บทที่ 7
เข้าสัปดาห์ที่สองแล้วหลังจากที่ณิสรินทร์พยายามหลบหน้าพสุ แม้ว่าต่อหน้าเธอจะทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่าย หรือแสร้งทำเป็นเมินเขาโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ยอมเหลือโอกาสให้อยู่กับเขาเพียงลำพัง และพาตัวออกห่างจากชายหนุ่มให้มากที่สุด ทว่าสิ่งที่ลงมือทำไปทั้งหมดกลับไม่ทำให้หัวใจที่กำลังกระเด็นกระดอนด้วยความอ่อนไหวนี้สงบลงเสียที เผลอๆ มันยังดื้อรั้น ต้องเผลอเสตาไปยังอาจารย์พิเศษคนนี้อยู่บ่อยๆ
เมื่อพบสายตาของพสุยามมองกลับมา นอกจากจะไม่มีแววตัดพ้อหรือหงุดหงิดใจแล้ว มันกลับเจือด้วยรอยยิ้มและความอ่อนหวานจนเธอทนไม่ได้เสียเอง ราวกับเขารู้ว่าเธอกำลังหนีจึงเปิดทางให้เธอหนีเต็มที่ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกขัดแย้งกับตัวเอง ทั้งอึดอัดใจ ทั้งไม่สงบใจ ราวกับมีผีเสื้อนับพันโบยบินอยู่ในท้องตลอดเวลา
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้ว เธอถึงตระหนกและหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นมา...จากที่คิดว่าจะปิดตายประตูหัวใจบานนี้อย่างเงียบงัน ใครจะล่วงรู้ว่าวันหนึ่งแขกผู้มาเยือนคนนี้จะมีกำลังและแรงต้านทานที่แม้แต่เธอก็กั้นไว้ไม่อยู่ ต่อให้ไม่อยากยอมรับ แต่ก็โกหกไม่ได้ว่าบางส่วนในใจอ่อนไหวลงไปเพราะพสุจริงๆ
ระหว่างที่เธอกำลังดึงใจตัวเองให้กลับมาเป็นดังเดิมอยู่นี้ ชายแปลกหน้าอย่างนภันต์ก็เริ่มเข้ามาปรากฏตัวให้เธอเห็น แม้จะไม่ใช่การพบปะกันโดยตรงก็ตาม เขาจงใจทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้ด้วยของขวัญมากมายที่นำมาส่งถึงหน้าประตูห้องพัก ส่วนที่ว่าเขาได้ข้อมูลและตามหาเธอได้อย่างไรนั้น ต่อให้ไม่เค้นเอาข้อมูลมาจากศิรชัช ณิสรินทร์ก็เชื่อว่าด้วยความสามารถและกำลังของนภันต์ ขอเพียงแค่เขาอยากรู้ การหาที่อยู่ของเธอก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ณิสรินทร์ไม่คิดจะรับของขวัญจากนภันต์ เธอรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นหลุมกับดักหลุมหนึ่ง วันใดก็ตามที่เธอรับของพวกนี้ไว้ มันอาจจะกลายเป็นบ่วงอันใหม่ที่คล้องรัดพาเธอไปสู่เงื่อนไขที่ยากจะถอนตัว
ของขวัญเหล่านี้อาจจะเป็นข้ออ้างเดียวที่ทำให้อีกฝ่ายดึงดันก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตน เพื่อตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลม...เมื่อก่อนเป็นอย่างไร วันนี้และอนาคตข้างหน้าก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เธอไม่มีทางปล่อยให้ความเสี่ยงและอันตรายที่คาดเดาไม่ได้อย่างนภันต์มาอยู่รอบๆ ตัวอีก
แค่ความเห็นแก่ตัวของพ่อเลี้ยง จิตใจของณิสรินทร์ก็หนักอึ้งแล้ว หากต้องรับมือกับความดื้อดึงไม่ยอมแพ้ของนภันต์อีก หญิงสาวไม่รู้เลยว่าต้องใช้แรงกายและแรงใจมากแค่ไหนกัน
เมื่อพูดถึงศิรชัชแล้ว ณิสรินทร์ก็อดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่การพบกันอย่างไม่น่าพอใจในวันนั้น ศิรชัชหรือผู้เป็นแม่กลับหายหน้าหายตาไปเงียบๆ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วหากเธอหักหน้า ฉีกหน้ากากพวกเขากลางโต๊ะอาหารขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่สองสามีภรรยาคู่นี้จะไม่มาโวยวายเอาเรื่อง การนิ่งเงียบหายไปของทั้งสองคนทำให้เธอไม่อาจสงบใจได้ทั้งหมด ไม่รู้เลยว่าครั้งหน้าผู้เป็นแม่กับศิรชัชจะพกลูกเล่นอะไรมาอีก ความสงบในเวลานี้ไม่ต่างจากคลื่นใต้น้ำที่ไม่อาจดูดายนิ่งเฉยได้เสียทีเดียว
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือทำให้สายตาที่เหม่อลอยเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกในพริบตา แม้จะไม่รู้จักหมายเลขที่ไม่ได้บันทึกไว้นี้ แต่เพียงแค่อ่านข้อความเหล่านี้ผ่านๆ ณิสรินทร์ก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของหมายเลขเป็นใคร
‘ไม่ถูกใจของขวัญที่ผมให้เหรอครับ’/
ณิสรินทร์คร้านจะตอบข้อความเขา จึงเลือกทำเป็นเมินเฉย แต่แทนที่อีกฝ่ายจะล่าถอยไปง่ายๆ เขากลับส่งข้อความใหม่เข้ามาอีก
‘ถ้าของขวัญพวกนี้ยังดีไม่พอ ช่วยบอกผมหน่อยสิว่าคุณชอบอะไร’/
‘หรือถ้าผมเป็นคนมอบของขวัญเหล่านี้ให้คุณเองกับมือ จะดูจริงใจมากกว่ากัน’/
ข้อความของนภันต์ทำให้ณิสรินทร์เหยียดยิ้ม หัวใจที่เย็นชายังคงแน่นิ่งไม่สั่นไหว ทำไมจะไม่เข้าใจลูกไม้ตื้นๆ นี้ จากที่คิดว่าจะเมินเฉยต่อการรุกเร้านี้ หญิงสาวก็เปลี่ยนใจ ค่อยๆ พิมพ์ตอบอย่างเชื่องช้าด้วยใจความสำคัญสั้นๆ เพียงประโยคเดียว
‘ไม่ต้องการ ขอบคุณ’/
ส่งข้อความเสร็จ ร่างเล็กก็ผุดลุกคว้าลังกระดาษใบใหญ่ที่ใส่ภาพวาดบนผืนผ้าใบหลายรูปขึ้นมา วันนี้จะเป็นการนำเสนอผลงานครั้งสุดท้ายในวิชาเซลฟ์เอกซ์เพรสชัน ณิสรินทร์ไม่อยากใช้ความคิดและกำลังให้สิ้นเปลืองไปกับเรื่องไร้สาระ เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว เธอจึงออกจากห้องพักตรงเข้ามหาวิทยาลัยทันที
เมื่อคืนเธอฝึกซ้อมนำเสนอกับตัวเองหน้ากระจกหลายต่อหลายรอบแล้ว ต่อให้อยู่หน้าอาจารย์เสกสรร ณิสรินทร์ก็คิดว่าตัวเองคงไม่เหลืออาการประหม่าอีก
ใช้เวลาไม่นานณิสรินทร์ก็มาถึงห้องเรียน เพื่อนร่วมสาขาหลายคนง่วนอยู่กับการฝึกพูดหรือไม่ก็สนใจงานตรงหน้า ไม่มีใครคิดจะเสียเวลากับคนอื่นๆ หรือใครก็ตามที่เพิ่งมาถึง เธอมองไปทั่วห้อง หลายมุมโปรดของตนต่างถูกจับจองไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อพบทำเลที่พอใจ เรียวขายาวก็ก้าวตรงไปยังตำแหน่งนั้นอย่างรวดเร็วเพื่อจัดซุ้มนิทรรศการผลงานของตัวเองให้เรียบร้อย
“รูท สบายดีไหม”
เสียงทักด้วยความประหม่าทำให้ณิสรินทร์ละสายตาจากผลงานของตนมามองผู้มาเยือนด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันก็เพิ่งนึกได้ว่าเธอไม่ได้ทักทายเพื่อนร่วมสาขาคนนี้มาสักพักเหมือนกัน
“พอได้น่ะ แล้วข้าวจัดซุ้มเสร็จแล้วเหรอ”
ขวัญข้าวพยักหน้ารัวๆ ต่อมาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเล่นลูกผมของตนราวกับกำลังประหม่า ท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ อยากพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออกทำให้ณิสรินทร์ไม่เข้าใจเล็กน้อย
“มีอะไรหรือเปล่าข้าว”
“อะ...เอ่อ...คือข้าวอยากมาขอโทษรูท”
“ขอโทษเหรอ” ได้ยินแล้วคนฟังก็ขมวดคิ้ว นึกไม่ออกเลยว่าตนมีเรื่องไม่พอใจอะไรเพื่อนร่วมสาขาคนนี้
“อืม...ที่รูทมีเรื่องในบ่ายวันนั้น แล้วข้าวทำท่าทางแปลกๆ ใส่ ข้าวขอโทษนะ”
แค่ขวัญข้าวพูดขึ้นมา ณิสรินทร์ก็นึกออกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไร
“ข้าวอยากคุยกับรูทหลายครั้งแล้ว แต่ข้าวไม่มีโอกาสเลย เทอมหน้าทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปทำตัวจบ กว่าจะได้เจอกันอีกครั้งก็คงอีกนาน ข้าวไม่อยากทิ้งเวลาไปนานกว่านี้”
หญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าพูดเร็วและติดกันจนณิสรินทร์หายใจตามแทบไม่ทัน ความจริงใจของอีกฝ่ายทำให้แววตาของเธออ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เป็นไร เราไม่ได้โกรธ ไม่ได้คิดมากด้วย ถ้าเราเจอสถานการณ์แบบนั้นบ้างก็คงตกใจเหมือนกัน”
เธอมองขวัญข้าวพร้อมส่งยิ้มให้เป็นการบอกว่าทั้งหมดที่ผ่านมาตนไม่ได้คิดมาก แต่อีกฝ่ายคล้ายยังไม่พอใจตัวเองเท่าไรนัก
