แปด
สวนหย่อมในจวนเหิง
ดวงตะวันทอแสงอ่อน สายลมพัดแผ่วพลิ้ว เหวินหยา เซียงเซียง และหรงจุ้ย เล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน เหิงเจี้ยงได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสดใสจนต้องเปลี่ยนเส้นทางเดินเพื่อตามหาต้นเสียง อนุภรรยาตัวยุ่งกำลังเล่นสนุก ไม่สำนึกถึงคำเตือนเมื่อคืนวานสักนิด ชายหนุ่มนิ่วหน้ายืนมองอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหมายจะต่อว่าให้หายเคืองขุ่น
“งานเรือนมีมากมายไม่ทำ เอาแต่เล่นสนุก” เหิงเจี้ยงเอ็ดอนุภรรยาแสนอัปลักษณ์
‘นางก็ไม่ได้มีรูปร่างดี มิหนำซ้ำหน้าตายังหาดูได้ไม่ แล้วเหตุไฉนถึงทำตัวระรื่นยั่วยวนบุรุษอยู่ร่ำไป คราก่อนก็ยั่วข้าผู้เป็นสามี ต่อมาก็องค์ชายสี่กับฮ่องเต้ จนทั้งสององค์ต่างเอ็นดูนาง แล้วครานี้ยังยั่วหมอในจวนอีก’
คิ้วเรียวดำย่นชนกัน นัยน์ตาสีนิลลุกวาวจ้องมองอนุภรรยาตรงหน้า หยูเหวินหยาจำต้องหลุบตาหลบ ด้วยสีหน้าสามีช่างชวนให้อึดอัดใจ
“คารวะท่านพี่ ข้ากับท่านหมอและเซียงเซียงกำลังลองเล่นว่าวที่ทำขึ้นเอง เรากำลังแข่งกันว่าว่าวของใครจะลอยได้สูงกว่า ท่านพี่ก็มาเล่นด้วยกันสิ น่าสนุกออก” คำสารภาพจากอนุภรรยาที่บอกว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็ยังไม่อาจทำให้สายตาของชายตรงหน้าอ่อนลงได้
ในระหว่างที่กำลังขบคิดว่าทำเช่นไรสามีถึงจะเลิกทำหน้ายักษ์ใส่ เสียงใหญ่ก็เอ่ยตัดหน้าเสียก่อน
“แค่ว่าวจะสนุกอะไรหนักหนา” หน้าน้ำแข็งเมินใส่ซึ่งๆ หน้า
หยูเหวินหยาหรี่ตามองก่อนเอ่ยตรงๆ “เช่นนั้น... ท่านพี่มาเล่นกับข้านะ”
เหิงเจี้ยงอึกอักในทันที ด้วยเขานั้นไม่เคยเล่นว่าวสักครั้ง ชิวหูที่เดินตามเจ้านายมาติดๆ พลันออกปากแทน
“คุณชายไม่เคยเล่นขอรับ ให้ข้าน้อยเล่นแทนดีกว่าขอรับ” เสียงกุนซือที่ออกตัวแทนจุดประกายความคิดของหยูเหวินหยา
“งั้นท่านหมอช่วยเล่นเป็นเพื่อนท่านกุนซือด้วย” คำสั่งของนายหญิงน้อยทำให้หรงจุ้ยกระตุกยิ้ม แต่ชิวหูนี่สิกลายเป็นฝ่ายกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
“ท่านพี่ ข้าจะสอนท่านเอง” ร่างในชุดหนาเบียดออเซาะสามี นัยน์ตาหวานสบกับนัยน์ตาคมแล้วกะพริบตาถี่รัวอย่างต้องการโปรยเสน่ห์
ด้านสามีถึงกับถลึงตาใส่แล้วเบี่ยงหน้าหลบศีรษะเล็กที่พยายามเข้ามาใกล้ นางจู่โจมเขาอีกแล้ว ครานี้ถึงกับทำต่อหน้าบ่าวรับใช้ด้วย “เหลวไหล! เหตุใดข้าต้องทำเรื่องไร้สาระ”
“ได้! หากท่านพี่ไม่เล่น ข้าก็ไม่ฝืน ข้าเล่นกับท่านหมอแทนก็ได้ เดี๋ยวจะงัดกลยุทธ์ที่มีสอนท่านหมอให้หมดเชียว” มือในถุงผ้ายกขึ้นตั้งฉากแล้วกำแน่นอย่างมุ่งมาด
วาจาของอนุภรรยาทำเอาคนเป็นสามีส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้ จะปฏิเสธก็เกรงว่าด้วยนิสัยบ้าบอของนางจะสอนหมอหรงจุ้ยจนเกินเลยหรือไม่ ร่างใหญ่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำใจยอมทำตามอนุภรรยาตัวยุ่งแต่โดยดี ระหว่างนั้นนัยน์ตาหยูเหวินหยาก็ส่อแววเจ้าเล่ห์
“ท่านพี่! ข้าจะสอนท่านเล่นว่าว แต่ท่านต้องจูบข้าก่อนเป็นค่าสอน” เสียงใสเอ่ยต่อรองพร้อมกับส่งยิ้มหวาน
เหิงเจี้ยงคิดตาม ‘นี่ข้าเป็นสามีนะ เป็นบุรุษ ส่วนนางเป็นสตรี ไฉนนางกล้าเสนอเงื่อนไขแบบนี้ต่อหน้าบ่าวรับใช้ คิดค่าสอนด้วยการจูบมีที่ไหนกัน พูดจาพิลึกพิลั่น!’ ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งขุ่นข้อง รีบปฏิเสธโดยฉับไว หยูเหวินหยาจึงต้องงัดไม้ตายออกมาใช้อีกครั้ง
“ข้าก็ไม่บังคับ เช่นนั้น... ท่านพี่กลับไปเถิด ข้าจะสอนท่านหมอแทนก็ได้” อนุภรรยาตีหน้าสลด คำพูดของนางทำให้สามีถึงกับสะอึก
