บทที่ 5

บทที่ 5

               บรรยากาศของคาบเรียนเซลฟ์เอกซ์เพรสชันในวันนี้ตึงเครียดกว่าครั้งไหนๆ ถึงจะเป็นแค่การส่งภาพร่าง ไม่ใช่การส่งชิ้นงานสมบูรณ์ แต่ความเห็นของพสุก็ทำให้นักศึกษาทุกคนรู้สึกถึงคำว่า ‘ของจริง’ เป็นครั้งแรก เพียงแค่อาจารย์หนุ่มมองงานปราดเดียวก็จับได้ในทันทีว่าใครตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำงานชิ้นนี้บ้าง

               “...ถึงจะเป็นแค่ดราฟต์แรกของการทำงาน ไม่จำเป็นต้องเก็บรายละเอียดก็จริง แต่คุณควรจะลงคอนเซปต์ของภาพให้ชัดเจน มองภาพรวมให้ได้ว่าต้องการสื่อสารอะไร ที่คุณพยายามอธิบายความสำคัญของดราฟต์ให้ผมฟัง ทุกอย่างกลับวนอยู่ที่เดิม องค์ประกอบภาพบางจุดผมไม่เห็นเลยว่าสัมพันธ์กับสิ่งที่คุณนำเสนออย่างไร”

               เจ้าของผลงานหน้าซีดเผือด แม้แต่คำพูดแก้ต่างก็พูดไม่ออก ที่อาจารย์หนุ่มตรงหน้าพูดมาก็ไม่ผิด เพราะตัวเขายังไม่ทันเข้าใจทบทวนความหมายของโจทย์ให้ดี เพราะย่ามใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องยาก ภาพร่างของเขาก็มานั่งทำเอาคืนนั้น โดยไม่ทันคิดถึงเรื่องการนำเสนอหัวข้อและคอนเซปต์ของงานนี้ด้วยซ้ำ 

               ใบหน้าที่มักจะติดรอยยิ้มบางๆ ของอาจารย์หนุ่มเหลือเพียงสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงใดๆ มาก แต่คำพูดแสนสุภาพที่เต็มไปด้วยเหตุและผลนี้เองที่ทำให้คนฟังต่อให้จะฝืนยิ้มก็ยังทำไม่ได้ จนเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ต้องลอบส่งสายตาให้กำลังใจ ส่วนคนอื่นๆ ที่ยังไม่ถึงคราวที่ตนต้องนำเสนอก็พากันนั่งหลังตรง ในหัวคิดทวนบทพูดของตัวเองซ้ำๆ กระทั่งเห็นว่าถึงเวลาที่ณิสรินทร์ต้องนำเสนอภาพร่างแรกแล้ว พวกเขาถึงได้หยุดทุกอย่างแล้วมองเพื่อนร่วมสาขาคนนี้

               คราวถึงคิวตัวเองต้องนำเสนอ ณิสรินทร์ก็รู้สึกประหม่า เธอไม่มั่นใจเลยว่าภาพของตัวเองในเวลานี้จะผ่านเกณฑ์ประเมินหรือไม่ ถึงจะไม่มีการสอบปลายภาค แต่งานทุกชิ้นทุกขั้นตอนที่นำเสนอตั้งแต่ต้นเทอมล้วนเป็นคะแนนสำคัญทั้งสิ้น

               เธอหยิบแท็บเล็ตเครื่องเก่าของตัวเองขึ้นมาเปิดแชร์หน้าจอของตนเข้ากับหน้าจอโทรทัศน์ภายในห้องเรียน จากนั้นภาพร่างทั้งสามภาพก็ฉายเรียงต่อกัน หญิงสาวเริ่มอธิบายทีละภาพช้าๆ ถึงจะเป็นเพียงลายเส้นดินสอ แต่ก็สามารถเห็นองค์ประกอบและลักษณะเฉพาะของภาพโดยรวมทั้งหมดได้

ภาพแรกคือหญิงแก่ในบ้านหลังโทรมกำลังส่องกระจกบานใหญ่ ทว่าภาพสะท้อนบนกระจกกลับเป็นหญิงสาวอีกคน ภาพที่สองเป็นหญิงสาวนอนแอบอิงอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่แผ่นหลังของเธอกลับมีลูกธนูปักอยู่ และภาพสุดท้ายเป็นภาพชายหญิงที่กำลังยืนกอดกัน พวกเขายืนอยู่ในห้องกระจกสะท้อน และบนเงาสะท้อนเหล่านั้นต่างปรากฏสีหน้าของพวกเขาแตกต่างกันออกไป

ณิสรินทร์เห็นสีหน้าประหลาดใจของเพื่อนร่วมสาขาบางคน เธอก้มมองดูภาพวาดที่อยู่ในแท็บเล็ตของตนเล็กน้อย ยอมรับกับตัวเองเงียบๆ ว่า ‘ความรัก’ ที่ตนนำเสนออาจจะต่างจากภาพจำและความเข้าใจของคนส่วนมาก ณิสรินทร์เคยพบเห็นความรักจากคนรอบตัวมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความรักของครอบครัว มิตรสหาย หรือคนรัก แต่ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ที่เธอล้วนไม่เคยได้สัมผัสด้วยตัวเอง สิ่งที่เธอรู้สึกได้ดีและเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งจึงมีเพียงความรู้สึกที่ปรากฏในภาพวาดเหล่านี้เท่านั้น

ขณะเดียวกันเวลาที่เธอค่อยๆ คิดถึงความหมายของ ‘ความรัก’ ที่ต้องการถ่ายทอด ณิสรินทร์นึกสงสัยขึ้นมาว่าหากตนได้สัมผัสมันแล้ว ความรู้สึกของตัวเองจะเปลี่ยนไปหรือไม่ ห้วงอารมณ์ของรักที่สวยงามเป็นอย่างไร ตัวเองก็เผลอสงสัยใคร่รู้มาชั่วขณะ แต่เมื่อนึกถึงโลกความเป็นจริงอีกใบที่เธอสัมผัสอยู่ทุกวินาที ณิสรินทร์ก็ดึงตัวออกจากภวังค์ ห้ามไม่ให้ตัวเองสงสัยถึงสิ่งที่ไม่มีทางเป็นจริงอีก 

“ทั้งสามภาพนี้เป็นการตีความหมายจากคำว่ารัก แสดงให้เห็นอีกด้านที่ซ่อนอยู่ภายใต้ส่วนลึกของความรัก ภาพแรกที่หญิงชรามองกระจกแล้วเห็นภาพสะท้อนเป็นตัวเองในวัยสาว จากภาพเธอไม่ได้มองเห็นโลกความเป็นจริงเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เอาแต่เพียรมองหาความรัก ความเยาว์วัยที่สวยงามจากอดีตเท่านั้น 

“ภาพที่สองสื่อให้เห็นว่า เพราะอยากแต่จะไขว่คว้าความรัก จึงไม่รู้ตัวเลยว่าตนต้องแลกกับความเจ็บปวดหรือทิ้งบาดแผลอะไรไว้บ้าง และภาพสุดท้ายคือภายใต้ความรักที่อบอุ่นสวยงามของทั้งคู่ แท้จริงแล้วพวกเขาไม่มีวันรู้ว่าภายในจิตใจของอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขากำลังโอบกอดไว้จริงๆ นั้นคือความรักหรือไม่”

หลังจากจบการนำเสนอ ความเงียบปกคลุมในห้องเรียน เพราะตั้งแต่ที่มีการนำเสนอภาพร่าง ณิสรินทร์ถือเป็นคนแรกในห้องที่หยิบมุมมองแง่ลบของความรักขึ้นมานำเสนอ หลายคนเหลือบมองอาจารย์หนุ่มที่เงียบไปด้วยท่าทางลุ้นระทึก

               พสุเพียงมองภาพร่างทั้งสาม วินาทีต่อมาสายตาถึงเลื่อนไปมองหญิงสาวที่มีสีหน้าเรียบเฉย แววตาของเธอมีร่องรอยกังวลให้เห็นอยู่รางๆ เขาทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายเงียบๆ ไม่นานก็เข้าใจความหมายจากภาพร่างทั้งสามได้ว่านี่คือความรักที่มองผ่านสายตาของอีกฝ่าย และคู่ชายหญิงในภาพเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นการสื่อถึงผู้เป็นแม่ของณิสรินทร์ ถึงเขาจะไม่ได้รู้จักเรื่องของอีกฝ่ายมาก่อน แต่จากที่ได้พบเจอโดยบังเอิญ ก็เห็นได้ชัดว่าเธอคนนั้นไม่ได้ใส่ใจคนเป็นลูกเลยสักนิด 

               ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย กระแอมกระไอในลำคอเบาๆ เอ่ยทำลายความเงียบงันในเวลานี้

               “ดราฟต์ทั้งสามภาพถือว่าเป็นการเสนออีกแง่มุมของความรักออกมาได้น่าสนใจไม่แพ้กัน ถือว่าทั้งสามภาพนี้คุณถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ดี ถึงจะมีบางจุดที่ต้องพัฒนาต่ออีกเพื่อให้ภาพรวมของการสื่อสารสมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าทำการบ้านมาได้ดีพอสมควรเลยครับ” 