“ไม่ได้หรอก ข้าวทำร้ายจิตใจรูทไปแล้ว ข้าวรู้สึกผิดมาก ถึงรูทอาจจะคิดว่าพวกเราไม่ได้สนิทกันและไม่จำเป็นต้องทำให้กันขนาดนี้ แต่ข้าวไม่อยากให้การกระทำไม่ยั้งคิดและไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีแบบนี้ทำร้ายจิตใจใคร ต่อให้คนอื่นมองเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ข้าวก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อาจจะทำให้ใครก็ตามเจ็บปวดอยู่ดี รูท...ข้าวขอโทษอีกครั้งนะ”
คำพูดมากมายของคนตรงหน้าทำให้ณิสรินทร์นิ่งงัน หัวใจที่ว่างเปล่าค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในอก เธอคลี่ยิ้มหวาน ท้ายที่สุดก็เอ่ยไปอีกครั้ง
“ขอบคุณนะข้าว เราซาบซึ้งใจมาก ขอบคุณที่ใส่ใจนะ”
ขวัญข้าวซึ่งเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มหวานของเพื่อนร่วมสาขาตรงหน้าเป็นครั้งแรกนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก เดิมทีเธอก็เคยคิดแล้วว่าณิสรินทร์เป็นคนน่ามอง เพียงแต่เจ้าตัวไม่ค่อยชอบแต่งตัว ไม่แต่งหน้า อีกทั้งยังไม่ค่อยแต่งแต้มความสดใสด้วยรอยยิ้ม มักจะกีดกันคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเย็นชา พอได้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวันใหม่แล้ว เธอก็ได้แต่นิ่งงันกับความงดงามที่ยากจะพบเห็น กระทั่งรู้ตัวว่าเผลอเหม่อลอยไปไกล ขวัญข้าวถึงได้สะดุ้ง รีบสะบัดศีรษะตั้งสติใหม่ด้วยความเขินอาย
“มะ...ไม่เป็นไรเลย ความจริงแล้วอาจารย์รักเป็นคนเตือนเราไว้มากกว่า” เมื่อเห็นว่าณิสรินทร์เลิกคิ้วสงสัย ขวัญข้าวจึงรีบอธิบายต่อ
“ที่จริงอาจารย์รักบอกว่าเราไม่ควรตัดสินใครจากสิ่งที่เห็นเพียงด้านเดียว เพราะต่างคนต่างมีมุมมองไม่เหมือนกัน และไม่อาจรู้ได้เลยว่าในจุดที่รูทยืนอยู่ต้องพบอะไรบ้าง ข้าวถึงได้รู้ว่าข้าวก็ไม่ควรตัดสินรูทไปก่อน เพราะท้ายที่สุดแล้วข้าวก็เป็นแค่คนนอก มันไม่ยุติธรรมต่อรูทเลย”
“เขาพูดแบบนั้นเหรอ”
คำถามของณิสรินทร์ทำให้ขวัญข้าวชะงักเล็กน้อย เพราะน้ำเสียงของเพื่อนร่วมสาขายามเรียกอาจารย์พสุว่า ‘เขา’ เต็มไปด้วยความสับสน แต่เมื่อมองตาอีกฝ่าย เธอกลับพบแต่ความหวั่นไหวที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก รู้เพียงว่าสายตาคู่นี้ของณิสรินทร์ทำให้หัวใจของตนเต้นแรง
“อะ...อืม ที่จริงวันนั้นอาจารย์ก็ดูเป็นห่วงเรื่องของรูทไม่น้อยเลยนะ” เธอพูดตามจริง ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตสีหน้าของณิสรินทร์ไปพลางๆ จู่ๆ ตนก็นึกถึงรอยยิ้มในดวงตาของอาจารย์พิเศษหนุ่มขึ้นมาฉับพลัน...ความอ่อนโยนที่แตกต่างจากครั้งอื่น
ขวัญข้าวกะพริบตาเร็วๆ พยายามเฝ้ามองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของณิสรินทร์ แต่วินาทีต่อมาสีหน้าอีกฝ่ายก็กลับมานิ่งสงบ ไม่อาจรู้เลยว่าในดวงตาคู่งามตรงหน้าเก็บซ่อนความรู้สึกอะไรไว้ ราวกับความหวั่นไหวที่เธอเห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา ถึงอย่างนั้นขวัญข้าวก็เก็บความสงสัยไว้ในใจ ไม่อยากคาดเดาอะไรไปเอง
“ขอบคุณนะข้าว”
คำขอบคุณของณิสรินทร์ดึงขวัญข้าวหลุดออกจากภวังค์ เธอสะดุ้งพลางผงกศีรษะรับอย่างรวดเร็ว วินาทีที่คิดจะเอ่ยปากถามบางอย่าง เสียงฮือฮาของคนในห้องก็ดึงความสนใจของทั้งคู่ไปแทน
พสุก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับอาจารย์เสกสรร คนอื่นๆ ที่ยังเตรียมจัดซุ้มของตัวเองไม่เสร็จก็รีบเร่งมือโดยเร็ว
“ให้เวลาเตรียมตัวอีกห้านาที จากนั้นจะเป็นการประเมินงานโดยอาจารย์เสกนะครับ” เสียงประกาศดังให้ได้ยินชัดทั้งห้อง
เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของพสุแล้ว ขวัญข้าวอดไม่ได้ที่จะลอบมองอาจารย์พิเศษกับณิสรินทร์ซึ่งอยู่ข้างๆ กัน กระทั่งเห็นว่าเพื่อนร่วมสาขาเลิกคิ้วมองตนอย่างสงสัย ขวัญข้าวจึงได้แต่แสร้งยิ้มสู้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“รูทเตรียมตัวเถอะ เราไม่กวนแล้ว”
“อืม”
ขวัญข้าวเห็นณิสรินทร์พยักหน้าให้ทั้งรอยยิ้มก็ค่อยๆ เดินเลี่ยงกลับมายังซุ้มของตนเอง ทว่าสายตายังคงเฝ้ามองอาจารย์หนุ่มและเพื่อนร่วมสาขาคนนี้เป็นระยะๆ ในใจเกิดคำถามขึ้นมาว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะไม่มีอะไร...จริงๆ หรือ
อาจารย์เสกสรรทยอยเดินประเมินผลงานของนักศึกษาภายในชั้นเรียนไปเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงณิสรินทร์
“ผลงานของคุณน่าสนใจนะ ไหนบอกแนวความคิดผลงานของคุณให้อาจารย์ฟังหน่อยสิ” พูดแล้วอาจารย์อาวุโสก็ชี้ไปยังผลงาน ‘ความรัก’ ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของเธอ
ณิสรินทร์ยิ้มบางๆ ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไหลลื่น
“ผลงานชิ้นนี้เป็นการแสดงออกของความรักในอีกมุมหนึ่งค่ะ ที่อาจารย์เห็นอยู่ในตอนนี้ แม้ว่าชายหญิงคู่นี้กำลังโอบกอดกันด้วยความรัก แต่ห้องกระจกเหล่านี้เป็นดั่งภาพสะท้อนของความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจพวกเขา ทำให้ไม่อาจคาดเดาความหมายของอ้อมกอดอันอบอุ่นและดูปลอดภัยนี้ได้เลยว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่”
ขณะพูดเธอก็สบตาผู้ฟังอย่างนิ่งสงบ สายตาเผลอเลื่อนไปยังอาจารย์พิเศษหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน คำบอกเล่าของขวัญข้าวทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้งจนต้องรีบดึงสายตากลับมา
“ทั้งหมดนี้คุณต้องการจะสะท้อนความรักแบบไหนล่ะ”
คำถามของอาจารย์เสกสรรทำให้ณิสรินทร์สูดลมหายใจลึกพลางตอบอย่างมีสติ
“ความไม่แน่นอนค่ะ...ความรักคือความไม่แน่นอน ภายใต้ความงดงามก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสียใจ ความผิดหวัง หรือความกลัวซ่อนอยู่ ต่อให้พูดว่าหัวใจของทั้งสองคนตรงกัน แต่ที่จริงแล้วพวกเขาต่างมีหัวใจเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ความรู้สึกของมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปตอนไหนก็ไม่มีใครให้คำตอบได้
“ดังนั้นที่หนูต้องการจะสื่อในภาพนี้ก็คือ ต่อให้รักใครคนหนึ่งอย่างลึกซึ้ง แต่ท้ายที่สุดหัวใจที่เต้นอยู่ในอกก็ยังเป็นของเรา ต่อให้โอบกอดความรักไว้แน่นแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าวันหนึ่งมันจะไม่เปลี่ยนไปค่ะ”
“อืม น่าสนใจ ถือว่าคุณทำการบ้านได้ดี” อาจารย์เสกสรรยิ้มมุมปาก นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความพึงพอใจ
พสุมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตายิ้มๆ ระหว่างที่เธออธิบายความหมายของความรักตรงหน้านี้อย่างหนักแน่น ตนก็เหมือนได้เข้าไปสัมผัสความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของณิสรินทร์ว่า แท้จริงแล้วความรักในสายตาเธอตรงหน้าเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นและน่ากลัวแบบนี้เอง เขาจินตนาการไม่ได้เลยว่าประสบการณ์ใดบ้างที่ทำให้หญิงสาวปิดกั้นตัวเองและไม่ยอมเปิดใจให้ใคร แต่ถึงอย่างนั้นทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกย่อท้อขึ้นมาเลย
“ว่าไงรัก พอใช้ได้ไหม”
เมื่ออาจารย์เสกสรรหันมาถามความเห็น พสุก็กระแอมกระไอเบาๆ แล้วตอบอย่างรอบคอบ
