บทที่ 6

บทที่ 6

               ณิสรินทร์เหยียดยิ้มมุมปากทันทีเมื่อจู่ๆ การกินอาหารภายในครอบครัวก็ ‘บังเอิญ’ มีแขกพิเศษที่พบกันโดยไม่ได้ตั้งใจมาร่วมวงด้วย เธอเหลือบมองท่าทางดีใจของสองสามีภรรยาข้างตัวก็เข้าใจแล้วว่าจุดประสงค์แท้จริงที่พวกเขาต้องการพบเธอในวันนี้คืออะไร

               “คุณนภันต์ บังเอิญจังเลยนะครับที่เรามาพบกันแบบนี้ ถ้าไม่รังเกียจผมขอเชิญร่วมโต๊ะนะครับ” 

ศิรชัชลุกขึ้นเชื้อเชิญชายหนุ่มที่อ่อนกว่าตนด้วยความนอบน้อม ในสายตาณิสรินทร์ เห็นได้ชัดว่าพ่อเลี้ยงคนนี้เป็นพวกที่ไม่ควรค่าต่อการคบหาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะท่าทางประจบประแจง หรือแม้แต่นัยน์ตาล่อกแล่กที่คอยสำรวจการแต่งกายของแขกหนุ่มตรงหน้าก็ล้วนเป็นสายตาที่แฝงไปด้วยการลอบประเมินและความละโมบ 

               กระทั่งสัมผัสได้ว่ากำลังถูกจ้องมอง ณิสรินทร์จึงช้อนตาขึ้นหาต้นตอของสายตาประหลาด ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นแขกหนุ่มแปลกหน้ากำลังมองตนอย่างสำรวจ แต่ถึงอย่างนั้นณิสรินทร์ก็ไม่ได้เบนสายตาหนีอีกฝ่าย ยังคงจดจ้องอย่างไม่เกรงกลัว 

ชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งพ่อเลี้ยงของเธอเรียกว่า ‘นภันต์’ แย้มยิ้มอ่อนโยน แม้สีหน้าท่าทางของเขาจะดูสุภาพเรียบร้อยและแสดงความเป็นมิตรแค่ไหน ณิสรินทร์กลับสัมผัสได้ถึงแววเจ้าเล่ห์ลึกล้ำที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่นี้อย่างชัดเจน ถึงแม้กลิ่นอายจากชายหนุ่มคนนี้จะมีความคล้ายคลึงกับพสุ แต่เธอก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้มีบางอย่างที่ไม่ควรเข้าใกล้

               “คุณนภันต์ครับ นี่ลูกสาวผมเองครับ เอ้า ยายรูท สวัสดีคุณนภันต์เขาก่อน เขาเป็นลูกชายหัวหน้าพ่อเอง”

               ราวกับศิรชัชรอจังหวะนี้มานาน เมื่อเห็นว่าลูกชายของหัวหน้าใหญ่มองลูกเลี้ยงอย่างมีนัยแล้ว เขาก็ไม่พลาดรีบตีเหล็กทั้งที่ยังร้อน ก่อนหน้านี้เขาสืบเสาะจนรู้ว่าลูกชายคนโตของหัวหน้ามีสาวๆ ที่อยู่ในการเลี้ยงดูหลายคน ถึงจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ยืนยาว แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่เคยปล่อยให้คนในปกครองต้องลำบาก ค่าตอบแทนของความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขก็ไม่ใช่น้อยๆ หากณิสรินทร์ได้รับความเอ็นดูและความเมตตาสักหน่อย บางทีเรื่องหน้าที่การงานของเขาก็อาจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และบางทีอาจจะได้รับวาสนารวมถึงโชคลาภก้อนโตเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง

               ศิรชัชมองลูกเลี้ยงสาวอย่างประเมิน แม้จะขัดใจที่ไม่ทันได้ตระเตรียมเรื่องการแต่งกายของอีกฝ่าย แต่โชคดีที่ณิสรินทร์เป็นคนมีของอยู่แล้ว แค่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาและดวงตาที่สวยงามคู่นี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้นภันต์สนใจ 

               แต่เมื่อเห็นหญิงสาวยังทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ยอมทำตามที่ตนบอก ในใจของศิรชัชก็เต้นผาง อยากหยิกอีกฝ่ายให้เนื้อเขียว ลืมไปได้อย่างไรว่าลูกเลี้ยงไม่ต่างจากม้าป่าจอมพยศ ยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อเจอนภันต์แล้วมีหรือที่ณิสรินทร์จะไม่รู้ทันความคิดเขา 

               ครั้นเมื่อตนหันไปจะถลึงตาข่มให้อีกฝ่ายทำตามที่ตนต้องการดีๆ สายตาของหญิงสาวร่างเล็กที่ตวัดกลับมามองกลับทำให้เขานิ่งงันแทน เป็นครั้งแรกที่ตนได้รับสายตาเย็นชาและเชือดเฉือนน่ากลัวเช่นนี้จากอีกฝ่าย หัวใจที่เต้นกระหน่ำราวกับตกอยู่ในน้ำเย็นเฉียบจนชา คำพูดที่ติดอยู่ในลำคอค่อยๆ กลืนหายไป ปากได้แต่อ้าๆ หุบๆ เกือบลืมคำพูดของตัวเองไปแล้ว หากไม่ได้เสียงของแขกหนุ่มข้างๆ ดึงไว้ สติของตนคงนิ่งค้างไปอย่างนั้น 

               “หืม ลูกสาวเหรอ ไม่ค่อยเหมือนพ่อเท่าไหร่เลยนะ”

               เสียงทุ้มต่ำเจือแหบพร่าเล็กน้อยทำให้ศิรชัชได้สติ เขารีบหัวเราะกลบเกลื่อนท่าทางเหยาะแหยะของตัวเองก่อนจะรีบเชื้อเชิญชายหนุ่มข้างตัวอีกครั้ง 

               “ยายรูทเป็นลูกเลี้ยงของผมครับ แต่เราสนิทกัน ผมเห็นเธอเป็นลูกแท้ๆ ได้มาเจอคุณนภันต์แบบนี้ ถ้าไม่รังเกียจ ผมและครอบครัวขอเรียนเชิญสักมื้อนะครับ ถ้าไม่ได้คุณนภันต์ช่วยเหลือผมไว้ ผมคงไม่รู้จะทำยังไงต่อดี”

               นภันต์เหยียดยิ้มในใจ เดิมทีกับศิรชัชก็ไม่มีความสำคัญใดๆ เขาแค่หาคนที่ดูว่านอนสอนง่ายจับโยนเข้าไปในกลุ่มเหล่าผู้ช่วยของผู้เป็นพ่อก็เท่านั้น ส่วนจะมีประโยชน์ไหมเขาก็ต้องดูความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว สำหรับคำเชิญนี้ ตนจะไม่ใส่ใจเลยก็ได้ แต่เมื่อเห็นณิสรินทร์ แรงดึงดูดบางอย่างก็ทำให้เขาสนใจและเปลี่ยนใจขึ้นมา 

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนแล้ว” แขกหนุ่มตอบอย่างนุ่มนวลก่อนจะค่อยๆ นั่งลงตามคำเชิญของศิรชัช

นัยน์ตาเป็นประกายและท่าทางไม่รู้เดียงสาของอีกฝ่ายทำให้ณิสรินทร์ซึ่งสังเกตอยู่ตลอดถึงกับแค่นหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

               บทละครของศิรชัชถูกตระเตรียมไว้อย่างดี ณิสรินทร์ไม่รู้เลยว่าเขาต้องทุ่มแรงกายและเงินไปเท่าไรกับแผนการนี้ เมื่อเห็นผู้เป็นแม่กำลังเห็นดีเห็นงามกับสามีแล้วหญิงสาวก็หลุบตาต่ำ แววเศร้าสลดปรากฏในดวงตาเล็กชั่วครู่ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แม้จะคิดไว้แต่แรกอยู่แล้วว่าการพบกันครั้งนี้คงมีบางอย่างแอบแฝง ทว่าเมื่อถูกความจริงตบหน้าเข้าอย่างจัง จะให้ปฏิเสธว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหก

               ใจหนึ่งณิสรินทร์อยากจะลุกไปไกลๆ ให้พ้นจากทั้งสามคน หลายปีมานี้เธอคุ้นชินกับความเห็นแก่ตัวและความรู้สึกหมางเมินที่ได้รับจากผู้เป็นแม่ไปเสียแล้ว ในเมื่อพวกเขาต้องการให้เธอสานต่อบทละครครั้งนี้ให้จบ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่เธอจะไม่มีวันปล่อยให้ผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการเกิดขึ้นแน่นอน

               เมื่อสงบจิตใจได้แล้วณิสรินทร์ก็รักษาความสงบของสีหน้าเอาไว้ ทำราวกับว่าชายหนุ่มที่เพิ่งนั่งร่วมโต๊ะไม่มีตัวตน ไม่ใส่ใจเลยว่าทั้งสามคนตรงหน้าจะพูดจาภาษาดอกไม้ซ่อนความนัยใส่กันและกันเท่าไร ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหัวเราะที่มีจริตจะก้านของผู้เป็นแม่ที่กำลังพอใจอย่างถึงที่สุด รอคอยจนเมื่ออาหารแต่ละจานนำมาวางตรงหน้า ณิสรินทร์ก็ลงมือกินทันที 