เห็นท่าทางเกร็งๆ ของหญิงสาวผ่อนคลายลง ดวงตาของชายหนุ่มก็ค่อยๆ ปรากฏแววยิ้มขึ้นทีละน้อย แม้ว่าน้ำหนักของณิสรินทร์ในใจตนจะพิเศษกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่พสุพูดไม่ได้เป็นการทำเพื่อเอาอกเอาใจอีกฝ่าย การวิจารณ์งานของเขาในฐานะผู้สอนก็ยังคงเป็นไปตามเกณฑ์การประเมิน ไม่ได้เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกันจนเป็นการเอื้อประโยชน์ให้คนตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้น พสุก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองยินยอมปรับอารมณ์ให้หญิงสาวตรงหน้าแค่ไหน น้ำเสียงหรือท่าทางเข้มงวดของตนถึงได้อ่อนลงหลายส่วน 

“ดราฟต์แรกกับดราฟต์ที่สอง มุมมองในการเล่าสามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนดีแล้ว เพียงแต่ต้องระวังเรื่องมิติภาพ ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบแต่ละอย่างให้สื่อออกมาได้ชัดเจนกว่านี้นะครับ” เขาชี้ให้หญิงสาวเห็นจุดอ่อนของดราฟต์แต่ละภาพด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ก่อนตบท้ายด้วยความเห็นส่วนตัวในฐานะผู้วิจารณ์และผู้สอนที่มีประสบการณ์มากกว่า “ทั้งสามภาพมีจุดที่ต้องค่อยๆ ปรับไป คุณจะเลือกภาพไหนจากสามภาพนี้มาพัฒนาต่อก็ได้นะครับ แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมสนใจภาพที่สามเป็นพิเศษ”

               เมื่อช่วงเวลาวิจารณ์งานของณิสรินทร์จบลงแล้ว คนอื่นๆ ในห้องก็พลันรู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศกดดันที่อยู่รอบตัวพสุเริ่มเบาบางลงทีละนิด คนที่ยังไม่ได้นำเสนอผลงานก็หายใจโล่งคอขึ้นมา อย่างน้อยอาจารย์หนุ่มก็ไม่ดูน่ากลัวเท่าก่อนหน้านี้แล้ว

               ณิสรินทร์ค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์งานของตัวเอง ก่อนจะรีบปิดหน้าจอตัดการเชื่อมต่อจากโทรทัศน์ หมุนตัวเดินกลับมายังที่นั่งของตัวเอง ขณะเดินสวนกับพสุ สายตาของทั้งคู่ต่างเผลอเหลือบมองกัน เธอเห็นประกายจากนัยน์ตาคู่ตรงหน้า ทว่ากลับไม่เข้าใจความหมายของแววตานั้น ทำได้เพียงหันหน้ากลับอย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยๆ เดินผ่านชายหนุ่มไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา กระทั่งถึงท้ายคาบ ณิสรินทร์ก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองเอาแต่เหม่อลอย เผลอคิดหาคำตอบจากความหมายในสายตาของชายหนุ่มไม่หยุดจนไม่ทันได้ฟังการนำเสนองานของเพื่อนคนอื่น ความผิดปกติของตัวเองทำให้หญิงสาวนึกขัดใจ รีบยกมือลูบหน้าลูบตาเรียกสติ สองหูได้ยินเสียงทุ้มต่ำของพสุดังขึ้นมา

               “...เวลาเรียนของเราเหลืออีกไม่กี่วีกแล้ว สำหรับงานชิ้นนี้จะเป็นหัวข้อและชิ้นงานสุดท้ายที่คุณต้องรับผิดชอบนะครับ อาทิตย์หน้าเราจะมาดูอัปเดตของแต่ละคน ลองนำคอมเมนต์ในวันนี้ไปปรับและดำเนินการต่อได้เลยครับ อาทิตย์ถัดไปจะเป็นครั้งสุดท้าย ให้ทุกคนนำภาพที่วาดตั้งแต่เรียนมาจัดเป็นนิทรรศการเล็กๆ ของตัวเองในชั้นพร้อมกับผลงาน ‘ความรัก’ ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว อาจารย์เสกจะเข้ามาดูงานของพวกคุณและให้คะแนนรอบสุดท้ายก่อนปิดเซคนะครับ”

               อาจารย์หนุ่มก้มหน้าดูรายละเอียดบางอย่างในสมุดจดขนาดเหมาะมือของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ทุกคนในห้อง ไม่หลงเหลือท่าทางเย็นชาและความรู้สึกตึงเครียดใดๆ อีก ต่อมาหนึ่งในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่างขวัญข้าวก็ยกมือถามขึ้นอย่างสงสัย

               “อาจารย์รักคะ แล้วชิ้นงานก่อนหน้านี้ถือว่านับคะแนนไปแล้วหรือเปล่าคะ หรือว่าอาจารย์เสกจะเป็นผู้ให้คะแนนงานทุกชิ้นทีเดียวเลย”

               คำถามนี้อยู่ในใจหลายๆ คน เพราะเท่าที่พวกเขารู้ อาจารย์ประจำวิชาเดิมทีคืออาจารย์เสกสรรผู้เป็นหัวหน้าสาขาวิชา แต่ผู้สอนจริงคือพสุซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพวกเขาที่ได้รับเชิญมาเป็นอาจารย์พิเศษ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เข้าใจว่าอาจารย์หนุ่มจะเป็นผู้ให้คะแนน แต่เมื่อได้ยินว่าอาจารย์เสกสรรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้คะแนนครั้งสุดท้าย หลายคนก็เริ่มใจแป้วขึ้นมา เห็นพสุเข้มงวดจริงจังกับการสอนขนาดนี้แล้ว ก็ยังเทียบอาจารย์เสกสรรไม่ได้

               “ผลงานของพวกคุณทุกชิ้นก่อนหน้านี้ที่ส่งในชั้นเรียน ผมจะเป็นคนให้คะแนน เพียงแต่ในการนำเสนองานครั้งสุดท้ายนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นไฟนัลโพรเจกต์ที่คุณต้องเสนอผลงานทั้งหมดให้อาจารย์เสกลงคะแนนสุดท้ายสี่สิบคะแนน ก่อนจะตัดเกรด”

               เสียงร้องครางขานรับยาวๆ ดังขึ้น บางคนเป่าปากอย่างโล่งอก บางคนก็ทำหน้าปูเลี่ยน คาดว่าคงแอบกลัวและกังวลเรื่องผลการเรียนของตัวเองไม่น้อย พสุเห็นแล้วก็ยิ้ม นึกถึงตัวเองในอดีตช่วงที่เรียนขึ้นมากะทันหัน ตัวเขาเองได้ผ่านเวลาที่ประหม่าและตื่นเต้นจนมือไม้สั่นมาหมดแล้ว เพราะเอ็นดูเหล่ารุ่นน้องตรงหน้า พสุจึงให้คำแนะนำเป็นการปลอบใจ

               “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ งานของทุกคนมีจุดแข็งและคอนเซปต์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว ศิลปะไม่มีถูกผิด ที่อาจารย์เสกจะดูคือความเข้าใจและเป้าหมายในการสื่อสาร กลับไปทำความเข้าใจงานของตัวเองให้มาก ซ้อมนำเสนอหลายๆ รอบ แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”

หลังจากที่เขาพูดจบบางคนก็เริ่มยิ้มออกพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ชวนให้พสุต้องหัวเราะเบาๆ พลางปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก 

“วันนี้ก็แค่นี้ก่อน ครั้งหน้าเรามาอัปเดตงานกันตามนัด หวังว่าทุกคนจะทำการบ้านมาดีๆ นะครับ”

               จบชั่วโมงเรียน นักศึกษาหนุ่มสาวในห้องก็ทยอยลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินออกจากห้อง บางคนที่ไม่ได้รีบร้อนมีเรียนต่อหรือต้องออกไปไหนก็นั่งอยู่ที่เดิม รอให้คนหน้าประตูซาเสียก่อนถึงค่อยลุก 

ณิสรินทร์เองนั่งคอยอยู่ครู่หนึ่ง เธอเห็นแผ่นหลังของพสุที่เดินออกไปจากห้องเรียนพร้อมกลุ่มเพื่อนร่วมสาขากลุ่มอื่นได้สักพักหนึ่งแล้ว กระทั่งรอจนเพื่อนกลุ่มสุดท้ายเดินพ้นหน้าประตูไปแล้วถึงได้ขยับตัวลุกจากที่นั่ง เป็นคนสุดท้ายที่เดินออกจากห้องเรียน แต่ยังไม่ทันที่ทั้งตัวจะพ้นประตูดี ฝีเท้าของเธอก็พลันชะงักเมื่อเห็นคนที่ควรจะจากไปแล้วยืนพิงผนังทางเดินคล้ายกำลังรอเธออยู่

เมื่ออีกฝ่ายเห็นเธอแล้วก็เผยรอยยิ้มกว้าง ขยับตัวไม่กี่ก้าวก็มาหยุดตรงหน้าเธอ 

หญิงสาวเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าและถามเสียงเรียบ ไม่ลืมสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ว่านอกจากพวกเขาสองคนแล้วยังมีใครอยู่อีกบ้าง ทว่าจากตำแหน่งห้องเรียนที่อยู่สุดปีกตึก เพียงแค่มองตรงไปสุดทางเดินก็ไม่เห็นใครอื่นอีก หน้าห้องเรียนเวลานี้จึงเหลือเพียงเธอกับเขาเท่านั้น 