“ครับ ถือว่าเป็นการตีความหมายจากโจทย์ได้น่าสนใจ ตัวภาพก็มีอิมแพกต์ต่อความรู้สึกคนมอง การเลือกโทนสีที่เข้ากับมูดของอารมณ์ที่ต้องการถ่ายทอดช่วยดึงอารมณ์ของภาพให้สื่อความหมายได้ชัดมากขึ้น ผมติดอยู่อย่างเดียวที่บรรยากาศในภาพให้ความรู้สึกในทางลบมากเกินไป”
พสุพูดไปก็สังเกตทุกคลื่นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในดวงตาคู่งามตรงหน้า
“จริงอยู่ที่ความรักไม่ได้มีเพียงแค่ด้านที่สวยงาม แต่อย่าลืมนะครับ ต่อให้พวกเขาสองคนต่างมีหัวใจเป็นของตัวเอง ทว่าในเมื่อพวกเขาตัดสินใจเดินทางร่วมกัน เลือกแบ่งปันความรู้สึกที่สวยงามอย่างความรักให้กันและกัน นั่นอาจหมายความว่าในประสบการณ์ที่เลวร้ายเหล่านี้ก็ยังมีสิ่งสวยงามเจืออยู่บ้าง ผมเคยได้ยินว่าความรักไม่เคยทำร้ายใคร แต่เรานั่นแหละที่ใช้ความรักเป็นข้ออ้างในการทำร้ายคนอื่น ถึงนี่อาจจะไม่ใช่คำพูดที่ถูกต้องทั้งหมด แต่ถ้าในงานชิ้นนี้คุณได้แบ่งปันและถ่ายทอดมุมมองที่ดีงามของความรักลงไปบ้าง ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายของคุณก็ได้นะครับ”
พสุตอบด้วยรอยยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ในคำพูดนี้คงมีแต่ตัวเขาและณิสรินทร์ที่รับรู้ได้
“อืม ที่รักพูดก็น่าสนใจ ผมก็เห็นด้วย แต่ยังไงก็ตาม ศิลปะไม่มีถูกผิด สิ่งที่ณิสรินทร์นำเสนอ ต่อให้ไม่ใช่ภาพสุขนิยม แต่ความหมายที่ต้องการถ่ายทอดต่างหากที่เป็นแก่นหลักอย่างแท้จริง” อาจารย์เสกสรรพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็แนะนำเรื่องเทคนิคการวาดรูปให้นักศึกษาสาวอีกครั้ง ก่อนจะเดินผ่านไปยังนักศึกษาคนต่อไป
เมื่ออาจารย์เสกสรรเดินนำไปแล้ว พสุเองก็ต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่กำลังสวนกับร่างผอมบาง ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือความตั้งใจ ปลายนิ้วของชายหนุ่มกลับปัดผ่านหลังมือของหญิงสาวเบาๆ
แม้กลิ่นอายและความอบอุ่นของพสุจะจากไปนานแล้ว แต่ณิสรินทร์ก็ไม่กล้าหันกลับไปมองอีกฝ่าย กลัวว่าตนจะเห็นสายตาที่ถ่ายทอดความนัยอันลึกซึ้งของเขาอีก จากนั้นถึงได้ขยับมือข้างนั้นมากุมไว้ ต่อให้ทำเป็นไม่ใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สัมผัสนุ่มนวลนี้กลับสะกิดหัวใจเธอเข้าอย่างจัง ปลายนิ้วไล้วนหลังมือส่วนที่โดนสัมผัสเบาๆ นึกทบทวนนัยที่เขาต้องการบอกอีกครั้ง
หากความรักไม่เคยทำร้ายใครอย่างที่พูด นอกจากตัวเองแล้ว เธอควรจะเปิดโอกาสให้เงาของพสุพาดผ่าน ทิ้งรอยแห่งความทรงจำไว้ในใจนี้จริงๆ หรือ
การนำเสนอในคาบสุดท้ายของวิชาเซลฟ์เอกซ์เพรสชันจบลงอย่างสวยงาม หลายคนรู้สึกได้ถึงอากาศสดชื่นในปอด ความกังวลทั้งหลายถูกปลดออกจากสองบ่า หลังจากจบวิชานี้แล้ว หลายคนก็สบายตัว เหลือแค่เตรียมตัวทำวิทยานิพนธ์ในเทอมหน้าเท่านั้น
สำหรับณิสรินทร์ เธอยังเหลือวิชาดรอว์อิงอะนาโตมีอีกแค่วิชาเดียวในเทอมนี้ ส่วนเทอมหน้าหากไม่นับที่ต้องเข้ามาเสนอหัวข้อหรือสอบปริญญานิพนธ์แล้ว วันอื่นๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ามหาวิทยาลัยบ่อยๆ ซึ่งถึงตอนนั้นเธอก็คงไม่เจอพสุอีก บางทีหากระยะห่างของพวกเขาสองคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าความรู้สึกผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนก็คงหายไปตามกาลเวลา
ขณะที่ใจลอยคิดถึงแผนการในอนาคต เสียงเรียกจากอาจารย์เสกสรรที่ขอคุยด้วยท้ายคาบทำให้ณิสรินทร์กลับมาได้สติอีกครั้ง เธอคาดเดาไว้แล้วว่าเรื่องที่อาจารย์อาวุโสจะคุยด้วยคงไม่พ้นหัวข้องานประกวดภายในคณะซึ่งเหลือเวลาส่งเข้าประกวดไม่มากแล้ว
“วันนี้ทำดีมากนะ ยังพอเหลือเวลาส่งงานเข้าประกวด อาจารย์หวังจริงๆ นะว่าจะเห็นผลงานของคุณ”
คำชื่นชมจากอาจารย์หัวหน้าสาขาวิชาเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ความลังเลในวินาทีสุดท้ายของหญิงสาวค่อยๆ หายไป หากกล่าวกันตามจริงแล้ว การส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในครั้งนี้ต่อให้ไม่ได้รางวัลกลับมา ณิสรินทร์ก็ไม่เห็นเลยว่าจะมีข้อเสียอะไร กลับกันมันเป็นโอกาสให้เธอเผยความสามารถของตัวเอง หากโชคเข้าข้างอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเธออาจจะได้รับข้อเสนอเข้าร่วมทำงานจากบริษัทอื่นๆ ที่สนใจก็ได้
แม้ว่าเธอจะยังไม่มีแนวทางหรือไอเดียสำหรับงานในการประกวดรอบนี้ แต่ในเมื่อยังมีเวลาให้เธอได้คิด ท้ายที่สุดแล้วคำตอบของเธอก็เรียกรอยยิ้มจากอาจารย์หัวหน้าสาขาตรงหน้าได้อยู่ดี
“แน่นอนค่ะอาจารย์ ขอบคุณที่ให้โอกาสนะคะ”
อาจารย์เสกสรรยิ้มพลางแนะนำเกี่ยวกับการส่งงานเข้าประกวดให้เธออีกเล็กน้อยถึงได้หมุนตัวจากไป
ณิสรินทร์ยังไม่ทันได้มองให้ดีว่าตอนนี้คนอื่นๆ ในห้องเรียนเป็นอย่างไรกันบ้าง เสียงทักจากขวัญข้าวก็ดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาเสียอีก
“รูท! รูทอย่าเพิ่งไปไหนนะ”
เพื่อนนักศึกษาสาวเร่งฝีเท้ามายืนหายใจหอบขวางหน้าเธอไว้ ท่าทางของขวัญข้าวเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากณิสรินทร์ได้ไม่ยาก จนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหายเหนื่อยแล้ว เธอถึงได้ถามจุดประสงค์ของคนตรงหน้า
“มีอะไรหรือเปล่าข้าว ถึงได้วิ่งมาขนาดนี้”
“มีสิ! ข้าวกำลังกลัวอยู่เลยว่าจะคลาดกับรูท เห็นอาจารย์เสกคุยกับรูทอยู่ข้าวก็ไม่กล้ามากวน” ขวัญข้าวกะพริบตาอย่างน่ารักให้ครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อรัวๆ ราวกับว่าเธอไม่จำเป็นต้องหายใจอีก
“เพื่อนๆ ในสาขาเพิ่งตกลงกันได้น่ะว่าเราจะไปกินเลี้ยงปิดเซคกัน ที่จริงก็ไปกันยกสาขาเลยนะ รูทสะดวกหรือเปล่า ไปกินเลี้ยงด้วยกันเถอะ เป็นร้านปิ้งย่างที่เพิ่งเปิดใหม่หลังมอ ได้ข่าวว่าอร่อยมากๆ เลยนะ”
ประกายในแววตาของขวัญข้าวชวนให้ณิสรินทร์นึกถึงตาเป็นประกายของลูกสุนัขตัวน้อยเวลาออดอ้อนเจ้าของ คิดๆ ดูแล้วตนก็ไม่ค่อยเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ กับเพื่อนในสาขาเลย มีแต่ขวัญข้าวที่แสดงน้ำใจ เข้ามาไถ่ถามเป็นประจำ อีกทั้งคืนนี้ตัวเธอเองก็ไม่มีตารางงานพิเศษ เธอจึงให้คำตอบอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม
“ได้สิ วันนี้เราว่างพอดี”
“เยส! ดีเลย งั้นเราไปด้วยกันนะ” ขวัญข้าวปรบมือด้วยความดีใจก่อนจะคว้ามือเธอมาจูง เดินนำหน้าไปพลาง เล่าเรื่องของเพื่อนๆ ในสาขาไปพลาง
ณิสรินทร์รู้ว่ามนุษยสัมพันธ์ของตัวเองไม่ได้ดีมากนัก เมื่อได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากคนรอบตัวแล้วเธอก็เผยรอยยิ้มออกมา พร้อมทั้งเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อนสาวตรงหน้า ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของอีกฝ่ายที่กำลังเล่าเรื่องอย่างออกรส
“...ไหนๆ ก็เป็นวันสุดท้ายในเทอมนี้ที่ทุกคนเรียนด้วยกัน ดีจังเลยเนอะที่ได้เลี้ยงส่งก่อนแยกไปทำตัวจบ เฮ้อ คิดแล้วก็ปวดหัวขึ้นมาเลย ข้าวยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเลือกหัวข้อไหน เห็นบางคนเริ่มไปติดต่อหาอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว เรื่องแบบนี้ใครดีใครได้จริงๆ ดูท่าทางปีนี้อาจารย์ริสาน่าจะรับเด็กน้อยแน่เลย เห็นว่าต้องพักฟื้นร่างกายหลังผ่าตัดอีก ที่จริงเป็นอาจารย์เสกก็ไม่เลวเลยนะ แต่คิดดูแล้วไม่เอาดีกว่า ข้าวกลัวต้องแก้งานจนไม่เสร็จมากกว่าอีก...”
