บทที่ 1

บทที่ 1

               หลังจากตัดสินใจวางมือพักจากงานหลักด้วยเหตุผลส่วนตัว พสุก็ได้รับการติดต่อทาบทามจากมหาวิทยาลัยที่ตนเคยเรียน เนื่องด้วยเขาเป็นศิษย์เก่าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เขาจึงรับหน้าที่ช่วยถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักศึกษาด้วยตำแหน่งอาจารย์พิเศษ แม้ว่าคนรอบข้างจะบอกให้เขากลับไปจับปากกาวาดรูปอีกครั้งเพราะงานสอนหนังสือเป็นเรื่องที่เหนื่อยและค่าตอบแทนไม่สูง แต่พสุไม่สนใจคำพูดนี้มากนัก กลับกันการได้สอนหนังสือทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและนึกสนุกด้วยซ้ำที่ได้ออกมาเจอผู้คน

               บรรยากาศภายในห้องเรียนวันนี้ไม่ต่างจากวันอื่น พสุไล่สายตามองนักศึกษาที่กำลังทยอยเข้ามาในห้องเงียบๆ เขาจิบกาแฟอุ่นๆ เรียกสติในตอนเช้าไปพลางๆ กระทั่งสายตาไปสะดุดที่ร่างผอมบางของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่มุมห้อง หญิงสาวมักจะนั่งอยู่ที่เดิมเสมอ ทั้งยังไม่ค่อยสุงสิงกับใคร นานๆ ทีจะเห็นเจ้าตัวเปิดปากพูด ทั้งๆ ที่เธอก็ดูไม่โดดเด่น ซ้ำยังคล้ายจะไร้ตัวตนในสายตาคนอื่น ทว่าดวงตาของพสุมักจะเห็นเธอคนนี้ก่อนใครเสมอ 

               เขามองร่างผอมบางตรงหน้าไม่เท่าไร ร่างของนักศึกษาคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาบดบังสายตาไปโดยปริยาย ดึงให้พสุต้องกลับมาสนใจสถานการณ์ตรงหน้า

“สวัสดีครับทุกคน ใกล้จะปิดเทอมแล้ว งานไฟนัลเยอะกันน่าดูใช่ไหม” เมื่อเห็นนักศึกษาทยอยเข้ามานั่งกันเรียบร้อยแล้ว พสุก็วางแก้วกาแฟกระดาษลงพลางขยับตัวไปยืนหน้าชั้นเรียน

“โหย...’จารย์รัก ดูขอบตาของพวกผมก่อน ทุกวันนี้พวกผมแทบจะไม่ใช่คนแล้ว” นักศึกษาชายคนหนึ่งที่เป็นดั่งแกนนำเรียกเสียงหัวเราะในห้องตอบเขาด้วยน้ำเสียงกึ่งโวยวายกึ่งชวนให้หัวร่อ ขอบตาสีคล้ำที่เกิดขึ้นใต้ตาของหลายๆ คนในชั้นเรียนเป็นตลกร้ายที่แม้แต่พสุเองก็เคยผ่านมาแล้ว

“เทอมหน้าพวกคุณก็ต้องทำทีสิสเตรียมจบแล้ว ถือซะว่าซ้อมก่อนไปเจอของจริงดีไหม” 

เมื่อเจออาจารย์พิเศษเย้ากลับ ทุกคนก็พากันบ่นกระปอดกระแปดเสียงอ่อนชวนให้ขบขัน ทว่าพสุเห็นจากหางตาว่านักศึกษาหญิงคนนั้นที่อยู่มุมห้องกลับไม่แสดงสีหน้าอะไรแม้แต่น้อย เขาดึงความสนใจจากร่างบอบบางกลับมาพูดเรื่องสำคัญต่อ

“เอาละครับ วันนี้ทุกคนคงเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว เรามาเริ่มวิจารณ์งานกันดีกว่าครับ”

เสียงบ่นงึมงำของนักศึกษาเบาลงทันตาเมื่อพสุพูด บรรยากาศสบายๆ เริ่มจริงจังขึ้นมา 

“แอสไซน์เมนต์ที่ผมให้ไปเมื่อคาบที่แล้วคือการวาดภาพจากโจทย์ พวกคุณคงทราบดีอยู่แล้วว่าเซลฟ์เอกซ์เพรสชันคือการตีความและแสดงความรู้สึกของตนผ่านงานศิลปะที่ต้องให้ความสำคัญแก่สิ่งที่ต้องการสื่อสาร...หลังจากผมเรียกชื่อแล้วให้ออกมานำเสนอผลงานหน้าชั้นนะครับ เริ่มจากอ่านบทความที่ได้รับ แสดงความคิดเห็นว่าพวกคุณตีความบทความพวกนี้อย่างไร และเลือกสื่อสารออกมาด้วยภาพแบบไหน”

ท่าทางจริงจังเข้มงวดของพสุทำให้นักศึกษาหลายคนยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว บางคนก็ใจเต้นแรง เพราะทั้งตื่นเต้นและรู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ อาจารย์พิเศษตรงหน้าต่างจากเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างลิบลับ

“มาเริ่มกันเลยครับ”

พสุเรียกสุ่มชื่อนักศึกษาในชั้นเรียนทีละคน เมื่อเจ้าของชื่อถูกเรียกก็จะนำผลงานของตัวเองมาแสดงหน้าห้อง บางคนเป็นภาพผ้าใบทำมือ บางคนเป็นภาพอิลลัสเตรเตอร์ฉายผ่านโพรเจกเตอร์ จากนั้นก็เริ่มอธิบายบทความหรือข้อความที่ตัวเองได้รับพร้อมตีความผ่านชิ้นงานที่นำเสนอ 

บทความที่นักศึกษาแต่ละคนได้รับไปนั้นเป็นบทความและคำสำคัญที่พสุคัดมาจากวรรณกรรมรวมถึงกวีนิพนธ์ที่น่าสนใจของต่างประเทศ เช่น ฝันในคืนกลางฤดูร้อน ของ วิลเลียม เชกสเปียร์ แรงใจและไฟฝัน ของ ชาลส์ ดิกคินส์ วัยเยาว์อันสิ้นสูญ ของ วิลเลียม โกลดิง และยังมีบทความอื่นๆ จากวรรณกรรมที่น่าสนใจอีกหลายเล่ม

“ณิสรินทร์”

หลังจากที่พสุเรียกชื่อนี้แล้ว หลายคนในห้องก็พากันเบนสายตาไปมองหญิงสาวที่อยู่มุมห้องเป็นการพร้อมเพรียงด้วยความสนใจ ตัวตนของเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ค่อนข้างต่างจากคนอื่นๆ เธอไม่ไปไหนมาไหนกับใคร มักชอบปลีกวิเวก ถึงจะให้ความร่วมมือแก่สาขาเวลามีกิจกรรม แต่ณิสรินทร์คนนี้ก็ยังคงยืนหนึ่งเรื่องความสันโดษเสมอ 

แม้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ ทว่าเพื่อนร่วมชั้นหลายคนกลับเฝ้ารอคอยดูผลงานของหญิงสาวเป็นอย่างมาก ถึงจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์เปิดใจรับใครเท่าไร แต่เมื่อพูดถึงเรื่องผลงานแล้ว ณิสรินทร์มักได้คะแนนและคำชมโดดเด่นกว่าใครๆ

หญิงสาวลุกขึ้นหยิบเฟรมผ้าใบออกจากกระเป๋า เดินมาหน้าชั้นเรียน แล้ววางชิ้นงานของตัวเองลงบนขาตั้งวาดรูป คนพูดน้อยหยิบกระดาษที่เขียนโจทย์งานขึ้นมาก่อนจะเอ่ยช้าๆ ชัดๆ 

“Love looks not with the eyes but with the mind, And therefore is winged Cupid painted blind.”