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

               “อาจารย์เสกวานให้ผมช่วยถามน่ะครับว่าคุณจะส่งผลงานเข้าประกวดด้วยใช่ไหม” 

               ณิสรินทร์สังเกตได้ว่าพสุยังคงเว้นระยะห่างจากเธอได้เหมาะสม ท่าทางเป็นการเป็นงานของชายหนุ่มทำให้เธอลดเกราะป้องกันและความรู้สึกต่อต้านลงเงียบๆ เมื่อเว้นระยะเหมาะสมแล้ว ต่อให้มีคนเดินผ่านมาเห็นจริง นี่ก็เป็นเพียงการพูดคุยอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น

เธอกระแอมกระไอในลำคอเบาๆ ถอนสายตากลับมามองพสุ คิดถึงเรื่องการประกวดที่อาจารย์เสกสรรแนะนำ ถึงจะรู้หัวข้อและรายละเอียดอื่นๆ ในการแข่งขันแล้ว แต่เธอก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเข้าประกวดดีหรือไม่ 

               “คุณรู้หัวข้อประกวดแล้วใช่ไหมครับ”

               “ค่ะ” 

               “ผมเห็นงานของคุณในวันนี้แล้ว ถ้าคุณอยากลองส่งผลงานเข้าประกวดก็มีสิทธิ์ได้ลุ้นสักรางวัล ต้องมีหลายคนแน่ๆ ที่อยากจองตัวคุณไปร่วมงานด้วยนะ”

คำพูดของพสุทำให้ณิสรินทร์รู้สึกมีพลัง นึกอยากลองทำตามที่เขาแนะนำ แต่นอกเหนือจากเรื่องการประกวดแล้ว เมื่อเขาพูดถึงผลงานในห้องเรียนครั้งนี้ขึ้นมาก็ทำให้เธออยากรู้คำตอบบางอย่าง

หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มพลางถามกลับอย่างจริงจัง 

“คุณคิดว่างานของฉันวันนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอคะ” เดิมทีเธอไม่มั่นใจเลยว่าคอนเซปต์และภาพร่างของตัวเองจะได้ผลลัพธ์ในทางที่ดี ณิสรินทร์อยากรู้เหลือเกินว่าเขาคิดอย่างที่พูดกับเธอในห้องเรียนจริงๆ หรือไม่ 

“ครับ?” พสุย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ ณิสรินทร์จึงย้ำคำถามอีกครั้ง 

“งานของฉันวันนี้ คุณคิดอย่างที่พูดในห้องหรือเปล่าคะ คุณพอใจกับ ‘ความรัก’ ที่ฉันวาดจริงๆ เหรอคะ”

จบคำเธอ รอบข้างทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่ง ณิสรินทร์ตั้งใจมองคนตรงหน้า ไม่อยากพลาดทุกสีหน้าและความรู้สึกที่จะปรากฏบนใบหน้าของเขาต่อจากนี้ เดิมทีที่คิดว่าจะเห็นความสงสัยหรือความรู้สึกอื่นๆ ของชายหนุ่ม ทว่าสิ่งที่พสุแสดงออกมามีเพียงความปีติยินดี ความรู้สึกยินดีบนใบหน้าเขาทำให้เธอไม่เข้าใจจนหลุดปากเสียงแผ่ว

“คุณ...”

“ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ ครับ” พสุเว้นจังหวะหายใจไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเธออย่างหนักแน่นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าในห้องเรียนเสียอีก 

“เดิมทีไม่มีใครนิยามให้ความรักมีแต่เรื่องสวยงามนี่ครับ ผมไม่คิดว่าภาพของคุณจะมีปัญหา และถ้าคุณกังวลว่าผมจะผิดหวังที่เห็นมัน คุณก็ลืมไปได้เลย ผมกลับดีใจมากกว่าที่ได้เห็นความรักผ่านสายตาของคุณ”

คำตอบนี้แฝงความหมายที่ทั้งออดอ้อนแกมหยอกเย้าขณะพูด รอยยิ้มบนริมฝีปากและดวงตาของพสุทั้งลุ่มลึกและเข้มเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกราวกับกำลังถูกต้อนให้จนมุมช้าๆ ร่างกายถูกคำพูดของเขาสะกดจนนิ่งงัน ลืมแม้กระทั่งจะสร้างปราการเหล็กในใจเพื่อต่อต้านความใกล้ชิดจากอีกฝ่าย 

“คุณเอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง ไม่ยอมให้ใครแวะเข้าไปหา ไม่ยอมเปิดใจให้ใครเข้าไป ผมจึงได้แค่พยายามเพื่อจะรู้ว่าในใจคุณคิดอะไรอยู่ เพราะแบบนี้หัวข้องานชิ้นสุดท้ายในฐานะอาจารย์พิเศษจึงเป็นคุณไงครับ...รูท”

พสุโน้มตัวลงมาใกล้จนระยะห่างที่เธอเคยคิดว่าเหมาะสมค่อยๆ ถูกทำลายลงอย่างเชื่องช้า

“รู้ไหมครับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมแอบใช้อำนาจในหน้าที่การงานเพื่อเรื่องส่วนตัว”

ระหว่างนั้นณิสรินทร์ไม่รู้เลยว่าเธอควรจะตกใจเรื่องไหนก่อน ระหว่างเรื่องที่เขาจงใจกำหนดหัวข้องานเพื่อค้นหาความลับในใจเธอ หรือเรื่องที่เจ้าชายของใครหลายคนมีอีกด้านที่คาดไม่ถึง เวลานั้นเองที่เมฆบนฟ้าเคลื่อนผ่านดวงอาทิตย์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้แสงแดดจากด้านนอกสาดผ่านหน้าต่างบนผนังสุดปลายทางเดิน อาบย้อมทางเดินที่มืดสลัวให้สว่าง และอาบไล้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของชายหนุ่ม ยามที่เรือนผมสีน้ำตาลเข้มต้องแดดแล้วมันดูสว่างกว่าเดิม เปลี่ยนบรรยากาศเจ้าเล่ห์แสนกลของชายหนุ่มให้ดูนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นมาทันตา

ณิสรินทร์กะพริบตาช้าๆ มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ร่างสูงโปร่งที่โอบล้อมด้วยแสงสีทองอ่อนนี้แทบไม่ต่างจากภาพฝันตื่นหนึ่งที่จับต้องไม่ได้ ราวพสุที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ไม่มีตัวตน หากเธอคลาดสายตาไปเพียงเสี้ยววินาที เขาก็อาจจะหายไปในพริบตา

แต่ที่ประหลาดก็คือ หัวใจของเธอที่ไม่คิดว่าจะสั่นไหวเพราะใครหรือสิ่งใดกลับบีบรัดเข้าหากัน แม้แต่จังหวะการเต้นที่หนักแน่นและมั่นคงเสมอมาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ในหูมีเสียงหัวใจดวงนี้เต้นดังขึ้นมาทีละนิดจนกลบเสียงรอบข้างทั้งหมด หญิงสาวยกมือแตะเหนืออกข้างซ้าย ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของมัน พร้อมกันนั้นก็เข้าใจแล้วว่าสายตาของชายหนุ่มที่เธอไม่รู้ความหมายนั้นคืออะไร

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววินาทีสั้นๆ เป็นดั่งช่วงเวลาต้องมนตร์ที่ไม่อยากลบเลือน

ที่แท้ความรู้สึกของการหลงใหลในบางสิ่ง...มันเป็นเช่นนี้เอง 

               

               กว่าจะกลับมามีสติได้อีกครั้ง ความรู้สึกที่โลดแล่นลอยขึ้นสูงไม่ต่างจากลูกโป่งสวรรค์ก็แฟบแบน ค่อยๆ หมดลม ลอยต่ำกลับมาอยู่จุดเดิม เมื่อเห็นนัยน์ตาพราวระยับที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจของชายหนุ่มแล้ว ณิสรินทร์ก็รีบถอนสายตากลับมาโดยเร็ว

               “ด้วยสถานะของคุณตอนนี้ไม่คิดว่าจะมีปัญหาหน่อยเหรอคะ”

               ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มจางๆ พลางขยับตัวถอยกลับไป เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหญิงสาวเต็มไปด้วยการประชดประชัน แต่เขาก็ยังพูดทั้งหัวเราะ

“ปกติโจทย์สำหรับการทำงานในแต่ละปีก็เปลี่ยนตามผู้สอน ที่ผมบอกเพราะว่าไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังนี่ครับ...โดยเฉพาะกับคุณ”

               คำตอบของคนตรงหน้าทำให้สมองของเธอว่างเปล่า ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากพสุ แต่ไม่ทันไรอีกฝ่ายก็ยิ้มเป็นเชิงเย้าแหย่ พูดขึ้นมาอีกครั้ง 

“กำลังคิดอยู่ใช่ไหมว่าตกลงผมเป็นยังไงกันแน่” 