ฟังเพื่อนพูดแล้วณิสรินทร์ก็คิดตามอีกฝ่ายไปพลางๆ จากนั้นขวัญข้าวก็พาเธอมาสมทบกับเพื่อนร่วมสาขาคนอื่นๆ หลังจากตัดสินใจแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปแล้วรอเจอกันทีเดียวที่ร้าน เพราะบางคนก็เดินทางไปด้วยรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ส่วนตัว ใครที่เห็นว่าระยะทางไกลไม่เท่าไรก็ตัดสินใจเดินจากคณะไปที่ร้านเอง
ณิสรินทร์ยังไม่ทันตัดสินใจ ขวัญข้าวก็ชวนเธอนั่งรถยนต์ของตนไปด้วยกัน ครั้นจะปฏิเสธ พอเห็นแววตาหมาหงอยตรงหน้าอีกครั้งเธอก็บอกปัดไม่ลง สุดท้ายก็นั่งรถยนต์ส่วนตัวของขวัญข้าวมาถึงร้านปิ้งย่างที่ว่า
“โชคดีที่พวกเรามาเร็ว ร้านยังโล่งอยู่ แบบนี้เราจองโซนใหญ่ในร้านเลยดีกว่า ดูๆ แล้วก็พอดีหัวเลย”
ด้วยความที่ขวัญข้าวเป็นประธานรุ่นของสาขา เรื่องการติดต่อหรือเจรจาจัดแจงใดๆ จึงเป็นงานถนัด ร่างเล็กเดินเข้าไปพูดคุยกับพนักงานในร้านไม่กี่นาทีทุกอย่างก็ลงเอยตามแผนไม่ผิดเพี้ยน
“มาๆ รูท เดี๋ยวคนอื่นๆ ก็ทยอยมากันแล้ว เราเข้าไปเลือกที่นั่งกันเลยดีกว่า”
ณิสรินทร์เห็นท่าทางตื่นเต้นของเพื่อนร่วมสาขาคนนี้แล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อน เดินตามเข้าไปจับจองที่นั่งอย่างว่าง่าย
ภายในร้านจัดสรรเป็นพื้นที่สำหรับนั่งรับประทานอาหารด้านนอกและด้านใน ภายในร้านมีโต๊ะอาหารแบ่งแยกเป็นส่วนๆ ตั้งแต่รองรับลูกค้าจำนวนน้อยจนถึงจำนวนมาก ณิสรินทร์เห็นพนักงานร้านเดินนำพวกเธอไปยังพื้นที่ด้านในอีกโซนหนึ่งซึ่งคล้ายๆ พื้นที่จัดเลี้ยงที่แยกเป็นส่วนตัว โดยแบ่งเป็นโต๊ะสำหรับหกที่นั่งเรียงขนานกันห้าแถว
เธอมองพื้นที่รอบๆ ด้วยความพึงพอใจก่อนเดินตามขวัญข้าวไปเลือกที่นั่ง ซึ่งเธอก็เลือกมุมที่อยู่ด้านใน ห่างจากทางเดินและหัวโต๊ะพอสมควร ส่วนขวัญข้าวเมื่อเห็นว่าเธอได้ที่นั่งแล้วก็เดินตามมาติดๆ ไม่ต่างจากลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ด แล้ววางกระเป๋าข้าวของบนที่นั่งข้างๆ เธอทันที ณิสรินทร์เห็นแล้วก็ไม่พูดอะไร กลับกันยังนึกขอบคุณอีกฝ่ายด้วยซ้ำ บางทีขวัญข้าวอาจจะเห็นว่าเธอไม่ค่อยสนิทกับคนอื่นจึงเลือกมานั่งเป็นเพื่อน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขวัญข้าวหรือเปล่า เพื่อนร่วมสาขาคนอื่นๆ ที่ทยอยเข้ามาในร้านจึงพากันมานั่งต่อจากที่นั่งของเธอยาวไปถึงหัวโต๊ะ ซ้ำยังบางคนยังหันมาทักทายเธออย่างประหลาดใจ
“ปะ รูท ร้านนี้เขาไม่มีบริการเสิร์ฟ ถ้าอยากกินอะไรเราไปหยิบที่ตู้แช่ได้เลย เขาแบ่งใส่ในคอนโดไว้แล้ว”
“ได้สิ”
“แต่เราดูใบเมนูบนโต๊ะก็ได้นะ จะได้ไปหยิบง่ายๆ หน่อย ส่วนตัวเตาเดี๋ยวพนักงานเขามาตั้งไฟให้เอง”
ณิสรินทร์ก้มมองใบเมนูบนโต๊ะพลางๆ ตามคำแนะนำ เพราะเธอก็เลือกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะหยิบของสดอะไรบ้าง กระทั่งผละออกจากโต๊ะแล้ว หางตาก็เห็นพนักงานเดินเข้ามาเตรียมตั้งเตาย่างไฟฟ้าให้พร้อม
“โหย...แค่เห็นในเมนูก็เรียกน้ำลายแล้ว เราไปเอาเนื้อกัน”
เสียงของขวัญข้าวเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากเธอได้ไม่ยาก เมื่อคิดว่าถือโอกาสนี้เป็นการพักผ่อน ณิสรินทร์จึงคลายความระมัดระวังตัวลง ลุกขึ้นตามขวัญข้าวไปอย่างว่าง่าย ระหว่างนั้นเวลาที่อีกฝ่ายถามหรือชวนคุย เธอก็ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่การถามคำตอบคำเหมือนก่อนหน้านี้ ทำให้บรรยากาศรอบตัวหญิงสาวดูเบาสบายและเข้าถึงง่ายกว่าปกติ เพื่อนร่วมสาขาที่เห็นณิสรินทร์ล้วนเห็นด้วยว่าณิสรินทร์ในวันนี้ดูไม่น่ากลัวเท่าวันอื่น
ณิสรินทร์ไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงของคนที่อยู่รอบตัว เพราะความสนใจทั้งหมดตกไปอยู่ที่ตัวขวัญข้าว รู้สึกราวกับว่าวันนี้เป็นการเปิดตาพบประสบการณ์ใหม่ๆ เดิมทีเธอเคยคิดไว้ว่าขวัญข้าวเป็นคนเปิดเผยสดใส เมื่อได้มาทำความรู้จักกันจริงๆ แล้วก็เห็นว่าประธานรุ่นประจำสาขาคนนี้เป็นคนที่น่าคบหาด้วยไม่น้อย เพราะหญิงสาวตรงหน้านอกจากจะเป็นผู้พูดที่ดีแล้ว ยังให้ความเคารพและใส่ใจความรู้สึกคนรอบตัว เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ขวัญข้าวก็ชวนเธอคุยพร้อมกับเล่าเรื่องตลกรวมถึงวีรกรรมของตัวเองให้ฟังไม่น้อย
“...ตอนนั้นอะนะ เสียดายมากเลยที่รูทไม่อยู่ ยิ่งเป็นกิจกรรมช่วงภาคค่ำที่อำผีหลอก ถึงจะสนุกแต่ก็หลอนมากกก”
คนพูดทำตาลุกวาว โทนเสียงขึ้นลงตามจังหวะการเล่า ณิสรินทร์ฟังแล้วก็นึกภาพตาม ก่อนหน้านี้เธอมุ่งมั่นอยู่กับการหาเลี้ยงประคับประคองเอาตัวเองให้รอดในแต่ละวัน เรื่องกิจกรรมต่างๆ ภายในคณะก็เพียงแค่รู้อย่างผิวเผิน ทว่าไม่เคยเข้าไปร่วมด้วยเลยสักครั้ง ได้แต่ฟังเขาเล่าต่อๆ กันมาเหมือนครั้งนี้
ณิสรินทร์ยิ้มบางๆ พร้อมประคองถาดเนื้อสดเป็นตั้งๆ เดินกลับมาที่โต๊ะ แต่ยังไม่ถึงที่หมายดี สายตาก็พลันเห็นเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ ยามที่สายตาของทั้งคู่ประสานกัน ฝีเท้าของเธอก็พลันชะงัก แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลง
ขวัญข้าวซึ่งเดินตามด้วยกันเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย พลางหันไปมองตามสายตาของณิสรินทร์ กระทั่งเห็นพสุซึ่งมาร่วมกินเลี้ยงในมื้อนี้ด้วย เธออุทานในใจด้วยความสงสัยและประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็แอบเก็บท่าทางของเพื่อนสาวข้างกายไว้เงียบๆ
“ ’จารย์พี่รักมาด้วยเหรอคะ”
ขวัญข้าวฉีกยิ้มสดใส เดินนำของสดที่ตักมาวางบนโต๊ะ แล้วไม่ลืมหันกลับไปเรียกคนที่ยืนนิ่งอยู่ด้วยท่าทางปกติ
“รูทมานั่งเร็ว พนักงานเขาเตรียมเตาให้เรียบร้อยแล้วนะ”
ณิสรินทร์ได้ยินเสียงขวัญข้าวแล้วก็เพิ่งรู้สึกตัว เธอหลุบตาต่ำก่อนจะค่อยๆ เดินกลับไปยังที่นั่งของตน ทันทีที่นั่งลงแล้ว ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ส่งยิ้มทักทายแล้วหันไปตอบขวัญข้าวด้วยท่าทางสุขุมเช่นเดิม
“พวกท็อปชวนมาน่ะ ผมคงไม่ได้ทำให้พวกคุณหมดสนุกกันใช่ไหม”
หลายคนที่ได้ยินก็รีบปฏิเสธคำพูดนี้อย่างรวดเร็ว
“ไม่จริงเลยค่า พวกเราอยากกินข้าวกับ’จารย์พี่รักตั้งนานแล้ว”
“ใช่แล้วค่ะ”
“พวกเราชิลๆ ครับ ’จารย์ก็เป็นรุ่นพี่ของพวกผมนะครับ ไม่ง่ายเลยจะได้ร่วมโต๊ะกัน”
เสียงคนอื่นๆ ที่สลับกันพูดด้วยรอยยิ้มทำให้พสุยิ้มบางๆ เขายกแก้วน้ำขึ้นมาจิบเล็กน้อยพลางเอ่ยอย่างเป็นกันเอง แต่ไม่วายปรายตามองเธอเร็วๆ ครั้งหนึ่ง
“ขอบคุณครับ เราปิดคลาสกันไปแล้ว นอกเวลาเรียนถ้าไม่ติดที่ผมแก่กว่า จะเรียกพี่ก็ได้ครับ”
คนพูดยิ้มสดใส พาให้บรรยากาศรอบตัวเป็นกันเองขึ้นมา เดิมทีพสุก็เป็นที่รักและชื่นชมของรุ่นน้องอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวนานนัก หลายๆ คนก็เริ่มหายเกร็ง ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องช่วยกันละลายพฤติกรรมของแต่ละฝ่าย สร้างความสนิทสนมกลมเกลียวเป็นอย่างดี
ณิสรินทร์ทำเป็นไม่สนใจบทสนทนาของรุ่นพี่รุ่นน้องตรงหน้า เธอหยิบตะเกียบคีบเนื้อแผ่นบางในถาดอาหารวางลงบนถาดย่าง ฟังเสียงเนื้อที่ถูกความร้อนของถาดย่างดังฉู่ฉ่าไปพลางๆ สองมือง่วนอยู่กับการพลิกเนื้อคอยระวังไม่ให้โดนความร้อนจนไหม้ ส่วนเนื้อที่ย่างไว้สุกได้ที่แล้วก็คีบลงจากเตา ค่อยๆ ม้วนห่อเนื้อด้วยผักสีเขียวสด จิ้มกินคู่กับน้ำจิ้มที่เพิ่งปรุงรสเองอย่างสบายใจ
รสสัมผัสเข้ากันทั้งเนื้อ ผัก และน้ำจิ้ม กลิ่นของพริกและกระเทียมหอมอบอวลอยู่ในปาก ยิ่งเคี้ยวรสชาติทั้งหลายก็ยิ่งผสมเข้ากันอย่างกลมกลืน นานๆ ครั้งได้มีโอกาสมาพักผ่อนกินของอร่อยที่ถูกใจ ทั้งใบหน้าและดวงตาของหญิงสาวจึงเป็นประกายสดใสอย่างไม่รู้ตัว
พสุเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนพลางสังเกตรสนิยมการกินของคนตรงหน้าเงียบๆ ณิสรินทร์ไม่ค่อยมีส่วนร่วมในบทสนทนากับคนอื่นๆ ดูเหมือนความสนใจของหญิงสาวจะไปอยู่กับการปิ้งย่างของอร่อยตรงหน้าหรือไม่ก็การปรุงรสน้ำจิ้มให้ออกมาถูกใจ
ขณะพูดคุยกับรุ่นน้อง สายตาของชายหนุ่มก็ไม่ได้ละจากณิสรินทร์ที่อยู่ตรงข้ามกัน เขาเห็นทุกอิริยาบถของอีกฝ่าย ยามที่เธอคีบเนื้อห่อผักเข้าปาก ดวงตาของเธอก็เป็นประกายถูกใจจนคนมองยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับพบของโปรด คราวนี้ร่างเล็กถึงเร่งความเร็วในการปิ้ง คอยพลิกเนื้อบนถาด ระวังไม่ให้ไหม้อย่างเต็มที่
นั่งมองเจ้าแมวตัวน้อยกินของอร่อยที่ถูกใจได้สักพัก พสุก็ลุกไปหยิบของกินกับคนอื่นเขาบ้างเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต แต่ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปก็ไม่ลืมหันมาถามเพื่อนร่วมโต๊ะตัวน้อย
“อยากฝากผมหยิบอะไรให้ไหม”
คนที่กำลังเพลิดเพลินกับของอร่อยชะงัก รีบเงยหน้าขึ้นมามองราวกับเพิ่งรู้ตัว พวงแก้มข้างหนึ่งพองเล็กน้อย ในสายตาคนมองยิ่งรู้สึกว่าร่างเล็กตรงหน้าน่าเอ็นดูเป็นเท่าทวีจนเขาอยากจะจิ้มแก้มพองๆ ข้างนั้น
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปาก รีบเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนกลืนอาหารลงคอ ดวงตาคมมองถาดเนื้อที่ว่างเปล่าของตัวเอง แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดณิสรินทร์ก็ปฏิเสธความช่วยเหลือนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินไปหยิบเองดีกว่า ถ้าเอามาไม่หมดก็เสียดาย...”