สำเนียงและน้ำเสียงของหญิงสาวชัดเจนทุกคำ เสียงนุ่มๆ ที่น้อยคนนักจะได้ยินทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายคุ้นเคยกับการพูดภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน พสุเองก็สะดุดกับน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่น้อย แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก เพียงแค่รอคอยให้ร่างเพรียวระหงตรงหน้านำเสนอผลงานของตัวเอง

“ประโยคนี้เป็นคำพูดจากบทละครของเชกสเปียร์เรื่องฝันในคืนกลางฤดูร้อน แปลความหมายตรงๆ ก็คือ ความรักไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นผ่านสายตา แต่ต้องมองด้วยหัวใจ เหตุนี้เองกามเทพจึงทำให้คนเรานั้นตาบอด”

เพื่อนร่วมชั้นเรียนหลายคนเริ่มยิ้ม เพราะน้อยนักจะเห็นมุมมองใหม่ๆ ของคนพูด แต่เมื่อหญิงสาวนำผ้าที่ปิดเฟรมผ้าใบออก หลายคนก็พากันขมวดคิ้วแทน

ณิสรินทร์ได้โจทย์ปัญหาที่เกี่ยวกับความรัก ทว่าสิ่งที่หญิงสาวถ่ายทอดออกมากลับไม่ได้ให้ความรู้สึกอ่อนหวานหรือชวนฝันโรแมนติกตามบทละคร มันเป็นภาพวาดที่ชวนให้ใจหาย แม้แต่พสุเองก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพวาดตรงหน้า

เขาเคยได้ยินหลายคนพูดกันว่าผลงานศิลปะคือสิ่งที่สะท้อนตัวตนและความคิดของผู้วาด ดังนั้นภาพวาดภาพนี้ก็คงไม่ต่างจากประตูหัวใจของหญิงสาวเท่าไรนัก

ภาพวาดสีอะคริลิกตรงหน้าเป็นภาพของหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาว ทว่าตามตัวกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดและคราบโคลนดำ หญิงสาวในภาพนั่งอยู่บนเก้าอี้ อุ้มเด็กทารกที่กำลังยืดแขนทั้งสองข้างคล้ายพยายามจะคว้าบางอย่างไว้ ด้านหลังของเธอคือชายหนุ่มที่โน้มใบหน้าลงมาคล้ายกับพูดอะไรสักอย่าง คำพูดนั้นทำให้เธอยิ้มสว่างสดใส โดยไม่ทันรู้เลยว่าที่ลำคอของตนมีคมมีดในมือชายหนุ่มจ่อพาดไว้

จากภาพและการสื่อสารด้วยสีหลักเพียงไม่กี่สี ทั้งองค์ประกอบภาพและสีหน้าท่าทางของคนในรูป ทำให้คนมองล้วนรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่หลากหลายผสมปนเป ทุกคนในห้องเรียนปิดปากเงียบสนิท มองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์และความเห็นที่ต่างกันไป 

พสุจดจ้องร่างตรงหน้านิ่งๆ สุดท้ายก็เอ่ยปากเป็นคนแรก

“ทำไมคุณถึงเลือกจะถ่ายทอดความหมายของโจทย์ด้วยภาพนี้ครับ”

ณิสรินทร์หันมองชายหนุ่มก่อนจะตอบอย่างเรียบนิ่ง

“คนส่วนมากเลือกมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนรัก ขอเพียงแค่ได้อยู่กับคนที่รัก ต่อให้พบเจอความยากลำบากเท่าไหร่ก็ไม่คิดจะปล่อยมือ ผู้หญิงในภาพคือตัวแทนของคนที่โหยหาความรัก ผู้ชายคนนี้ก็คือความรักที่เธอปรารถนา ส่วนเด็กทารกในภาพเป็นผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ค่ะ”

ความหมายที่หญิงสาวต้องการจะบอกนั้น พสุกลับเข้าใจได้อย่างชัดเจน เพราะว่าตัวของเขาเองก็คือผลลัพธ์จากความสัมพันธ์เช่นนี้ บางอย่างในใจถูกคนตรงหน้ากระตุ้นให้อยากรู้ขึ้นมา เขาใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอก่อนถามอีกครั้ง 

“แล้วเด็กในภาพคือผลลัพธ์แบบไหนที่คุณต้องการจะบอกครับ”

คำถามนี้ทำให้นักศึกษาสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาทีนี้ ในใจของณิสรินทร์กลับคิดทบทวนแล้วทบทวนอีก เพราะเธอไม่เคยตั้งคำถามนี้กลับเลยว่าผลลัพธ์ตรงหน้าจะเป็นอย่างไร ราวกับคำถามนี้เป็นค้อนขนาดใหญ่ที่กระแทกทุบลงบนสมองจนมันเกิดเป็นรอยร้าว คลื่นอารมณ์และความทรงจำไหลทะลักเข้ามาไม่ต่างจากน้ำป่า ดวงตาเหม่อลอยไปเบื้องหน้า เผยความรู้สึกส่วนลึกออกมาโดยไม่รู้ตัว คำถามของอาจารย์หนุ่มดังขึ้นซ้ำๆ ในหัวจนหญิงสาวเผลอพึมพำสิ่งที่คิดออกมา

“คงเป็นอิสรภาพละมั้งคะ”

เสียงตอบอันแผ่วเบานี้มีเพียงพสุเท่านั้นที่ได้ยิน ชายหนุ่มสังเกตได้ถึงดวงตาที่ไหววูบของเธอ ยังไม่ทันได้จ้องมองให้ลึกลงไปถึงแก่นด้านใน เสียงสัญญาณแจ้งเตือนไฟไหม้ในอาคารก็ดังขึ้น กลบเสียงและลบร่องรอยอ่อนไหวในดวงตาของหญิงสาว ดึงสติเธอให้หลุดออกจากภวังค์ความคิด

“สงสัยมีคนแอบสูบบุหรี่ในตึกแน่เลย”

“สัญญาณไฟไหม้ดังอีกแล้ว”

“ก็ในตึกเขาห้ามสูบนี่”

นักศึกษาหลายคนละสายตาและความสนใจจากณิสรินทร์และภาพวาดของเธอ พากันหันไปคุยเจื้อยแจ้วออกความเห็น เพราะเสียงสัญญาณไฟไหม้ที่ติดตั้งไว้ภายในอาคารเรียนของพวกเขามักจะดังด้วยเหตุการณ์เล็กๆ แบบนี้เสมอจนรุ่นพี่และอาจารย์ที่อยู่มานานล้วนคุ้นชินกันหมด 

ไม่กี่นาทีต่อมาบรรยากาศภายในห้องก็กลับมาเป็นปกติ พสุกระแอมกระไอเรียกความสนใจจากนักศึกษาในชั้นเรียนพลางหันมาหาณิสรินทร์อีกครั้ง

“คอนเซปต์ในการนำเสนอของคุณน่าสนใจมากครับ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางองค์ประกอบภาพ ดีเทล หรือการเลือกสี ถือว่าดึงดูดสายตาและสร้างผลกระทบทางความรู้สึกได้ดีมาก แต่เราลองกลับมามองที่โจทย์งานของเรากันดีกว่า”

พสุยิ้มบางๆ ที่มุมปากเพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องเรียนตึงเครียดจนเกินไป เพราะเห็นได้ชัดว่าเจ้าของผลงานเริ่มแสดงความเครียดขึงผ่านทางสายตาแล้ว 

“ความรักไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นและสัมผัสได้ทางสายตา แต่ต้องใช้หัวใจ เหตุนี้กามเทพจึงทำให้คนเรานั้นตาบอด” เสียงของพสุทุ้มนุ่ม ชวนให้นักศึกษาสาวในชั้นเรียนบางคนต้องสูดลมหายใจลึก ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ คล้ายว่านาทีนี้กลับเป็นอาจารย์พิเศษหนุ่มคนนี้ที่ตกเป็นจุดรวมสายตาของคนทั้งห้องแทน

“เมื่อเราลองกลับมาวิเคราะห์บทละครนี้โดยละเอียด ณิสรินทร์ คุณไม่คิดว่าประโยคนี้ฟังดูโรแมนติกดีเหรอครับ”

คราวนี้หญิงสาวเบนสายตามองคนพูดอย่างมีคำถาม ส่วนพสุเองก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวออกมาหน้าห้องเรียนอย่างเชื่องช้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เพราะว่าความรักไม่อาจมองเห็นด้วยตา บางครั้งเราจึงต้องใช้หัวใจตามหาคำตอบ ต้องมองให้ทะลุผ่านเปลือกนอกที่เราเห็นเพื่อสัมผัสแก่นแท้ของความดีงามที่อยู่ด้านใน เพราะแบบนั้นเราถึงได้หลงรักบางคนอย่างไร้เงื่อนไข เหมือนกับกามเทพที่ยิงศรรักทำให้คนเราตาบอด เพื่อจะได้ใช้หัวใจเรียนรู้กันและกัน”

จบประโยค พสุก็หยุดยืนอยู่ข้างรูปของหญิงสาว แววตาของเธอช่างเหมือนกระจกที่สะท้อนหัวใจของตัวเอง ชัดเจนว่าเธอไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขาเท่าไรนัก 

“ละครโรแมนติกของเชกสเปียร์เรื่องนี้เป็นสุขนาฏกรรมที่มองได้หลายแบบ ตัวละครในเรื่องต้องพบเจออุปสรรค ทำให้เหล่าคู่รักต้องร่วมกันผ่านไปให้ได้ถึงจะจบลงอย่างมีความสุข ผมไม่คิดว่าที่คุณตีความหมายออกมาเป็นภาพนี้คือผิด แต่บางทีประโยคนี้อาจจะใช้ในแง่บวกมากกว่าชี้ให้เห็นทุกข์จากความรักนะครับ”

ณิสรินทร์ไม่แสดงความเห็นใดๆ เพียงปรายตามองผลงานของตัวเองเร็วๆ แล้วรีบดึงสายตากลับมา 

เห็นท่าทีของหญิงสาวแล้วพสุก็ไม่ต้องการตีกรอบอีกฝ่ายจนเกินไป เพราะทุกคนล้วนมีมุมมองของตนต่องานศิลปะและสิ่งต่างๆ รอบตัวต่างกัน ไม่แปลกที่นักศึกษาสาวคนนี้จะตีความข้อความไปอีกรูปแบบหนึ่ง 