“เจ้านี่!” ร่างใหญ่จนด้วยคำพูด ทำได้เพียงชี้หน้าอนุภรรยาตัวร้ายของเขาแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างอดกลั้น หากเขาไม่ยอมจูบนาง นางก็ไม่สน ทั้งยังเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นกับหมอหรงจุ้ยแทน ติดที่นิสัยชอบยั่วยวนชายหนุ่มของนาง เขาจะปล่อยให้เล่นกันตามลำพังได้อย่างไร
หยูเหวินหยาก้มหน้าแอบซ่อนรอยยิ้ม ยิ่งเห็นสามีทำท่าทางลำบากใจ แสดงว่าเขาเองก็ลังเลไม่อยากให้นางอยู่กับชายอื่น ทั้งที่ปากก็บอกรังเกียจที่ว่านางอัปลักษณ์ แต่พฤติกรรมที่แสดงออกกลับทำให้หยูเหวินหยาอดแกล้งไม่ได้ แล้วเรื่องที่หรงจุ้ยเป็นชายที่มีใจเป็นหญิงนั้นมีเพียงนางกับเซียงเซียงที่รู้ แต่ชิวหูอาจจะระแคะระคายอยู่บ้าง ยามนี้พวกบ่าวรับใช้แอบอมยิ้มกันถ้วนหน้า เพราะเจ้านายหน้าน้ำแข็งผู้ไม่เคยยอมใครถูกอนุภรรยาต้องสาปผู้นี้กำราบอีกครั้ง
หยูเหวินหยาอาศัยจังหวะที่เหิงเจี้ยงนิ่งเงียบเอ่ยขึ้น “ค่าสอนของข้า” ก่อนเขย่งเท้าโอบแขนคล้องคอร่างสูงของสามีให้โน้มต่ำ แล้วอาศัยความว่องไวช่วงชิงจูบของชายตรงหน้า
แค่จูบมีหรือที่วิญญาณในร่างหยูเหวินหยาจะไม่กล้า ทุกสายตาตะลึงค้างที่อนุภรรยาผู้เหนียมอายชอบเก็บตัวกล้าเป็นฝ่ายรุกชายหนุ่มถึงเพียงนี้ ทุกคนหันหลังไม่กล้ามอง รีบหลบสายตาตามมารยาท
เหิงเจี้ยงตาค้างเมื่อถูกขโมยจูบ ดวงตาชายหนุ่มสบกับนัยน์ตาหวานที่ประดับด้วยแพขนตางอนดกดำจนเขาไม่อาจละสายตาได้ ราวกับรอบกายหยุดนิ่ง ทุกอย่างถูกดึงดูดและกลืนหายไปด้วยดวงตาพราวแสง ความรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นี้ผุดขึ้นในความคิดเหิงเจี้ยง ทั้งที่เขาก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ชายหนุ่มไม่ต่อว่าหยูเหวินหยาสักคำ ทั้งยินยอมรับเชือกว่าวที่นางส่งมาให้แล้วสอนวิธีเล่น แม้นางจะพูดสิ่งใด แต่นัยน์ตาชายหนุ่มก็ไม่ละไปจากดวงตาสุกใสตรงหน้า ว่าวถูกส่งให้ลอยละล่องขึ้นฟ้า สายลมโชยพัดว่าวผีเสื้อลอยละลิ่วดุจมีชีวิต
สีหน้าน้ำแข็งดูผ่อนคลายกับภาพว่าวที่ตนกำลังจับเชือกบังคับ มือเล็กกับมือใหญ่ประสานช่วยกันพยุงว่าวผีเสื้อตัวใหญ่ ชิวหูเห็นคุณชายยิ้มก็เผลอยิ้มตาม ด้วยไม่เห็นรอยยิ้มนี้มานานเหลือเกิน จึงหันไปด้านข้างก็เห็นรอยยิ้มของชายอีกผู้หนึ่ง... หมอหรงจุ้ย ที่เอาแต่ส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มมาให้เขา จนขนแขนลุกชันและต้องเป็นฝ่ายหลบเลี่ยง
ด้านเซียงเซียงที่จ้องมองอย่างเงียบๆ ถึงกับน้ำตาซึม ในที่สุดความพยายามของคุณหนูก็เป็นไปในทิศทางที่ดี เมื่อหยูเหวินหยาเห็นสามียิ้มเป็นครั้งแรกก็แสนดีใจ ทันใดนั้นภาพรอยยิ้มของชายในฝันที่ใบหน้าเหมือนสามีก็ผุดขึ้นมา แต่ทรงผมของทั้งสองนั้นแตกต่างกัน สามีตรงหน้ารวบผมมวยไว้กลางศีรษะ แต่ชายในฝันรวบผมเพียงครึ่งแล้วสวมกว้าน พร้อมปล่อยให้เรือนผมสยายพลิ้วยามต้องสายลม
“อี้หลิน! ดูว่าวที่เจ้าทำให้ข้าสิ ลอยสูงเด่นเชียว” เสียงนุ่มละมุนพร้อมรอยยิ้มกว้างถูกส่งมาให้
เพียงครู่เดียวภาพและเสียงนั้นก็หายวับไป ใจหยูเหวินหยาเต้นถี่รัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก อี้หลินคือใคร หากตรองดูให้ถี่ถ้วน ตอนนี้นางไม่ได้หลับและไม่ได้อยู่ใต้ต้นไม้โบราณนั่น ‘หรืออี้หลินจะหมายถึงตัวข้าหยูเหวินหยา’ คำถามสะท้อนก้องในใจหญิงสาว
ความอึดอัดในห้องอาหารที่มาพร้อมหน้ากันบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ยังตั้งตนเป็นปรปักษ์กับหยูเหวินหยาเช่นเคย ด้านหยูเหวินหยาเองนั้นยังจำเรื่องราวร้ายกาจที่สองฮูหยินทำไว้ครั้งล่าสุดได้อย่างแม่นยำ แก้มแดงช้ำของเซียงเซียง หนึ่งชีวิตที่ดับสูญเพราะแรงริษยา อีกทั้งยังแกล้งหักหน้านางต่อหน้าฮ่องเต้กับองค์ชายสี่อีก นางตระหนักได้ว่าการพยายามอยู่อย่างสงบในอดีตนั้นไม่เคยมีความหมาย หากสันดานแท้จริงของคนที่นางพยายามเป็นมิตรไม่อาจปรับเปลี่ยน