ประโยคนี้ทำให้พสุนึกย้อนไปยังมื้อแรกที่ได้กินข้าวกับหญิงสาว การปฏิเสธครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เขาหงุดหงิดใจ ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มละมุนละไม
“ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันเนอะ”
ณิสรินทร์คิดจะเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง ทว่าขวัญข้าวซึ่งนั่งใกล้ๆ กันกลับเกาะแขนเธอไว้พลางออดอ้อนอย่างน่ารัก
“รูทจะไปหยิบเนื้อเหรอ เราฝากหยิบหมูหมักงามาด้วยได้ไหม ขอสองชุด แล้วก็หมูสไลด์ชุดหนึ่ง”
เดิมทีเธอตั้งใจจะเลี่ยงไม่อยู่กับพสุตามลำพัง แต่เมื่อได้รับคำขอของขวัญข้าวแล้วณิสรินทร์ก็ไม่อยากปฏิเสธ เธอลุกจากโต๊ะไปยังโซนอาหารสดโดยมีพสุตามหลังมาเงียบๆ กระทั่งเดินทิ้งห่างจากคนอื่นมาบ้างแล้ว หญิงสาวถึงได้หันมามองชายหนุ่มอย่างประเมิน แต่ยังไม่ทันพูดอะไร อีกฝ่ายกลับเปิดปากขึ้นมาก่อน
“มีอะไรอร่อยบ้างครับ แนะนำผมหน่อยสิ”
แววตายิ้มๆ ของคนตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกราวกับมีผีเสื้อนับพันบินวนเวียนอยู่ในท้อง จะทำอย่างไรก็ไม่อาจสงบลงได้ง่ายๆ พอแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ตอบ ทุ่มเทความสนใจไปกับการเลือกของกินที่ชอบมาไว้ในมือ หางตาก็ยังเห็นอีกฝ่ายทู่ซี้เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ คอยมองว่าเธอหยิบอะไรบ้าง
พอมีคนคอยจับจ้องแบบนี้แล้ว ณิสรินทร์ก็เม้มปาก ทนไม่ไหวต้องหันไปหาอีกฝ่าย
“คุณมองทำไมคะ อยากกินอยากได้อะไรก็หยิบสิคะ”
“แน่ใจเหรอครับว่าหยิบได้”
“ก็หยิบไปสิคะ เลิกตามฉันได้แล้วค่ะ”
พูดจบหญิงสาวก็ไม่ลืมส่งสายตาค้อนให้อีกรอบ แต่เมื่อประสานกับนัยน์ตาวาววับเป็นประกายและลุ่มลึกคู่ตรงตรงหน้าแล้ว ใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
“ยะ...ยังจะมองอะไรอีกคะ”
“ก็คุณบอกผมเองนี่ว่าอยากกินอะไรก็หยิบได้เลย ที่ผมอยากได้ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว...” พูดไปชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มากแผนการ “แบบนี้ผมก็พาคุณไปได้เลยใช่ไหมครับ”
นัยน์ตาสีเข้มทอประกายร้อนแรงจนณิสรินทร์ทนสายตาเช่นนี้ไม่ไหว เข้าใจการหยอกเอินของเขาได้ไม่ยาก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า พร้อมกันนั้นก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ลามไปทั่วใบหน้าจนถึงใบหู พอเห็นท่าทางได้ใจของอีกฝ่ายแล้วหญิงสาวก็นึกหมั่นไส้ รีบยัดเยียดถาดของสดที่อยู่ในมือใส่มืออีกฝ่ายโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าปากกำลังว่างอยู่ก็เอาพวกนี้ไปกินค่ะ จะได้ไม่ต้องพูดอะไรไม่เข้าท่าอีก!”
เธอถลึงตาดุเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหยิบของกินของตัวเองและที่ขวัญข้าวฝากหยิบ แล้วหมุนตัวเดินกลับโต๊ะโดยไว
“ขอบคุณมากเลยนะรูท เอ๊ะ หน้าแดงๆ นะ เตาย่างร้อนไปหรือเปล่า หรือรูทแพ้อาหาร”
ณิสรินทร์ซึ่งกำลังยื่นถาดอาหารให้อีกฝ่ายพลันชะงัก ขณะเดียวกันก็พยายามรักษาความสงบของตัวเอง ไม่เปลี่ยนสีหน้า นั่งลงอย่างเชื่องช้า ทุ่มเทความสนใจของตนให้การเตรียมย่างของกินตรงหน้าแทน
“เราเป็นคนขี้ร้อนน่ะ ไม่ได้แพ้อะไร”
“อ๋อ แบบนี้ค่อยโล่งอกหน่อย เมื่อกี้ตอนรูทเดินมา ข้าวเห็นรูทหน้าแดงแจ๋เลย นึกว่ารูทแพ้อาหารซะอีก ข้าวมีน้าสาวที่แพ้อาหารทะเล เวลากินของแสลงทีไรหน้านี่แดงเถือก เลยเป็นห่วงนึกว่ารูทจะแพ้อะไรหรือเปล่า”
ขวัญข้าวเห็นเพื่อนร่วมสาขาข้างกายยิ้มบางๆ แทนคำตอบแล้วก็ไม่พูดอะไร เพราะเข้าใจว่าณิสรินทร์ไม่ใช่คนช่างคุย เธอจึงหยิบยกบทสนทนาที่คุยกับคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ขึ้นมาเล่าให้หญิงสาวฟังพลางดึงอีกฝ่ายเข้าสู่วงสนทนากับคนอื่นๆ ต่อ ไม่นานนักพสุซึ่งเดินไปหยิบของสดบ้างก็กลับมาพร้อมถาดอาหารเต็มสองมือ
“โห พี่รักกินเยอะเหมือนกันนะคะ”
ขวัญข้าวหลุดปากพูดเสียงใส เพราะจำนวนถาดที่อาจารย์พิเศษหนุ่มถือติดมา ดูผิวเผินแม้จะไม่มากไม่น้อย แต่ถ้าให้กินคนเดียวคงมีหวังแน่นท้องไปอีกหลายมื้อ
“มีคนแนะนำให้ครับ ผมเลยเอามาอย่างละหน่อย ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมกินหมดแน่ๆ เห็นแบบนี้ผมก็กินจุนะ”
น้ำเสียงเย้าของชายหนุ่มทำให้บรรยากาศกลับมาครื้นเครง เหล่าขาเมาท์ประจำสาขาเข้ามาร่วมวงด้วย ทั้งพูดคุยเรื่องขำขันที่เกิดขึ้นในคณะ ลากยาวไปถึงการซุบซิบเรื่องราวที่ ‘เขา’ เล่าต่อกันมาอย่างออกรส เพียงแต่ทุกครั้งที่วนไปขอความเห็นจากรุ่นพี่หนุ่ม เขากลับทำเพียงยิ้ม ไม่ตอบและไม่ปฏิเสธใดๆ จนคนอื่นต้องเปลี่ยนลูกเล่นและเปลี่ยนประเด็นการสนทนาไปแทน
สำหรับณิสรินทร์แล้ว เรื่องที่คนอื่นๆ พูดคุยกันนั้นไม่ได้เข้าหัวเลยแม้แต่น้อย กลับกันประสาทสัมผัสทั้งหมดกลับจดจ่ออยู่ที่การเคลื่อนไหวของคนบางคน แม้สายตาจะเอาแต่มองของกินตรงหน้า แต่หูทั้งสองข้างกลับทำหน้าที่แทนอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย ทั้งคอยฟังและคาดเดาว่าตอนนี้พสุจะทำอะไร มีสีหน้าแบบไหนบ้าง
“พี่รักโสดจริงหรือเปล่าครับ ผมเห็นพี่เลขาฯ คณะเมาท์กันใหญ่ว่าพี่รักโสด สมัยเรียนพี่น่าจะฮอตไม่เบาเลยนี่นา”
เมื่อมีการเปิดประเด็นเรื่องหัวใจหรือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หลายคนก็ตาลุกวาว รีบหันมาเข้าร่วมบทสนทนานี้กันอย่างตั้งใจ ส่วนคนที่เป็นเจ้าของเรื่องก็หัวเราะร่วนพลางตอบอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ครับ ผมไม่มีแฟน”
“ไม่จริง ผมไม่เชื่อแล้วหนึ่ง หลายคนกรี๊ดพี่รักจะตาย ถามยายพวกนี้ดูเลยครับ”
เตชินทร์ หนึ่งในเพื่อนร่วมสาขาของณิสรินทร์ มีนิสัยห้าวๆ ตรงไปตรงมา เห็นรุ่นพี่หนุ่มปฏิเสธก็ยิ่งไม่เชื่อ เลยได้แต่โยนระเบิดลูกเล็กไปยังเพื่อนร่วมสาขาสาวๆ
“กรี๊ด! ไอ้เต แกพูดอะไรยะ”
“เอ้า หรือไม่จริง ตอนพี่รักมาใหม่ๆ พวกเธอไม่ใช่กรี๊ดๆ พี่เขากันเรอะ!”