“จริงๆ ผมชอบไอเดียและคอนเซปต์ของคุณนะครับ สะท้อนอะไรได้หลายอย่าง แต่การตีความในวันนี้ผมถือว่ายังไม่ตอบโจทย์ อย่าลืมว่าเราต้องวิเคราะห์จากบริบทเดิมของประโยคด้วย ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง ผมก็หวังว่าคุณจะแสดงมุมมองด้านที่โรแมนติกออกมาบ้างนะครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าจางๆ แล้วเอ่ยต่อ

“ผลงานศิลปะมักสะท้อนความคิดและความรู้สึกของผู้สรรค์สร้าง ณิสรินทร์ ผลงานของคุณในสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มักให้มูดและโทนอารมณ์ที่ตึงเครียดและกดดันเกินไป งานจึงมักหลุดจากโจทย์ไปบ้าง ถ้าติดปัญหาตรงไหนมาปรึกษาผมและอาจารย์เสกสรรได้ครับ”

“ขอบคุณค่ะ” ณิสรินทร์ไม่ยิ้มและไม่แสดงสีหน้าอื่นใดนอกจากท่าทางเรียบเฉย หลังจากได้รับคำวิจารณ์ เธอก็หันไปเก็บเฟรมผ้าใบวาดรูปลงจากขาตั้งแล้วเดินกลับไปนั่งตรงมุมห้อง

พสุไม่ถือสาท่าทางเย็นชาที่ได้รับ รู้ดีว่าแต่ละคนย่อมมีนิสัยและขอบเขตการเข้าหาคนอื่นๆ ต่างกัน กับนักศึกษาบางคนก็เข้ากับเขาได้ดีมาก...และกับบางคนก็มีระยะห่างที่กว้างมากเช่นกัน 

เขาหันกลับมาเรียกนักศึกษาคนต่อไปให้ขึ้นมานำเสนอผลงาน เมื่อนึกถึงดวงตาที่เป็นดั่งคลื่นและผืนน้ำที่สงบนิ่งของหญิงสาวแล้ว พสุก็ไม่สามารถสลัดความคิดวุ่นวายในสมองออกไปได้ ซ้ำยังคิดถึงความเห็นของเธอที่มีต่อผลงานวนไปวนมาในหัว สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเผลอเอี้ยวตัวไปข้างหลังเพื่อมองใบหน้าเย็นชาเงียบๆ 

เวลานี้ณิสรินทร์คล้ายจะไม่สนใจอะไรอีก เธอเท้าศอกข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะพลางวางคางลงบนฝ่ามือ สายตาเหม่อออกไปอีกทาง กระทั่งรู้ตัวว่ากำลังถูกมองหญิงสาวถึงได้หันกลับมา เพียงแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ พวกเขาทั้งสองคนได้สบตากัน เป็นครั้งแรกที่พสุต้องยอมรับกับตัวเองแล้วว่า นอกจากฝีมือในการวาดรูปของหญิงสาว เขาเริ่มสนใจอีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ ทว่าความคิดนี้ทำให้ชายหนุ่มตกใจจนต้องตั้งสติเงียบๆ เบนความสนใจทั้งหมดมาที่นักศึกษาอีกคนที่กำลังนำเสนอผลงานอย่างตั้งอกตั้งใจแทน

จวบจนนักศึกษาคนสุดท้ายนำเสนอผลงานเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นก้าวออกมาหน้าห้อง อธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่นักศึกษาทุกคนควรนำไปปรับใช้ในงาน สายตายังคงเหลือบมองณิสรินทร์ที่มุมห้องโดยที่สมองไม่ได้สั่งการ พสุจึงมีโอกาสได้เห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของหญิงสาวอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

ณิสรินทร์ก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้ว่าสิ่งใดในนั้นที่รบกวนจิตใจหญิงสาว ใบหน้าของเธอถึงได้เผยความเย็นชาและแฝงความเย้ยหยันอย่างชัดเจน นักศึกษาสาวหลับตาลงราวกับกำลังกดข่มและกำหนดลมหายใจของตัวเองให้สงบ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพสุก็ไม่เห็นคลื่นอารมณ์แสนรุนแรงจากอีกฝ่ายแล้ว 

               “วันนี้ทุกคนทำได้ดีมากครับ ในส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขทุกคนคงทราบแล้ว โจทย์งานนำเสนอในอาทิตย์หน้า ผมอยากให้ทุกคนทำร่างดราฟต์ภาพในหัวข้อ ‘รัก’ มาคนละสามดราฟต์ คาบหน้าเราจะมาดูคอนเซปต์ของแต่ละคนกัน”

               ทันทีที่พสุเอ่ยปากจบชั้นเรียน นักศึกษาหลายๆ คนรวมถึงณิสรินทร์ก็ลุกจากที่นั่งเดินผ่านไปที่ประตูทางออก สายตาหญิงสาวมองตรงไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว คำพูดที่เขาอยากจะเอ่ยรั้งเธอไว้ติดอยู่ที่ริมฝีปาก เพราะในวินาทีเดียวกันนั้นพสุก็เพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนจะเรียกณิสรินทร์ไว้เพื่ออะไร 

               พสุเม้มปาก นึกตำหนิตัวเองในใจที่เผลอทุ่มความสนใจให้อีกฝ่ายเช่นนี้ เงาบางอย่างที่ทับซ้อนบนร่างของหญิงสาวปลุกความทรงจำบางอย่างในใจขึ้นมาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน แววตา และความคิดของอีกฝ่ายล้วนเป็นแรงดึงดูดพิเศษนี้ ทำให้พสุไม่อาจละสายตาไปได้

               เสียงแจ้งเตือนที่คุ้นหูและแรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงช่วยดึงสติของอาจารย์หนุ่มกลับมา พสุถอนหายใจยาวเหยียด ไม่รีบร้อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เพียงสัมผัสหน้าจอเบาๆ ข้อความล่าสุดก็ปรากฏสู่สายตา

               ‘รัก วันนี้มีนัดมีตติงรวมรุ่น อย่าลืมล่ะ’/

เมื่อเห็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยทักมาแล้ว พสุก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีนัดมีตติงของเพื่อนเก่า ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ นิ้วมือเรียวของตนจึงค่อยๆ พิมพ์ตอบกลับไป

               ‘ได้ แล้วเจอกัน’/

               เพราะไม่ได้พบหน้าเพื่อนเก่าหลายๆ คนอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันมานาน คืนนี้พสุจึงเผลอยกแก้วไวน์สีเข้มขึ้นจิบอยู่บ่อยครั้ง เสียงหัวเราะและเรื่องราวเก่าๆ ที่น่าจดจำถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คล้ายทุกคนในที่นี้กำลังดื่มด่ำกับความหลัง กระทั่งเสียงดนตรีแจซดังขึ้น ดึงความสนใจของตนออกจากวงสนทนาแล้ว เขาถึงได้ปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายชั่วครู่ คล้ายต้นอ้อที่ลู่ลมไปตามบรรยากาศอันน่าดื่มด่ำตรงหน้า 

               “รัก ได้ยินมาว่านายก็ไปช่วยปั้น สอนพิเศษเหรอ”

พอมีคนทักถึงรุ่นน้องสาวขึ้นมาแล้ว พสุก็นึกขึ้นได้ว่าสถานที่นัดมีตติงวันนี้ก็เป็นโรงแรมของคนรักอีกฝ่าย จากนั้นถึงได้ละจากความคิดนั้นแล้วหันมาตอบอีกฝ่ายตามจริง

               “อืม ช่วงนี้ว่างน่ะ อีกอย่างเวลาสอนเด็กๆ ก็เหมือนย้อนไปตอนที่ตัวเองเตรียมสอบใหม่ๆ สนุกดี”

               นอกจากการสอนในมหาวิทยาลัยแล้ว พสุตัดสินใจมาเป็นครูสอนพิเศษที่โรงเรียนสอนวาดรูปของคะนึงนิตย์ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิท โดยหวังว่าการได้ใช้เวลากับเด็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยไฟและความฝันจะทำให้เขาค้นพบแรงบันดาลใจใหม่ๆ แต่เสียดายที่หลายอย่างยังไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะเขาก็ยังไม่เจอแรงบันดาลใจที่ว่าเลย

               แต่ไปๆ มาๆ ความคิดของพสุก็ต้องสะดุดเมื่อใบหน้ารางๆ ของใครบางคนปรากฏขึ้นมาในความว่างเปล่า 

               เธอคนนั้นเป็นเหมือนประกายไฟเล็กๆ ในความมืด เป็นกองไฟเล็กๆ ที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะลุกโชนขึ้นมาตอนไหน ขณะเดียวกันแสงเล็กๆ เหล่านี้ก็เต็มไปด้วยแรงดึงดูด ยิ่งจดจ้องหรือใส่ใจมากเท่าไร พสุก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองคือแมลงที่บินเข้าสู่กองไฟมากเท่านั้น ถึงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าความคิดนี้อาจจะไม่เข้าท่า แต่ก็สลัดความคิดที่มีต่อเจ้าของร่างนี้ไม่ได้ 

               “แต่ไม่เห็นปั้นมานานแล้วเหมือนกันนะ ได้ข่าวแว่วๆ เหมือนกันว่ามีคนเห็นปั้นเตรียมแต่งงาน ไม่รู้จริงไหม”