ณิสรินทร์เม้มปาก ขยับถอยห่างออกมาอีกสองสามก้าว ดวงตาที่ฉายแววดื้อดึงของหญิงสาวจับจ้องใบหน้าอาจารย์หนุ่มโดยไม่คิดจะเบนหลบ 

“ไม่ค่ะ แต่ฉันรู้อยู่อย่างหนึ่ง”

               “อะไรครับ”

               “ก็รู้ว่าควรอยู่ห่างๆ คุณไว้ไงคะ”

               พูดจบแววตาของชายหนุ่มก็ไหววูบ ทว่าเสี้ยววินาทีสั้นๆ ก็กลายเป็นประกายวาววับด้วยความพอใจ

               “เพราะอะไรครับ”

               “ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอคะ” เธอสวนตอบทันทีด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่อยากยอมพ่ายแพ้ให้แก่คำพูดของพสุง่ายๆ ในใจถึงได้ปลุกความกล้าขึ้นมาตอบโต้เขาอย่างไม่นึกเกรงกลัว 

“อาจารย์พสุช่วยวางตัวกับนักศึกษาให้เหมาะสมด้วยค่ะ” พอนึกถึงแขนขาวเนียนของนักศึกษาหญิงคนอื่นที่วางบนท่อนแขนของชายหนุ่มตรงหน้า น้ำเสียงที่ใช้ก็ให้ความรู้สึกเย้ยหยันมากกว่าประชดประชัน 

“ท่าทางอาจารย์จะสนิทชิดเชื้อกับนักศึกษาต่างเพศเกินไปหน่อยนะคะ” ขณะพูดก็ไม่ลืมเลิกคิ้วและกวาดตามองอีกฝ่าย “ไม่แค่กับฉัน คุณก็ดูสนิทชิดเชื้อกับคนอื่นๆ ได้ดีไม่แพ้กันเลย”

คนฟังเลิกคิ้วอย่างสงสัย เขามั่นใจว่านอกจากร่างบางตรงหน้าแล้ว กับคนอื่นๆ เขาก็เว้นระยะห่างอย่างเหมาะสมเสมอ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่แกมไปด้วยคลื่นอารมณ์ไม่พอใจของหญิงสาวแล้ว พสุกลับนึกสนุก อยากเย้าแหย่ลูกแมวตัวร้ายตรงหน้าอีก 

“เรื่องนี้ผมเป็นผู้เสียหาย ถ้าไม่มีหลักฐานคุณจะพูดแบบนี้ไม่ได้นะครับ”

               “คุณรู้แก่ใจดีอยู่แล้วค่ะว่าจริงหรือไม่จริง” 

วาจาของหญิงสาวยังคงเย็นชาและเชือดเฉือน นัยน์ตาหงส์ปราดมองตอบอย่างไม่ยอมแพ้ ณิสรินทร์ไม่ทันสังเกตเห็นประกายเจ้าเล่ห์จากนัยน์ตาพสุ วินาทีถัดมาถึงได้ตกเป็นรองท่าทางนิ่มนวลที่ซุกซ่อนไปด้วยหลุมพรางของชายหนุ่มเข้าอีกครั้ง 

               พสุโน้มตัวเข้ามาใกล้ร่างเล็ก ผินหน้ากระซิบชิดหูอีกฝ่ายเบาๆ 

               “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องรู้สิครับรูท ว่านอกจากคุณก็ไม่มีคนอื่น”

               ลมหายใจอุ่นๆ ระผ่านใบหูลงมาถึงต้นคอจนคนฟังสะดุ้งเฮือก รีบขยับตัวถอยออกมา พอดีกับที่ณิสรินทร์หันไปมองอีกฝ่าย ช่วงเวลานั้นเองที่ปลายจมูกของทั้งคู่สัมผัสกันเบาๆ 

               เนื่องจากพสุโน้มตัวลงมา ทำให้ความต่างด้านส่วนสูงระหว่างพวกเขาลดลง ชายหนุ่มเฝ้ามองคนตรงหน้าอย่างละเอียด ใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มเครื่องสำอางอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่นิ้ว เป็นครั้งแรกที่พสุสังเกตเครื่องหน้าอันงดงามของณิสรินทร์ได้อย่างชัดเจน ไล่ตั้งแต่ขนตายาวสีเข้มเรียงเป็นแพ เมื่อหญิงสาวขยับเปลือกตาก็ไม่ต่างจากการปีกผีเสื้อที่กำลังโบยบิน

เขาค่อยๆ เลื่อนสายตาลงมาสบนัยน์ตาที่แฝงแววดื้อดึงของอีกฝ่าย ทันใดนั้นนัยน์ตาคู่ตรงหน้ากลับสาดแววลุ่มลึก ท่าทางเขินอายที่ควรจะเป็นกลับเปลี่ยนเป็นยโสถือดี ราวกับเธอคือแม่มดตัวร้ายที่กำลังต่อกรหยอกล้อเด็กๆ ที่ไร้เดียงสา 

ณิสรินทร์ไม่ได้ก้าวหลบ ทั้งยังจงใจขยับใบหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด ก่อนจะเป็นฝ่ายพูดชิดริมฝีปากเขาเบาๆ 

“ฉันไม่ใช่หมูในอวยให้คุณมาหยอกเล่นด้วยง่ายๆ หรอกนะคะ”

ใบหน้างดงามของหญิงสาวค่อยๆ เคลื่อนออกห่างอย่างเชื่องช้า พสุถึงได้เห็นรอยยิ้มเยาะมุมปากของอีกฝ่ายชัดๆ แววตาแปรเปลี่ยนเป็นความลึกล้ำที่ยากจะคาดเดาความคิดของเธอได้ 

แม้ว่าร่างระหงจะขยับตัวออกไปแล้ว แต่กลิ่นอายหอมหวานของเธอยังคงอ้อยอิ่งอยู่รอบตัว คล้ายกับว่านี่เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง ทว่าพสุกลับรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เพราะหากมันเป็นฝันของเขาจริงๆ สายตาของณิสรินทร์คงไม่เผยความห่างเหินแสนเย็นชาเช่นนี้ 

นักศึกษาสาวหัวเราะเยาะเบาๆ ในลำคอ เมื่อระยะห่างของพวกเขากลับมาเป็นดังที่ควรจะเป็นแล้ว เจ้าตัวถึงได้พูดขึ้นอีกครั้ง 

“จะให้ฉันเชื่ออะไรกับคำพูดสวยๆ ของคุณกันคะ แต่ฉันว่าอย่าเสียเวลาเปล่าเลยค่ะ เพราะว่าตอนนี้หมดเวลาที่คุณจะเล่นสนุกได้แล้ว”

ทั้งคำพูด น้ำเสียง และแววตาของหญิงสาว เห็นได้ชัดถึงความห่างเหิน กระแสเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากณิสรินทร์เป็นดั่งปราการชั้นยอด ยิ่งพยายามเข้าใกล้เท่าไร อีกฝ่ายก็ยิ่งพร้อมจะปิดกั้นตัวเองออกจากตำแหน่งเดิมเท่านั้น พสุยังคงท่าทีใจเย็นของตัวเองเอาไว้ รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ คงมีแต่ดวงตาเท่านั้นที่เป็นประกายอย่างเลือนรางไม่ต่างจากแสงสลัวของเปลวไฟท่ามกลางม่านหมอก

“ใครว่าผมเสียเวลาล่ะรูท คุณก็น่าจะรู้ดีไหมใช่เหรอว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่า”

แพขนตายาวของณิสรินทร์หลุบต่ำบดบังความรู้สึกในดวงตา ทำให้พสุไม่สามารถอ่านความคิดใดๆ ของอีกฝ่ายได้ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาดวงตาที่เขาเฝ้ามองหาก็เลื่อนขึ้นมาสบประสาน ใบหน้างดงามนิ่งสงบไม่ต่างจากผิวน้ำ ตามด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน ตัดรอนไมตรีของตนด้วยประโยคเดียว

“มันไม่คุ้มค่าหรอกค่ะ”

               ณิสรินทร์กลับมาถึงหน้าหอพักด้วยความรู้สึกวูบโหวงในอกเล็กน้อย หลังจากที่ให้คำตอบอาจารย์หนุ่มแล้ว เธอก็สะบัดหน้าเดินจากมาโดยไว ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อนึกถึงวินาทีที่ได้สัมผัสและเข้าใจความรู้สึกหลงใหลในบางสิ่งเป็นครั้งแรกก็ต้องหักใจ ห้ามไม่ให้นึกถึงความรู้สึกเหล่านี้อีกก่อนจะถลำลึกลงไปถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับได้ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงดวงตาดำขลับของพสุที่พยายามมองลึกเข้ามาในใจเธอ หัวใจที่นิ่งสงบก็สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไว จนสมองต้องรีบสั่งให้หยุดคิดถึงอีกฝ่าย ภาวนาให้ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นเป็นแค่อารมณ์อ่อนไหวชั่วครู่เท่านั้นพอ

               “รูท!”