“แง พี่รัก...ไม่ใช่นะคะ”
คนพูดเขินจนหน้าแดง ได้แต่โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ส่วนคนต้นเรื่องกลับยิ้มกลั้วหัวเราะ
“เมื่อก่อนผมยุ่งมาก แถมไม่เหมือนตอนนี้ด้วย เรื่องแฟนหรือความรักอะไรทำนองนั้นไม่มีจริงๆ ครับ”
เมื่อพูดจบก็มีเสียงโห่เบาๆ หลุดอุทานออกมากันยกใหญ่จนคนพูดต้องยิ้ม
“แล้วคนที่ชอบล่ะครับ ต้องมีบ้างแหละ สเปกพี่รักเป็นแบบไหนครับ”
คำถามต่อมาชวนให้หลายคนตาโต สาวๆ หลายคนถึงกับตั้งใจฟัง พากันมองพสุเป็นตาเดียว
“สเปกไม่มีหรอก แต่คนที่ชอบ...ก็มีอยู่”
“หูย...เหล่าได้ไหมพี่จี้ เรื่องนี้พวกหนูอยากใส่ใจ”
คนอายุมากกว่าเห็นแล้วทั้งขำทั้งอ่อนใจ แต่เมื่อปรายตาเห็นคนบางคนเอาแต่สนใจของกินตรงหน้า เขาถึงได้ยิ้มมุมปาก แย้มความในใจที่ซ่อนอยู่ออกมาทีละนิด เฝ้ามองปฏิกิริยาของคนบางคนแทน
“คนที่ผมชอบร้องเพลงเพราะ เวลาเธอยิ้ม ผมคิดว่าเธอสวยมาก ดูผิวเผินแล้วอาจจะเป็นคนใจร้ายใจแข็ง แต่ความจริงแล้วเป็นคนใจอ่อนและใส่ใจกว่าที่เห็น คนที่ผมชอบเป็นคนเก่ง ขยันและมีความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่เห็นมุมมองความคิดของเธอแล้ว ผมก็ค่อยๆ ตกหลุมรักมุมมองเหล่านั้นจนอยากรู้จักเธอให้ดีกว่านี้ อืม...คนที่ผมชอบถึงจะเป็นแมวดุ แต่ผมก็ชอบให้เธอดุนะ เพราะผมชอบเห็นสีหน้าหลายๆ อารมณ์ของเธอ ชอบแกล้งให้เขินบ้าง...จะได้รู้ว่าผมน่ะชอบเธอมากแค่ไหน”
สิ้นเสียงพสุ รอบข้างก็นิ่งงัน คนฟังทั้งชายและหญิงต่างพากันเขินหน้าแดง แต่ทุกความสนใจใดๆ ก็ไม่เท่าปฏิกิริยาของณิสรินทร์
ตั้งแต่ที่พสุเริ่มเอ่ยถึงคนที่ชอบ วินาทีนั้นณิสรินทร์ก็ทนความสงสัยไม่ไหว ร่างกายโอนอ่อนไม่ยอมทำตามคำสั่ง ต้องเงยหน้าขึ้นมาลอบมองชายหนุ่ม พริบตาต่อมาก็รู้สึกราวกับถูกนัยน์ตาลุ่มลึกของเขาสะกดไว้
ทั้งเธอและเขาต่างประสานสายตาอย่างตรงไปตรงมา ณิสรินทร์เห็นความอ่อนโยนที่ฉายออกมาจากดวงตาคมคู่ตรงหน้า ยามที่พสุพยายามใช้สายตาสอดส่องมองหาความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นกับตนแล้ว เธอก็รีบหลบตาเมินไปทางอื่น แต่ก็ไม่อาจปิดพวงแก้มที่กลายเป็นสีชมพูระเรื่อได้ หัวใจเต้นในอกเป็นจังหวะตุ๊มๆ ต้อมๆ ต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองชายหนุ่มอีก
การเปลี่ยนแปลงระหว่างรุ่นพี่หนุ่มกับเจ้าหญิงน้ำแข็งประจำสาขาเป็นเหมือนสายใยบางๆ ที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น ทุกคนต่างถูกคำพูดแสนหอมหวานของพสุมอมเมา ชวนให้เคลิบเคลิ้มลุ่มหลงไปชั่วขณะ กระทั่งคนเปิดหัวข้อได้สติ ไม่ลืมหยอกเย้าพสุอีกครั้ง
“โห ขนาดผมยังรู้สึกเขินเลย” เตชินทร์หัวเราะพลางเกาแก้มแก้เขิน
“โรแมนติกมาก พี่ทำพวกหนูเหมือนตกอยู่ในวังวนของความปั๋ว”
ได้ยินเสียงหยอกเย้าของเหล่ารุ่นน้องตรงหน้าแล้วพสุก็เผยรอยยิ้มสง่างามแกมขี้เล่น รอยยิ้มเจิดจ้าต่างจากช่วงเวลาในห้องเรียนพาให้คนอื่นๆ มองชายหนุ่มตาค้าง นักศึกษาสาวหลายคนรีบก้มหน้าหนี พวงแก้มแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
“ไม่พูดเรื่องผมแล้ว กินข้าวดีกว่าครับ มือนิ่งกันแล้วนะ” ชายหนุ่มไม่ฟังเสียงโอดครวญของเหล่ารุ่นน้องที่พยายามเซ้าซี้ให้เขาแง้มคำตอบออกมาบ้างว่าสาวผู้โชคดีคนนั้นเป็นใคร
พสุคีบเนื้อสดจากถาดลงถาดย่าง โดยจัดเรียงเป็นระเบียบสวยงาม พร้อมกับสังเกตจังหวะการกินของหญิงสาวไปพลางๆ เมื่อเนื้อที่ลงทิ้งไว้สุกทั่วกันดีแล้วเขาก็คีบเนื้อเหล่านั้นแบ่งลงจานเปล่าอีกใบ ระหว่างที่ไม่มีใครทันสังเกตก็เลื่อนจานใบนั้นไปตรงหน้าณิสรินทร์ สลับเปลี่ยนจานสำหรับพักเนื้อให้หายร้อนของอีกฝ่ายมาไว้กับตนแทน พอเห็นหญิงสาวคีบเนื้อในจานไปกินโดยไม่ทันสังเกตความผิดแปลกไป นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายยิ้มๆ ยินดีรับหน้าที่ปิ้งของสดด้วยความเต็มใจ
ไม่ต้องใช้เวลานานนักณิสรินทร์ก็เห็นความผิดปกติของจานตัวเอง ยามที่เห็นว่าน้ำจิ้มหรือเครื่องดื่มเริ่มพร่องลงแล้ว เพียงแค่เธอเหลือบตามอง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้างกันก็จะเรียกพนักงานในร้านมาคอยบริการอำนวยความสะดวกทันที หรือแค่เธอขยับมือวางตะเกียบเมื่อไร พสุก็ยื่นกระดาษทิชชูให้โดยไม่ต้องร้องขอ
พอมองเลยไปยังคนตรงหน้าแล้ว ถึงเห็นว่าพสุมัวแต่คอยปิ้งเนื้อวางทิ้งในจานพักของเธอให้เรื่อยๆ ตัวเขาเองต่างหากที่แทบไม่ได้แตะของกินในถาดย่างด้วยซ้ำ ราวกับรู้ตัวว่าถูกมอง ชายหนุ่มถึงได้หันมาสบตาส่งยิ้มให้
ณิสรินทร์หลุบตามองเตาย่างไม่พูดไม่จา เพียงแต่คีบเนื้อในถาดลงย่างเงียบๆ อีกครั้ง กระทั่งเนื้อเหล่านั้นสุกดีแล้วเธอถึงได้คีบใส่จานพักของพสุกลับบ้าง
ทั้งคู่สลับกันคีบของชอบของแต่ละคนใส่จานพักของอีกฝ่าย ครั้นเห็นแก้วน้ำของใครพร่องก็จะเรียกพนักงานให้โดยไม่ต้องรอให้ขอ หากเห็นมือใครเลอะ อีกคนก็จะส่งกระดาษทิชชูให้ทันที
ท่าทางคุ้นชินและเป็นธรรมชาติของพสุกับณิสรินทร์ที่ไม่ต้องสื่อสารผ่านคำพูดทำให้ขวัญข้าวที่ร่วมโต๊ะด้วยเหลือบมองอย่างสนใจ จนอดพลั้งปากถามออกมาไม่ได้
“ว่าแต่เราสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง รูทไม่มีแฟนเหมือนกันเหรอ”
คำถามระหว่างมื้ออาหารของขวัญข้าวข้อนี้ดึงความสนใจของณิสรินทร์ไปเกือบทั้งหมด ปลายตะเกียบที่กำลังคีบเนื้อพลันอ่อนแรงจนเนื้อตกกลับไปบนจาน หญิงสาวกะพริบตาเบาๆ รู้สึกสะกิดใจกับคำว่า ‘เหมือนกัน’ ของอีกฝ่ายขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าที่ขวัญข้าวบอกว่าเหมือนนั้นหมายถึงใครอีก แต่เมื่อถูกจ้องมองเข้า เธอจึงกระแอมกระไอเบาๆ ในลำคอแล้วค่อยตอบคำถามที่ว่า
“ไม่มี”
“จริงเหรอ” ขวัญข้าวทวนถามเสียงสูง ขณะเดียวกันคนอื่นๆ ก็หันมาเมียงมองอย่างสนใจ แม้แต่พสุซึ่งกำลังตั้งใจกินอยู่ก็หยุดมือ เงยหน้าขึ้นมามอง
“มีคนลือกันนะว่ารูทมีแฟน พอเรียนเสร็จถึงรีบกลับ ไม่ยอมไปไหนกับใคร” เมื่อมีคนเปิดประเด็น หลายคนก็เริ่มออกความเห็นบ้าง
ณิสรินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย
“หมดคลาสเราก็รีบไปทำงานพิเศษ เรื่องแฟนน่าจะเข้าใจผิดกันไปเอง”
“อ๋อ ที่จริงเรายังคิดเลยว่ารูทมีแฟนหรือเปล่า ถึงไม่ค่อยไปไหนกับใครในสาขาเลย”
“เอ๊ะ เราขอถามได้ไหมว่ารูททำงานพิเศษที่ไหนบ้างเหรอ” ขวัญข้าวเองก็นึกสงสัยถึงได้ถามขึ้นมา
ณิสรินทร์ได้ยินแล้วชะงัก เพราะจู่ๆ ก็นึกถึงคำบรรยายถึงคนที่พสุ ‘ชอบ’ ขึ้นมา หากบอกความจริงไป ไม่แน่ว่าคำตอบนี้อาจถูกโยงเข้ากับชายหนุ่มตรงหน้าได้ เธอจึงได้แต่ยิ้มมุมปาก เลือกตอบกว้างๆ ไม่เจาะจงถึงงานพิเศษของตัวเอง
“ก็หลายอย่างน่ะ”
หลายคนเห็นณิสรินทร์กลับมามีระยะห่างคล้ายไม่อยากพูดเรื่องงานของตัวเองอีกก็พากันเปลี่ยนไปคุยหัวข้ออื่น กระทั่งหมดเวลาสำหรับการกินบุฟเฟต์ ขวัญข้าวก็ทำหน้าที่รวบรวมเงินจากเพื่อนๆ โดยปฏิเสธไม่ให้พสุเป็นฝ่ายเลี้ยงตามที่เขาอาสา คนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับตนแล้วก็พากันลูบท้องกลมๆ เดินออกจากร้านด้วยรอยยิ้ม เตรียมแยกย้ายกลับไปคนละทาง
ณิสรินทร์จ่ายเงินในส่วนของตัวเองเสร็จก็คิดจะไปยืนรอขวัญข้าวหน้าร้าน บรรยากาศในร้านช่วงเย็นยิ่งมีคนแห่เข้ามาเป็นจำนวนมาก บรรยากาศวุ่นวายต่างจากที่พวกเธอเพิ่งมาถึงใหม่ๆ อีกทั้งต้องคอยระวังทั้งคนที่ทยอยเดินเข้ามาในร้านและคนอื่นๆ ที่ประคองถือถาดอาหารไว้เต็มสองมือ
“ขอทางหน่อยค่ะ!”
เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะเร่งรีบและเสียงร้องเตือนจากด้านข้างทำให้ณิสรินทร์ขยับหลบอย่างรวดเร็ว แต่เพราะอย่างนั้นจึงทำให้เธอไม่ทันสังเกตเห็นพนักงานที่กำลังโผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของร้าน
“รูท!”
เสียงเรียกของพสุดังขึ้นด้วยความตกใจ ยังไม่ทันที่ณิสรินทร์จะได้ตั้งตัว ท่อนแขนก็ถูกแรงหนึ่งเหนี่ยวรั้งเอาไว้ วินาทีต่อมาทั้งร่างก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอันคุ้นเคย ใบหูแนบลงบนแผ่นอกกว้าง ได้ยินเสียงหัวใจของร่างสูงที่เต้นเป็นจังหวะ กลิ่นอายและความอบอุ่นของชายหนุ่มพลอยทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว วินาทีต่อมาจึงได้ยินเสียงจานและหม้อตกกระทบพื้นดังโครมใหญ่ กลบความคิดทั้งหมด
“ว้าย! ขอโทษค่ะคุณลูกค้า”
เสียงพนักงานที่หวีดร้องด้วยความตกใจทำให้ณิสรินทร์รีบขยับถอยห่างจากการปกป้องของร่างสูงก่อนเบนสายตามองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมึนงง
ถาดเปล่าสำหรับใส่ของสดตกกระจายเกลื่อนพื้นข้างๆ แต่ที่น่าตกใจกว่าคือกาน้ำซุปอุ่นร้อนหกนองพื้น ไอร้อนจากน้ำซุปทำให้เธอรีบหันขวับสำรวจพสุทันที หัวใจของเธอเต้นระรัว จับท่อนแขนของร่างสูงพลางจับตัวเขาหันซ้ายหันขวา สายตาสอดส่องให้แน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ได้เจ็บตัวเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ ไม่ทันรู้สึกตัวว่ามือที่จับพสุไว้สั่นเทิ้มแค่ไหน
“คะ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ดะ...โดนลวกหรือเปล่าคะ”
ณิสรินทร์ไม่ทันฟังเลยว่าเสียงของตัวเองสั่นเครือ ภาพความทรงจำวัยเด็กที่เคยลืมไปแล้วผุดขึ้นมาราวกับมวลน้ำที่ไหลทะลักทลายล้นเขื่อน มือที่สั่นเทาค่อยๆ กำแน่นขึ้น ในหูได้ยินเสียงวิ้งดังกลบเสียงอื่นๆ ในร้านไปจนหมด ยิ่งเห็นไอร้อนจากน้ำซุปที่หกเลอะพื้นเธอก็ยิ่งไม่กล้าขยับตัวไปมากกว่านี้ แม้แต่ลมหายใจก็สะดุดขาดห้วง
พสุเห็นท่าทางตกใจจนตัวแข็งของหญิงสาวแล้วเขาก็มองไปรอบๆ ตัว พนักงานหลายคนรีบเดินเข้ามาทางพวกเขาสองคน ช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่เลอะน้ำซุปที่หกจากกาน้ำ ขณะเดียวกันก็หันมาถามเขาด้วยท่าทางอ่อนน้อมและเป็นกังวล อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นดึงความสนใจของหลายคนในร้าน แม้แต่กลุ่มเพื่อนๆ ของหญิงสาว สายตาหลายคนจับจ้องมาที่พวกเขาทั้งสอง
ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา พสุรีบตัดสินใจแตะข้อศอกคนตรงหน้า ร่างเล็กที่กำลังตื่นตกใจถอยห่างออกมาจากบริเวณดังกล่าว เขาใช้ร่างบังหญิงสาวจากสายตาของคนอื่นๆ จากนั้นก็หันไปพูดกับเหล่ารุ่นน้องที่เดินตามพร้อมจะกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ผมจัดการเอง พวกคุณกลับกันไปก่อนได้เลยครับ”
ขวัญข้าวเห็นก็อดเป็นกังวลไม่ได้ คำพูดที่คิดจะเอ่ยออกไปกลับค้างอยู่ในลำคอเมื่อเห็นความห่วงใยในแววตาของรุ่นพี่หนุ่มตรงหน้า เธอค่อยๆ ลดมือลงพลางถอยกลับมาตั้งหลัก
“ถ้าพี่รักว่าอย่างนั้น พวกเรากลับก่อนก็ได้ค่ะ จะได้ไม่วุ่นวาย แต่รูท...”
“เดี๋ยวผมแวะไปส่งให้เองครับ ผมขอดูให้แน่ใจก่อนว่ารูทไม่โดนน้ำร้อนลวกตรงไหน”
ขวัญข้าวเม้มปาก ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ว่าเพื่อนร่วมสาขาคนอื่นเริ่มเมียงมองพสุกับณิสรินทร์ด้วยความสงสัย เมื่อคิดๆ ดูถึงความสงสัยของตัวเองตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว บางอย่างในใจก็เริ่มกระจ่าง กลายเป็นคำตอบที่เธอว่าไม่อาจเปลี่ยนเป็นอื่นได้ เธอจึงสูดลมหายใจพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พยายามรักษาสถานการณ์ตรงหน้าไว้
“ถ้าอย่างนั้นหนูฝากรูทด้วยนะคะ”
หญิงสาวหมุนตัวควงแขนพาเพื่อนคนอื่นเดินจากไปอย่างว่าง่าย ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมองคนทั้งสองที่ตนเดินทิ้งห่างออกมาแล้ว
“ข้าว...ข้าวว่ารูทกับ’จารย์พี่รักนี่แปลกๆ หรือเปล่า”
เมื่อคนข้างตัวถามขึ้นมา ขวัญข้าวก็หัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความตื่นตระหนกของตัวเอง
“ไม่ใช่หรอกมั้ง พี่รักเขาเป็นผู้ใหญ่ เจออุบัติเหตุแบบนี้ก็ต้องรอบคอบหน่อย เราอยู่ไปก็เกะกะเปล่าๆ”
เธอตอบด้วยท่าทางตามปกติพลางเฝ้ามองสีหน้าสงสัยของเพื่อนข้างกายอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ติดใจแล้ว เธอก็ลอบระบายลมหายใจเฮือกใหญ่
“เอาเถอะ ไม่ต้องคิดมากแล้ว มาคิดกันดีกว่าว่าตัวจบเทอมหน้าจะทำอะไร”
“โหย รีบไปไหมข้าว พูดเรื่องนี้แล้วอาหารที่กินไปชักจะไม่ย่อยซะแล้วสิ”
ขวัญข้าวหัวเราะอีกครั้งก่อนเร่งฝีเท้าพาเพื่อนๆ เดินทิ้งห่างออกจากร้านปิ้งย่าง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็เป็นตัวเธอเองที่อดรนทนไม่ไหว ต้องเหลียวหน้ากลับไปมองคนทั้งคู่เป็นครั้งสุดท้าย
ในที่สุดก็รู้แล้วว่าแววตาแบบนั้นคืออะไร จะบอกว่าไม่มีเกิดขึ้นระหว่างพวกเขานั้น...ไม่มีทางเลย
หลังจากที่คนอื่นๆ จากไปกันหมดแล้ว พสุถึงค่อยๆ เอื้อมมาจับมือเรียวเอาไว้ข้างหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างมาลูบไหล่เล็กพลางปลอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“รูทครับ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้โดนลวก”
มือของเขาข้างหนึ่งโอบประคองมือที่สั่นเทาไว้ ส่วนอีกข้างก็ถือผ้าเช็ดหน้าผืนสะอาดที่ยังไม่ผ่านการใช้งานขึ้นมาซับเม็ดเหงื่อที่เกาะพราวบนหน้าผากมนเบาๆ ไม่ลืมพูดเสียงกระซิบดึงสายตาที่เลื่อนลอยให้มองสบตน
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไม่เป็นไร คุณไม่เป็นไร เราไม่เป็นไรแล้ว รูทครับ...มองผมหน่อย”
ราวกับเสียงของเขาค่อยๆ ซึมเข้าไปในความทรงจำที่ผ่านพ้นมาแล้ว เป็นถ้อยคำที่มอบความอบอุ่นและการปลอบโยนที่แสนสำคัญ ดวงตาที่เหม่อลอยตกอยู่ในความตึงเครียดถึงได้มีประกายขึ้นมา
เมื่อม่านหมอกถูกแสงแดดสาดไล่จนเห็นท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง สายตาของทั้งคู่จึงประสานกันได้ในที่สุด พสุใช้ปลายนิ้วเกลี่ยลูกผมเล็กๆ ออกจากหน้าผากมนแล้วเอ่ยเสียงเบา
“รูทครับ ได้ยินผมไหม ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสวยงาม จนณิสรินทร์ที่เพิ่งได้สติกลับมาถึงกับตาพร่าเลือนไปชั่วขณะ แม้ว่าสมองจะพยายามบังคับให้ตัวเองรีบเว้นระยะห่างจากอีกฝ่าย ทว่าร่างกายและจิตใจกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง ปล่อยให้ตัวเองอ้อยอิ่งอยู่กับความอ่อนโยนที่ได้รับเงียบๆ ทั้งไออุ่นจากฝ่ามือหนา ทั้งสัมผัสอันแผ่วเบาที่ปัดผ่านเส้นผม และถ้อยคำละมุนละไมที่ปลอบโยนอย่างอ่อนหวาน ทั้งหมดนี้เธออยากจะดื้อดึงไม่ยินยอมเสียมันไป
“ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
ท้ายที่สุด เมื่อสติกลับมาอย่างครบถ้วนแล้วณิสรินทร์ก็กัดริมฝีปาก ขยับออกมาอย่างยอมแพ้ ดึงมือที่ถูกกุมไว้กลับมาพลางสบตาคนตรงหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ยอมให้ความอ่อนไหวใดๆ พาดผ่านดวงตาคู่นี้ให้เขาเห็นอีก ทำราวกับว่าอาการตื่นตระหนกของตนที่ผ่านมานั้นไม่เคยเกิดขึ้น
“ไม่มีตรงไหนโดนน้ำร้อนลวกใช่ไหมครับ” พสุลอบสังเกตร่างบอบบางในอ้อมแขนแล้วว่ามีส่วนไหนที่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ถึงจะแน่ใจว่าเขาปกป้องเธอจากอุบัติเหตุไว้อย่างดีแล้วก็ตาม แต่เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของหญิงสาว เขาก็อดกังวลไม่ได้อีก
ณิสรินทร์กัดริมฝีปากพลางส่ายหน้าพร้อมตอบเสียงแผ่ว
“ไม่ค่ะ แต่ว่าคุณ...”