               คำถามนี้ดึงความสนใจของพสุให้กลับสู่ปัจจุบัน เขาไม่ตอบคำถามนี้ ปล่อยให้คำพูดและประโยคอื่นๆ ที่ตามมาของคนรอบตัวกลืนหายไปกับเสียงดนตรีแทน น้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของนักร้องสาวดังขึ้น เสียงนุ่มหวานๆ ติดแหบพร่าที่ปลายเสียงดึงดูดแขกบนรูฟทอปแห่งนี้ได้ไม่ยาก แต่งเติมบรรยากาศชวนผ่อนคลายให้เจือด้วยกลิ่นอายเสน่ห์ยั่วยวนและความลุ่มหลง

พสุเพ่งตามองร่างบอบบางที่ยืนอยู่กลางวงดนตรีด้วยท่าทางครุ่นคิด น้ำเสียงของนักร้องสาวที่คลอไปกับดนตรีแจซรู้สึกคุ้นหูเขาอย่างบอกไม่ถูก ความสนใจนี้ทำให้ตนต้องจดจ้องเจ้าของเสียงโดยละเอียด เริ่มจากชุดเดรสสีดำแนบเนื้อกับเรือนร่างเพรียว เอวเล็กบอบบาง เรือนผมสีดำสนิทดัดลอนใหญ่คลอเคลียล้อมกรอบหน้าเล็ก นัยน์ตาของเธอเป็นประกาย ริมฝีปากแดงสดขยับตามจังหวะที่เจ้าตัวเอ่ยคำร้องแสนหวาน

หลังจากมองซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้งแล้ว ถึงแม้การแต่งตัวของหญิงสาวจะไม่เหมือนในความทรงจำเลย แต่พสุกลับมั่นใจอย่างมากว่านักร้องสาวคนนี้คือนักศึกษาในชั้นเรียนของตน 

ใบหน้าของหญิงสาวในเวลานี้เปื้อนรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ทว่าแววตาที่มีแต่ความเย็นชาเช่นนี้ใช่ว่าใครจะมีกันได้ เพราะแบบนี้เขาถึงได้สะดุดใจตั้งแต่แรกเห็น 

“มองอะไรอยู่” 

เสียงเรียกของเพื่อนข้างตัวทำให้พสุต้องละสายตาจากนักร้องสาว พลางตอบด้วยรอยยิ้มว่าไม่มีอะไร 

“ที่นี่บรรยากาศดีแฮะ เห็นว่าเพิ่งปรับปรุงใหม่ พอมีวงแจซเล่นสดด้วยบรรยากาศก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก” 

เมื่อบางคนในกลุ่มพูดขึ้น พสุก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย 

“ว่าแต่เมื่อไหร่นายจะเลิกรับเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยล่ะ” 

ไม่ใช่ครั้งแรกที่พสุได้ยินคำถามนี้ เพราะแม้แต่กับน้องสาวของตนอย่างนับดาวก็เคยถามคำถามเดียวกัน เขาเคาะนิ้วกับขอบแก้วในมือราวกับกำลังใช้ความคิด ระหว่างนั้นสายตาพลันเหลือบไปเห็นนักร้องสาว ปากขยับพึมพำตอบคล้ายกับคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ไม่รู้สิ ทำงานกับเด็กก็สนุกดี เลยไม่รู้จะเลิกเมื่อไหร่”

“ระวังเถอะ วางมือไปนานแล้วจะกลับมายาก”

ได้ยินเสียงเตือนทีเล่นทีจริงจากหนึ่งในกลุ่มเพื่อน พสุก็ยิ้มพลางตอบเสียงเอื่อยราวกับไม่ได้คิดมากเช่นคนพูด 

“ไว้ถึงตอนนั้นฉันค่อยมาพึ่งใบบุญพวกนายเอาก็แล้วกัน”

จบประโยคหลายคนก็หัวเราะ พากันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่อยๆ ราวกับค่ำคืนนี้ไม่มีที่สิ้นสุด วัยเยาว์แห่งความฝันหมุนย้อนกลับมาดั่งเช่นช่วงเวลาในอดีต ทว่าสำหรับพสุแล้ว สายตาและความคิดเขากลับจดจ่ออยู่แต่ที่ร่างบอบบางของนักร้องสาวบ่อยครั้งจนแม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว 

ระหว่างเรียน ณิสรินทร์รู้สึกราวกับกำลังถูกใครบางคนจ้องมอง ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น สายตาก็สบประสานเข้ากับนัยน์ตาสีนิลของอาจารย์หนุ่ม แม้เป็นเพียงวินาทีสั้นๆ ณิสรินทร์ก็มั่นใจว่าเขาลอบมองเธออยู่ ส่วนจะด้วยเหตุผลอะไรนั้น ณิสรินทร์ก็ไม่อาจทราบ แต่สายตาที่ส่อประกายสงสัยใคร่รู้ของอาจารย์พิเศษกลับชวนให้เธอสงสัยจนเกิดเป็นคำถามในใจ แต่ยังไม่ทันจะได้คิดหาคำตอบ โทรศัพท์มือถือของตนก็สั่นแจ้งเตือน บนหน้าจอปรากฏข้อความหนึ่งประโยค

คำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยคตรงหน้าทำให้ดวงตาของเธอหดเกร็งพร้อมกับเผยกระแสความเย็นชาและความห่างเหินออกมาอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งกดเข้าไปอ่านข้อความเหล่านั้นอีกครั้งแล้ว ในใจก็รู้สึกเดือดดาลอย่างถึงที่สุด 

‘ส่งเงินมาให้แม่แกได้แล้ว ที่บ้านจะไม่มีอะไรยัดท้องอยู่แล้ว!’/

‘ถ้าแกไม่มา ฉันไปหาแกยันมหา’ลัยแน่’/

ข้อความจากศิรชัชหรือพ่อเลี้ยงของตนทำให้ณิสรินทร์ตัวสั่นเทิ้มเพราะความโกรธ ต้องรีบหลับตาข่มอารมณ์ที่กำลังปะทุพลางนับหนึ่งถึงสิบในใจ เมื่อคิดว่าควบคุมเปลวไฟที่กำลังคุกรุ่นได้แล้ว ณิสรินทร์ถึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

ปลายนิ้วของเธอแตะกล่องข้อความหลายต่อหลายรอบ ในใจมีคำพูดมากมายที่อยากพรั่งพรูประชดประชันใส่อีกฝ่าย ทว่าตัวเองกลับรู้ดีว่านั่นจะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำโหให้พ่อเลี้ยงคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ 

ณิสรินทร์ไม่ได้เกรงกลัวอีกฝ่าย สำหรับเธอ ผู้ชายคนนี้ก็แค่ปลิงตัวใหญ่ที่คอยจะสูบเลือดสูบเนื้อจากเธอ เขาไม่มีค่ามากพอจะให้เธอเสียเวลาไปด้วย หญิงสาวไม่รีรอที่จะลบบันทึกข้อความเหล่านั้นและเมินเฉยอีกฝ่ายทันที

“โจทย์งานนำเสนอในอาทิตย์หน้า ผมอยากให้ทุกคนทำร่างดราฟต์ภาพในหัวข้อ ‘รัก’ มาคนละสามดราฟต์ คาบหน้าเราจะมาดูคอนเซปต์ของแต่ละคนกัน”

เสียงของอาจารย์พิเศษอย่างพสุที่ดังจากหน้าห้องทำให้ณิสรินทร์เม้มปาก นึกไม่อยากทำงานชิ้นนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพราะโมโหคำวิจารณ์งานของตน แต่หญิงสาวรู้สึกว่าคำพูดของเขามีบางอย่างที่รบกวนจิตใจตน ดังนั้นทันทีที่คาบเรียนเลิก เธอจึงรีบคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นพาดไหล่เดินตรงไปยังประตูทางออกโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว

“รูท! เย็นนี้สาขาเราจะมีนัดตี้หมูกระทะหลังมอ รูทไปด้วยกันไหม”

เสียงทักของเพื่อนในสาขาทำให้หญิงสาวหยุดชะงักก่อนหันกลับไปมองขวัญข้าว หนึ่งในเพื่อนนักศึกษาร่วมสาขาที่มักเข้ามาพูดคุยและอัปเดตเหตุการณ์สำคัญภายในสาขาให้อย่างสม่ำเสมอ เดิมความสัมพันธ์ของเธอกับคนอื่นๆ ในสาขาล้วนเป็นเพียงการรู้จักกันอย่างผิวเผิน ไม่ได้สนิทสนมหรือพูดคุยกับใครมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นแล้วกับขวัญข้าวคนนี้จึงนับว่าเป็นไม่กี่คนที่พูดกับเธอบ่อยกว่าคนอื่นๆ 

“ขอบคุณนะข้าว แต่เย็นนี้เราติดธุระ ขอเป็นโอกาสหน้าแทนนะ”

“อ้าวเหรอ เสียดายจัง” ขวัญข้าวพูดอย่างเสียดาย แต่ก็ไม่ลืมกำชับเสียงใส “ไว้คราวหน้ารูทต้องไปด้วยกันนะ”