‘ทำร้ายข้า ข้ายังไม่โกรธเท่าทำกับคนของข้า รังเกียจและเหยียดหยามที่ข้าอัปลักษณ์ใช่หรือไม่ ขนาดอัปลักษณ์ยังจะเหยียบให้จมดิน แค่เสี้ยวหางตาสามียังจะหึงหวง ได้! ข้าจะทำให้พวกเจ้ารู้ว่าการถูกเมินและไร้หางตาเหลียวแล
แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร’ เมื่อสุดจะทน นางจึงมิอาจนิ่งเฉย นัยน์ตากลมโตของหยูเหวินหยาจ้องกลับสองฮูหยิน ก่อนจะตัดหน้ารีบเอ่ยคำกับสามี
“ท่านพี่! ข้าคีบไม่ถนัดเลย ท่านช่วยคีบอาหารให้ข้าได้หรือไม่ ดูฮูหยินทั้งสองก็แสนคล่องแคล่ว คงคีบกินเองได้ มีเพียงข้า หากท่านพี่ช่วยเมตตาข้าสักคนคงไม่เป็นไรกระมัง” เสียงเล็กฟังแล้วแสนหดหู่ มือนางแสร้งคีบอาหารแล้วหล่นอยู่หลายรอบ นัยน์ตาเศร้าทอประกายน้ำใส ด้วยกลวิธีการแสดงขั้นเทพที่ตามติดจิตวิญญาณมา ทำเอาใจสามีอดสงสารไม่ได้
อาหารถูกคีบวางในถ้วยข้าวของอนุภรรยาจนพูน ท่ามกลางสายตาของสองฮูหยินที่จ้องมองราวกับอยากจะฉีกร่างที่ปกปิดอย่างแน่นหนาเป็นหมื่นชิ้น
“ท่านพี่ ข้าอยากกินอันนั้นด้วย” เสียงเล็กเจรจาเสนาะหู มือใหญ่คีบส่งให้ตามที่ขอ บรรยากาศการกินอาหารวันนี้เหมือนมีสามีกับอนุภรรยาเพียงสองคนเท่านั้น ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์กลั้นใจเก็บเสียงหวีดร้อง รอคอยให้การกินอาหารยุติ พวกนางไม่มีวันยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
หลังแยกย้ายจากห้องกินอาหาร หยูเหวินหยาก็ตรงกลับเรือนทันที สองฮูหยินที่เฝ้ารอคอยหมายจะระบายความริษยารีบเดินอย่างเร็วรี่โดยมีจุดหมายคือเรือนซุ่นซู
เมื่อมาถึงหญิงสาวสองนางก็นัดแนะหมายจะเอาให้เจ็บแสบกว่าครั้งก่อน อย่างน้อยวันนี้อนุภรรยาตัวเสนียดต้องได้เลือด พวกนางหมายมั่นก่อนจะเตรียมก้าวขาเข้าไปในประตูเรือน ทันใดนั้นเสียงสนทนาของหยูเหวินหยากับสาวใช้ก็ดังขึ้นเสียก่อน พวกนางจึงหยุดพร้อมกับแอบฟัง
“คุณหนูเก่งจังเลยเจ้าค่ะ! เพิ่งรู้ว่าคุณหนูเก่งวิชาดาบด้วย สอนบ่าวบ้างสิเจ้าคะ” เซียงเซียงเอ่ยเสียงดัง
“แหม... จะไม่เก่งได้อย่างไร ท่านพ่ออุตส่าห์ส่งข้าไปฝึกวิชาที่เขาง้อไบ๊ถึงสามปีเชียวนะ ถ้าท่านพ่อรู้ว่าข้าไม่ได้บรรลุเรื่องธรรมะ แต่ได้วรยุทธ์ที่ใช้ในการต่อสู้มาแทน มีหวังโดนด่าจนหูชาแน่ ข้าถึงปิดบังเรื่องนี้มาตลอด เซียงเซียง เจ้าอย่าบอกใครนะ”
หยูเหวินหยาเอ่ยเป็นตุเป็นตะ พูดไปก็ขยิบตาให้สาวใช้คนสนิทไป พวกนางทั้งสองคิดว่าฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองต้องมาหาเรื่องที่เรือนซุ่นซูอีกแน่ เลยนัดแนะกันล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อม
เซียงเซียงคอยดูต้นทางอยู่หน้าเรือน เมื่อเห็นสองฮูหยินเดินมาด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด ก็รีบส่งสัญญาณให้คุณหนูที่รักออกแรงจับดาบเล่มใหญ่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา
ด้านหยูเหวินหยาที่แสดงการรำดาบนั้น ความจริงนางแค่ตวัดมั่วๆ เพียงได้ศิลปะการแสดงชั้นยอดที่ติดตัวมาจากภพก่อน จึงทำได้ดีราวกับเป็นผู้มีวิชาจริง
ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์แอบหลบอยู่หลังพุ่มไม้ทางเข้าเรือน คอยชะเง้อมองร่างหนาที่ยืนอยู่ด้านในซึ่งกำลังกวัดแกว่งดาบวาววับด้วยท่าทีคล่องแคล่ว พวกนางหันไปสบตากันด้วยความตกใจที่อนุภรรยาแสนชังดันเป็นวิชาต่อสู้ คราก่อนพวกนางมาหาเรื่องที่เรือนนี้ทว่าไม่พบเจ้าของเรือน ตอนนี้กลับพบเข้าอย่างจัง แต่ไม่อาจลุกล้ำเข้าไปได้ หากเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังโดนโต้กลับด้วยวิชาต่อสู้ชั้นสูงเป็นแน่
สองฮูหยินหลงกลหยูเหวินหยาเข้าเต็มๆ พวกนางซุบซิบกันว่าจะทำเช่นไร
ขวับ! ขวับ!