พสุยิ้มบางๆ เขาปล่อยให้คนตรงหน้าเป็นอิสระ ค่อยๆ ถอยห่างจากหญิงสาวให้เธอเห็นเขาได้เต็มตา
“ผมไม่เป็นไรครับ” เห็นแววตาของณิสรินทร์ที่ยังเจือความกังวลและความไม่วางใจ พสุก็ใจอ่อน รีบย้ำให้คนตรงหน้ามั่นใจ “รูทครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
“คนอื่น...”
“กลับไปแล้วครับ”
เกิดความเงียบปกคลุมพวกเขาชั่วขณะ พสุเห็นร่องรอยบางอย่างพาดผ่านดวงตาของหญิงสาว ราวกับเขาเพิ่งได้สัมผัสความรู้สึกอันเปราะบางจากคนตรงหน้า แต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็จางหายไปจากใบหน้าหญิงสาวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
“เก็บผ้าเช็ดหน้าไว้นะครับ” พสุไม่พูดไม่ซักถามถึงความหวั่นไหวของหญิงสาว เพียงแต่ให้เธอเก็บผ้าเช็ดหน้าในมือนี้ไว้ให้ดี “มาครับ ผมจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ไม่ไกล ฉันกลับเองได้”
“ยังไงก็เป็นทางผ่านของผมอยู่แล้ว ให้ผมไปส่งเถอะครับ”
ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มแตะหลังศอกของหญิงสาวเบาๆ เป็นการเชื้อเชิญ ท้ายที่สุดแล้วณิสรินทร์ก็ไม่ปฏิเสธ เดินตามพสุมาอย่างว่าง่าย
ระหว่างทางไม่มีใครเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน ราวกับความคิดของแต่ละคนต่างล่องลอยไปไกล ไม่รู้เลยว่าในใจของพวกเขาคิดถึงเรื่องอะไร กระทั่งพสุจอดรถเทียบข้างทางหน้าหอพักของณิสรินทร์แล้ว หญิงสาวก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออก แต่ก่อนที่เธอจะลงจากรถ มือที่วางอยู่บนมือจับประตูรถกลับนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน นักศึกษาสาวหันกลับมาประสานสายตาเข้ากับคนข้างกาย
ณิสรินทร์อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่คำพูดเหล่านั้นกลับติดอยู่ในลำคอ ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่มีร่วมกันไหลเข้ามาในหัวเป็นระยะจนไม่รู้เลยว่าควรจะเริ่มต้นจากตรงไหน เธออยากจะพูดบางอย่างกับชายหนุ่ม อยากจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้ชัดเจนสักที แต่เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการปฏิเสธจะทำได้ยากเย็นเท่านี้
“ฉัน...” พอเริ่มแล้วถ้อยคำอื่นๆ กลับถูกกลืนหายไปทั้งหมด ราวกับลำคอนี้ไร้เสียงใดๆ ให้เอื้อนเอ่ย ณิสรินทร์กัดริมฝีปากอย่างขัดใจ เธอกำมือแน่น ท้ายที่สุดก็ฝืนพูดขึ้นมาจนเกือบจะเป็นตะโกน
“นอกจากตัวเอง ฉันก็ไม่เคยคิดถึงชีวิตที่มีใครสักคนมาก่อน สำหรับฉันเรื่องพวกนี้ทั้งไกลตัวและเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น...ดังนั้น...คุณ...เลิกสนใจฉันเสียที อย่าเสียเวลามาวุ่นวายกับฉันเลย...”
ทั้งๆ ที่เริ่มต้นเธอพูดเสียงหนักแน่นแล้วแท้ๆ ทว่ายิ่งเข้าสู่ท้ายประโยค เสียงกลับยิ่งเบาลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ มือไม้พลันไร้เรี่ยวแรงเหมือนถูกดูดวิญญาณออกไปจนเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก
ทั้งๆ ที่เธออยากจะปฏิเสธ ตัดความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนี้ให้เด็ดขาด แต่ก็คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะทำให้ใจรู้สึกเจ็บหน่วงและวูบโหวงเหมือนกำลังทิ้งบางสิ่งที่สำคัญไป
เมื่อตระหนักรู้ถึงน้ำหนักของชายหนุ่มที่มีต่อตนเองมากกว่าที่คิดแล้ว ดวงตาหงส์พลันสั่นไหวขึ้นมา เมื่อตัดสินใจลงมือทำแล้ว เธอก็ควรปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น
ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขาอีกครั้ง ความมืดภายในรถทำให้ณิสรินทร์ไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน แต่เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่คิดจะพูดอะไรอีก หญิงสาวถึงได้รีบหมุนตัว ก้มหน้าก้มตาเตรียมลงจากรถ ทว่าไม่ทันได้จากไปอย่างที่ต้องการ เซ็นทรัลล็อกของประตูรถกลับทำงานอีกครั้ง ปิดกั้นทางออกไม่ยอมให้เธอหนีไปโดยง่าย
ณิสรินทร์ขยับตัวคิดจะหันไปบอกให้อีกฝ่ายเปิดประตู แต่เมื่อหันกลับไปแล้วสิ่งที่รอคอยกลับเป็นลมหายใจอุ่นๆ พร้อมดวงตาสีดำสนิทที่มีกระแสธารอันล้ำลึกไหลผ่าน ดั่งมหาสมุทรที่ยากจะหยั่งถึง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่พสุขยับตัวเข้ามาใกล้จนหายใจรดกันถึงเพียงนี้
“เปิดประตูรถนะคะ” หญิงสาวบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นไหว พยายามอย่างมากที่จะควบคุมไม่ให้หัวใจลิงโลดเต้นกระหน่ำเหมือนตอนนี้ แต่ไม่รู้เลยว่าทุกอย่างมันสายเสียแล้ว
“รูทครับ คุณอยากให้ผมหายไปจากคุณจริงๆ เหรอ”
เสียงทุ้มของพสุแหบพร่าเล็กน้อย เขายกมือขึ้นมาอย่างเชื่องช้าพลางใช้ปลายนิ้วลูบไล้จากพวงแก้มของเธอสู่ปลายคาง เพียงแค่สัมผัสอันแผ่วเบาก็ทำเธอชาวาบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า แต่ทั้งหมดทั้งมวลความใกล้ชิดเหล่านี้ณิสรินทร์กลับไม่นึกรังเกียจเลยสักนิด
“คุณจะไม่เสียใจเหรอครับถ้าผมจากไปจริงๆ”
“ทำไมฉันจะต้องเสียใจด้วยคะ ในเมื่อ...”
ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยค ปลายนิ้วชี้เรียวเหมือนลำเทียนของชายหนุ่มก็ปิดผนึกริมฝีปากบางเอาไว้
“ถึงคุณจะบอกผมอย่างนั้น แต่กับตัวเอง คุณปฏิเสธได้ลงคอจริงๆ เหรอครับ”
เจ้าของร่างเล็กชะงักนิ่งงันไปในพริบตา คำพูดนี้ของพสุเป็นเหมือนค้อนอันใหญ่ที่เหวี่ยงทุบเข้ามาโดยแรงจนตั้งรับไม่ทัน กำแพงในใจที่ตั้งตระหง่านเกิดเป็นรอยร้าวที่ยากจะสมาน ราวกับหัวใจดวงนี้ถูกมองจนหมดเปลือก ณิสรินทร์ถึงได้ดื้อดึง ไม่อยากยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ แค่นี้
“ใช่ค่ะ เดิมทีระหว่างพวกเราก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ทั้งฉันและคุณต่างคนก็ต่างเส้นทาง ไม่ควรข้องเกี่ยวกันไปมากกว่านี้...”
พสุค่อยๆ เคลื่อนถอยกลับไป แต่ดวงตาของเขายังสบประสานไม่ยอมละไปไหน ถึงอย่างนั้นณิสรินทร์ก็รู้สึกเหมือนกับว่ารอบตัวมีแต่กลิ่นอายของชายหนุ่มวนเวียนไม่รู้จบ อากาศที่สูดเข้าปอดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจของทั้งคู่
ณิสรินทร์ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูรถ แทนที่เธอจะขยับตัวออกจากพื้นที่แคบๆ ที่มีพวกเขาสองคน ร่างกายของเธอกลับไม่ไหวติงเพียงเพราะประโยคถัดมาของชายหนุ่ม
“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกผมได้ไหมครับ ยืนยันกับผมสักครั้งว่าระหว่างเราไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ คุณยืนยันได้ไหม”
เธอคิดจะตอบคำถามนี้กลับไปทันทีแต่ก็ทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่พยายามมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ในตอนสุดท้ายกลับผิดพลาดจนไม่น่าให้อภัย ณิสรินทร์กลั้นหายใจด้วยความเกร็งและความเครียด แต่ในเวลาเดียวกันอาการลังเลของตัวเองก็ทำให้พสุเผยรอยยิ้มออกมา ในดวงตาของชายหนุ่มมีไฟลุกโชนเป็นประกายจนเธอไม่กล้าขยับตัว ครั้งนี้พสุไม่ได้ทำอะไร เขาเพียงนั่งอยู่ที่เดิมแล้วพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“คุณรู้ดีใช่ไหมว่าคุณก็ยอมรับไม่ได้” ดวงตาพสุนอกจากจะคุกรุ่นด้วยกองเพลิงอันเร่าร้อนแล้ว มันยังไม่ต่างจากจักรวาลอันลึกล้ำที่ล่อลวงเธอให้ตกลงไปอย่างห้ามไม่อยู่ เช่นเดียวกับตัวตนของเขา
“รูทครับ ผมไม่ต้องการบังคับคุณ แต่ถ้าคุณไม่อยากปล่อยมือผมเหมือนที่ผมไม่อยากถอดใจจากคุณ ก็แค่เก็บผมเอาไว้ในใจของคุณ แค่นั้นดีไหมครับ”
ความคิดเห็น |
---|