ณิสรินทร์พยักหน้าพร้อมยิ้มบางๆ เป็นคำตอบ ก่อนรีบก้าวออกจากห้องเรียน ระหว่างทางก็มองรอบตัว หลายคนจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเทียบกันแล้วเห็นได้ชัดว่าค่าความอัธยาศัยและท่าทางที่เป็นมิตรของตัวเองเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่นด้วย

หญิงสาวเม้มปาก สลัดความคิดดังกล่าวออกจากสมอง พลางเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเพื่อกลับหอพัก 

เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่านที่อยู่อาศัย จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบเห็นร้านค้า ร้านอาหาร และหอพักตั้งอยู่รอบๆ มหาวิทยาลัย ณิสรินทร์ย้ายออกจากบ้านมาอยู่คนเดียวตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่ง ถ้าพูดให้ถูกก็คือเธอไม่ได้อาศัยอยู่กับผู้ปกครองตั้งแต่อายุสิบเจ็ดแล้ว ส่วนสาเหตุที่เธอต้องออกมาดิ้นรนอยู่เพียงลำพัง ก็คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนเธอจะเกิด 

พื้นฐานครอบครัวของณิสรินทร์ไม่ได้อบอุ่นและสวยงามนัก หากพูดถึงผู้เป็นแม่ ภาพจำเดียวที่จำได้ก็คือหญิงสาวที่มักจะเอาแต่นั่งอยู่หน้าโต๊ะกระจก คอยมองดูความงามของตัวเอง

ลลิตา...หญิงสาวที่มีชีวิตเพื่อคนอื่น หญิงสาวที่วิ่งตามหาความรักไม่หยุดไม่หย่อนคนนั้น ราวกับว่าความงามนี้เป็นเพียงพรข้อเดียวในชีวิตของตัวเอง แม้แต่ตอนที่ยังอายุน้อยก็ปรากฏเค้าความงามน่าสะดุดตาให้เห็นชัด เพราะเช่นนี้เองทำให้ลลิตาเป็นที่สนใจเตะตาหนุ่มๆ หลายคน เธอเป็นดั่งดอกไม้ที่มีแต่ผีเสื้อมารุมล้อม สำหรับหญิงสาวที่หลงละเลิงไปกับการถูกรัก เมื่อถูกยกยอให้เป็นคนสำคัญและถูกเอาใจเป็นดั่งไข่มุกในอุ้งมือ ก็ไม่ยากเลยที่เธอจะตกอยู่ในภวังค์แห่งความพอใจนี้

ต่อมาเพียงอายุได้แค่สิบหกปี ลลิตาก็ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม ทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเด็กคือใคร หากไม่ใช่ยายที่รั้งเตือนสติลูกสาวเอาไว้ บางทีณิสรินทร์อาจไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูโลกใบนี้เลยก็ได้ 

ตั้งแต่เล็กจนโตพอที่จะเริ่มรู้ความ ในความทรงจำของณิสรินทร์ก็มีเพียงยายเท่านั้นที่เลี้ยงดูเธอแทนผู้เป็นแม่ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ให้ความรักและความเอาใจใส่ที่อ่อนโยน ทว่าสำหรับโลกใบเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่ง ยายคือผู้มีพระคุณ หากไม่ได้ยายคอยห้ามปรามแม่ไว้ ณิสรินทร์ก็ไม่รู้เลยว่าป่านนี้ตัวเองจะเป็นอย่างไร

ในวัยเด็ก ณิสรินทร์เคยหวังว่าจะได้รับความรักและไออุ่นจากผู้ให้กำเนิด แต่ความรักที่ต้องการกลับกลายเป็นเพียงสายตาเย็นชาและคำพูดที่บั่นทอนจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเด็กหญิงตัวน้อยถึงเข้าใจว่า หากไม่ยืดหยัดลุกขึ้นพึ่งพาตัวเองแล้ว เธอก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และถูกกลืนหายไปจากโลกใบนี้ เพราะเหตุนี้เธอจึงต้องทำทุกอย่างให้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน จะเล็กหรือใหญ่ เด็กน้อยอย่างเธอต้องรู้จักเอาตัวรอด ทำให้ท้องอิ่ม หากวันไหนไม่หาเตรียมกับข้าวกับปลาไว้ก็ไม่แคล้วโดนยายกับแม่ดุด่า ยิ่งวันไหนที่เธออยู่ผิดที่ผิดทางก็จะกลายเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์โมโหร้ายของผู้เป็นแม่แทน ทุกวันนี้ถึงรอยแผลบนร่างกายจะหายไป แต่ในใจก็ยังมีภาพเงาน่ากลัวเหล่านั้นซุกซ่อนอยู่ในความทรงจำเสมอ

ที่ทำตัวเป็นเด็กน้อยที่รู้ความ ไม่ใช่เพื่อเอาใจคนเป็นแม่กับยาย แต่เพื่อให้ตนมีชีวิตรอด ถ้าเธอไม่ปรับตัว ไม่เพียรพยายามด้วยตัวเอง เธอก็จะไม่ได้รับโอกาสให้ก้าวเดินไปสู่ทางที่ดีกว่า  

ดังนั้นเมื่อตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ของตัวเองแล้ว ณิสรินทร์ในวัยเด็กจึงจำเป็นต้องสังเกตให้ดี ต้องอ่านสถานการณ์ให้เป็น หากวันไหนที่แม่เริ่มแต่งตัวสวย ใช้เวลาอยู่ในห้องตัวเองนานๆ หรือฮัมเพลงอย่างมีความสุข นั่นหมายความได้อย่างเดียวว่าแม่กำลังมีความรักครั้งใหม่ 

ณิสรินทร์เห็นผู้ชายมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาในชีวิตแม่ตั้งแต่จำความได้ ต่อให้อีกฝ่ายอายุใกล้เข้าเลขสามก็ยังคงมีใบหน้างดงามชวนให้ลุ่มหลง บรรดาคนรักของแม่แต่ละคนใช้เวลาร่วมกันกับแม่สั้นยาวต่างกันไป พวกเขาล้วนเข้ามาเก็บเกี่ยวความหวานอันงดงามที่สุกงอมจากดอกไม้ดอกนี้ไปจนหมด ก่อนจะทิ้งดอกไม้แสนสวยนี้ไว้เพียงลำพัง และไม่คิดจะกลับมาเหลียวแลอีก ทว่าดอกไม้แสนสวยอย่างลลิตาก็ยังคงเบ่งบานอย่างงดงามเพื่อรอคอยความรักครั้งใหม่อย่างไม่ย่อท้อ 

ลลิตาไม่เหนื่อยที่จะออกตามหารักแท้ เธอเชื่อมั่นว่าปลายทางของความฝัน คู่แท้ของตัวเองจะปรากฏตัวขึ้น และพาให้ตนไปสู่สวรรค์นิรันดร์ของความรัก แต่ณิสรินทร์กลับรู้สึกชินชากับเหตุการณ์ที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเหล่านี้ เธอไม่เคยคิดว่าสิ่งที่แม่ตามหาคือรักแท้ หากชายหนุ่มเหล่านี้คือรักแท้ ทำไมผู้เป็นแม่ถึงได้ฟูมฟายเจ็บปวดกับความผิดหวัง กลายเป็นคนโง่งมครั้งแล้วครั้งเล่า

นับวันเธอกลับยิ่งรังเกียจความรักที่บิดเบี้ยวของอีกฝ่าย และไม่เคยเชื่อว่ารักแท้มีอยู่จริง เธอไม่ศรัทธาต่อคำสาบานรักของชายหญิง ขณะเดียวกันก็ดูแคลนคนที่เอาแต่เรียกร้องหาความรักอย่างแม่ด้วยซ้ำ...

เพราะความรักที่ได้เรียนรู้จากโลกใบนี้มันช่างเห็นแก่ตัวและเย็นชายิ่งกว่าฤดูหนาวที่โหดร้ายที่สุด 

ความสัมพันธ์ของณิสรินทร์กับแม่ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน กระทั่งยายของเธอเสียชีวิตลงเพราะความชราภาพ สมาชิกภายในบ้านจึงเหลือเพียงสองแม่ลูก จากปกติที่บ้านจะมีรายได้หลักจากร้านขายข้าวแกงของยายที่ตลาด เมื่อไม่มียาย ภาระการเลี้ยงดูปากท้องของสมาชิกภายในบ้านจึงตกเป็นของเด็กสาววัยสิบเจ็ดไปโดยปริยาย

ขณะที่ณิสรินทร์ทำงานรับจ้างกับคนแถวบ้านแลกเงิน คนเป็นแม่ก็เพียรตั้งใจตามหาความรักของตัวเองต่อไป จิตใจของลลิตายังคงมุ่งหวังที่จะตามหาความรักครั้งใหม่อย่างแน่วแน่ กระทั่งได้พบกับฐากูร 

