บทที่ ๑๐
พ่อเลี้ยงทรงศักดิ์ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบขณะฟัง ‘สาย’ บอกเล่าข้อมูลใหม่ทางโทรศัพท์
“มันมีเมียแล้ว?” เขาถามคนปลายสาย หัวคิ้วขมวดนิดๆ แล้วระเบิดเสียงหัวเราะลั่นคล้ายถูกใจในสิ่งที่ได้ยิน
“ลูกสาวไอ้ผู้จัดการไร่ที่ตายไปงั้นหรือ...เด็ก...ยังไม่เต็มสิบแปด บ๊ะ มันไม่เลวเว้ย...เออ...จับตาไว้ ยังไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้มันตายใจไปก่อน ระหว่างนี้มีอะไรก็ส่งข่าวมา แค่นี้นะ” หลังจากสั่งเสร็จก็วางสาย
พ่อเลี้ยงวัยใกล้หกสิบยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอีกครั้ง สายตาทอดมองไร่กุหลาบกว้างไกลสุดสายตา กลิ่นหอมหวานที่อวลอยู่ในอากาศรวมกับความ ‘สำเร็จ’ ในการจับตาดู ‘เป้าหมาย’ ทำให้พ่อเลี้ยงแห่งเมืองเหนืออารมณ์ดี
คีรี พ่อเลี้ยงรุ่นลูก เป็นเจ้าของไร่กุหลาบที่ผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่งของเขาอย่างรวดเร็ว โดยมีจุดเด่นที่ความสามารถในการคิดค้นพันธุ์กุหลาบด้วยตัวเอง เขารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่า จึงพยายามอย่างมากที่จะมีพันธุ์กุหลาบที่ไอ้พ่อเลี้ยงเด็กนั่นมี แต่มันกลับไม่ขายให้เขาเสียนี่
พันธุ์กุหลาบสวีตฮาร์ต กุหลาบพันธุ์ใหม่จากไร่ภูคีรีที่ชนะการประกวดกุหลาบที่ประเทศญี่ปุ่น เขาเห็นแล้ว ทั้งความสวยงามของดอก ทั้งกลิ่นที่หอมหวานและสดชื่นมีชีวิตชีวา แค่ได้เห็นและได้กลิ่นเขาก็หลงหัวปักหัวปำ อยากได้มาปลูกในไร่ของเขา เขาเสนอซื้อในราคาไม่น้อยเลย แต่ไอ้เด็กนั่นกลับปฏิเสธอย่างไม่คิดเสียด้วยซ้ำ ยังความเสียหน้าและหงุดหงิดใจให้เขาไม่น้อย ความต้องการเอาชนะ ต้องการเป็นเจ้าของกุหลาบที่เจ้าของไร่ภูคีรีหวงนักหวงหนาจึงท่วมท้น และเขาจะต้องเอามาเป็นของตัวให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม
เมื่อนึกถึงไร่ภูคีรี พ่อเลี้ยงทรงศักดิ์ก็ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก ด้วยไม่เคยคิดสักนิดว่าวันหนึ่งไร่กุหลาบที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาจะก้าวมาเป็นคู่แข่งที่สร้างความหงุดหงิดใจให้ได้เช่นนี้ เขารู้จักไร่ภูคีรีมาตั้งแต่สมัยที่พ่อแม่ของเด็กนั่นทำไร่ ส่งขายดอกไม้ตลาดในประเทศ และช่วงหลังก็เริ่มส่งออกตลาดต่างประเทศบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นรายย่อยเมื่อเทียบกับเขา แต่หลังจากพ่อแม่ของมันตายและเด็กนั่นกลับมาทำต่อ ไร่ภูคีรีกลับพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีดอกกุหลาบพันธุ์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจออกสู่ตลาดเสมอๆ กลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
ความหงุดหงิดเมื่อนึกถึงเจ้าของไร่ที่เป็นเด็กเมื่อวานซืนคลายลงเล็กน้อย รอยยิ้มผุดตรงมุมปาก ดวงตาเป็นประกาย เมื่อคิดว่าตอนนี้พ่อเลี้ยงคีรีอยู่ในสายตาเขาเสมอ
หลังอาหารกลางวัน ยิหวานั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนที่นั่งประจำตามลำพัง เพราะเพื่อนคนอื่นเอาเอกสารการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยไปส่งที่ห้องวิชาการกันหมด เนื่องจากโรงเรียนจัดการจัดส่งใบสมัครให้
หญิงสาวยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย เหมือนกับความคิดที่ลอยล่องไปไกลถึงบางสิ่งบางอย่างและใครบางคน ใครบางคนที่มอบสัมผัสที่หล่อนไม่เคยได้รับมาก่อน สัมผัสแรก...จูบแรก...ในชีวิตสาว
ยิหวารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งใบหน้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องนอนของตนเมื่อคืนนี้ สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงมาบนริมฝีปากของหล่อน...อย่างช้าๆ และอ่อนโยน
สัมผัสบดเคล้าอย่างเชื่องช้านิ่มนวลนั้นทำให้หล่อนรู้สึกราวกับล่องลอยอยู่ในกลุ่มหมอกที่พร่าเลือน ปล่อยความรู้สึกให้ล่องลอยไปกับความนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างไม่ปัดป้อง ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความคิดที่จะไม่ยินยอม เคยคิดว่าจะน่าขยะแขยง เคยคิดว่าจะรังเกียจหากเขาทวงสิทธิ์ในร่างกายหล่อน แต่ไม่เลย หล่อนไม่ได้รังเกียจสัมผัสแผ่วอ่อนโยนนั่นเลย และหากเขาไม่ผละจากไปรวดเร็วอย่างในตอนเริ่มต้น หล่อนก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะหลงเพริดตามเขาไปถึงไหน
เขาไม่ได้แสดงออกว่าอยากรุกรานมากไปกว่านั้น หลังสัมผัสแผ่วที่เพิ่มความหนักหน่วงขึ้นเพียงนิด เขาก็ถอนริมฝีปาก แล้วบอกให้หล่อนฝันดี
“หนูดี...หนูดี...หนูดี!”
เสียงคนเรียกชื่อเสียงดังข้างหูทำให้ยิหวาสะดุ้งเฮือก หญิงสาวหันไปมองแล้วอดส่งค้อนให้ไม่ได้
“ลูกหว้าน่ะ เรียกซะตกอกตกใจหมดเลย”
“ก็เรียกธรรมดาแล้วมัวแต่ใจลอยไปถึงไหนไม่รู้ นี่ถ้าไม่ตะโกนก็คงจะไม่รู้ตัวแน่เลยหนูดี” ลูกหว้าบ่น มองหน้าเพื่อนสนิทอย่างพิจารณา ก่อนจะยิ้มพราย
“แน่ะ ใจลอยถึงใคร หน้าแดงด้วย”
“บ้า ไม่มี้” หล่อนตอบเสียงสูงอย่างไม่ตั้งใจ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมแก้ม ในใจอดสงสัยไม่ได้...หล่อนหน้าแดงจริงๆ น่ะหรือ
“เสียงสูงด้วยอ้ะหนูดี มีอะไรเปล่าเนี่ย บอกมาเลยนะ”
“ไม่มีจริงๆ ไม่เอาแล้ว ไม่พูดกับลูกหว้าแล้ว” ยิหวาว่า หันหน้าหนีไปอีกทาง เพราะไม่อยากให้เพื่อนพิจารณาสีหน้าหล่อน ก็เล่นพูดแทงใจดำขนาดนี้ จะให้หล่อนทำหน้านิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรจริงๆ ได้อย่างไรเล่า
“โอเคๆ ไม่ล้อแล้ว หันหน้ามาก่อน” ลูกหว้าว่า รั้งบ่ายิหวาให้หันกลับมาหาตน
“มีอะไร ส่งเอกสารเสร็จแล้วหรือ”
“เสร็จแล้ว ว่าแต่หนูดีเถอะ จะไม่สมัครจริงๆ หรือ”
“ไม่ละ หนูดีจะรอแอดมิชชันอย่างเดียว”
“รู้ว่าหนูดีเก่ง ยังไงก็ติดแน่ แต่ว่าสมัครไว้กันเหนียวก็ดีนะหนูดี บางทีอะไรก็ไม่แน่นอน ถ้าติดที่นี่แล้วก็ยังอุ่นใจว่ามีที่เรียนนะ” ลูกหว้าบอกอย่างหวังดี
“ไม่เป็นไร ถ้าสอบไม่ติด ก็...ก็คงต้องหาที่เรียนจนได้แหละ” ยิหวาตอบน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก
หล่อนไม่แน่ใจหรอกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้หรือเปล่า และหากไม่ได้ ‘เขา’ จะยอมส่งหล่อนเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนไหม แต่หล่อนก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าหล่อนจะไปเรียนไกลบ้าน ยิ่งหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน หลังจากที่ได้รู้ตัวว่าหล่อนไม่ได้รังเกียจขยะแขยงสัมผัสของเขาอย่างที่หล่อนเคยคิด ยิหวายิ่งต้องไปให้ไกล เพราะหล่อนไม่รู้ว่าหากยังอยู่ใกล้กัน วันไหนที่เขาจะทวงสิทธิ์ความเป็นสามีของเขาจากหล่อน และยิหวาเกรงว่าเมื่อวันนั้นมาถึง หล่อนจะไม่มีกำลังใจมากพอจะต่อต้านเขา เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือต้องอยู่เสียให้ห่าง เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างเมื่อคืนอีก
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงบอกตนเองให้ฮึดสู้ หล่อนต้องทำได้ ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเชียงใหม่ให้ได้สิน่า
ตอนเย็นหล่อนกลับจากโรงเรียนด้วยรถตู้ เมื่อเข้าบ้าน ป้าสุขใจเอาของว่างมาให้แล้วบอกหล่อน
“พ่อเลี้ยงอยู่ในไร่กับคุณบดินทร์ค่ะ บอกว่าจะเข้าบ้านตอนอาหารเย็นเลย”
“ขอบคุณค่ะป้าสุขใจ งั้นหนูดีขึ้นไปทำการบ้านบนห้องนะคะ คุณภูเข้ามาแล้วค่อยเรียกหนูดีนะคะ”
“คุณหนูดีกินขนมให้หมดก่อนดีไหมคะ หรือจะให้ต้นหอมยกขึ้นไปให้บนห้อง”
“กินก่อนก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ยิหวาบอก จากนั้นก็ตั้งใจกินขนมที่แม่ครัวยกมาให้ เมื่อเสร็จจึงเดินขึ้นข้างบนเพื่อทำการบ้านในห้องนอนของตน
หลังจากทำการบ้านเสร็จเรียบร้อย ยิหวาจัดหนังสือสำหรับวิชาเรียนวันรุ่งขึ้น จากนั้นจึงเอาเอกสารที่ได้จากอาจารย์แนะแนวออกมาอ่าน
วันนี้หล่อนเข้าไปคุยกับอาจารย์แนะแนวเรื่องเส้นทางในอนาคตของตน เล่าเรื่องธุรกิจ ‘ที่บ้าน’ เล่าเรื่องห้องปฏิบัติการ ห้องคอมพิวเตอร์และแอนะลิสต์ของไร่ จากนั้นก็บอกสิ่งที่หล่อนคิดและอยากเรียน
อาจารย์แนะแนวดูพอใจในความคิดของหล่อน ท่านส่งเอกสารให้หล่อนแล้วบอก
‘พวกนี้คือรายชื่อมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาวิชาไบโออินฟอร์เมติกส์ทั้งหมด หนูลองเลือกดูว่าอยากเรียนที่ไหน’
ยิหวากวาดตามอง อ่านรายชื่อมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีในสาขาที่หล่อนสนใจ ส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง แต่มหาวิทยาลัยในเชียงใหม่เองก็มีเปิดสอนเช่นกัน
คัดออกเลย...ยิหวาคิด ขณะ ‘ขีดฆ่า’ มหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ในใจ หล่อนไม่มีทางเลือกมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน โดยเฉพาะในเชียงใหม่ ซึ่งหมายความว่าหล่อนจะต้องอาศัยอยู่ในไร่แห่งนี้แล้วมีรถจากไร่ไปส่งที่มหาวิทยาลัยเหมือนตอนเรียนมัธยม
หญิงสาวหมายตามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ไว้หลายแห่ง บางแห่งเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ แม้หล่อนจะรู้ตัวว่ายังไม่เก่งเท่าไรนัก แต่ภาษาอังกฤษก็สำคัญ และหากหล่อนตั้งใจ บางทีหล่อนอาจจะเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษได้ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อหล่อนมากกว่า