ระหว่างนั้นเสียงดาบใหญ่ที่กวัดแกว่งเสียดสีกับอากาศอันน่าพรั่นพรึงพลันดังขึ้น มิหนำซ้ำเสียงสาวใช้ก็ยังคงเอ่ยชมคุณหนูตนไม่หยุดหย่อน
“โห! คุณหนู! เก่งจังเลยเจ้าค่ะ ฟันแม่นจนทำให้แมลงวันหัวขาดเลยเจ้าค่ะ ดาบนี้คงคมมากนะเจ้าคะ หากฟัดโดนร่างคนคงเลือดสาดท่วมพื้นแน่ ดีไม่ดีอาจสิ้นใจตายทันทีเลยเจ้าค่ะ” เซียงเซียงมองทางหน้าเรือนไปพลางพูดไปพลาง หมายข่มขวัญศัตรูที่แอบอยู่
สองฮูหยินถึงกับทำหน้าเหยเก หว่านเอ๋อร์หน้าซีด ก่อนจะหันไปปรึกษากับชิงหนิง “ทำเช่นไรดี นางเก่งถึงปานนี้”
“กลับสิ จะรออะไร! มีปัญญาไปสู้นางหรือ ข้าไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงหรอกนะ กับแค่อนุต่ำๆ ผู้เดียว” ฮูหยินใหญ่เอ่ยอย่างฉุนเฉียว นางเป็นแค่สตรีบอบบาง จะไปสู้หญิงร่างใหญ่ที่เป็นวิชาต่อสู้ได้หรือ แค่ทำปากเก่งเช่นนั้นเอง
เมื่อทางปลอดโปร่งคนที่อยู่ในเรือนพลันโล่งใจ “คุณหนู ต่อไปจะทำอย่างไรต่อเจ้าคะ แล้วคนที่คุณหนูจ้างมาเฝ้าเรือนช่วงนี้ยังจะจ้างต่อหรือไม่เจ้าคะ”
“จ้างสิ! ความปลอดภัยของคนในเรือนต้องมาก่อน เราต้องระแวดระวังตัวให้มากขึ้น เพราะวันดีคืนดีฮูหยินทั้งสองอาจจะมาหาเรื่องหรือแอบมาเผาเรือนเราก็ได้ใครจะรู้ จ้างคนที่ใช้งานได้ให้อยู่ประจำ ส่วนค่าจ้างให้รับจากข้าโดยตรง พวกเขาทำงานให้ข้า ไม่ได้ทำงานให้ตระกูลเหิง” หยูเหวินหยาออกคำสั่งหนักแน่น พลางวางดาบลงบนโต๊ะหิน
“อ้อ! อีกเรื่องเจ้าค่ะ เรื่องที่คุณหนูสั่งให้หาทำเลดีๆ กลางเมือง ตอนนี้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจะเอาไปทำอะไรหรือเจ้าคะ” เซียงเซียงแสดงความสงสัยทางใบหน้า
“ข้าจะเปิดร้านค้า นำสินค้าจากทางใต้ขึ้นมาขาย ข้าเขียนจดหมายส่งไปให้ท่านพ่อแล้ว ว่าขอให้ท่านสนับสนุนเรื่องนี้ สินค้าร้านเราจะไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ราคาจะถูกและขายออกง่าย” หยูเหวินหยาบอกความคิดที่ไตร่ตรองมานานแต่เพิ่งตัดสินใจ เพราะคิดว่าตอนนี้ถึงเวลาจะสร้างความมั่นคงให้ตนเองแล้ว
“ทำไมต้องทำการค้าเล่าเจ้าคะ แค่ขอเงินนายท่านก็ได้ อีกอย่าง... คุณหนูยังมีคุณชายเหิงนะเจ้าคะ” เซียงเซียงย้อนถามอีกครั้ง
“หากไม่หาเงินเพิ่ม สักวันเงินที่มีอยู่ก็คงหมด จะให้แบมือขอเงินท่านพ่ออยู่ร่ำไปได้หรือ ต่อไปกิจการของตระกูลหยูก็ต้องตกเป็นของท่านพี่อีกสามคน สู้ข้าเริ่มสร้างตัวด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่าง... ถ้าอนาคตข้าไม่ได้อยู่ในจวนเหิง อย่างน้อยก็จะได้มีทรัพย์สินเลี้ยงตัว แต่ถ้ายังอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องสร้างฐานอำนาจเพื่อเทียบเทียมบารมีของฮูหยินทั้งสองบ้าง” นัยน์ตาหวานมองเหม่อนึกถึงอนาคต นางจะอยู่หรือไปจากที่นี่ ในใจตอนนี้รู้สึกลังเลเล็กน้อย
เซียงเซียงที่ได้ฟังความคิดของคุณหนูพลันพยักหน้าเข้าใจ รู้สึกได้ถึงตัวตนของคุณหนูที่เปลี่ยนไป นางไม่ใช่หยูเหวินหยาคนก่อนที่อ่อนต่อโลกภายนอก แล้วเอาแต่ร้องไห้กลัวนั่นกลัวนี่อีกแล้ว
การเดินทางไปไหว้พระที่วัดหลินจือถูกเตรียมไว้อย่างพรั่งพร้อม รถเทียมม้าถูกจัดเตรียมถึงสองคัน เหิงเจี้ยงกับหยูเหวินหยาที่พร้อมออกเดินทางยืนรออยู่หน้าจวน มีเพียงชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ที่ยังไม่ออกมา จนชายหนุ่มต้องสั่งคนให้ไปตาม