ฐากูรเป็นพ่อม่ายที่อาศัยอยู่ละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่สามปีก่อน ที่ผ่านมาเขาอยู่เพียงลำพังและทำงานค้าขาย ชายวัยกลางคนคนนี้เป็นที่รู้จักของคนในชุมชนดี เขามีบุคลิกนอบน้อมอ่อนโยน ใบหน้าและการแต่งกายสะอาดสะอ้าน นิสัยใจเย็น มีความเป็นมิตรจนเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน การที่ฐากูรตัดสินใจมาคบหากับลลิตาทำให้หลายคนรู้สึกเสียดายความดีของเขา ในสายตาคนรอบข้าง ความสวยของแม่เป็นเพียงเปลือกนอกกลวงๆ ที่ไร้ประโยชน์ก็เท่านั้น 

การเข้ามาของฐากูรทำให้ความเป็นอยู่ของสองแม่ลูกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เขายินดีช่วยเหลือค่าใช้จ่ายและการกินอยู่ของคนรักกับลูกสาวของเธอ ความใจกว้างและการเอาใจใส่ของฐากูรทำให้ความรักของทั้งคู่สุกงอมและเติบโตอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายลลิตาก็ให้คนรักย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน 

เพราะมีฐากูรอยู่ ลลิตาจึงดูมีความสุขและอารมณ์ดีกว่าเก่า เธอไม่ต้องคอยกังวลเรื่องความเป็นอยู่และอาหารการกิน ใบหน้าของผู้หญิงที่ตกอยู่ในห้วงรักจึงมักจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ไม่หลงเหลืออารมณ์เกรี้ยวกราดที่มักมีให้ลูกสาวเลยสักครั้ง แต่ต่อให้ฐากูรจะพยายามทำดีกับลูกติดของคนรักเท่าไร ณิสรินทร์กลับรู้สึกอึดอัดและมีท่าทีห่างเหินจากทั้งคู่ไปเรื่อยๆ เด็กสาวมักจะปฏิเสธความช่วยเหลือและจงใจเว้นระยะห่างกับอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด 

ณิสรินทร์รู้สึกได้ว่าสายตาของฐากูรที่มองเธอมักแฝงด้วยบางอย่างที่ไม่อาจสนิทใจได้ เขามักจะลูบศีรษะ วางมือลงบนบ่าหรือเอวของเธอ แม้สีหน้าจะไม่แสดงคลื่นอารมณ์ใดๆ แต่สัมผัสพวกนั้นกลับทำให้เด็กสาวรู้สึกแย่ นับวันเธอก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลจากสายตาของอีกฝ่าย และณิสรินทร์มั่นใจว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง แต่หากแสดงท่าทางปฏิเสธหรือต่อต้านฐากูรออกไป ผู้เป็นแม่ก็จะชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ต่อว่าเธอที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เป็นคนในครอบครัว 

นานวันเข้า ณิสรินทร์ก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มักมองมาอย่างสำรวจเสมอ ความรู้สึกอันน่าอึดอัดนี้ไม่ต่างจากการผลักให้เธอตกลงไปในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ต้องคอยตีขาพยุงตัวเองให้หายใจเหนือน้ำ รอบข้างล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยว อาศัยเพียงตัวเองลำพัง กัดฟันและว่ายหนีให้พ้นจากความตายเท่านั้น

กระทั่งกลางดึกคืนหนึ่ง ณิสรินทร์จดจำได้อย่างแม่นยำว่าลูกบิดประตูห้องนอนของเธอสั่นและส่งเสียงเบาๆ ดังกึกกัก กึกกัก อยู่นาน ราวกับว่าอีกฝั่งของประตูมีคนกำลังพยายามจะเปิดเข้ามาในห้อง

โชคดีที่ก่อนหน้านี้เธอแอบซื้อตัวล็อกมาคล้องเพิ่มไว้ ทำให้ประตูบานนี้แน่นหนาพอจะป้องกันเธอจากผู้บุกรุก ทว่าสายตาของณิสรินทร์ก็ยังไม่วางใจ เธอเอาแต่จดจ้องลูกบิดประตู ภาวนาให้มันหยุดลงเร็วๆ เสียที

เวลาและความกดดันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่เข็มวินาทีเดินผ่านไปไม่ต่างจากการรีดเค้นเอาอากาศออกจากปอดทีละนิด กระทั่งเงาของคนที่ยืนอยู่หน้าประตูที่ลอดผ่านช่องเล็กๆ จากไปแล้ว เด็กสาวถึงหายใจได้ทั่วท้อง 

หลังจากนั้นณิสรินทร์ก็หาวิธีเลี่ยงที่จะอยู่กับฐากูรด้วยการออกจากบ้านไปโรงเรียนตั้งแต่เช้ามืด และกลับบ้านในช่วงที่เย็นจนเกือบหัวค่ำ ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็รู้ดีว่ามันยังไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกจุด

เธอวางเป้าหมายครั้งใหม่ พยายามมองหาลู่ทางต่างๆ ที่จะพาตัวเองออกไปจากบ้าน เดิมทีเธอสนใจเรื่องการวาดภาพและทำสิ่งนี้ได้ดี จึงตัดสินใจจะเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและโดดเด่นด้านศิลปะ 

ณิสรินทร์นำความตั้งใจของตนไปบอกกล่าวกับผู้เป็นแม่ ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แววตาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แม้จะทำใจมาแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจไยดีตนนัก แต่เมื่อได้สัมผัสความห่างเหินที่ห่างยิ่งเสียกว่าคนรู้จัก ในใจเด็กสาววัยสิบเจ็ดก็อดข่มปร่าไม่ได้ ต่อให้หัวใจดวงนี้ทำจากก้อนหินอันแข็งแกร่ง แต่เมื่อต้องรับมือกับความเย็นชาของอีกฝ่าย มีหรือที่มันไม่รู้สึกเหน็บหนาว 

สำหรับแม่แล้ว ลูกสาวอย่างเธอก็คือกาฝากต้นหนึ่ง เป็นเพียงหลักฐานของความผิดพลาดในวัยเยาว์เท่านั้น

ณิสรินทร์ไม่โทษใคร เวลานั้นเธอจึงสามารถตัดใจอย่างรวดเร็วและออกจากบ้านมาเช่าห้องอยู่เพียงลำพัง 

แรกๆ ฐากูรเพียรพยายามมาพบเธอที่โรงเรียนหลายครั้งหลายคราวโดยอ้างว่าเป็นห่วง แต่ณิสรินทร์ก็ไม่ปริปากบอกว่าตอนนี้พักอยู่ที่ไหนกับใคร ท่าทีแข็งกร้าวที่แสดงออกไปบ่อยครั้งคงทำให้อีกฝ่ายนึกรำคาญใจ สุดท้ายถึงได้ยอมแพ้ถอยกลับไปทั้งอย่างนั้นและไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกันอีก 

ณิสรินทร์ไม่เห็นหน้าฐากูรกับแม่เลยตั้งแต่ออกจากบ้านหลังนั้นมาอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งหลังจากที่เธอสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้แล้ว ถึงมารู้เอาทีหลังว่าฐากูรทิ้งแม่ของเธอและหนีไปมีรักครั้งใหม่กับเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่งแล้ว 

เมื่อเรื่องราวพลิกผันเหนือความคาดหมาย ณิสรินทร์จึงถือโอกาสก่อนย้ายเข้าหอพักแถวมหาวิทยาลัยมาเยี่ยมผู้เป็นแม่อีกครั้ง ราวกับว่าการเห็นเด็กสาวที่ยังอ่อนเยาว์เช่นนี้กระตุ้นความเจ็บปวดที่เพิ่งได้สัมผัส ผู้เป็นแม่ถึงได้เอ่ยปากไล่เธอออกมา

วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับรู้ทุกความรู้สึกของแม่ที่มีต่อลูกสาวคนหนึ่ง ความผิดหวังและความเสียใจที่เคยคิดว่าชินแล้วกลับเทียบไม่ได้เลย เมื่อรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วตัวเองไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครก็ตาม เมื่อไม่รัก ไม่อยากเห็นหน้ากันอีก ท้ายที่สุดณิสรินทร์ก็ตัดใจได้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายตายไปจากใจทีละนิดคงเป็นการดีที่สุด 

หลังจากผ่านไปถึงสามปี ผู้เป็นแม่ถึงได้เป็นฝ่ายติดต่อมาหาเธออีกครั้ง ทำราวกับว่าตนไม่ใช่คนที่เคยไล่เธออย่างกับหมูกับหมา ราวกับว่าคำพูดที่กรีดหัวใจกันนั้นเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง พร้อมกันนั้นแม่ของเธอยังแนะนำให้รู้จักกับคนรักใหม่ที่ตนคบหาและตัดสินใจจดทะเบียนสมรสด้วยกันอย่างศิรชัช

ศิรชัชเป็นชายวัยกลางคนอายุมากกว่าแม่ห้าปี เพียงแค่เห็นหน้าครั้งแรก ณิสรินทร์ก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนดีนัก สุดท้ายก็ทราบจากคนแถวบ้านเก่าว่าชายคนนี้แท้จริงเคยเป็นเจ้าหนี้ของแม่ พวกเขาติดต่อกันไปๆ มาๆ สุดท้ายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนา เปลี่ยนเป็นคู่ผัวตัวเมียในที่สุด