               “เอ๊ะ ยายรูท ทำอะไรไม่เกรงใจคุณนภันต์เลย ดูสิ ยายเด็กคนนี้ โตแล้วแท้ๆ ยังต้องให้แม่บ่นอีกเหรอ” 

               เสียงหวานที่ดุเธออย่างอ่อนใจทำให้รสสัมผัสของอาหารในปากไม่ต่างจากการเคี้ยวเทียนไข เธอเลิกคิ้วมองหน้าผู้เป็นแม่ชัดๆ เป็นการย้อนถาม กระทั่งกลืนอาหาร จิบน้ำล้างปากแล้วถึงได้พูดขึ้นบ้าง 

               “ที่มานี่ตั้งแต่แรกก็เพื่อกินข้าวไม่ใช่เหรอ แค่มีคนแปลกหน้าเพิ่มมาอีกคนแล้วมันต่างกันยังไงคะ” เธอยิ้มมุมปากบางๆ พลางตวัดสายตาไปหาแขกชายที่อยู่ไม่ไกลนักไวๆ ครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าณิสรินทร์ไม่คิดจะไว้หน้าแม่และพ่อเลี้ยงอีกแล้ว

               “แปลกดีนะที่แม่ใส่ใจฉันแบบนี้ เป็นเพราะมีแขกพิเศษมาร่วมโต๊ะหรือเปล่า วันนี้พวกคุณถึงได้ดูไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่”

               “ยะ...ยายรูท!”

               เมื่อเห็นผู้เป็นแม่กัดฟันกรอด กดเสียงเรียกเธอลอดไรฟันแล้วณิสรินทร์ก็ยิ่งอารมณ์ดี วินาทีต่อมาเธอค่อยๆ ยกแขนขึ้นเท้าโต๊ะ วางคางลงบนหลังมือ กวาดตามองคนทั้งสามอย่างประเมิน

               “จะว่าไปวันนี้ฉันก็เจอเรื่องคาดไม่ถึงมาเยอะเหมือนกัน ตั้งแต่ที่แม่ของฉันบังเอิญตกบันไดเข้าโรงพยาบาล จากนั้นเธอก็นึกอยากเจอฉันให้ได้ พอพบกันแล้วก็นึกอยากจะกินข้าวที่นี่ แล้วก็บังเอิญมาพบคุณแบบนี้...คุณนภันต์คะ คุณไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องตลกดีเหรอคะ ฉันชักอยากรู้ขึ้นมาซะแล้วว่าคุณเองก็บังเอิญมาเจอพวกฉันที่นี่หรือเปล่า”

               ขณะที่ลลิตากับศิรชัชกำลังอึ้งที่ณิสรินทร์เปิดโปงความคิดของพวกเขา ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด แขกหนุ่มอย่างนภันต์กลับหลุดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะต่ำๆ และนัยน์ตาเป็นประกายวาววับราวกับนักล่าเจอเหยื่อที่ถูกใจ แม้เสียงหัวเราะจะนุ่มนวลฟังสบายหู แต่มันไม่ได้ช่วยขับกล่อมให้บรรยากาศนุ่มนวลขึ้นแม้แต่น้อย กลับกันสองสามีภรรยาคู่นี้รู้สึกถึงความกดดันแปลกๆ รอบตัวด้วยซ้ำ

               สำหรับนภันต์ ตั้งแต่ที่เห็นหญิงสาวตรงหน้า เขาก็คาดไว้แล้วว่าเธอคนนี้คงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เธอกล้าสบตาเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง ทั้งยังรักษาความสงบพร้อมกับโต้กลับได้อย่างสวยงาม ยามที่นัยน์ตาคมคู่สวยกวาดมองมา นภันต์ก็รู้สึกราวกับว่าเธอคือราชินีผู้สูงศักดิ์ที่กำลังปรายตามองเหล่าทาสผู้ต้อยต่ำ

               อารมณ์ที่เหมือนทะเลก่อนเกิดพายุทำให้นภันต์อดไม่ได้ที่จะมองหญิงสาวตรงหน้าให้นานอีกหน่อย ถึงเขาจะถูกใจเธอ แต่ดูเหมือนเธอเองก็ไม่ใช่เหยื่อที่ยอมให้ถูกล่าง่ายๆ เหมือนผู้หญิงคนอื่นเลยสักนิด

               “ถ้าความบังเอิญทำให้ผมได้พบรูทแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่เหรอครับ” นภันต์สัมผัสความเป็นปฏิปักษ์ได้จากหญิงสาวตรงหน้า ทว่าเขาไม่คิดถือสา เพราะท่าทางเหมือนเสือที่พร้อมจะกระโจนกางเล็บใส่ศัตรูน่าดูกว่าท่าทางขี้ขลาดของกระต่ายขาวเป็นไหนๆ ทั้งยังรู้สึกถูกชะตาด้วยซ้ำ 

               เขามองใบหน้าเนียนละเอียดของหญิงสาวพลางประเมินอารมณ์ของอีกฝ่าย แม้ริมฝีปากอิ่มจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้กลับไปไม่ถึงดวงตา

               “เขาว่าคนโง่ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาด และคนที่คิดว่าทำอะไรฉลาดๆ ก็มักตกเป็นรองของคนที่แกล้งโง่” พูดแล้วเจ้าของร่างเพรียวระหงก็ปรายตามองเขาอย่างถือดี นัยน์ตาวาววับราวกับจะบอกว่าเธอรู้ทันสิ่งที่เขาคิดทุกอย่าง

               “คุณเป็นคนประเภทไหนฉันคงไม่ต้องบอก แต่ถ้าคิดจะเล่นเกมนี้แล้วละก็...อย่าเสียเวลาดีกว่า เพราะฉันไม่มีเวลาว่างมาเล่นด้วยหรอกค่ะ”

               “อะ...อี...ยะ...ยายรูท! แกพูดอะไรออกมา รีบขอโทษคุณเขาเดี๋ยวนี้นะ” ลลิตาเห็นว่าลูกสาวตัวดีกำลังทำให้แผนการของเธอกับสามีล้มไม่เป็นท่า จึงคิดจะโน้มตัวไปคว้าแขนอีกฝ่าย แต่ไม่ทันสังเกตเลยว่าบางคนรอคอยจังหวะนี้มานานแล้ว 

               ก่อนหน้านี้ณิสรินทร์จงใจวางแก้วน้ำไว้ทางซ้ายมือถัดจากผู้เป็นแม่ เมื่ออีกฝ่ายขยับตัวตั้งท่าจะคว้าตัวเธอไว้ หญิงสาวก็ปัดแก้วน้ำข้างตัวทันที ปล่อยให้น้ำเปล่าเย็นๆ กระฉอกใส่อกเสื้อลามลงมายังหน้าตักของผู้เป็นแม่ ณิสรินทร์ไม่ทันนับในใจถึงเลขสาม อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนหวีดร้องโวยวายใส่เธอ

               “อีรูท! แกทำอะไรฮะ เห็นไหมฉันเปียกหมดแล้ว!”

               อาการโวยวายและท่าทางโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นแม่ไม่ได้ทำให้ณิสรินทร์แปลกใจ เธอเพียงลุกขึ้นยืน กอดอกฉีกยิ้มหวาน ไม่ลืมถามไถ่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางเฝ้ามองใบหน้าซีดสลับแดงของศิรชัชอย่างมีความสุข 

               “เห็นแม่ลุกขึ้นยืนพูดได้แข็งขันแบบนี้แล้ว ฉันก็ควรวางใจได้แล้วใช่ไหม”

               คำพูดนิ่มๆ ของณิสรินทร์ไม่ต่างจากน้ำเย็นที่สาดใส่หน้าลลิตาอีกครั้ง คนที่กำลังตีโพยตีพายเสียงดังถึงกับชะงัก เพิ่งรู้ตัวว่าตนลืมบทบาท ‘คนเจ็บ’ ที่ได้รับมาไปเสียสนิท รีบหันไปมองหน้าสามีที่กำลังหน้าเขียวอย่างตกใจและสับสนมึนงง กระทั่งเหลือบเห็นแววตาท้าทายของลูกสาว นาทีนั้นก็เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นแผนการที่อีกฝ่ายจงใจล่อให้ตนไปติดกับ

               “อีรูท กะ...แก!”