เมื่อสองฮูหยินปรากฏตัว หยูเหวินหยาก็พยักหน้าเข้าใจถึงสาเหตุที่พวกนางมาช้าได้ทันที นัยน์ตาอนุภรรยาทอดมองภรรยาที่ศักดิ์สูงกว่าแล้วคิดในใจ ‘ฮูหยินทั้งสองจะไปไหว้พระหรือไปเดินงานแฟนซีกันแน่ แต่งองค์จัดเต็ม ทั้งชุด หน้า ผม มิหนำซ้ำยังห้อยเครื่องประดับที่เอวและศีรษะพร้อมต่างหูระย้า ราวกับจะไปโอ้อวดบารมีภรรยาแม่ทัพต่อสายตาชาวบ้านเสียมากกว่า’ อนุภรรยานึกขัน
เมื่อสามีขึ้นรถม้า สองศรีภรรยาก็รีบตามขึ้นไปนั่งขนาบข้าง ชิวหูผายมือเชื้อเชิญนายหญิงน้อยขึ้นรถเทียมม้าอีกคันที่เล็กกว่าตามธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลเหิง ก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนตัว เกี้ยวขององค์ชายสี่ก็มาขวางไว้
“ถวายบังคมองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ / ถวายพระพรองค์ชายเพคะ” ทั้งสี่รีบลงจากรถม้าแล้วถวายความเคารพโอรสมังกรที่เพิ่งมาถึง
“พวกเจ้ากำลังจะไปไหนกันหรือ” ใบหน้าเปื้อนยิ้มละมุนทำให้สองฮูหยินเผลอยิ้ม ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นหน้าบุรุษอันงดงามและยิ้มแย้มเช่นนี้ ด้วยสามีพวกนางหล่อเหลาเสียเปล่า ทว่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง
“กระหม่อมกำลังจะพาครอบครัวไปไหว้พระที่วัดหลินจือ ตระกูลเหิงถือปฏิบัติ... ในหนึ่งปีต้องไปกราบพระขอพรที่วัดหลินจือ” เหิงเจี้ยงน้อมตอบ แม้จะเป็นสหายรัก แต่ต่อหน้าทุกคน เขาก็ต้องวางตัวให้เกียรติองค์ชาย
“อ้อ! เช่นนั้นเอง ข้าลืมไป เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังแล้ว ตามจริงข้าตั้งใจมาหาเจ้าเพื่อร่ำสุรา งั้นวันนี้ข้าจะเปลี่ยนแผน ขอไปไหว้พระกับเจ้าและครอบครัวแทนแล้วกัน” หลี่ซื่อเอ่ยคำ
เหิงเจี้ยงยิ้มรับพร้อมกับให้ขบวนขององค์ชายสี่นำหน้า การเดินทางใช้เวลาร่วมชั่วยามกว่าจะถึงที่หมาย เสาสองต้นสูงเด่นเป็นสง่าพร้อมป้ายอักษรว่า ‘วัดหลินจือ’ เมื่อเข้าเขตประตูสู่อารามอันยิ่งใหญ่ บันไดหินยกสูงเป็นชั้นๆ ทอดยาวสู่ภายใน ควันธูปลอยตลบอบอวลแสดงถึงความน่าเสื่อมใสและความศักดิ์สิทธิ์
ร่างในชุดหนาคุกเข่าก้มกราบอย่างนอบน้อม สองมือพนมขอพรพระองค์ใหญ่ นางตั้งจิตรำลึกถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมาอยู่ในร่างหยูเหวินหยา และขอพรให้ชีวิตต่อจากนี้อย่าได้ประสบพบเจอความทุกข์อีกเลย นางเดินออกไปรอทุกคนที่ด้านนอก ทันใดนั้นก็มองเห็นบ่อน้ำสองบ่อ หญิงสาวจึงเดินไปใกล้หมายจะสำรวจ
“หนึ่งชีวิตสิ้นเวร ชีวิตใหม่บังเกิด สานกรรมที่ติดค้าง” หญิงชราที่นั่งอยู่ริมบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เอ่ยทักเมื่อเห็นหยูเหวินหยาเดินผ่านหน้า
หญิงสาวได้ยินพลันหันไปมองอย่างสงสัย ด้วยคำที่เอ่ยมาราวกับจะสื่อความหมายบางสิ่ง
หยูเหวินหยามองพิจารณาหญิงชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ หลังค่อม และแต่งกายซอมซ่อเหมือนคนแก่ทั่วไป ทว่าคำที่นางเอ่ยสะดุดใจหยูเหวินหยายิ่งนัก
“ท่านยาย! เมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะ ท่านไม่ต้องกลัวข้าที่คลุมผ้ามิดชิด ข้าไม่ทำอะไรท่านหรอก ช่วยพูดประโยคเมื่อครู่อีกครั้งได้หรือไม่” นางวิงวอน