เสียงแหบต่ำของชายวัยกลางคนทำให้เท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก ณิสรินทร์ผินหน้าไปมองต้นเสียงอย่างลืมตัว กระทั่งเห็นอีกฝ่ายแล้ว ใบหน้าที่นิ่งสงบก็เผยความเย็นชาระคนรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง 

               “มีอะไร” 

น้ำเสียงของหญิงสาวเย็นจัด ไม่มีความนอบน้อมใดๆ ให้อีกฝ่าย เดิมทีณิสรินทร์ก็ไม่เคยยอมรับหรือให้ความเคารพเขาอยู่แล้ว แต่สำหรับศิรชัช น้ำเสียงของลูกเลี้ยงทำให้เขามีน้ำโหอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดถึงธุระสำคัญที่ตัวเองแบกหน้ามาหาถึงที่แล้ว เขาก็ต้องข่มอารมณ์แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจท่าทีต่อต้านของอีกฝ่าย รีบเอ่ยเสียงอ่อน ทำตัวให้ดูน่าสงสารมากที่สุด 

               “แม่แกอยู่โรงพยาบาล อยากให้แกช่วยไปดูแม่หน่อย”

               ศิรชัชแสร้งดัดเสียงให้สั่นเครือ แม้แต่มือไม้ก็สั่นตามความคิด ขณะเดียวกันก็สังเกตความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านวลของลูกเลี้ยงทุกระเบียบนิ้ว จนเขาเห็นประกายหวั่นไหวในดวงตาอีกฝ่าย ก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดหาอัลบัมภาพให้หญิงสาวดูรูปภรรยาที่กำลังนอนเจ็บอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลทันที

               “นี่ไง! แม่แกเจ็บจริงๆ นะ เธออยากเจอแกเลยให้ฉันมาหา ก่อนหน้านี้พวกฉันทำตัวไม่ถูกเอง ยังไงเขาก็แม่ จะไม่ดูดำดูดีกันได้เหรอ”

               “หมอว่ายังไงบ้าง”

               ศิรชัชแทบจะเก็บความตื่นเต้นไม่อยู่เมื่อเห็นลูกเลี้ยงไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนตอนแรก แต่เพราะกลัวจะเผยพิรุธจนผิดสังเกต ถึงค่อยๆ ตอบเสียงแผ่ว

               “เมื่อเช้าลิตาตกบันได หัวแตก แล้วก็ข้อเท้าพลิก หมอบอกกระทบถึงเส้นเอ็น” 

               เมื่อณิสรินทร์ได้ยินแล้ว ในใจเธอก็สับสนขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าต้องแสดงความเป็นห่วงผู้เป็นแม่อย่างไรดี เพราะตั้งแต่จำความได้ อีกฝ่ายไม่เคยเห็นลูกสาวอย่างเธอมีตัวตน ยามที่เธอเจ็บป่วยเป็นไข้ แม่ของเธอก็ไม่เคยอยู่ข้างๆ เธอไม่เคยได้รับความห่วงใยใดๆ มีเพียงเสียงก่นด่าสาปส่งที่แผดลั่นใส่ 

               ‘อย่ามาตายที่บ้านฉัน ไปตายไกลๆ’

               ‘กับอีแค่ไข้หวัด อย่าริอ่านมาสำออยต่อหน้าฉัน รีบไปทำงานบ้านเดี๋ยวนี้ อย่าให้เห็นว่าแกอู้งานเชียวนะ ไม่อย่างนั้นแกได้ตายเพราะฉัน ไม่ใช่ไข้หวัดแน่ๆ’

               ‘อย่าเอาเชื้อโรคมาติดฉันเชียวนะอีรูท กินยาแล้วไปอยู่ห่างๆ เลยนะ’

               คำพูดอีกมากมายที่ผู้เป็นแม่ฝากไว้ในใจเธอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพอ่อนแอแล้ว ณิสรินทร์จึงรู้สึกว่างเปล่าและเฉยเมย แต่เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของพ่อเลี้ยงแล้ว ณิสรินทร์ก็คิดได้อย่างแรกเลยว่าพวกเขาคงมีปัญหาอะไรสักอย่างที่แก้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเหตุผลใดอีกที่ผู้เป็นแม่ต้องการเจอเธอ 

               “ค่ารักษาเท่าไหร่” เธอถามอีกฝ่ายเสียงเรียบพร้อมกับเฝ้ามองดวงตาของชายวัยกลางคนตรงหน้าที่เบิกกว้างเล็กน้อย เขาส่ายหน้าเป็นพัลวัน 

               “ไม่ๆ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ฉันไม่ได้จะมาขอเงิน แต่แม่แกอยากให้แกไปหาเขาจริงนะรูท”

               คำพูดนี้เผลอทำให้ณิสรินทร์หลุดหัวเราะสั้นๆ ยิ่งแววตาของเธอส่อประกายดูแคลนมากขึ้นเท่าไร สีหน้าของศิรชัชก็ยิ่งเจื่อนลงเรื่อยๆ หญิงสาวกอดอก ปรายตามองศิรชัชอย่างค้นหา รู้สึกชัดเจนว่าแล้วว่าสองสามีภรรยาคู่นี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล คำถามต่อมาของตนจึงเป็นการหยั่งเชิงอีกฝ่าย

               “ปกติแม่ไม่อยากเห็นหน้าฉันอยู่แล้ว คุณก็รู้ ถ้าไม่ใช่เรื่องเงินพวกคุณสองคนก็ไม่มาหาฉันหรอก จริงไหม”

               ริมฝีปากเรียวบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน นัยน์ตาหงส์ฉายแววถือดียามมองคนตรงหน้าอย่างเหยียดหยาม

               เดิมทีศิรชัชไม่เคยยอมเป็นลูกไล่ให้ใครบี้ต้อนให้จนมุม เมื่อเห็นลูกเลี้ยงแสดงท่าทีรังเกียจและหยามหยันตัวเองอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เขาก็แทบจะระเบิดโทสะออกมา ทว่าเมื่อนึกถึงผลประโยชน์ที่ตนจะสูญเสียไปเพราะอารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบแล้ว ชายวัยกลางคนก็รีบสูดลมหายใจลึก ข่มความโกรธในใจ รีบปรับน้ำเสียงให้ดูนอบน้อมต่อหญิงสาวตรงหน้าแทน

               “พูดอะไรแบบนั้นล่ะรูท ความจริงลิตาก็นึกถึงแกเสมอ ไม่ผิดที่แกยังโกรธพวกเราอยู่ แต่ครั้งนี้ลิตาอยากเจอหน้าแกจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเราทำตัวไม่ดีเอง เห็นแก่ลิตา ไปดูเธอกับฉันหน่อยเถอะนะ”

               “คุณอยู่กับแม่มานานไม่ใช่เหรอ ก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าต่อให้ฉันไปก็มีแต่จะทำให้แม่อารมณ์เสีย”

               “ไม่ๆ ครั้งนี้ลิตาพูดเองเลยว่าอยากเจอแก นี่เลิกเรียนแล้วใช่ไหม งั้นไปด้วยกันเถอะ เดี๋ยวจะค่ำ”

               ศิรชัชไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมมือเข้ามาหวังคว้าท่อนแขนผอมบาง แต่ณิสรินทร์ซึ่งสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายอยู่แล้วเบี่ยงตัวหลบพร้อมก้าวถอยหลังอีกสองสามก้าว  

“ไม่ไป ไม่ว่าง” 

ครั้งนี้คำปฏิเสธของณิสรินทร์นอกจากห้วนสั้นแล้วยังเจืออารมณ์คุกรุ่น เธอเฝ้ามองสีหน้าของพ่อเลี้ยงที่แดงก่ำเพราะความโกรธ แต่ท้ายที่สุดศิรชัชก็ยังเก็บกลั้นอารมณ์ไว้ ไม่ยอมเผยธาตุแท้ออกมา มีเพียงแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเพราะความโมโหให้เห็นเล็กน้อยเท่านั้น 

               “ฮึ่ม! ยายรูท ฉันขอละ แม่แกอยากเจอแกจริงๆ แค่ไปที่โรงพยาบาลแป๊บเดียวมันจะอะไรนักหนา” 

               “แล้วทำไมแม่ถึงอยากเจอฉันนัก ถ้าไม่ใช่เรื่องค่ารักษาพยาบาลแล้วจะเรื่องอะไรอีก”

               หญิงสาวถามหยั่งเชิงพ่อเลี้ยงอีก ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าสุดออกสุด อารมณ์ที่ร้อนระอุดูเหมือนจะเย็นลง ตามมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

               “ฉันก็ไม่รู้ ตั้งแต่ที่อยู่โรงพยาบาล ลิตาก็เอาแต่ขอให้ฉันมาหาแก บอกว่ายังไงก็จะเจอแกให้ได้ ไปเถอะ ลิตาอยากเจอแกจริงๆ แกเป็นลูกคนเดียวของเธอนะ”

               ถึงศิรชัชจะตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องราวอันงดงามให้เธอสักเท่าไร แต่ณิสรินทร์ก็ไม่อาจเชื่อคำพูดนี้ได้สนิทใจ เธอยิ้มมุมปาก ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเดินตามเกมของสองสามีภรรยาดูสักตั้ง นึกอยากรู้เหมือนกันว่าที่พวกเขาดึงดันจะพบหน้ากันให้ได้เช่นนี้เป็นเพราะสาเหตุอะไรแน่ 