               “ถ้าแม่หายดีแล้ว ฉันก็สบายใจ ขอบคุณสำหรับมื้อเย็นนะ แต่ไม่ต้องเลี้ยงฉันหรอก”

ณิสรินทร์ตัดบทอย่างไม่ไยดี อารมณ์เกรี้ยวกราดของคนตรงหน้าถูกท่าทางเย็นชาเมินเฉยของเธอดับมอด เธอหยิบเงินค่าอาหารของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะ ไม่สนใจสายตากินเลือดกินเนื้อของผู้เป็นพ่อเลี้ยงหรือสายตาใคร่รู้ของแขกหนุ่มแปลกหน้า ทำเพียงหมุนตัวเดินออกมาจากตรงนั้นในทันที 

               หลังจากที่ลลิตาโวยวายเสียงดัง โต๊ะของพวกเขาก็กลายเป็นจุดสนใจของแขกและพนักงานในร้าน สองสามีภรรยาหน้าซีดเผือด ไม่ใช่เพราะสายตาคนนอก แต่เป็นเพราะนัยน์ตาคมกริบของชายหนุ่มที่พวกเขาวางแผนให้มาร่วมวงด้วยต่างหาก 

               นภันต์ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมีละครดีๆ ให้เขาดูอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ เดิมทีการมาร่วมวงกับศิรชัชก็ไม่ได้อยู่ในแผนการของตัวเองอยู่แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่าคนขับรถคนใหม่ของพ่อจะมีอะไรให้เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจบ้าง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ผิดหวังกับละครฉากนี้เลย

ชายหนุ่มฮัมเพลงเบาๆ ในลำคอ ตั้งแต่ต้นจนจบเขายังคงรักษารอยยิ้มน้อยๆ ของตนไว้ได้อย่างดี เมื่อเห็นแม่เสือสาวจากไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาต้องเสียเวลากับชายหญิงวัยกลางคนคู่นี้อีก คิดได้ดังนั้นนภันต์ก็เตรียมลุกจากไป แต่เสียงศิรชัชก็ไม่วายรั้งเขาไว้ด้วยเสียงสั่นๆ

               “อะ...เอ่อ คุณนภันต์ครับ ระ...เรื่องวันนี้...”

               “ลูกสาวน่าสนใจมากเลยนะ”

               “เอ่อ...คือ...”

               “ฉันไม่คิดจะเอาเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานมาปะปนกันหรอก แค่นายทำงานของตัวเองให้ดีก็พอ” พูดจบใบหน้าของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะมีสีเลือดฝาดเพราะความสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ในวินาทีต่อมามันก็กลับไปซีดเผือดอีกครั้ง

               “แต่ฉันไม่ชอบเป็นหมากของใคร ครั้งนี้จะถือซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากยังมีครั้งหน้า...”

               ไม่ต้องให้เขาพูดต่อ ศิรชัชก็พยักหน้าเร็วๆ เป็นอันเข้าใจ นภันต์ไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ ลุกขึ้นก้าวออกมาจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว กระทั่งเห็นหญิงสาวอยู่ตรงทางออกด้านหน้า นภันต์ก็ยิ้ม เขาหมายมั่นแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปง่ายๆ แน่นอน

               ฝนที่ตกพรำๆ ผิดฤดูทำให้ณิสรินทร์ขมวดคิ้ว เดิมทีการรวมตัวของสมาชิกครอบครัวในวันนี้ก็ไม่น่าพึงใจอยู่แล้ว อากาศก็ยังไม่มีเค้าว่าจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย เธอก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ ตั้งใจจะใช้บริการเรียกรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน ดูจากสภาพอากาศตรงหน้าแล้ว อีกไม่นานฝนคงตกหนักขึ้นเป็นแน่

               “ให้ไปส่งไหมครับ”

               เสียงทุ้มต่ำของนภันต์ที่ดังไล่หลังมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่ได้ทำให้เธอตกใจนัก ณิสรินทร์เบือนหน้าไปมองผู้พูดเงียบๆ เป็นเชิงพิจารณาก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา

               “ไม่รบกวนหรอกค่ะ”

คำปฏิเสธของหญิงสาวไม่ได้ลบรอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่าย กลับกันเขาค่อยๆ ก้าวเข้ามาหยุดข้างๆ จนเธอสัมผัสกลิ่นอายเย็นชาจากร่างสูงได้อย่างชัดเจน ราวกับสัมผัสได้ถึงอันตราย เธอขยับถอยห่างจากคนตรงหน้าเล็กน้อยไม่ให้ผิดสังเกต ขณะเดียวกันก็ตวัดตาขึ้นมองเป็นการเตือนไม่ให้เขาเข้ามาใกล้กว่านี้ 

               “อย่ามองแบบนั้นสิครับ ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะครับ เมื่อครู่ดูเหมือนเราจะถูกขัดจังหวะไปตั้งเยอะ ผมนภันต์ครับ”

               น้ำเสียงของคนพูดให้ความรู้สึกสนิทชิดเชื้อ ทว่าณิสรินทร์รู้ดีว่าภายใต้สีหน้าอ่อนโยนมีความลับและบางอย่างซ่อนอยู่ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เข้าถึงง่ายอย่างที่พยายามแสดงออกเลยสักนิด

               “ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณกับผู้ชายคนนั้นมีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกันแค่ไหน แต่ดูจากรสนิยมการคบค้าสมาคมของคุณแล้ว ฉันว่าพวกเราคงไม่เหมาะจะติดต่อกันเท่าไหร่”

               “ยังไม่ทันรู้จักกันดีคุณก็ตัดสินผมซะแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ดูชอบใจมากกว่าจะรู้สึกหงุดหงิด พลางโน้มตัวลงมากระซิบใกล้ๆ 

“แต่คุณรู้ไหมว่าผมน่ะไม่ชอบให้ใครปฏิเสธ และก็ไม่มีใครเคยปฏิเสธผมสักครั้ง”

               นัยน์ตาของร่างสูงเป็นประกายเรืองรองไม่ต่างจากอสรพิษจับจ้องเหยื่อ ณิสรินทร์ยิ้มหยัน เชิดหน้าขึ้นเป็นการท้าทาย เลื่อนปลายนิ้วเรียวงามข้างหนึ่งขึ้นมาวางกลางอกแกร่งของคนตรงหน้า พร้อมออกแรงดันให้เขาถอยกลับไปตำแหน่งเดิม 

               “ถ้าอย่างนั้นฉันขอรับเกียรตินี้ไปก็แล้วกันค่ะ”

“แค่รู้จักกับผม ไม่ว่าจะฐานะอะไร ผมก็รับปากได้ว่าคุณจะไม่ขาดทุนหรือเสียใจทีหลังแน่นอน”

เห็นแววตาที่เจือความรู้สึกหลากหลายของนภันต์ ณิสรินทร์ก็เหมือนเห็นความคิดของอีกฝ่าย ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่คาดไว้เท่าไรนัก คำเชิญชวนรวมถึงจุดประสงค์ของนภันต์ไม่ต่างจากคนบางคนที่เธอเคยพบเจอ วินาทีต่อมามุมปากหญิงสาวก็ขยับเล็กน้อยเป็นการแสยะยิ้ม 

ผู้ชายอย่างนภันต์คงรู้สึกว่าเธอคือของแปลกใหม่ คงคิดว่าผู้หญิงอย่างเธอรวมถึงท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมใครเป็นเหมือนดินแดนใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ชวนให้เขาเข้าไปยึดครองสร้างอาณาเขต ประกาศกร้าวถึงชัยชนะของตน ราวกับว่าเธอคือหนึ่งในทวีปใหม่ที่เขาพิชิตได้

ณิสรินทร์ไม่คิดพาตัวไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขและความวุ่นวาย ต่อให้นภันต์เสนอข้อแลกเปลี่ยนที่แสนหอมหวานแค่ไหนก็ตาม

“บังเอิญว่าฉันไม่ชอบเป็นถ้วยรางวัลของใคร ข้อเสนอนี้คุณคงต้องไปคุยกับคนอื่นแทนแล้วละค่ะ ฉันมั่นใจว่าพ่อเลี้ยงของฉันอาจจะต้องการมากกว่าที่คุณคิดก็ได้ แค่คุณกระดิกนิ้ว บางทีเขาก็คงยินดีพลีกายแทนคุณ...ไม่สิ เรียกว่าทุ่มเททุกอย่างเพื่อคุณแน่นอน”

เจ้าของร่างบางหัวเราะน้อยๆ เป็นเชิงขบขัน ดวงตาพร่างพราวราวกับดวงดาวค่อยๆ เผยความลึกล้ำที่แม้แต่นภันต์ก็อธิบายไม่ถูก มันแฝงไปด้วยความหยิ่งยโส ความดื้อรั้น ความต้องการเอาชนะ และประกายวาววับที่ไม่เหมือนใคร

“คุณคงเจอคนมาหลายประเภท น่าจะเข้าใจไม่ใช่เหรอคะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะหมุนตามคำพูดคุณฝ่ายเดียว”

จบคำพูดของหญิงสาวฟ้าก็ร้องดังครืนใหญ่ ตามด้วยสายฝนที่เทลงมา เม็ดฝนตกกระทบกันสาด ทำเอาละอองฝนเย็นเฉียบกระเด็นต้องผิวกายจนร่างเล็กต้องเบี่ยงตัวหลบ 

ท่ามกลางบรรยากาศเย็นเยือกจากไอฝน นภันต์ราวกับเห็นณิสรินทร์อยู่ท่ามกลางม่านหมอก รอบกายเธอเต็มไปด้วยกลิ่นอายพิเศษที่ชวนให้รู้สึกสนใจเป็นพิเศษ ภายใต้หน้ากากชายหนุ่มเจ้าสำราญที่เขามักแสร้งแสดงออกมา ทำให้ตนเห็นนิสัยของผู้คนมาหลายประเภท ทั้งหญิงสาวที่แข็งกร้าว ดื้อรั้น และหญิงสาวที่นอบน้อมอ่อนหวาน แต่ไม่เคยมีใครทำให้นภันต์รู้สึกแตกต่างได้เท่าร่างระหงตรงหน้า ราวกับมีบางอย่างตรึงใจและทำให้รู้สึกถึงความพิเศษที่มากกว่าเสน่ห์ของหญิงสาว น้อยครั้งนักที่จะเห็นคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนมองตัวเองเช่นนี้  