ในจังหวะนั้นเสียงองค์ชายสี่ก็ดังขึ้นจากด้านหลังของหยูเหวินหยา เขาเห็นนางเดินออกมาและทำท่าเหมือนคุยกับใคร แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นนอกจากนาง เขาจึงเอ่ยทักด้วยความห่วงใย ด้านหยูเหวินหยาได้ยินก็สะดุ้งรีบหันไปทางต้นเสียงที่ทักเรียก
“หม่อมฉันกำลังคุยกับท่านยายอยู่เพคะ” คำตอบของหยูเหวินหยาสร้างความฉงนแก่หลี่ซื่อจนต้องแย้งถาม พร้อมชี้นิ้วให้นางดูว่าตรงหน้านางไม่มีใครเลยสักคน
นัยน์ตาหวานเบิกโตด้วยความตกใจ เมื่อครู่นางยังคุยอยู่ด้วยแท้ๆ ไฉนถึงหายตัวไปได้ ความพรั่นพรึงบังเกิดขึ้นในใจหญิงสาว ยิ่งคำที่องค์ชายสี่บอกว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาเห็นนางคุยกับต้นไม้เพียงลำพัง หยูเหวินหยายิ่งใจสั่น เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ หรือหญิงชราจะเป็นผีสางแปลงกายมา
เหิงเจี้ยงเดินออกมาด้านนอก เมื่อครู่เขาเห็นอนุภรรยากับองค์ชายสี่เดินออกมาจึงมาตามหา หยุดมองการสนทนาของอนุภรรยากับสหายรัก นัยน์ตาคมจ้องเขม็งด้วยแววตาดุกร้าว
ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ไหว้พระเสร็จก็รีบถลาตามสามีออกมา สองร่างอรชรยืนขนาบข้างแล้วเอ่ยชวนเหิงเจี้ยงไปโยนหินคู่รักเพื่อสร้างสิริมงคลในชีวิตคู่ ซึ่งเล่าลือกันว่าบ่อน้ำที่วัดแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์นัก
ผู้คนศรัทธาและเล่าขานถึงตำนานเทพเซียนที่เฝ้าบ่อ... ก่อนวัดจะถูกสร้างขึ้น พื้นที่แถบนี้เคยเป็นผืนป่าที่มีผู้คนเดินทางผ่านไปมายามที่ต้องการข้ามไปอีกเมือง เรื่องถูกเล่าขานว่ามีชายสองหญิงหนึ่งที่สนิทสนมแนบแน่นนามว่า หวางติง อาเชา และเหยียนตี้ แต่หวางติงกับเหยียนตี้เกิดหลงรักกัน ทำให้อาเชาต้องใจสลาย ทว่าเขาก็ข่มใจด้วยเห็นว่าทั้งสองเป็นสหายที่รักใคร่
ระหว่างเดินทางข้ามไปยังอีกเมือง มีโจรดักซุ่มหมายปล้นเอาทรัพย์สิน ทำให้หวางติงถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต เหยียนตี้แสนโศกเศร้า นางขุดหลุมหมายกลบฝังร่างชายคนรัก แต่ความปวดร้าวที่ต้องพลัดพราก มิอาจตัดใจลืมเลือนใบหน้าชายคนรักได้ นางจึงไม่ยอมกลบดินลงในหลุมที่มีร่างชายคนรักนอนแน่นิ่งอยู่
เหยียนตี้นั่งร่ำไห้ตรอมใจอยู่บนปากหลุม ไม่กินไม่ดื่ม จนน้ำตาที่หลั่งออกมากลายเป็นสายเลือด และแล้วนางก็สิ้นใจ เวลานั้นดั่งฟ้าอาเพศ ฝนตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่องจนหลุมดินน้ำท่วม กายที่ไร้วิญญาณของเหยียนตี้ไหลลงไปในหลุมแล้วจมหาย
อาเชาที่เดินทางตามหลังมาล่าช้ากว่าสามวัน ได้พบร่างสหายทั้งสองบวมอืดลอยอยู่เหนือน้ำในหลุมนั้น เขาแสนปวดใจที่สหายกับหญิงที่ตนแอบรักต้องมีอันเป็นไป เขาจึงสร้างหลุมดินธรรมดาให้กลายเป็นบ่อน้ำที่แข็งแรง โดยฝังร่างสหายทั้งสองไว้เบื้องล่างบ่อแล้วตั้งชื่อว่า ‘บ่อคู่รัก’
อาหารถูกนำมาเซ่นไหว้ไม่ขาดโดยอาเชามิตรแท้ผู้นี้ วันหนึ่งปาฏิหาริย์ก็บังเกิด เมื่อสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินทางผ่านมาแล้วพบกับโจรผู้ร้าย ในยามนั้นปรากฏชายหญิงขึ้นมาจากบ่อน้ำแล้วช่วยชีวิตสามีภรรยาคู่นั้น ทั้งสองถามชื่อเสียงเรียงนามหมายตอบแทนคุณ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับไม่ใช่ชื่อ แต่บอกว่าถ้าอยากแทนคุณก็แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเราที่บ่อคู่รักบ้าง