               “แค่ไปให้เห็นหน้าก็พอใช่ไหม”

               คำพูดที่เป็นเชิงตอบรับทำให้สีหน้าของคนที่กำลังเล่าเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาพลันเปลี่ยนเป็นปีติยินดี แววตาเจ้าเล่ห์ของชายวัยกลางคนเปล่งประกายจนณิสรินทร์ต้องยิ่งระวังตัว 

               “มาทางนี้เลย ลิตาต้องดีใจมากแน่ๆ ที่เห็นแก” ศิรชัชพูดไปยิ้มไป เขารีบปรี่ไปยังลานจอดรถด้านนอกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว 

พอเห็นรถคันใหม่ที่จอดอยู่ ณิสรินทร์ก็อดถามอีกฝ่ายไม่ได้ 

               “คุณซื้อรถใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

เธอไม่ได้ตื่นเต้นไปกับรถยนต์ป้ายแดงที่อยู่ตรงหน้า กลับกันนัยน์ตาคมรีบตวัดมองใบหน้าของพ่อเลี้ยงอย่างรวดเร็ว 

               “คันนี้เหรอ เป็นรถในตำแหน่งน่ะ ตอนนี้ฉันทำงานเป็นคนขับรถให้พวกระดับบิ๊กๆ ฉันถือโอกาสที่วันนี้ไม่ต้องขับไปไหนเอารถมาใช้ก่อน ไอ้เรื่องปล่อยเงินกู้อะไรนั่นไม่เอาแล้ว อยู่แบบนี้สิสบาย เงินก็มี รถก็มี” พูดไปศิรชัชก็หัวเราะร่า รีบเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ ขณะเดียวกันก็เรียกให้เธอตามขึ้นมาเร็วๆ 

               “เอ้า ไปเถอะ ถ้าช้ากว่านี้จะหมดเวลาเยี่ยมนะ”

               ณิสรินทร์ตามขึ้นรถไป ในใจยิ่งคิดซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จากวันสุดท้ายที่พบหน้าพ่อเลี้ยงจนถึงวันนี้ยังไม่ถึงสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายกลับเปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เธอไม่เชื่อแน่ๆ ว่าการที่เขาและผู้เป็นแม่คะยั้นคะยอให้เธอไปหาจะนับว่าเป็นเรื่องดีๆ 

ระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล แม้หญิงสาวจะนิ่งเฉย แต่สายตากลับจับจ้องรอบด้านอยู่เสมอ หากศิรชัชมีท่าทีแปลกๆ เธอก็พร้อมจะตอบโต้ทันที กระทั่งรถเลี้ยวเข้าเขตโรงพยาบาล ณิสรินทร์ก็คลายความกังวลลงเล็กน้อย เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่เปลี่ยว แถมยังมีบุคลากรของโรงพยาบาลอยู่ประจำจุดต่างๆ หากอีกฝ่ายมีแผนการร้ายจริงๆ เขาคงไม่สิ้นคิดทำอะไรอุกอาจในที่แห่งนี้ บางทีการมาโรงพยาบาลอาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น 

               เธอกับพ่อเลี้ยงเดินไปตามทางในอาคารผู้ป่วยนอก แต่คนที่ควรจะนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องกลับนั่งอยู่บนรถเข็นผู้ป่วยหน้าห้องแทน ณิสรินทร์กวาดตามองทั่วทั้งร่างของผู้เป็นแม่ ข้อเท้าขวาเข้าเฝือกอ่อนไว้ ส่วนศีรษะก็พันผ้าพันแผลไว้อย่างเป็นระเบียบ สีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายยังคงดูแจ่มใส ไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่พบหน้ากัน

               “ยายรูท แกมาแล้ว!”

               ณิสรินทร์เห็นท่าทางกระตือรือร้นตื่นเต้นดีใจของอีกฝ่ายแล้วก็ชะงัก ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรวางตัวอย่างไรต่อไป อีกทั้งด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่เคยได้ใกล้ชิดไปมากกว่านี้ หญิงสาวจึงทำได้เพียงพยักหน้าคล้ายรับรู้ ถามไถ่อาการบาดเจ็บของคนตรงหน้าแทน

               “แม่เป็นยังไงบ้าง”

               “จะเป็นอะไรล่ะ เจ็บไปหมดทั้งตัว ดีที่ไม่คอหักตายไปก่อน! ว่าแต่แกมาก็ดีแล้ว ฉันอยากเจออยู่พอดี”

               ณิสรินทร์เลิกคิ้วมองผู้เป็นแม่อย่างนึกประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่คลายความกังวลทั้งหมดลง

               “ทำไม หรือว่าเงินแม่ไม่พอใช้ ถึงได้อยากเจอฉัน”

               “เอ๊ะ ยายเด็กนี่ ฉันเพิ่งรอดตายมา แทนที่แกจะกังวลว่าฉันจะเป็นอะไรไหม มาถึงก็พูดแต่เรื่องเงินๆ ทำไม คนเป็นแม่จะอยากเจอหน้าลูก อยากกินข้าวด้วยกันมันแปลกตรงไหนฮะ”

               ยังไม่ทันที่ณิสรินทร์จะได้ตั้งตัวดีๆ ผู้เป็นแม่ก็จับมือเธอไว้โดยเร็ว

               “จะมายืนบื้อทำไมล่ะ มาเข็นรถให้ฉัน หมอบอกพักฟื้นที่บ้านได้ เราก็กลับกัน ฉันไม่ชอบอยู่โรงพยาบาล บรรยากาศไม่จรรโลงใจเลย ไปๆ วันนี้ให้พ่อแกเลี้ยงข้าว แกต้องชอบแน่”

               แม้จะไม่ค่อยชอบใจคำว่า ‘พ่อแก’ ที่คนเป็นแม่ว่านัก แต่ณิสรินทร์ก็ไม่คิดจะทำลายบรรยากาศนี้ด้วยการชวนทะเลาะ ถึงศิรชัชจะมีฐานะเป็นพ่อเลี้ยงก็จริง และต่อให้แม่ยกฐานะเขาให้เป็น ‘พ่อ’ ของเธอก็ตาม ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอีกฝ่ายเป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น หญิงสาวเลือกไม่ใส่ใจคำเรียกนั้น พร้อมก้มมองสำรวจบริเวณข้อเท้าของแม่ที่เข้าเฝือกอ่อนอย่างละเอียดอีกครั้ง

               “แต่แม่เจ็บข้อเท้าไม่ใช่เหรอ ไปที่ร้านไม่คงไม่สะดวก แม่อยากกินอะไรซื้อไปกินที่บ้านเถอะ” 

               “แกเป็นหมอหรือไง ถึงรู้ว่าอะไรได้ไม่ได้”

               นัยน์ตาคมวาววับของผู้เป็นแม่ตวัดมองอย่างขุ่นเคืองเมื่อถูกขัดใจ ณิสรินทร์เห็นบาดแผลและขาที่เจ็บของอีกฝ่ายแล้วก็ลังเลขึ้นมา จริงอยู่ที่เธอกับผู้เป็นแม่ไม่เคยมีความทรงจำดีๆ ระหว่างกันให้เก็บไว้ในใจเลยสักครั้ง แต่ในเมื่ออยากรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย ณิสรินทร์จึงแสร้งยอมถอยให้สักก้าว แต่ก็ไม่ลืมทดสอบบางอย่างด้วย

               “งั้นฉันขอไปคุยกับหมอของแม่ก่อน สามีแม่เขามีงานแล้วนี่ จะว่างดูแลเหรอ ฉันจะไปถามเรื่องที่ต้องระวังกับหมอก่อน เผื่อให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อน”

พูดจบณิสรินทร์ก็ทำท่าจะก้าวเข้าไปติดต่อพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์ แต่ผู้เป็นแม่ก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง ทั้งยังคว้ามือเธอไว้แน่นราวกับไม่ต้องการให้เธอไปไหน 

               “ทำไม” หญิงสาวหันไปถามอย่างกังขา ดวงตาคมจ้องมองผู้เป็นแม่นิ่งงัน ไม่พลาดที่จะเห็นนัยน์ตาหลุกหลิกอยู่ไม่สุขของอีกฝ่าย จนเธอต้องขยับฝีเท้าเข้าไปใกล้รถเข็นผู้ป่วยพลางกดเสียงต่ำถามอีกครั้ง

               “นี่ฉันเป็นห่วงแม่ไง ให้ฉันไปถามหมอไม่ดีกว่าเหรอ”

               “โอ๊ย! แกจะวุ่นวายทำไม หมอเขาว่าอะไรมาฉันกับพ่อแกรู้หมดแล้ว จะไปทำไมอีก เสียเวลา คิดว่าหมอเขาว่างเจอหรือไง อีกอย่างฉันหิว! ได้ยินไหมว่าหิว ไปๆ ไม่ต้องเสียเวลา!”