เพราะอย่างนั้นแล้ว นภันต์จึงไม่คิดจะยอมถอยง่ายๆ เขายังคงหยิบหน้ากากจอมปลอมของตนขึ้นมาสวม เฝ้ารอดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้าอย่างสนใจ อะไรที่ได้มาอย่างยากลำบากล้วนคุ้มค่าที่จะเสี่ยงเสมอ อุปสรรคเล็กๆ เพียงแค่นี้ไม่ได้ทำให้ถอดใจง่ายๆ ใช่ว่าโลกจะหมุนพาคนที่น่าสนใจให้มาเจอกันได้บ่อยๆ

“บังเอิญว่าผมเป็นพวกดื้อดึงด้วยน่ะสิ” 

นภันต์เฝ้ามองนัยน์ตาหงส์คู่ตรงหน้าอย่างค้นหา พอเลื่อนสายตาเห็นปอยผมที่ปรกหน้าอีกฝ่าย เขาก็ขยับมือคิดจะปัดปอยผมกลุ่มนั้น ทว่าหญิงสาวร่างเล็กขยับตัวหลบไปเสียก่อน ดวงตาคมฉายแววดุดันไม่พอใจ ท่าทางเหมือนเสือที่พร้อมกางเขี้ยวเล็บไม่ทำให้นภันต์หวั่นเกรง กลับกันเขายังเผยรอยยิ้มยั่วเย้าอย่างมีเลศนัย

“แค่นี้ไม่ได้ทำให้ผมถอดใจง่ายๆ หรอกนะครับ”

ความดื้อดึงของชายหนุ่มทำให้ณิสรินทร์เห็นเค้าลางปัญหาที่จะตามมาในอนาคต ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพ่อเลี้ยงของตน มั่นใจเลยว่าไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก และเธอไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

“ฉันแนะนำว่าคุณอย่ามั่นใจในสิ่งที่ยังไม่รู้จะดีกว่า”

เสียงฝนกระทบพื้นยังคงดังแทรกเป็นจังหวะ เธอปรายตามองสถานะล่าสุดของแท็กซี่ที่เรียกผ่านแอปพลิเคชันแล้วก็ขมวดคิ้ว คงเป็นเพราะฝนตกหนัก การจราจรติดขัด คนขับรถส่วนมากถึงได้ปฏิเสธคำขอของเธอคันแล้วคันเล่า

ณิสรินทร์เบนสายตามองออกไปข้างนอก ขณะกำลังตัดสินใจว่าจะวิ่งฝ่าฝนออกไปยังป้ายรถประจำทางที่อยู่หน้าโรงแรมดีหรือไม่ จู่ๆ สายตาก็เห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบพื้นที่จอดระยะสั้น ยังไม่ทันมองให้ชัด ประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออก ตามด้วยร่างของคนแสนคุ้นตาที่กำลังก้าวลงจากรถ

ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดเสื้อคอเต่าสีขาวและกางเกงสีน้ำตาลเข้ม เนื่องจากแขนเสื้อทั้งสองข้างถกขึ้นถึงข้อศอก จึงเผยให้เห็นท่อนแขนขาวและกล้ามเนื้อสุขภาพดีเหมือนคนที่ออกกำลังกาย ชายหนุ่มจับด้ามร่มคันใหญ่สีดำไว้แน่น จากมุมสายตาของเธอ ผ้าร่มสีดำสนิทบังใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ครึ่งหนึ่ง ณิสรินทร์จึงเห็นได้แค่ปลายจมูกทรงหยดน้ำ ริมฝีปากเรียวเข้ม และปลายคางสะอาดเกลี้ยงเกลา

เพียงแค่สัดส่วนของใบหน้าครึ่งล่าง ณิสรินทร์ก็เห็นภาพซ้อนของใครบางคนลอยเด่นชัดขึ้นมา ยังไม่ทันยืนยันความคิดนี้กับตัวเอง ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงโปร่งก็เดินเข้ามาใกล้พร้อมขยับเอียงร่มให้เงยขึ้น เผยใบหน้าทั้งหมดที่อยู่ใต้ร่มให้พวกเขาเห็นเต็มตา

ใบหน้าที่คุ้นเคยกับนัยน์ตาคู่เดิมที่ยังคงเจือความอบอุ่น จู่ๆ ณิสรินทร์ก็รู้สึกว่าการปรากฏตัวของผู้ชายคนนี้ไล่ไอเย็นของเม็ดฝนออกไปทั้งหมด 

“ผมไม่ได้มาช้าไปใช่หรือเปล่าครับรูท”

พสุยิ้มอ่อนโยน แววตามีแต่ความอบอุ่นอย่างที่มีมาเสมอ แต่ณิสรินทร์กลับนิ่งชะงัก จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าบุคคลตรงหน้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไหนจะคำพูดที่สื่อความหมายว่าเขามาเพื่อเธอโดยเฉพาะนั่นอีก 

“คนรู้จักของคุณเหรอครับ” 

การถามหยั่งเชิงของนภันต์ทำลายความคิดที่กำลังวิ่งไปมาในหัว เธอผินหน้าไปทางชายหนุ่มเล็กน้อย เห็นสายตาของเขาไล่สำรวจพสุเหมือนกับที่ลอบประเมินตน ความไม่พอใจหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ณิสรินทร์เปลี่ยนไปยืนเผชิญหน้ากับนภันต์ ใช้ร่างเล็กของตนบดบังทัศนวิสัยของอีกฝ่ายในทันที 

“ไม่ใช่ธุระของคุณนี่คะ” ณิสรินทร์ย้อนถามเสียงขำขึ้นจมูก ผิดกับนัยน์ตาวาววับที่ไม่มีร่องรอยขี้เล่นเลยสักนิด 

ภาษากายง่ายๆ ของหญิงสาวเช่นนี้มีหรือที่ชายหนุ่มสองคนจะไม่เข้าใจ นภันต์เห็นท่าทางปกป้องคนของตนของหญิงสาวร่างเล็กแล้วก็แค่นหัวเราะ ไม่สบอารมณ์เลยแม้แต่น้อย แต่ขณะเดียวกันก็คิดได้ว่าเมื่อเพชรเม็ดงามที่ค้นพบในวันนี้เป็นที่จับจ้องหมายตาของคนอื่น นั่นไม่ใช่การยืนยันสายตาของตนหรือ ดังนั้นเมื่อมองร่างสูงผู้มาใหม่อีกครั้ง ในใจของนภันต์ก็มีทั้งความหยิ่งผยองและถือดี 

ส่วนพสุมองชายหนุ่มแปลกหน้าเงียบๆ พลางประเมินสถานการณ์ตรงหน้า หลังจากที่ได้รับสายจากรุ่นน้องอย่างสีหราช หัวใจของเขาก็ร้อนรน รีบรุดมาโรงแรมรัตนเวคินทร์อย่างเร็วที่สุด เมื่อเห็นณิสรินทร์อยู่กับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้แล้ว เขานึกอยากรู้ขึ้นมาเลยว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะสิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคือท่าทางของผู้ชายคนนี้ ดวงตาคู่ตรงหน้าแฝงไปด้วยความคิดบางอย่างที่เขาไม่ไว้วางใจ 

คิดได้แล้วพสุก็หลุบตามองร่างบอบบางที่กำลังยืนประจันหน้ากับอีกฝ่ายแทนตัวเอง มุมปากอดยกขึ้นเป็นรอยยิ้มไม่ได้ เห็นณิสรินทร์ที่มักเอาแต่แสดงท่าทีต่อต้านกางแขนปกป้องแล้ว ในใจของเขาก็สั่นไหวขึ้นมา ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง อาบฉายให้ดวงตาของเขาอ่อนแสงลง

หลังจากปล่อยให้ตัวเองซึมซับความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้ว อึดใจต่อมาเขาถึงก้าวขึ้นไปยืนข้างหญิงสาวพลางกุมมือเล็กไว้หลวมๆ แม้อีกฝ่ายจะมีอาการสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยให้เขากุมมือเธอเอาไว้ เขาเอียงตัวไปหาคนตัวเล็กกว่า เอ่ยชวนเธอเบาๆ แต่ก็ดังพอให้บุคคลที่สามได้ยินด้วย

“พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกหนักแบบนี้เกือบค่อนคืน ผมว่าเรากลับกันดีกว่าครับ ถ้ายังตากละอองฝนอยู่แบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายนะ”

“ค่ะ เรากลับกันเลยก็ได้”

ชายหนุ่มก้มมองคนข้างตัว เมื่อเห็นว่าเธอยินดีคล้อยตามไปกับตนแล้ว แม้ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาก็ยินดีน้อมรับ และอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าหญิงสาวข้างกายกำลังเปิดประตูหัวใจให้เขาทีละนิด 

พสุกระชับฝ่ามือของตนแน่นกว่าเดิม แต่วินาทีเดียวกันนั้นก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะมือเรียวเล็กที่อยู่ในอุ้งมือกลับเย็นเฉียบ ไม่รู้เลยว่าเธอตากละอองฝนมานานเท่าไรแล้ว เขาจึงรีบถือร่มให้เอนไปทางหญิงสาว ตั้งใจใช้มันบังละอองฝนให้มากที่สุด

“ไปกันครับ”