แรกๆ เพราะชีวิตของพวกเขาสองคนอยู่ดีสุขสบาย ไม่ได้ขัดสนตรงไหน จึงไม่มีใครคิดถึงลูกสาวที่หายหน้าหายตาไปนานอย่างณิสรินทร์อีก กระทั่งปีที่แล้วศิรชัชตัดสินใจลงเงินทุ่มเล่นแชร์ลูกโซ่เพื่อหวังรวยทางลัด ท้ายที่สุดจากที่เคยขูดรีดเอาเปรียบคนอื่นเขา ก็กลายเป็นตัวเองที่ถูกดัดหลัง โดนเจ้าของแชร์หอบเงินทั้งหมดหนีหายไปในกลีบเมฆ ความผิดพลาดในครั้งนั้นทำให้สถานการณ์ทางการเงินของทั้งคู่ตกต่ำลงถึงขีดสุด สุดท้ายลลิตาก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน สองสามีภรรยาจึงยึดติดกับณิสรินทร์ไม่ปล่อย หวังเพียงอย่างเดียวคือให้หญิงสาวส่งเงินเลี้ยงดูพวกเขาสองคน 

               ทุกวันนี้ณิสรินทร์ต้องทำงานไปเรียนไป นับเป็นโชคดีที่เธอเป็นนักศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนทุนจากคณะ ทำให้ตนเบาใจเรื่องค่าเทอมไปได้ ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและส่งเงินให้ผู้เป็นแม่ 

ทว่าเร็วๆ นี้ดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะมีปัญหา หากเธอไม่ยอมส่งเงินให้ครบตามจำนวน ทั้งคู่ก็จะมาดักรอพบเธอที่มหาวิทยาลัยอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็ไปก่อความวุ่นวายหน้าตึกคณะ จนสุดท้ายณิสรินทร์ต้องกัดฟันรับปากว่าจะพยายามส่งเงินกลับไปให้ โดยแลกกับการที่พวกเขาไม่ต้องมารบกวนเธออีก 

               ข้อความบีบเค้นพยายามรีดเลือดกับปูจากพ่อเลี้ยงทำให้ณิสรินทร์รู้สึกโกรธไม่น้อย ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอเพิ่งโอนเงินจำนวนหนึ่งไปให้พวกเขาแท้ๆ ไม่ต้องเดาก็พอคิดได้อย่างเดียวว่าเงินเหล่านี้คงถูกนำไปลงทุนในบ่อนการพนันอย่างแน่นอน หญิงสาวเก็บความขุ่นมัวในใจลงไป เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้สุดท้ายก็ต้องพยายามหาทางแก้ไขด้วยตัวเองให้ได้

เมื่อถึงห้องพัก ณิสรินทร์ก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กตารางงานพิเศษก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนพักเก็บแรงครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ขณะที่ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว จู่ๆ คำพูดของอาจารย์พิเศษก็แทรกขึ้นมา

               ‘ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง ผมก็หวังว่าคุณจะแสดงมุมมองด้านที่โรแมนติกออกมาบ้างนะครับ’

               ณิสรินทร์ยกมุมปาก ยิ้มเย้ยหยันความไร้เดียงสาของพสุ สำหรับเธอ เรื่องความรักและความสวยงามที่เขาว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อความรักที่แสนบริสุทธิ์จากอ้อมอกของผู้ให้กำเนิดเธอยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสเลยสักครั้ง

               เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือทำให้ณิสรินทร์ตื่น เธอลุกขึ้นมาเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้สีเข้ม ก่อนออกจากหอเพื่อตรงไปยังโรงแรมรัตนเวคินทร์ที่ตนทำงานพิเศษ ทันทีที่ถึงที่หมาย หญิงสาวก็ตรงไปหาเพื่อนร่วมงานที่เป็นสมาชิกวงดนตรีแจซ โดยมีตำแหน่งในวงเป็นนักร้องนำ 

               แรกเริ่มเดิมทีณิสรินทร์ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีทักษะด้านการร้องเพลง แต่ก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งเธอบังเอิญเข้าร่วมกิจกรรมของคณะดุริยางคศิลป์ซึ่งเป็นคณะเพื่อนบ้านใกล้ๆ กัน ทำให้ค้นพบความสามารถนี้ ถือเป็นโชคดีที่เสียงของเธอดันไปเตะหูภัทร ศิษย์เก่าของคณะดุริยางคศิลป์เข้าพอดี เธอจึงมีโอกาสได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีแจซของเขาจนถึงทุกวันนี้

หญิงสาวทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะแยกมาแต่งตัวใหม่ตามที่โรงแรมเคยกำหนดเอาไว้เพื่อภาพลักษณ์ที่ดี เธอจึงเปลี่ยนจากเสื้อยืดกางเกงยีนเป็นชุดราตรีสีดำ เนื้อผ้าบางเบาแนบไปกับลำตัว ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางเพื่อความงาม แม้จะไม่ค่อยชอบนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหน้าตาที่สวยงามนี้ช่วยให้เธอได้ทิปพิเศษจากลูกค้าต่างชาติเยอะแค่ไหน 

ก่อนขึ้นแสดง เธอและเพื่อนร่วมงานซักซ้อมทวนรายชื่อเพลงที่จะเล่นและร้องในคืนนี้กันอีกครั้ง บางเพลงณิสรินทร์ก็ไปเตรียมตัวทำการบ้านมาไว้เรียบร้อยแล้ว อาจจะมีบางครั้งที่พวกเธอต้องเล่นดนตรีนอกแผนหากมีแขกขอเพลงพิเศษขึ้นมา 

               “ถึงเวลาแล้ว ไปขึ้นเวทีกัน”

เมื่อหัวหน้าวงอย่างภัทรเอ่ยปาก ณิสรินทร์พร้อมกับคนอื่นๆ จึงลุกขึ้นเดินไปยังรูฟทอปบาร์ซึ่งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม เสียงดนตรีและบรรยากาศอ้อยอิ่งทำให้หญิงสาวละทิ้งความตึงเครียดและปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นไว้ข้างหลัง ปล่อยให้ตัวเองในตอนนี้ถูกนำพาไปพร้อมกับเสียงดนตรีที่ขับกล่อม 

               ณิสรินทร์ร้องเพลงตามจังหวะดนตรี ทำนองเอื่อยๆ จากเชลโล กีตาร์ และไวโอลินผสมผสานกันเป็นหนึ่ง นัยน์ตาเรียวประดุจตาหงส์กวาดมองไปรอบๆ รูฟทอปบาร์ บางครั้งก็เผยรอยยิ้มเย้ายวนออกมาโดยไม่รู้ตัว เสียงนุ่มนวลกดเสียงต่ำและขึ้นสูงตามจังหวะจะโคน ไม่นานพวกเขาบนเวทีก็สะกดสายตาแขกบนรูฟทอปบาร์แห่งนี้ได้โดยง่าย 

               หญิงสาวช้อนตาขึ้นกวาดตาไปข้างหน้า ไม่ทันไรดวงตาก็พลันเห็นใบหน้าคุ้นตาของใครบางคนเข้า แม้ในวินาทีแรกจะตกใจที่เห็นอีกฝ่าย เธอก็ยังคงรักษาความสงบของตัวเองได้ดี พลางลอบหลุบตาสำรวจตัวเองเร็วๆ หนึ่งรอบ ในเมื่อเธอในเวลานี้แต่งหน้าแต่งตัวทำผมดูแปลกตาแล้ว อีกฝ่ายคงจำเธอในสภาพที่แตกต่างเช่นนี้ไม่ได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีโอกาสข้องเกี่ยวกันเท่าไร เผลอๆ หลังจากคืนนี้เจ้าตัวคงลืมหน้าเธอไปแล้วด้วยซ้ำ 

               ณิสรินทร์จึงปล่อยตัวตามสบาย ทั้งยังวางใจไว้แล้วว่าตัวตนของเธอคงไม่มีวันหลุดออกมาต่อหน้าชายคนนี้ได้โดยง่ายแน่ๆ 

ท่วงทำนองดนตรีสนุกสนานของเพลงแจซเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กระทั่งช่วงเวลาในค่ำคืนนี้จบลง หญิงสาวถึงได้ดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้นเป็นระลอก เธอยิ้มหวาน โค้งตัวลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณสำหรับการแสดงในคืนนี้ ก่อนที่ทุกคนจะทยอยลงจากเวที

เวลาบนนาฬิกาบ่งบอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เข้าสู่วันใหม่แล้ว ไม่นานเจ้าของร่างเพรียวระหงก็เปลี่ยนเสื้อผ้า บอกลาเพื่อนร่วมวงทั้งสี่ เตรียมเดินทางกลับสู่รังนอนอันเป็นที่พักพิง ณิสรินทร์ก้าวเท้าเร็วๆ เดินลัดตัดไปทางลานจอดรถของโรงแรมเพื่อประหยัดเวลาเดินอ้อม ทว่าระหว่างทาง กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ก็ถูกกระชากจากด้านหลัง หญิงสาวหันไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะเห็นใบหน้าถมึงทึงของพ่อเลี้ยง