               ท่าทางโมโหกลบเกลื่อนเช่นนี้ดูอย่างไรก็มีพิรุธ ณิสรินทร์ปรายตามองศิรชัชซึ่งอยู่ข้างๆ กัน แต่อีกฝ่ายยังคงรักษาความสงบของสีหน้าเอาไว้ได้ดีเยี่ยม เขาวางมือบนไหล่ภรรยาก่อนพูดเสียงนุ่มนวลอย่างใจเย็น

               “ไม่ต้องไปหรอกรูท อย่างที่แม่เขาว่า พวกเรารู้แล้วว่าต้องดูแลตัวเองยังไง อีกอย่างจะไปจะมาบ้านกับมหาวิทยาลัยให้เสียเวลาทำไม ไม่ต้องคิดมากหรอก ฉันมีเวลาดูแลลิตาเขาอยู่แล้ว”

               พอคนเป็นสามีเปิดทางแล้ว ลลิตาซึ่งใจกำลังเต้นกระหน่ำเพราะเผลอแสดงท่าทางลนลานออกไปก็สงบใจได้ในทันที 

               “ใช่ ตามที่พ่อแกเขาพูดนั่นแหละ ไปๆ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว แกจะตามใจฉันสักหน่อยไม่ได้หรือไง”

               ณิสรินทร์รู้ตัวว่าถ้าเธอตามน้ำสองคนตรงหน้าไปก็คงตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองเหมือนแมลงตัวเล็กๆ ในกับดักของแมงมุม แต่เพราะส่วนหนึ่งย่ามใจว่าตนไม่มีวันเสียเปรียบสองสามีภรรยาง่ายๆ อีกแล้ว และแรงกระตุ้นในใจที่อยากพิสูจน์ความจริงบางอย่าง ต่อให้อาหารมื้อนี้มีวัตถุประสงค์ใดแอบแฝงก็ตาม คำพูดปฏิเสธที่คิดไว้จึงเปลี่ยนเป็นการโอนอ่อนตามคนทั้งคู่ไปโดยปริยาย

               “ตามใจแม่ก็แล้วกัน แล้วนี่จ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยหรือยัง”

               “เสร็จแล้ว พ่อแกเขาจัดการให้หมดแล้ว ไปๆ กินข้าว ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”

               เธอหลุบตามองถุงยาของโรงพยาบาลที่อีกฝ่ายพยายามเบี่ยงหลบไม่ให้เห็น ก่อนจะยิ้มมุมปาก เดินตามศิรชัชซึ่งขยับตัวมาเข็นรถเข็นผู้ป่วยไปยังทางออกเงียบๆ 

               พวกเขาสามคนเดินออกจากโรงพยาบาล ตลอดทางศิรชัชคอยถามไถ่อาการของภรรยาที่รักด้วยความเอาใจใส่ ขณะเดียวกันณิสรินทร์ซึ่งเดินตามมาด้วยก็ไม่เอ่ยแสดงความคิดเห็นอะไร คอยเฝ้าสังเกตท่าทางของทั้งสองคนตรงหน้าอย่างตั้งใจด้วยความระแวดระวัง ไว้ตัว และไม่วางใจ

กระทั่งพวกเขามาถึงทางเข้าโรงแรมรัตนเวคินทร์ ณิสรินทร์ก็หันไปถามพ่อเลี้ยงในทันที

               “ที่ว่าจะกินข้าวคือที่นี่เหรอ”

               ณิสรินทร์มาทำงานที่นี่บ่อยจนคุ้นเคยกับสถานที่ไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากที่โรงแรมรัตนเวคินทร์มีการปรับปรุงภายในและพื้นที่บางส่วนแล้ว นอกจากรูฟทอปบาร์ที่กลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงจนขาจรและขาประจำแวะเวียนมาไม่ขาดสาย ห้องอาหารปรับปรุงใหม่ของที่นี่ก็ได้รับความนิยมขึ้นมาไม่แพ้กัน ถึงราคาอาหารแต่ละเมนูจะเริ่มต้นที่หลักร้อยไปจนแตะหลักพัน ณิสรินทร์ก็ไม่คิดว่าทั้งสองคนตรงหน้าจะตัดใจยอมจ่ายเพื่อกินหรูในหนึ่งมื้อได้ลงจริงๆ 

               “ทำไม แกมีปัญหาอะไรอีก ฉันจะกินอะไรยังต้องขอความเห็นแกด้วยเหรอ” น้ำเสียงของผู้เป็นแม่เผยความหงุดหงิดฉุนเฉียวอย่างชัดเจน ยิ่งพูดอีกฝ่ายก็ยิ่งชักสีหน้า ถลึงตาค้อนควัก จนณิสรินทร์ต้องอธิบาย

               “ฉันแค่สงสัย ไม่คิดว่าแม่อยากจะกินข้าวที่นี่ อีกอย่างมื้อนี้แม่บอกว่าคนของแม่จะจ่าย ฉันจะมีปัญหาอะไรล่ะ”

               “แกจะทำให้ฉันสบายใจสักวันหน่อยไม่ได้หรือไงอีรูท” 

ลลิตาถลึงตา อยากจะยกมือฟาดสั่งสอนที่ชอบทำให้เสียอารมณ์สักครั้ง แต่พอสามีตบหลังมือเธอเบาๆ คล้ายจะบอกความนัยที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันแล้ว เธอก็พ่นลมหายใจแรงๆ พลางสะบัดหน้าหนีคนเป็นลูก...อย่างน้อยไม่มอง จะได้ไม่อารมณ์เสียไปมากกว่านี้ สู้เตรียมยิ้มรับให้โชคหล่นทับที่จะเข้ามาเร็วๆ นี้ดีกว่า

               “สาวๆ อย่าเพิ่งโมโหไปเลย รูทไม่ต้องกังวล มื้อนี้ฉันมีจ่ายแน่นอน”

               ศิรชัชพูดพลางหัวเราะ นัยน์ตาของชายวัยกลางคนเป็นประกายแวววับ ก่อนที่เจ้าตัวจะลงจากรถเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อประคองภรรยาเข้าไปในโรงแรม ณิสรินทร์เฝ้ามองทั้งสองคนอย่างจับสังเกต เธอไม่ได้นึกเป็นห่วงหรอกว่าอาหารมื้อนี้ศิรชัชจะมีเงินพอจ่ายหรือไม่ เธอกำลังคิดว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่เห็นแน่นอน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะทำตัวให้ดูไม่มีพิรุธอย่างไร แต่เธอซึ่งต้องคอยสังเกตผู้คนตลอดมีหรือจะมองไม่เห็นความผิดปกติ 

ความผิดปกติแรกคงหนีไม่พ้นผู้เป็นแม่ที่ในเวลานี้ดวงตาสะท้อนแววดีใจออกมาจนปิดไม่ปิด เพียงเพราะเหตุผลที่ได้กินข้าวหรูๆ สักมื้อในโรงแรม หากมองตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ลลิตาให้ความสำคัญเหนือทุกสิ่งก็คือ ‘ความงาม’ และอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่อดทนต่อความเจ็บปวดได้ง่ายๆ ทั้งที่บาดเจ็บบริเวณศีรษะและมีผ้าพันแผลบริเวณหน้าผาก แต่แม่ของเธอก็แทบไม่แสดงอาการกังวลใจเลยสักนิด ดูผิดวิสัยจนณิสรินทร์เผลอคิดไปแล้วว่าอาการบาดเจ็บและการแสดงออกในโรงพยาบาลก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องโกหก ยิ่งมองศิรชัชที่เดินหน้าระรื่นเข้าไปแล้ว ณิสรินทร์ก็ยิ่งมั่นใจว่าการรวมตัวในครั้งนี้อาจมีอย่างอื่นรอคอยอยู่และคงเกี่ยวข้องกับเธอแน่นอน

               

               สีหราชคิดว่าเขาเห็นคนรู้จักผ่านตาเมื่อเดินผ่านแขกที่มาใช้บริการที่โรงแรมรัตนเวคินทร์ ความรู้สึกคาใจทำให้เขาหยุดเดินพร้อมกับเหลียวหลังกลับไปมองร่างเพรียวสมส่วนของหญิงสาวคนหนึ่ง หากดูเผินๆ เขาคิดว่าหญิงสาวคนนี้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาชวนมอง ทว่าเสียอย่างเดียวคือดวงตาเรียวที่ส่อประกายเย็นชานั้นทำให้หญิงสาวคนนี้ดูห่างเหินจากคนอื่นๆ 

               เขาเห็นเธอมาพร้อมกับชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง ดูแล้วเหมือนครอบครัวพ่อแม่ลูกทั่วไปที่มากินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่บางอย่างกลับกระตุกใจจนเขาพยายามเค้นความทรงจำในสมองว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน เพราะแม้แต่ชายหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ เธอก็รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด ยิ่งเพ่งมองหญิงสาวอย่างละเอียดอีกครั้ง เหตุการณ์หนึ่งในความทรงจำก็ผุดขึ้นมา

               จำได้แล้ว...หญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับตน และเป็นคนคนเดียวกับที่พสุเดินเข้าไปร่วมเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทหน้ามหาวิทยาลัย เพราะแบบนี้เองที่ทำให้สีหราชนึกแปลกใจที่รุ่นน้องนักศึกษาคนนี้มารวมตัวกับคู่กรณีของเจ้าตัวเช่นนี้