สำหรับณิสรินทร์ การถูกกุมมือไว้เช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนจากพสุ ตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอย่างที่คิดไว้ ยิ่งเห็นพสุเอียงร่มมาบังละอองฝนให้ทางฝั่งเธอเกือบจะทั้งหมดแล้ว ใจเธอก็อ่อนยวบราวกับสัมผัสได้ถึงการมีใครบางคนดูแลและปกป้อง หัวใจที่แข็งดั่งหินผาตระหนักได้ถึงธารน้ำฝนที่หยดลงทีละนิด แม้แต่ร่างกายของเธอก็ยังขยับตามที่ชายหนุ่มบอก เตรียมเดินจากไปพร้อมเขา แต่เวลานั้นเองที่เสียงของนภันต์ดังไล่หลัง

“จะไปไม่ลากันสักหน่อยเหรอครับรูท แบบนี้ผมก็เสียใจนะ”

คำพูดของนภันต์ทำเอาฝีเท้าของเธอหยุดลงกะทันหัน รวมถึงพสุที่อยู่ข้างกันด้วย 

การที่เธอหยุดและหันไปหาอีกฝ่ายไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิด มันเป็นความรู้สึกไม่เข้าใจระคนรำคาญใจ แต่ไม่ว่าเขาจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเหตุผลใด ณิสรินทร์ก็คิดว่าบางทีเธอควรขีดเส้นกั้นระหว่างพวกเขาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ 

               พอคิดได้แล้วณิสรินทร์ก็เผยยิ้ม สำหรับคนมอง รอยยิ้มนี้แม้จะสุภาพน่ามอง แต่กลับดูห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด 

               “ระหว่างฉันกับคุณเดิมทีก็ไม่ใช่คนบนทางเดียวกันอยู่แล้ว ไม่คิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนั้นจะดีกว่าเหรอคะ”

               นภันต์เลิกคิ้วข้างหนึ่งมองเธออย่างประหลาดใจ เขายังคงยิ้มอย่างสุภาพพลางขยับเท้าเข้ามาใกล้ ร่นระยะห่างระหว่างกันลงทีละนิด ไม่ทันไรพสุก็ขยับตัวเบี่ยงหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับนภันต์แทนตน

               “ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้มีธุระกับคุณนะครับ ถ้าเป็นแค่คนนอกก็ควรจะรู้จุดยืนของตัวเอง...ว่าไหมครับ”

               รอยยิ้มเยาะและคำเสียดสีที่หลุดจากปากนภันต์ไม่ได้ทำให้สีหน้าของพสุเปลี่ยนไปสักนิด ยกเว้นแค่ดวงตาสีดำของพสุที่ค่อยๆ ดำดิ่งลึกล้ำเป็นประกาย กลายเป็นสายตาดุดันคมกริบ 

               นภันต์เห็นร่างสูงโปร่งตรงหน้าปลดปล่อยสัญชาตญาณของตัวเองออกมาบ้างก็เหยียดยิ้มอารมณ์ดี ถ้ามัวแต่เห็นสีหน้านิ่งๆ ที่เอาแต่รักษารอยยิ้มจอมปลอมไว้ตลอดเวลามันจะไปสนุกอะไร ดังนั้นอีกจุดประสงค์หนึ่งที่เขารั้งหญิงสาวไว้ก็เพื่อเป็นการหยั่งเชิงผู้ชายตรงหน้าคนนี้อีกทาง

แต่นภันต์ก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนท่าทางไม่สู้อย่างพสุจะตอบโต้ตนกลับมาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อเช่นกัน

               “ถ้ารูทใส่ใจอะไรก็ตามจริงๆ ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน ผมก็ไม่คิดห้ามหรือเข้ามาวุ่นวาย” พสุพูดแล้วก็เว้นจังหวะเล็กน้อย ปรายตามองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับมองเศษฝุ่น 

“แต่ถ้าเรื่องที่ว่ามันกวนใจจนทำให้รูทเสียอารมณ์ ผมก็ไม่ถือสาถ้าจะเข้ามามีส่วนร่วม”

ประโยคโต้กลับของพสุทำเอานภันต์ต้องลอบพิจารณาผู้ชายตรงหน้าในใจอีกครั้ง ดูเหมือนว่าตนจะเผลอดูแคลนท่าทางเหมือนเต้าหู้นิ่มของอีกฝ่ายมากเกินไปถึงได้ถูกตีโต้กลับมา

ขณะเดียวกันณิสรินทร์ซึ่งอยู่ข้างหลังอาจารย์หนุ่มก็อดประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นการตอบโต้ของเขา

“ดูคุณมั่นใจจังเลยนะครับว่ามีสิทธิ์อย่างที่ว่าจริงๆ คุณกับรูทเป็นอะไรกันงั้นเหรอ ถ้ามันพอจะทำให้ผมถอยได้ ผมก็ยอมต่อให้ก่อน แต่อย่าคิดเล่นละครตบตาผมดีกว่า เพราะมันไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเอาซะเลย”

นภันต์หันมาทางเธอ แววตาระหว่างพูดก็จดจ้องตรงมาราวกับเป็นการยืนยันตามที่พูดไว้

ณิสรินทร์รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้หรือยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับใครก็ตามให้เขาฟัง ทว่ายังไม่ทันได้ตอบก็กลายเป็นพสุที่ออกตัวแทนอีกครั้ง

“ผมกับรูทจะเป็นอะไรกัน เรื่องนั้นคงไม่จำเป็นต้องรายงานให้คุณฟัง ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ที่ผมเห็น กรุณารักษาระยะห่างจากรูทด้วย ต่อให้ไม่ต้องใช้สถานะใดๆ มาปราม คุณก็ควรจะรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณคิดจะทำอะไรด้วยก็ได้”

น้ำเสียงเย็นๆ ที่จับอารมณ์ไม่ถูกของพสุทำให้ณิสรินทร์เลื่อนสายตาจับจ้องใบหน้าด้านข้างของเขา เวลานั้นเองก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่า นอกจากสีหน้าแสนอบอุ่นห่วงใย สีหน้าเจ้าเล่ห์แสนกล หรือจะเป็นสีหน้าห่วงหาอาทรที่เขามักแสดงออกมาให้เห็น พสุก็สามารถเผยสีหน้าเย็นชาได้มากขนาดนี้ 

ความรู้สึกแปลกใหม่เช่นนี้ไม่ได้ทำให้ณิสรินทร์รู้สึกต่อต้าน กลับกันเธอยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีกว่าต่อไปเธอจะเห็นพสุในมุมไหนอีก จังหวะนั้นเองที่เขาเอ่ยต่ออย่างรวดเร็วหลังจากทิ้งช่วงหายใจสั้นๆ 

“เธอมีความหมายมากกว่าที่จะเป็นแค่เรื่องสนุกของคุณ ถ้าคุณอยากมองหาเกมสนุกๆ ผมว่าคุณต้องผิดหวังแล้ว เพราะเธอไม่ใช่ และไม่มีวันเป็นแค่ชัยชนะของใคร”

ประโยคนี้ไม่ต่างจากก้อนหินที่กระทบผิวน้ำนิ่งสงบอย่างรุนแรงจนเกิดระลอกคลื่นกระจายออกเป็นวงกว้าง ณิสรินทร์เบิกตา เลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้พสุตั้งใจกางปีกปกป้องตน แต่เธอไม่ได้คาดหวังไว้เลยว่าเขาจะเข้าใจทุกอย่างได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ไม่ต้องรอให้นภันต์โต้ตอบกลับมา พสุก็หมุนตัวกระชับมือข้างที่กุมเธอไว้แน่นแล้วพาเธอออกมาจากตรงนั้นทันที 

เสียงเม็ดฝนที่กระทบผ้าร่มเป็นจังหวะระรัวไม่ต่างจากเสียงกลองในอกข้างซ้ายที่เต้นอย่างตื่นตระหนก ในหูของเธอได้ยินเพียงเสียงเดียวคือเสียงหัวใจของตน กระทั่งเข้ามานั่งในรถของอาจารย์หนุ่มแล้ว ณิสรินทร์ก็ยังไม่ตื่นจากภวังค์ เธอหลุบตามองฝ่ามือที่ว่างเปล่าของตนเงียบๆ แต่ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างสูงที่ถ่ายทอดผ่านผิวกายไม่กี่วินาทีก่อนได้อย่างชัดเจน

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ คุณยืนตากละอองฝนนานหรือยัง ปวดหัวหรือเปล่าครับ...รูทครับ?”