เรื่องราวเล่าขานกันปากต่อปาก จนทำให้ผู้คนแห่แหนมากราบไหว้ อาเชาอยู่ทำหน้าที่เฝ้าบ่อคู่รักจนเริ่มแก่ชรา เมื่อรู้ว่าตนป่วยใกล้ตาย เขาก็สร้างบ่อน้ำขึ้นอีกบ่อ แล้วกระโดดลงไปในบ่อนั้นเพื่อปลิดชีวิตตน หมายใช้บ่อนั้นเป็นหลุมฝังศพ หวังเพียงเมื่อกลายเป็นวิญญาณจะได้อยู่เฝ้าบ่อคู่รักของสหายรักทั้งสองต่อ
ชาวบ้านที่พบเห็นเหตุการณ์ได้ช่วยนำร่างอาเชาที่แก่ชราขึ้นจากน้ำ ร่างเปียกปอนเย็นชืดไร้สีเลือด แม้จะนำร่างขึ้นจากน้ำได้ แต่ก็มิอาจยื้อลมหายใจไว้ได้ ตำนานความซื่อสัตย์และความจริงใจที่อาเชามีให้สหายทั้งสองจนตัวตายถูกเล่าขานต่อๆ กันมา กระทั่งบ่อน้ำที่สองถูกขนานนามว่า ‘บ่อแห่งมิตรแท้’
ผู้คนหลั่งไหลมากราบไหว้ โดยเชื่อว่าหากคู่รักตั้งจิตอธิษฐานแล้วพร้อมใจโยนหินลงกลางบ่อคู่รัก ชายหญิงคู่นั้นก็จะรักกันจนแก่เฒ่า หากโยนหินลงบ่อแห่งมิตรแท้ สหายคู่นั้นก็จะยิ่งสมานฉันท์ถึงขั้นตายแทนกันได้
หลี่ซื่อเล่าตำนานของบ่อน้ำแล้วชูก้อนหินมาตรงหน้าหยูเหวินหยา หมายชวนนางโยนหินลงในบ่อมิตรแท้ ด้านเหิงเจี้ยงที่ถูกสองภรรยาชวนพลันตอบปฏิเสธเสียงแข็ง และพ่วงท้ายประโยคว่าไร้สาระ สองศรีภรรยาถึงกับหน้าเจื่อน ชิงหนิงกวาดตามอง จึงเห็นหยูเหวินหยากำลังทำท่าจะโยนหินกับองค์ชายสี่ พลางเม้มริมปากด้วยความชิงชัง แล้วเอ่ยกับหว่านเอ๋อร์ให้หันไปมองทั้งสองที่ยืนริมบ่อน้ำ
เหิงเจี้ยงได้ยินคำของภรรยาเอกก็มองในมือของอนุภรรยากับสหายรัก มันคือหิน! ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยขึ้นมาฉับพลัน ‘นางเป็นภรรยาข้า เหตุไฉนถึงจะโยนหินลงบ่อกับชายอื่นเล่า’
ร่างใหญ่ผละจากภรรยาทั้งสองแล้วตรงดิ่งไปยังบ่อน้ำราวกับพายุ เข้าแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง มือใหญ่เอื้อมคว้าหินที่มือหลี่ซื่อกับหยูเหวินหยา ยับยั้งไม่ให้ทั้งสองโยนหินลงในบ่อ องค์ชายสี่เห็นสหายรักมาห้ามก็หันไปมองอย่างสงสัย
“บ่อแห่งมิตรแท้อยู่ตรงโน้น ไม่ใช่บ่อนี้พ่ะย่ะค่ะ” เสียงแข็งที่บอกทำให้หลี่ซื่อต้องรีบปล่อยมือจากหิน แล้วแหงนมองป้ายที่ซีดจางใหม่อีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลขององค์ชายสี่เบิกกว้าง ด้วยความตกใจที่ตนเข้าใจผิด เกือบชวนภรรยาคนอื่นโยนหินลงในบ่อคู่รักเสียแล้ว
หยูเหวินหยามองสามีที่ทำหน้าเข้ม นางเองก็เข้าใจผิดเช่นเดียวกับองค์ชายสี่ แต่สามีทำไมต้องจ้องตาเขียวปั้ดราวกับจะต่อว่านางขนาดนี้ นางเห็นแล้วผวาต้องหลุบตาหลบอย่างแสนอึดอัด มือใหญ่ยังคงกำมือเล็กและหินไว้แน่น
“ใครคือสามีเจ้า” เหิงเจี้ยงตอกย้ำในสิทธิ์ ราวกับจะเตือนใจอนุภรรยาตรงหน้าถึงเจ้าของตัวนาง
“ทะ...ท่านพี่อย่างไรเจ้าคะ” เสียงเล็กตอบในขณะที่ยังหลุบตาหลบ ขณะที่มือยังคงถูกกำไว้
‘ซวยแล้วไงหยูเหวินหยา ไม่อ่านป้ายให้ดีเสียก่อน สะเพร่าจัง’ หญิงสาวต่อว่าตัวเองในใจ แล้วแอบชำเลืองมองหน้าสามี เมื่อเห็นว่าเขายังจ้องเขม็ง ก็รีบหลบนัยน์ตาเหยี่ยวนั้นอีกครั้ง
“งั้นเจ้าก็อธิษฐานให้รักสามีคนนี้ไปชั่วชีวิตเสีย” วาจาของสามีทำให้อนุภรรยาตกตะลึง
ฉับพลันมือใหญ่ที่เกาะกุมมือเล็กก็เหวี่ยงหินออกไป ก้อนหินตกลงกลางบ่อคู่รัก ดวงตาหวานเบิกโต ยามที่สองมือเหวี่ยงหิน ใจหยูเหวินหยาพลันระทึกไหว ‘เขาทำเช่นนี้เพื่ออะไร เปิดใจรับข้าเป็นภรรยาที่แท้จริง หรือเพียงเกรงว่าข้าจะทำให้เขาขายหน้ากันนะ’
ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ตาลุกวาวด้วยโทสะ อนุภรรยาตัวเสนียดมีดีอะไร สามีถึงยอมโยนหินคู่รักด้วย ทั้งที่เมื่อครู่ยังบอกว่าไร้สาระแท้ๆ เพลิงในใจฮูหยินทั้งสองลุกโชน ในเมื่ออนุภรรยาที่แสนต่ำชั้นทำให้พวกนางขายหน้าเช่นนี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้ลอยหน้าลอยตาอีก ความอับอายที่ได้รับพวกนางจะเอาคืนเป็นเท่าทวี
หรงจุ้ยยื่นหินให้ชิวหู เขาขอแค่ร่วมกันโยนหินลงในบ่อแห่งมิตรแท้ หมายเป็นที่ระลึกทางใจ ด้วยรู้ว่าชายรักชายไม่เป็นที่ยอมรับ แต่กุนซือแสนไร้เยื่อใย บอกปฏิเสธแล้วสะบัดชายผ้าเดินหนี มือเรียวของหรงจุ้ยจึงต้องกำหินนั้นเพียงลำพัง ทอดสายตามองอย่างเจ็บปวด
‘แค่เกิดเป็นชายทั้งที่ใจเป็นหญิงมันผิดมากนักหรือ ถึงถูกเดียดฉันท์ ไร้สายตาเหลือบแลเช่นนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเดือดเนื้อร้อนใจ หวังเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มและมิตรภาพที่ดีจากชายที่หมายปองบ้างเท่านั้น เอาเถิด หากเขารังเกียจอย่างออกหน้าเช่นนี้ ก็อย่าขวางเขาอีก’ หรงจุ้ยรำพึงรำพันในใจ ขณะที่มองชายที่ตนปักใจเดินหายไปลับตา
ทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับ หรงจุ้ยยื่นถุงผ้ายันต์ที่ได้รับจากหลวงจีนให้หยูเหวินหยา เขาขอมาเผื่อนายหญิงน้อยที่เมตตาเอ็นดูเขา หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนกล่าวขอบคุณพร้อมด้วยสายตาสื่อมิตรภาพไปให้ ซึ่งท่านหมอก็รับรู้ได้
ทันทีที่เอื้อมมือสวมถุงผ้าไปรับ ยามที่สัมผัสกับถุงผ้ายันต์อันศักดิ์สิทธิ์ หยูเหวินหยารู้สึกราวกับจิตถูกดึงสู่ห้วงลึก เห็นตนนั่งบนพื้นที่ท่วมท้นด้วยเมฆขาวลอยฟุ้ง รายล้อมด้วยคนที่แต่งกายแปลกตาราวกับไม่ใช่มนุษย์ เบื้องหน้านางคือชายร่างใหญ่ในชุดดำและชุดขาว ทั้งสองนิ่วหน้าราวกับโกรธนางอย่างหนัก
“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย! จะยอมละทิ้งความรักแล้วกลับมาสวรรค์หรือไม่!” เสียงชายในชุดขาวก้องกังวานขณะถามอย่างเดือดดาล แล้วสติของหยูเหวินหยาก็กลับมายังห้วงเวลาปัจจุบัน
น้ำตานางนองหน้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ร่างหยูเหวินหยาสั่นและเซล้มจนหรงจุ้ยตกใจ องค์ชายสี่ที่มองอยู่อุทานชื่อนางดังลั่น ก่อนจะเดินเข้ามาหาหมายดูสหายที่ล้มลง แต่เหิงเจี้ยงรีบปรี่กายเข้ามาก่อนอย่างว่องไว
“เจ้าเป็นอะไร!” เสียงคุ้นเคยถามไถ่ เหิงเจี้ยงชันเข่าข้างหนึ่งแล้วโน้มตัวลงตรงหน้าอนุภรรยา ทันทีที่หยูเหวินหยาเงยหน้ามองสามี ดวงตาก็เบิกโตขึ้นอีกครั้ง รู้สึกใจเต้นถี่รัวระส่ำระสาย
“อี้หลิน”
ใบหน้าชายที่ฝันถึงบ่อยครั้งผุดขึ้นซ้อนทับกับใบหน้าสามี พร้อมเปล่งเสียงเรียกอย่างห่วงใย เพียงครู่ภาพชายคนนั้นก็เลือนหาย คงเหลือเพียงใบหน้าเหิงเจี้ยงสามีนางเท่านั้น
‘นี่ข้าเป็นอะไรไป เรื่องราวเหล่านี้ทำไมถึงเกิดขึ้น แล้วใจข้าเหตุใดถึงรวดร้าวเช่นนี้’ นางหวนคิดถึงชายในชุดขาวที่ดูมีบารมียิ่งนัก หวนคิดถึงภาพชายในฝัน คำพูดของพวกเขายังคงก้องในใจของหยูเหวินหยา
ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ดูจะเป็นเพียงแค่สองคนที่หาได้สนใจอนุอัปลักษณ์ที่ล้มลงไม่ พวกนางจ้องมองร่างหนาที่แสนชิงชังถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนที่ห่วงใย ในใจพวกนางปวดหนึบ ความริษยาท้วมท้นจนจุกอยู่ภายใน
ความคิดเห็น |
---|