม่แลมอง จนอนุภรรยาสาวขุ่นข้องอย่างที่สุด เมื่อเขาไม่สนใจนาง นางก็จะไม่สนเขาอีกแล้ว อารมณ์ชั่ววูบของหญิงสาววัยสะพรั่งเดือดดาล บรรยากาศภายในรถม้าช่างน่าอึดอัด ความเงียบงันเข้าครอบงำตลอดทั้งเส้นทาง
ยามนี้ทั้งสองถึงจวนเหิงอย่างปลอดภัย เหิงเจี้ยงก้าวลงจากรถม้า หยูเหวินหยาส่งมือน้อยให้สามีหมายใจให้ช่วยพยุงลงจากรถม้า ทว่าเขากลับยืนเมินหน้าไปยังทิศตรงข้าม แล้วเอามือไขว้หลังวางท่าหาได้แลเหลียวนางไม่ หญิงสาวจึงย่นจมูกใส่อย่างฉุนเฉียว
นางค่อยๆ ก้าวขาลงมา โน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ศีรษะก้มพ้น แววตาตัดพ้อกับพฤติกรรมของสามีหน้าน้ำแข็ง แล้วรีบเดินหนีไปให้พ้นหน้าคนใจยักษ์
“เย็นชา! ผิดกับองค์ชายสี่ลิบลับ” เสียงเล็กบ่นพึมพำในระหว่างเดินจ้ำๆ เหตุใดสามีไม่อ่อนโยนกับนางเหมือนองค์ชายสี่บ้าง หญิงสาวหลุดปากเอ่ยเปรียบเทียบ
เจ้ากรรมที่สามีช่างแสนหูดี ยิ่งมาได้ยินคำว่า ‘องค์ชายสี่’ ความขุ่นข้องที่เริ่มมอดดับกลับปะทุขึ้นอีกครา ร่างสูงใหญ่ราวกับกำแพงแกร่งโผเข้าใส่อนุภรรยา
หยูเหวินหยาถูกเหนี่ยวรั้งให้หันหน้ามา ฝ่ามืออุ่นรั้งต้นคออนุภรรยา แล้วใบหน้าคมก็ก้มลงช่วงชิงริมฝีปากนางในฉับพลัน
นัยน์ตาหวานเบิกโต เพราะริมฝีปากที่โผล่พ้นผ้าพันศีรษะกำลังถูกบดเบียดด้วยเรียวปากอุ่นเคล้ากลิ่นสุราของสามี ความดุดันถูกส่งผ่านคล้ายบอกเป็นนัยว่าร่างกายนี้มีเขาเป็นเจ้าของ ปากเล็กและนุ่มหอมถูกบดขยี้จนมิอาจผละหนี ลมหายใจเริ่มติดขัด
‘นี่เขาจูบข้าหรือ ข้าฝันไปหรือไม่ รสจูบที่ดุดันนี้ราวกับกำลังโกรธข้า’ สติที่มีของหยูเหวินหยาร้องบอก
เมื่ออนุภรรยาตัวกวนใจอ่อนระทวยต่อการรุกเร้า ร่างใหญ่ก็ผละออกห่าง นัยน์ตาคมยังจ้องอนุภรรยาเขม็งด้วยยังมีโทสะ
“ถึงเจ้าจะอัปลักษณ์เช่นไรก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาข้า! การปักรองเท้าให้ชายอื่นหาควรไม่! รอยยิ้มและของทุกอย่างของเจ้าคือของข้า ตัวเจ้าเองก็เป็นของข้า! จงจำไว้!” สิ้นเสียงแผดก้องร่างใหญ่ก็เดินหายลับไป
ทิ้งให้หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยคำพูดเมื่อครู่ ‘หรือเขากำลังหึง!’ นี่คือสิ่งที่หยูเหวินหยาคิด แค่ลงแรงปักรองเท้าเป็นของขวัญก็ไม่ได้เลวร้าย หรือทำโดยมีจุดประสงค์แอบแฝงเสียหน่อย และยิ่งไม่ได้แอบทำด้วย แล้วเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หากไม่ใช่หึงหวงในฐานะสามี... คิดแล้วแก้มใสก็ยกขึ้นเพราะอดอมยิ้มไม่ได้
ความคิดเห็น |
---|