น้ำเสียงที่เคยเย็นชาได้ถึงขนาดนั้น ในเวลานี้กลับมาเป็นเสียงโทนต่ำที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอีกครั้ง ณิสรินทร์เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มข้างตัวเงียบๆ ราวกับเหม่อลอย เฝ้ามองดวงตาดำคู่ตรงหน้าที่กำลังมองเธอไม่ไหวติง ความห่วงใยระคนอ่อนใจฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นี้

“ไม่ค่ะ ฉัน...สบายดี”

ณิสรินทร์ค้นหาเสียงของตัวเองอยู่นานกว่าจะตอบกลับไปได้ แต่หลังจากนั้น ภายในรถยนต์ก็เหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบตัวรถ สายฝนที่เทลงมาบดบังทัศนวิสัยด้านนอกที่เป็นทะเลหมอกขาวๆ ตัดขาดทั้งสองคนจากโลกภายนอก 

“แปลกใจใช่ไหมครับที่เห็นผม”

พสุโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คำถามนี้ทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับแต่โดยดี เขาจึงยิ้มมุมปากก่อนจะค่อยๆ เผยความจริงออกมา

“รุ่นน้องของผมเห็นคุณที่นี่ และพอรู้ว่าคุณกำลังจะตกที่นั่งลำบาก เขาเลยโทร. มาหาผม” 

คำอธิบายนี้ดูสมเหตุสมผลมากพอกับสถานการณ์ของพสุ เมื่อเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงมาพบกันได้ ณิสรินทร์ก็คลายความสงสัย แต่แล้วคำถามต่อมาของชายหนุ่มก็พลันทำเธอหายใจผิดจังหวะ

“รูทครับ คุณไม่อยากรู้หน่อยเหรอครับว่าทำไมผมถึงมา ทำไมผมยังดื้อรั้นไม่ฟังคำขอของคุณ”

ประโยคนั้นทำให้เธอนึกย้อนไปยังก่อนหน้าที่เธอเคยขอให้เขาเว้นระยะห่าง เมินปัญหาของเธอไปแต่โดยดี

จู่ๆ พสุก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ต่อมาถึงค่อยๆ ยกมือขึ้นเกลี่ยลูกผมบางส่วนที่ยุ่งเหยิงให้เธออย่างเบามือ ท่าทางสนิทสนมราวกับคู่รักที่คอยจัดแต่งผมให้กันทำให้ณิสรินทร์ไม่กล้าขยับตัว ได้แต่ซึมซับสัมผัสสุภาพนุ่มนวลของเขานิ่งๆ กระทั่งเขาลดมือลงพร้อมกับหลุบตามาประสานสายตาเธอตรงๆ แล้วพสุก็ทำลายความเงียบสงบระหว่างกัน

“ผมทำไม่ได้เลย” พูดแล้วชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มอ่อน “คำขอของคุณมันยากเกินไป รู้ตัวอีกทีผมก็เร่งมาหาคุณที่นี่แล้ว”

ทั้งๆ ที่อากาศรอบตัวในเวลานี้ควรจะเย็นสบาย แต่ณิสรินทร์กลับรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาจากใบหน้าลามลงไปในอกทีละนิด เธอมองดวงตาของเขาเวลานี้ที่เห็นเงาตัวเองสะท้อนกลับมาได้รางๆ กลับกันก็ไม่รู้เลยว่าดวงตาของตนก็มีคนตรงหน้าเป็นภาพเงาสะท้อนเพียงภาพเดียว 

“การหยุดคิดถึงคุณเป็นเรื่องยากอย่างคาดไม่ถึง และต่อให้เลือกได้ผมก็ยังเลือกเส้นทางนี้อยู่ดี เพราะอะไรคุณรู้ไหมครับ” 

รอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่มตรึงสายตาของเธอไว้ จะให้ทำเมินไปเฉยๆ ก็ไม่ได้ จู่ๆ ณิสรินทร์ก็ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกร้อนรนจนทำตัวไม่พูด คำพูดใดๆ ไม่อาจหลุดรอดออกมา

“ฉัน...”

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมากลางใจ ณิสรินทร์ตระหนักได้ว่าหากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อีกไม่นานโลกของเธอคงถูกเขาทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี

“ผมรู้ว่าคุณเข้าใจ เพียงแต่ยังไม่ยอมรับมัน ใช่ไหมครับ”

คนพูดไม่ได้มีทีท่าเสียใจแต่อย่างใด กลับกันเขากลับยิ้มอย่างสบายใจ 

“ไม่ต้องรีบหรอกครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ แค่อยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมพร้อมจะอยู่ตรงนี้ ถ้าคุณเหนื่อยหรือคิดว่าโลกใบนี้ใจร้ายกับคุณจนเกินไป ผมก็มีเพียงสิ่งเดียวที่อยากให้คุณจำไว้ให้ขึ้นใจ...”

วินาทีนี้หัวใจของเธอหดเกร็งจนเผลอกลั้นลมหายใจ ทั้งรู้สึกกลัวและคาดหวังประโยคที่จะได้ยินถัดไป

“แค่คุณหันหลังกลับมา ที่ข้างหลังคุณ...ผมจะคอยอยู่ตรงนั้น เข้าใจไหมครับ”

จบประโยคของเขา ณิสรินทร์ก็ไม่กล้ายอมรับเลยว่า...บางทีวินาทีนี้หัวใจของเธออาจจะเผลอเอนเอียงไปหาผู้ชายคนนี้แล้วจริงๆ ก็ได้

               

               ในเวลานี้ณิสรินทร์รู้สึกล้าและง่วงงุนไม่น้อย เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้ง เธออยากฟุบหลับสักงีบ แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบปล่อยให้ตัวเองหย่อนยาน ไม่ระวังตัวต่อหน้าคนอื่น จึงแสร้งหยิบหูฟังมาสวมแล้วปิดเปลือกตาเพื่อพักสายตาแทน ส่วนสาเหตุที่ตนง่วงงุนผิดปกติ คงเป็นเพราะหลายคืนมานี้กว่าจะหลับสนิทได้เธอต้องนอนพลิกตัวไปมาไม่รู้กี่รอบ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าควรจะหลับพักผ่อนให้สบาย เก็บแรงเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่หลับตาภาพของพสุจะผุดขึ้นมาท่ามกลางความมืด แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว คำพูดและสายตาของอาจารย์หนุ่มกลับฝังอยู่ในสมองและความคิด พลอยให้หัวใจแกว่งไหวไปมาไม่เป็นจังหวะ ท้ายที่สุดก็ต้องลุกจากเตียง พยายามตั้งสติปรับอารมณ์ของตนโดยเร็ว กว่าจะข่มตาหลับได้เวลาก็ล่วงเลยจนดึกดื่น 

ณิสรินทร์ปิดปากหาว ดวงตาเหม่อลอยเพราะนอนไม่เต็มอิ่ม ทั้งยังรู้สึกสะลึมสะลือเล็กน้อย แต่พอคิดได้ว่าไม่กี่อึดใจต้องเจอเขาในคาบเรียนด้วยแล้ว อารมณ์ง่วงเหงาหาวนอนก็พลันหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยความรู้สึกกระสับกระส่ายที่ยากจะรักษาความสงบเยือกเย็น 

ไม่ทันได้เตรียมใจดี ประตูห้องเรียนก็เปิดออก ตามด้วยร่างสูงโปร่งของพสุที่เดินนำเข้ามา ในวันนี้เขาก็ไม่ต่างจากวันก่อนๆ ใบหน้ามักจะประดับรอยยิ้มน้อยๆ เผื่อแผ่ความอารีนี้ไปถึงดวงตา ชวนให้คนมองรู้สึกสบายใจ

ณิสรินทร์เหม่อมองใบหน้าด้านข้างของเขาเงียบๆ ไล่สายตาสำรวจลงมาเรื่อยๆ จนถึงริมฝีปากเรียวบางของชายหนุ่ม วินาทีต่อมา จู่ๆ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว ทั้งๆ ที่เขาก็ยังเป็นพสุคนเดิม แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าทั้งใบหน้า ท่าทาง และรอบตัวเขาดูเจิดจ้ากว่าครั้งไหนๆ

เธอเอาแต่เหม่อมองอาจารย์หนุ่ม จนไม่ทันสังเกตร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามเขาเข้ามาเลยแม้แต่น้อย 

“สวัสดีครับทุกคน” พสุกวาดตาไปรอบๆ ห้องเรียน กระทั่งสบตาเธอแล้ว เขาก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนผินหน้าไปพูดกับคนอื่นๆ ในชั้นตามปกติ “วันนี้อย่างที่ผมแจ้งไว้ท้ายคาบที่แล้ว เราจะมาวาดอะนาโตมีจากแบบจริง ส่วนการบ้านครั้งก่อน...ณิสรินทร์ ผมรบกวนรวบรวมจากทุกคนมาส่งท้ายคาบด้วยนะครับ”

เมื่อถูกเรียกกะทันหัน เจ้าของชื่อก็หันขวับไปหาพสุ เวลาเดียวกันกับที่นักศึกษารุ่นน้องทั้งหลายหันมามองเธอเป็นตาเดียว เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะหากเทียบความอาวุโสในชั้นเรียน ณิสรินทร์คือนักศึกษาปีสี่เพียงคนเดียว ก่อนหน้านี้อาจารย์ริสาก็มักจะให้เธอเป็นคนรวบรวมงานของรุ่นน้องในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่สุด แต่เมื่อเป็นคำสั่งที่ออกจากปากพสุแล้ว ณิสรินทร์กลับคิดว่าเขาตั้งใจ

หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์พิเศษหนุ่มก็เริ่มพูดคุยกับคนอื่นๆ ในชั้นอย่างสนุกสนาน ปล่อยให้นายแบบในวันนี้เริ่มถอดเสื้อผ้าเปลือยท่อนบนเข้าประจำแท่นยืนกลางห้อง

“ควิกสเกตช์ห้านาที สามท่านะครับ” 