สีหน้าของศิรชัชในเวลานี้เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เขาออกแรงกระชากจนเธอเซถอยกลับมา แต่ณิสรินทร์ก็ไม่ยอมเป็นลูกไก่ในกำมือเพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวรีบสลัดตัวให้พ้นจากเงื้อมมือของอีกฝ่าย ถามคนตรงหน้าเสียงแข็ง 

“มาที่นี่ทำไม”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงวางอำนาจแสดงความไม่ยี่หระของหญิงสาวตรงหน้าแล้ว ศิรชัชก็มีน้ำโหขึ้นมา เขาตะเบ็งเสียงขู่ร่างบางตรงหน้าอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน

“ก็มาดูหน้าคนอกตัญญูอย่างแกไง! ทำตัวระริกระรี้ไม่สนใจแม่แกเลยนะ รีบๆ ส่งเงินมาได้แล้ว”

หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เธอเชิดหน้าตอบด้วยน้ำเสียงเย็นจัดที่ทำเอาคนฟังผงะในเสี้ยววินาที

“บอกแล้วว่าไม่มี รู้แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้ว”

“ตอแหล! คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง แกมาทำงานจะไม่มีเงินได้ไง” ชายวัยกลางคนเม้มปาก ถลึงตามองคนตรงหน้าด้วยความโกรธ หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายมีกำลังส่งเงินให้ตัวเองได้ ป่านนี้เขาคงฟาดสั่งสอนไม่ให้มันมาแสดงท่าทางปีกกล้าขาแข็งใส่อย่างนี้หรอก! 

“บอกไปแล้วว่าไม่มี ต่อให้มาค้นตัว นอกจากค่ารถกลับหอ ฉันก็ไม่มีเงินให้หรอกนะ” 

น้ำเสียงยามตอบกลับเห็นได้ชัดว่าคนพูดกำลังข่มกลั้นอารมณ์ถึงขีดสุด ณิสรินทร์ยกมือขึ้นเสยผมอย่างอารมณ์เสีย 

“อีนี่! อวดดีนักนะ แม่แกไม่มีจะกินแล้วยังไม่รู้ตัวอีก หรือต้องให้ย้ำให้ฟังอีก”

“ถ้ามีเงินเมื่อไหร่ก็โอนให้ คุณกลับไปได้แล้ว”

“ฉันไม่เชื่อ! เอากระเป๋ามึงมาดู ถ้าเจอจะตบให้คว่ำเลย”

เสียงนี้กระโชกโฮกฮาก เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามา สองมือคว้ากระเป๋าเป้ของตน พยายามยื้อแย่งมันไปพิสูจน์ด้วยสายตาตัวเอง แต่ณิสรินทร์ไม่ใช่ลูกพลับนิ่ม เธอจับเป้ของตนไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอมง่ายๆ 

“คุณทำอะไรน่ะ!”

เสียงทุ้มต่ำอย่างมีอำนาจของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น ทำเอาคู่กรณีของณิสรินทร์สะดุ้งเฮือกจนเผลอปล่อยมือออกจากเป้อย่างไม่รู้ตัว พลางก้าวถอยหลังไปตั้งหลักอย่างรีบร้อน 

ณิสรินทร์เห็นบุคคลที่สามที่เข้ามาไวๆ แล้วก็สบถในใจ ไม่คิดเลยว่าคนที่เข้ามาช่วยตัวเองครั้งนี้จะเป็นพสุ เธอรีบเบนสายตามองพ่อเลี้ยง เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทางตื่นตระหนก หน้าซีดใจฝ่อเช่นนี้แล้วก็แสยะยิ้ม...สำหรับพวกอวดดีอวดเบ่งอย่างศิรชัชก็ทำได้เพียงอ้าปากร้องขู่ เห่าไปวันๆ เมื่อเจอคนที่เหนือกว่าเขาก็จะแสดงท่าทีนอบน้อมและเขลาขลาดออกมาในทันที

ร่างสูงโปร่งของพสุเดินอ้อมมาขวางระหว่างเธอกับศิรชัช แผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มเป็นเหมือนกำแพงที่ขวางกั้นเธอจากภยันตราย ณิสรินทร์มองแผ่นหลังนี้ ก่อนจะได้ยินเสียงราบเรียบที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาดของเขา 

“ผมมีทางเลือกให้คุณสองทาง คือหนึ่ง ออกจากโรงแรมไปด้วยตัวเอง หรือสอง ให้ผมตาม รปภ. มาเชิญคุณออกไป”

แม้ว่าในห้องเรียนมีบางครั้งที่พสุแสดงท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง แต่ทุกครั้งก็ยังคงเจือด้วยความอ่อนโยนในน้ำเสียง ไม่เหมือนครั้งนี้ที่มีแต่ความเด็ดขาด อำนาจที่แผ่ออกร่างสูงทำให้ณิสรินทร์รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของอาจารย์หนุ่มผู้แสนนุ่มนวลคล้ายจะเปลี่ยนไปจากความคิดทีละน้อย 

เธอละสายตาจากพสุแล้วมองใบหน้าเจื่อนของศิรชัช อีกฝ่ายเม้มปากอย่างขัดใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีพลังและความเกรงขามมากกว่าตน อารมณ์โมโหก็ดับลงได้ง่ายๆ ขนาดจะพยายามหันมาถลึงตามองเธอจังๆ ก็ยังไม่กล้า ต้องหลุบตาไปเสียก่อน สุดท้ายจึงยอมเลือกทางเลือกแรกและจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าจบลงง่ายดายกว่าที่คิด ณิสรินทร์ก็ไม่คิดจะอยู่ต่อให้เสียเวลา เธอไม่รอให้คนตรงหน้าหันกลับมาก็รีบกล่าวขอบคุณและเตรียมหมุนตัวเดินแยกไปอีกทาง 

“ขอบคุณค่ะ”

“รีบไปเถอะครับ ดึกแล้ว”

“ค่ะ” น้ำเสียงของเธอเจือความเย็นชาและเหินห่างตามแบบฉบับ ไม่ว่ากับใคร ณิสรินทร์ก็มักจะเว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปสนิทสนมจนเกินไป ขณะเตรียมหมุนตัวจากไปอีกทาง ขาที่ก้าวไปข้างหน้าพลันชะงักเมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มเรียกตนไว้

“ณิสรินทร์”

วินาทีเดียวกันที่เธอหันกลับมามองอาจารย์หนุ่ม ณิสรินทร์คาดไม่ถึงว่าเขาจะจดจำใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางนี้และชื่อของตนได้ หญิงสาวรักษาความสงบของตัวเอง เก็บซ่อนความประหลาดใจและความสับสนเอาไว้ในใจได้อย่างแนบเนียน ใบหน้าของเธอเวลานี้หากมองผ่านกระจกมันคงนิ่งสนิท ไม่ยิ้ม ไม่โกรธ ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น 

“ณิสรินทร์...ผมจำคุณได้”

ณิสรินทร์หลุบตามองปลายเท้าของตนก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองสบคนตรงหน้า เมื่อคิดอย่างรวดเร็วแล้วว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธ เธอจึงยอมรับคำกล่าวนี้และย้อนถามด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก 

“มหาวิทยาลัยไม่ได้มีกฎห้ามนักศึกษาทำงาน และอาจารย์พิเศษก็ไม่ได้มีสิทธิ์ประเมินความประพฤตินักศึกษา”

ขณะพูดก็สังเกตเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่ม พสุยกมือขึ้นกอดอกพลางมองเธออย่างประเมินเร็วๆ หนึ่งครั้ง 

“ก็จริง แต่ผมยังไม่ทันพูดอะไรเลย”

นักศึกษาสาวไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้ามีเป้าหมายอะไร เธอตั้งใจสงบเสงี่ยมประหยัดคำพูด แต่ไม่รู้เลยว่าแววตาที่จ้องมองคนตรงหน้าในเวลานี้เจือกระแสเย็นชาอยู่ไม่น้อย ราวกับว่าหากเขาคิดจะทำอะไรไม่เข้าท่า เธอก็พร้อมที่จะต่อสู้กับเขาให้ถึงที่สุด 

“ร้องเพลงเพราะดีนะ” 

คำพูดของอาจารย์พิเศษหนุ่มผิดไปจากความคิดในหัวเธอไม่น้อย หากเป็นปกติที่เคยพบเจอด้วยตัวเองแล้ว ผู้ชายทั้งหลายมักจะยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับเงินทองเพื่อแลกกับเรือนร่าง ทว่าผู้ชายตรงหน้ากลับเพียงยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยปากชมการร้องของเธอก็แค่นั้น 

วินาทีต่อมาเขาก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

“กลับบ้านเถอะ แล้วอย่าลืมส่งงานผมด้วย ช่วงนี้มือคุณตกลงนะ” 

หญิงสาวเม้มปากแล้วจดจ้องเขาเล็กน้อย สุดท้ายก็หันหน้าไปอีกทางแล้วสาวเท้าออกไปอย่างมั่นคงราวกับเขาไม่มีตัวตน ทั้งยังนึกมาดหมายไว้ในใจแล้วว่า อนาคตข้างหน้าพวกเขาคงไม่มีทางได้วนมาพบเจอกันอีก

แต่ใครจะรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น