               “สวัสดีค่ะคุณเสือ รอนานหรือเปล่าคะ”

               เสียงหนึ่งดังขัดความคิดและดึงสายตาของสีหราชกลับมาหาต้นเสียง วินาทีถัดมาเขาก็ยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าตามมารยาทพลางตอบอีกฝ่ายด้วยท่าทางสุภาพกว่าปกติ

               “สวัสดีครับคุณปิ่น ผมก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นานครับ”

               “ขอโทษที่ปิ่นมาสายนะคะ รถติดผิดจากที่กะเวลาเอาไว้หลายนาทีเลย ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปข้างในกันเลยดีไหมคะ ปิ่นกลัวจะทำคุณเสือเสียเวลา”

               “ไม่เป็นไรครับคุณปิ่น วันนี้ผมมีคุยงานกับคุณปิ่นแค่คนเดียว ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”

               ทั้งคู่ยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนจะเดินวกกลับเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรม สีหราชเห็นจากหางตาแล้วว่าโต๊ะที่เขาจองไว้กับโต๊ะของรุ่นน้องนักศึกษาอยู่ห่างกันไม่มากนัก

               “มีอะไรหรือเปล่าคะคุณเสือ”

“ไม่ครับคุณปิ่น เชิญครับ”

               เมื่อรู้ตัวว่าเผลอละสายตามองอย่างอื่นอยู่ สีหราชก็รีบเก็บสายตาของตนคืนมา เวลานี้เขาควรจะใส่ใจเรื่องการนัดคุยงานมากกว่าการให้ความสนใจคนคุ้นหน้า ทว่าบางอย่างกลับสะกิดใจตนแปลกๆ จนแม้แต่ในเวลานี้หางตาของเขาก็ยังเหลือบมองโต๊ะของรุ่นน้องนักศึกษาคนนั้นอยู่ 

               สีหราชเลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่าย หลังจากที่ลูกค้าสาวนั่งลงเรียบร้อยแล้วตนถึงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม จากจุดที่เขานั่งสามารถเห็นบรรยากาศและสถานการณ์ความเป็นไปของรุ่นน้องนักศึกษาและครอบครัวของเธอได้อย่างชัดเจน 

               อาจเพราะสายตาของสีหราชไม่ได้เก็บงำความรู้สึกเอาไว้เลย ทำให้ปิ่นมุกซึ่งนั่งตรงข้ามกันนึกสงสัยว่าอะไรที่ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่ม เธอจึงอดเหลือบมองด้านหลังไม่ได้ กระทั่งเห็นใครบางคนแล้วแขกสาวถึงขมวดคิ้ว หันกลับมาถามคนตรงหน้าอย่างสงสัย

               “คุณเสือรู้จักคุณนภันต์ด้วยเหรอคะ”

               “ครับ?” สีหราชหันขวับมองลูกค้าสาวด้วยแววตางุนงง แต่พอรู้ตัวว่าตนคงเผลอมองไปที่โต๊ะตัวนั้นจนเป็นที่สังเกตเขาก็ยิ้มเจื่อน 

               “พอดีผมเหมือนเห็นคนรู้จักโต๊ะนั้นน่ะครับ ว่าแต่คุณปิ่นรู้จักเหมือนกันเหรอครับ”

               ปิ่นมุกครางรับในลำคออย่างไม่ปิดบังพร้อมกับอธิบายอย่างใจเย็น

               “ถ้าคนอื่นๆ ในโต๊ะปิ่นไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่ผู้ชายคนที่เพิ่งเดินไปทางโต๊ะนั้นปิ่นรู้จัก ในกลุ่มเพื่อนปิ่นเขามีชื่อพอตัวเลยค่ะ” 

หลังจากหญิงสาวอธิบาย สีหราชก็รู้จากแววตาและน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้ดีว่า ‘รู้จัก’ ในที่นี้ออกจะเป็นความหมายในเชิงลบ จนเขาเผลอเบนสายตาไปมองโต๊ะตรงหน้าดีๆ อีกครั้ง ก่อนจะพบชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนหรือไม่ก็พสุกำลังเดินเข้าไปร่วมโต๊ะกับครอบครัวของหญิงสาว ความสงสัยทำให้เขาอดถามลูกค้าสาวต่อไม่ได้

               “คุณปิ่นหมายถึงผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้าไปใช่ไหมครับ”

               ปิ่นมุกยิ้มมุมปากบางๆ แล้วหันกลับไปมองโต๊ะด้านหลังเล็กน้อยโดยไม่ให้เป็นที่สังเกตว่ากำลังแอบมองอีกฝ่ายอยู่

               “ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงานหรือธุรกิจของครอบครัวของนภันต์ก็ดีอยู่หรอกค่ะ ในความรู้สึกปิ่น เขาเสียอย่างเดียวแค่เรื่องความรัก...ถ้าคุณเสือฟังแล้วก็คิดซะว่าเป็นเรื่องเล่าแล้วกันนะคะ ปิ่นไม่อยากพูดมาก ถ้าปิ่นเดาไม่ผิด น้องผู้หญิงคนนั้นคงเป็นคนรู้จักของคุณเสือใช่ไหมคะ ให้เธอระวังตัวไว้ก็ดีค่ะ เรื่องความรักและความสัมพันธ์ของนภันต์ค่อนข้างพูดยาก และมันก็ไม่ใช่ในเชิงที่ดีนัก”

               ปิ่นมุกยิ้มอย่างเหนื่อยใจ เธอพยายามเลือกภาษาดอกไม้และคำพูดอ้อมๆ เพื่อบอกให้ชายหนุ่มตรงหน้าเข้าใจ ซึ่งดูเหมือนว่าสีหราชจะไม่ยังไม่กระจ่างเท่าไร เขาถึงได้ถามซ้ำอีกครั้ง

               “หมายถึงเขาคบซ้อนอะไรทำนองนี้หรือเปล่าครับ”

               คำถามนี้ทำให้ปิ่นมุกลังเลเล็กน้อย เดิมทีก็ไม่คิดจะเอาเรื่องของใครมาเล่าต่อให้สนุกปาก แต่ถ้าสีหราชรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นจริง บางทีคำเตือนของเธออาจจะเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่าย...ปิ่นมุกให้เหตุผลแก่ตัวเองก่อนจะเผยความจริงที่รู้ๆ กันมาให้ชายหนุ่มอีกครั้ง

               “คุณเสืออาจจะยังไม่ค่อยรู้จักคนวงในหรือกลุ่มเพื่อนๆ ของปิ่น แต่เพื่อนปิ่นที่เจอมากับตัวและคนอื่นๆ ก็พูดกันน่ะค่ะว่านภันต์เขามีรสนิยมเรื่องความสัมพันธ์ที่แปลก ส่วนมากคนที่เขาคบหาด้วยจะมีแต่สาวมหาวิทยาลัย ถึงนั่นจะไม่ใช่ประเด็นที่น่าตกใจ แต่ได้ยินมาว่ารสนิยมของนภันต์ค่อนข้างรุนแรง นอกจากนี้บางคนก็เป็นเด็กที่นภันต์ออกตัวดูแลเอง แต่คบกันไม่นานเขาก็เปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์แบบนี้คุณเสือพอมองภาพออกแล้วใช่ไหมคะ”

               พูดถึงตรงนี้ใบหน้าของปิ่นมุกก็ร้อนผ่าวจนเธอต้องหยิบแก้วน้ำใกล้มือมาจิบดับร้อน พลางสังเกตสีหน้าของสีหราชที่เปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย จนเธอต้องกระแอมกระไอเรียกสติเขากลับมา

               “เอ่อ...คุณเสือคะ”

               “ครับ! อ๋อ คุณปิ่น ผมขอตัวไปโทรศัพท์สักครู่ได้ไหมครับ แล้วก็เรื่องนี้ผมขอบคุณคุณปิ่นมากๆ เลยนะครับ”

               ปิ่นมุกผงกศีรษะเป็นเชิงอนุญาตพลางสำรวจสีหน้าของชายหนุ่ม แต่เมื่อเห็นว่าแววตาของเขาไม่มีร่องรอยความเสน่หาเจืออยู่เธอก็เบาใจ ยิ้มให้เขาอย่างยินดี

               ส่วนสีหราชซึ่งเดินออกมาจากโต๊ะก็รีบคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วต่อสายหาพสุโดยเร็ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงนึกถึงอีกฝ่าย แต่ถ้าความรู้สึกของเขาถูกต้อง บางทีระหว่างรุ่นพี่หนุ่มกับรุ่นน้องนักศึกษาคนนี้คงมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ซับซ้อนกว่าที่เห็น ไม่อย่างนั้นวันนั้นหน้ามหาวิทยาลัย พสุคงไม่แสดงท่าทีปกป้องหญิงสาวคนนี้ออกมาเกินนิสัยรอบคอบและระมัดระวังตัวอยู่เสมอแน่ๆ 

               เสียงรอสายดังอยู่ไม่นานก็หยุดไป ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำแสนคุ้นหู สีหราชไม่ยอมเสียเวลาสักวินาที รีบชิงพูดขึ้นก่อนด้วยความร้อนรน

               “พี่รักครับ ผมว่าพี่มีเรื่องต้องมาจัดการแล้ว”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น