พสุกำชับทุกคนในห้องก่อนหันไปคุยกับนายแบบหนุ่ม ณิสรินทร์เห็นรุ่นน้องสาวหลายคนแอบชำเลืองมองนายแบบคนนี้พลางโน้มตัวกระซิบกันก่อนจะหัวเราะคิกคัก เธอไม่ได้สนใจบทสนทนาเหล่านี้ สองมือจัดเตรียมกระดาษและขยับปรับไม้รองวาดรูปให้พอดีกับความถนัด บทสนทนาของรุ่นน้องที่นั่งอยู่ด้านหน้าจากที่พูดคุยเรื่องนายแบบหนุ่มพลันเปลี่ยนหัวข้อใหม่ ดึงความสนใจจากเธอได้ชั่วขณะ

“พอเห็นอาจารย์พี่รักยืนข้างๆ กับแบบเราวันนี้แล้ว ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยเนอะ”

“จริง ’จารย์พี่รักยังหนุ่มอยู่เลย หลายคนแอบกรี๊ดพี่เขาในใจกันเยอะแยะ”

“ถ้า’จารย์พี่รักมาเป็นแบบน่าจะดีเหมือนกัน เวลาถกแขนเสื้อคือโคตรฮอต ชูการ์แดดดี้มั่กๆ”

“เบาได้เบาเพื่อน”

“ ’จารย์พี่รักก็ไม่เลวจริงๆ นี่นา เห็นอาจารย์ในคณะพูดอยู่เลยว่าพี่เขายังโสด”

“โหย ของดีเบอร์นี้หลุดมาได้ไง”

“ใช่มะๆ เดี๋ยวนี้หนุ่มหล่อสามสิบต้นๆ กำลังดีเลยนะ เหมือนพระเอกซีรีส์เกาหลีไง”

“พูดไปมันก็ใช่ แง อยากจะเกิดเร็วกว่านี้อีกสักสี่ห้าปีเลย”

ต่อมาสาวๆ ตรงหน้าพวกเธอก็พากันหัวเราะคิกคักตามประสา แต่เมื่อนายแบบพร้อมแล้วพวกเธอก็ตั้งสมาธิหันไปทุ่มเทกับการวาดรูปต่อ 

แม้ณิสรินทร์จะยังรู้สึกเบลอเพราะนอนไม่พออยู่บ้าง แต่ใจความสำคัญทั้งหมดล้วนได้ยินชัดเจน เธอสำรวจบรรยากาศในห้องที่เหลือเพียงความเงียบสงบและเสียงดินสอสีขีดเขียนลงบนกระดาษ ทุกคนต่างทุ่มความสนใจให้นายแบบ แต่ณิสรินทร์กลับมองข้ามนายแบบหนุ่มและเพ่งตรงไปที่ร่างสูงโปร่งของพสุ จดจ้องเขาไม่ไหวติง มือพลันขยับตามความคิด เฝ้าทบทวนคำพูดของรุ่นน้องเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอยู่เงียบๆ

               เครื่องหน้าของชายหนุ่มไม่ว่าจะดวงตา จมูก ไล่ลงมายังริมฝีปากล้วนลงตัว เป็นองค์ประกอบที่งดงาม ร่างกายสูงโปร่งซ่อนความแข็งแกร่งกำยำของบุรุษเพศไว้อย่างแนบเนียน แต่ราวกับสายตาของเธอมีฤทธิ์เดชกล้าแกร่ง ณิสรินทร์จึงจินตนาการได้ถึงความงดงามของกล้ามเนื้อใต้ร่มผ้าเขาได้เป็นส่วนๆ ไม่ว่าจะแผ่นหลังตั้งตรง ไหล่ หรือบ่ากว้างที่พร้อมจะปกป้องใครสักคน ท่อนแขนสุขภาพดีและเส้นเลือดสีเข้มที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยยามที่เขาเกร็งท่อนแขน ฝ่ามือ และข้อนิ้วเรียวยาว เธอยังจำสัมผัสและความอบอุ่นบนปลายนิ้วงามเหล่านี้ได้อยู่เลย

               ราวกับตกอยู่ในห้วงความคิดอันเลื่อนลอย ดวงตาของเธอจับจ้องร่างสูง มือข้างหนึ่งร่างภาพในหัวออกมาตามใจนึก จากกระดาษสีขาวสะอาด ไม่กี่นาทีต่อมาก็กลายเป็นภาพของพสุ

กระทั่งห้านาทีแรกจบลง ณิสรินทร์ถึงรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำผิดพลาด เธอเม้มปากแน่น จ้องมองภาพสเกตช์ตรงหน้าพลางกล่าวโทษมันในใจ ก่อนรีบพลิกหน้ากระดาษอีกฝั่งขึ้นมาใช้แทนโดยเร็ว ต้องรีบแอบหันหน้ามองซ้ายขวาและรอบตัว หัวใจพลันเต้นกระหน่ำราวกับเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ โชคดีที่เธอนั่งอยู่แถวหลังสุด ระยะห่างระหว่างตนกับรุ่นน้องคนอื่นๆ ก็มากพอที่จะไม่มีใครสังเกตเห็นภาพร่างนี้ หญิงสาวถึงได้ผ่อนลมหายใจยาว รีบยืดแผ่นหลังตั้งตรง พยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทันที

เวลาเพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร เธอกลับจำไม่ได้เลยว่าท่าโพสแรกของนายแบบมีลักษณะไหนบ้าง เพราะต่อให้เป็นการยืนธรรมดาก็มีท่าทางลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกัน ผู้วาดต้องสังเกตรายละเอียดท่าทางของนายแบบให้ชัดเจน เนื่องจากนายแบบแต่ละคนย่อมมีการยืนรวมถึงสรีระร่างกายต่างกันออกไป บางคนยืนแล้วหลังตรง บางคนชอบยืนเปิดเท้า บางคนก็เผลองอเข่าข้างใดข้างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว 

แต่ในเมื่อพลาดไปแล้ว ณิสรินทร์จึงต้องใช้กลโกงแทนการเค้นความทรงจำหรือวาดภาพขึ้นมาส่งๆ 

ทันทีที่การวาดเซตที่สองเริ่มขึ้น เธอรีบมองนายแบบหนุ่มหน้าห้อง เก็บรายละเอียดท่าทางของเขาแล้วร่างภาพตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ เธอมีประสบการณ์การวาดรูปมากกว่ารุ่นน้องในห้อง การควิกสเกตช์ในครั้งนี้จึงไม่ถือเป็นเรื่องยากลำบาก ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีดี โครงร่างของภาพก็ปรากฏบนหน้ากระดาษ ถึงจะไม่ใช่งานละเอียดพิถีพิถัน ทว่าแค่ร่างเส้นเปล่าเหล่านี้ก็ทำให้เห็นบริบทและองค์ประกอบโดยรวมของนายแบบอย่างดีเยี่ยม

ณิสรินทร์ถอนหายใจ จากนั้นก็รอคอยจังหวะก่อนเหลือบมองภาพสเกตช์แรกของรุ่นน้องที่นั่งอยู่ด้านหน้า พยายามจับรายละเอียดเพียงโดยรวมของแบบให้มากที่สุด ก่อนจะหันมาลงมือร่างแบบตามลงไป 

ดังนั้นเมื่อหมดเวลาในรอบที่สอง หญิงสาวก็วางดินสอลงพร้อมกับถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ความตึงเครียดเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหายไปพร้อมๆ กัน คราวนี้เธอตั้งสติ วางสายตาให้จดจ่ออยู่ที่นายแบบหนุ่ม กลัวจะเผลอหาเรื่องใส่ตัวเหมือนไม่กี่นาทีก่อนอีก 

เวลาห้านาทีจะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว ไม่ทันไรพสุก็สั่งให้ทุกคนหยุดมือ

“ทุกคนเขียนรหัสนักศึกษาที่มุมขวาของกระดาษ ก่อนทยอยไล่ส่งจากด้านหลังมาด้านหน้านะครับ” 

ณิสรินทร์ซึ่งเพิ่งวางใจให้สงบได้ไม่นานมีอันต้องสะดุ้งโหยง รีบเบนสายตาไปมองอาจารย์หนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้อง แต่เมื่อเห็นสีหน้าปกติสุขของอีกฝ่ายก็ได้แต่เม้มปาก เขียนรหัสนักศึกษาของตนลงไป ระหว่างที่ส่งกระดาษที่มีภาพสเกตช์ไปข้างหน้า เธอก็เฝ้าภาวนาอย่าให้เขาจับความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ได้เลย

พสุมองนักศึกษาในห้องเรียนทยอยส่งกระดาษสเกตช์ภาพของตัวเองให้เพื่อนที่อยู่ด้านหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างนิ่งสงบ สายตาเขาไม่ลืมสอดส่องความเรียบร้อยภายในห้องเรียน แบบสเกตช์ที่ถูกรวบรวมมาส่งจะถูกใช้แทนการเช็กชื่อเข้าเรียน ระหว่างที่รอคอยแบบสเกตช์ พสุก็เดินเข้าไปหาปรินทร์ซึ่งเขาจ้างมาเพื่อรับบทเป็นนายแบบจำเป็นของงานนี้โดยเฉพาะและพูดคุยลดความประหม่าของอีกฝ่าย

“ตังเป็นไง พอได้หรือเปล่า”

เดิมทีหนุ่มนักศึกษาหน้าตาดีคนนี้เป็นคนรู้จักของนับดาว เธอเห็นว่าเขากำลังมองหานายแบบสำหรับวิชาอะนาโตมีและเห็นว่าปรินทร์เองก็หน่วยก้านไม่เลว จึงแนะนำมา 

“ครับ ต่อไปผมต้องเป็นแบบสำหรับดรอว์อิงยาวเลยใช่ไหมครับ”

“อืม เป็นการสเกตช์ภาพจริง ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง แต่ผมจะให้นักศึกษาพักเบรกสิบนาที ตังจะได้พักขยับตัวด้วย”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา อาจารย์รักอยากให้ผมจัดท่าทางอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

พสุยืนคิดอยู่ชั่วครู่ โดยปกติแล้วการวาดภาพสำหรับอะนาโตมี หากมีต้นแบบที่มีกล้ามเนื้อเห็นเด่นชัดจะเป็นข้อได้เปรียบที่ดี ถึงแม้ปรินทร์จะไม่ใช่นายแบบหุ่นกล้ามแน่น แต่อีกฝ่ายก็มีกล้ามเนื้อท่อนแขนที่ดูแข็งแรง สวยกำลังดี พสุตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะให้อีกฝ่ายนั่งลงกับพื้น พับขาข้างหนึ่งในท่าขัดสมาธิ อีกข้างยกขึ้นตั้งชันเข่าและใช้แขนข้างเดียวกันพาดกับเข่าข้างนั้น ส่วนแขนอีกข้างเท้ามือกับพื้นพยุงตัวไว้ เป็นการจัดท่าให้ต้นแบบดูมีมิติและเห็นมุมมองของกล้ามเนื้อหลายๆ ด้านมากกว่าการยืนนิ่งๆ 

เมื่อจัดแจงกับปรินทร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พสุก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมตัววาดรูป ขณะที่เขารับกระดาษสเกตช์จากนักศึกษาที่นั่งแถวหน้าทุกแถวมารวมไว้ในมือ จากนั้นก็ปล่อยให้ทุกคนในห้องจดจ่ออยู่กับการวาดภาพต่อไป

เขาเดินเลี่ยงมานั่งตรวจเช็กรายชื่อคนเข้าเรียนที่มุมห้องพลางๆ กระทั่งเห็นรหัสนักศึกษาของคนที่อยู่ในใจแล้ว ถึงได้ไล่สายตาสำรวจการวาดของเธอทั้งสามแบบด้วยรอยยิ้ม

หากมองคร่าวๆ แล้ว การร่างแบบของณิสรินทร์ไม่ได้มีปัญหา แต่กับคนที่ผ่านการวาดรูปและฝึกฝนมาอย่างยาวนาน มีหรือจะไม่ทันสังเกตว่าภาพสเกตช์ทั้งสองแบบแรกไม่ค่อยเรียบร้อยผิดวิสัยของหญิงสาว เพียงแค่พสุเห็นการเปลี่ยนแปลงรวมถึงลายเส้น ก็ราวกับมองเห็นความว้าวุ่นใจของอีกฝ่าย ความสงสัยหนึ่งจึงค่อยๆ ผุดขึ้นมา 

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเพ่งมองไปที่มุมหนึ่งของห้อง ลอบสังเกตหญิงสาวอย่างละเอียด ใบหน้าที่ซีดเซียวและท่าทางเหนื่อยล้าของร่างเล็กทำเอาตนใจอ่อนและรู้สึกกังวลใจไปพร้อมๆ กัน เพราะตั้งแต่เย็นวันนั้นที่ส่งณิสรินทร์กลับหอพัก พวกเขาสองคนก็ไม่ได้พบกันอีก ไม่รู้เลยว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นจะยังตามวุ่นวายก่อความลำบากใจอะไรให้เจ้าของร่างบางหรือไม่ แล้วไหนจะเรื่องของหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นอีก 

เมื่อคิดถึงแววตาและความดื้อดึงของชายหนุ่มแปลกหน้าแล้ว ใจเขาก็ไม่อาจสงบนิ่งได้อย่างที่แสร้งทำอยู่ 

ขณะคิดเขาก็พลิกกระดาษเตรียมตรวจรายชื่อนักศึกษาคนถัดไป ทว่าหางตากลับเห็นภาพร่างหนึ่งด้านหลังกระดาษของนักศึกษาสาว เงาร่างและท่าทางของแบบทำให้พสุชะงัก วินาทีต่อมาสายตาของตนก็เจือประกายอ่อนโยนจนแทบจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ความกังวลแทบจะหายไปในพริบตา

ร่างสูงโปร่งนั่งเฝ้ามองหญิงสาวในมุมห้องเงียบๆ เสียดายที่เวลานี้เขาทำได้เพียงลอบมองร่างเล็กตรงหน้าด้วยความคิดถึงผ่านสายตาเท่านั้น

กระทั่งหมดเวลา พสุเห็นบางคนเหยียดแขนขาขยับตัวไล่ความเมื่อย บางคนก็บ่นพึมพำว่างานไม่เสร็จ จากนั้นถึงได้มองเลยไปยังร่างของณิสรินทร์ เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของอีกฝ่ายแล้วเขาก็สบายใจขึ้นมา ตอนแรกเขานึกอยากก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย ติดอย่างเดียวที่เวลาเดียวกันนี้ปรินทร์ซึ่งสวมเสื้อผ้ากลับเรียบร้อยแล้วกำลังเดินลงมาจากแท่นตรงมาทางตน เมื่อพิจารณาดูแล้ว พสุก็ได้แต่เก็บความตั้งใจแรกไปก่อนแล้วหันไปหาปรินทร์แทน

“ขอบคุณมากนะตัง ค่าแรงสำหรับวันนี้ผมโอนเข้าบัญชีให้แล้วนะครับ ครั้งหน้าคงต้องรบกวนตังอีก”

               “ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องลำบาก”

               ระหว่างนั้นเองที่นักศึกษาหลายคนเดินผ่านพวกเขาสองคนไป บางคนก็เอ่ยลาตนอย่างสนิทสนม บ้างก็มีสายตาเจือรอยยิ้มเผื่อแผ่ไปยังปรินทร์ แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ใช่คนที่พสุรอคอย 

               “อาจารย์คะ งานของสัปดาห์ที่แล้วรวบรวมให้เรียบร้อยตามที่อาจารย์สั่งแล้วนะคะ”

น้ำเสียงเรียบเฉยเย็นชานี้ทำให้พสุหันขวับไปจดจ้องเจ้าของเสียงให้เต็มตา ใบหน้ารูปไข่ของณิสรินทร์ขาวซีด ไหนจะเส้นเลือดฝอยสีเข้มในดวงตาราวกับคนไม่ได้พักผ่อนอีก 

พสุอยากพูดคุยกับหญิงสาวตรงหน้า อยากรู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ แต่สถานการณ์ระหว่างเขากับณิสรินทร์ล้วนไม่เป็นใจเลย...แม้แต่ตอนนี้ก็ด้วย ยังไม่ทันที่พสุจะได้เอ่ยปาก อีกฝ่ายก็กึ่งยื่นกึ่งบังคับให้เขารับการบ้านที่รวบรวมมา จากนั้นก็เดินผ่านไปโดยไม่มีแม้แต่คำลา 

สายตาของเขาจับจ้องไปยังทิศทางที่หญิงสาวจากไป ในหูได้ยินปรินทร์พูดบางอย่าง แต่ตัวเองไม่ทันได้จับใจความให้ดี เพียงแค่รับปากและนัดเวลาสำหรับการมาเป็นแบบในครั้งหน้าไปเร็วๆ ก่อนเร่งฝีเท้าไปยังทางเดียวกันกับที่นักศึกษาสาวเดินจากไป

ชายหนุ่มสาวเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็ว กวาดตามองรอบตัวให้ทั่ว เมื่อเห็นหลังไวๆ ของณิสรินทร์แล้วถึงได้เร่งฝีเท้าไปยังทิศทางนั้น กระทั่งเข้าใกล้อีกฝ่ายถึงได้เรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสดใสที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว

“ณิสรินทร์”

เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย แต่แทนที่จะหยุดฝีเท้า เธอกลับกึ่งวิ่งกึ่งเดินต่อไป ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกนี้

ท่าทางราวกับกระต่ายตื่นตูมวิ่งกลับเข้าโพรงทำให้พสุทั้งขัน ทั้งเอ็นดู ทั้งใจอ่อน เขายืนมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตา นัยน์ตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง สิ่งหนึ่งกระจ่างชัดในใจจนไม่อาจปกปิดรอยยิ้มบนใบหน้าและในดวงตาได้ 

พสุหวนนึกถึงรอยดินสอสีดำที่เลอะอยู่หลังกระดาษของหญิงสาว รอยสเกตช์ภาพของชายหนุ่มที่ไม่ใช่ปรินทร์...แต่เป็นตัวเขาเอง 

ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นปิดรอยยิ้มบนใบหน้า พร่ำบอกในใจซ้ำๆ ว่าไม่เป็นไร ยังมีเวลา

บางทีเขาต้องรอให้บางคนตระหนักถึงใจตนเองได้เสียก่อน และต่อให้ณิสรินทร์จะบ่ายเบี่ยงหนีความจริง มีหรือที่เขาจะทนให้เธอหนีไปดื้อๆ เสียอย่างนั้น ไม่มีทางเลย...


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น