วูบหนึ่งหล่อนอยากปรึกษา ‘ดอกเตอร์’ หัวหน้าทีมวิจัยของไร่ภูคีรี หล่อนเชื่อว่าเขาต้องให้คำปรึกษาที่ดีต่อหล่อนได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อไม่แน่ใจว่าเขาจะพอใจความคิดที่จะหนีไปเรียนไกลบ้านของหล่อนนัก จึงไม่กล้าปรึกษาเขา รอให้หล่อนสอบติด มีที่เรียน ตอนนั้นค่อยให้เขารู้ดีกว่า และได้แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะรักษาคำพูดที่ว่า จะยอมให้หล่อนเรียนมหาวิทยาลัยที่หล่อนสอบเข้าได้
เมื่อดูกำหนดการรับสมัครสอบของมหาวิทยาลัยที่หล่อนหมายตา ยิหวาก็ถอนหายใจยาว เพราะเวลากระชั้นเข้ามาแล้ว และที่ตั้งใจว่าจะสอบเข้าแบบแอดมิชชัน มหาวิทยาลัยกลับเปิดรับแบบรับตรงเพียงอย่างเดียว และจะเริ่มเปิดให้สมัครทางอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยปลายเดือนหน้า ก่อนวันเกิดหล่อนไม่กี่วัน
ยิหวาจดกำหนดการรับสมัครสอบลงในปฏิทินตั้งโต๊ะ วงกลมสีแดงขนาดใหญ่มองเห็นชัดเจนไว้ จากนั้นก็เปิดเว็บไซต์ดูกำหนดการการรับสมัครของมหาวิทยาลัยอื่นๆ และจดลงในสมุดบันทึกเพื่อเตือนความจำ และวางแผนการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ของตน
หลังจากดูกำหนดสอบ คุณสมบัติของผู้สมัคร และคะแนนต่างๆ เพื่อประกอบการสมัครแล้ว ยิหวาก็จดรายละเอียดแยกไว้เป็นรายมหาวิทยาลัย เรียงตามลำดับวันที่ เพื่อที่จะไม่พลาดการสมัครทุกมหาวิทยาลัยที่หล่อนตั้งใจ อดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองโชคดีที่สามารถสมัครมหาวิทยาลัยได้มากเท่าที่ต้องการ แม้ว่าจะใช้เงินในการสมัครค่อนข้างมาก เมื่อรวมหลายมหาวิทยาลัยก็เป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว ขณะที่เพื่อนบางคนที่ไม่โชคดีเท่าหล่อนจำต้องเลือกมหาวิทยาลัยที่คาดว่าจะได้แน่ๆ เพียงไม่กี่แห่ง เพราะไม่มีเงินมากพอจะสมัครหว่านไปหมด
เมื่อจัดการกับการวางแผนสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้วยิหวาก็เก็บสมุดบันทึกเข้ากระเป๋า จากนั้นหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน การสอบใกล้เข้ามาทุกขณะ ทั้งสอบปลายภาค สอบแกต แพต และวิชาสามัญที่จำเป็นต้องใช้ประกอบการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย แม้ว่าหล่อนจะเป็นเด็กเรียนดี ผลการเรียนที่ผ่านมาก็ดีกว่าเพื่อนคนอื่นๆ แต่หล่อนก็อดหวาดหวั่นกับการสอบนี้ไม่ได้เลย เพราะเป็นการสอบชี้เป็นชี้ตายอนาคตทางการศึกษาของหล่อน
เสียงเคาะประตูเรียกยิหวาให้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่านอยู่แล้วถามออกไป
“ใครคะ”
“ป้าเองค่ะคุณหนูดี ป้ากำลังจะตั้งโต๊ะค่ะ พ่อเลี้ยงเข้าบ้านแล้ว” เสียงป้าสุขใจดังผ่านประตูเข้ามา
“เดี๋ยวหนูดีลงไปค่ะ” หล่อนบอกพลางลุกขึ้น ปิดหนังสือแล้วเดินเข้าไปดูความเรียบร้อยของตนในห้องน้ำ เสร็จแล้วจึงเดินลงไปข้างล่าง
ยิหวาเดินเข้าไปในห้องอาหาร ไม่เห็นคนตัวโตในคลองสายตา นึกถึงเสียงอาบน้ำที่หยุดลงในห้องติดกันก่อนที่หล่อนจะลงมา จึงเดาว่าเขาคงแต่งตัวอยู่
ป้าสุขใจซึ่งกำลังช่วยกันตั้งโต๊ะกับต้นหอมเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เมื่อหล่อนเดินเข้าไปถึงโต๊ะ
“คุณหนูดีมานั่งสิคะ พ่อเลี้ยงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ เดี๋ยวคงลงมา”
“ค่ะ” ยิหวารับคำแล้วเดินไปนั่งที่ของตน
นั่งรออยู่ไม่นานยิหวาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังลงมาจากชั้นบน กลิ่นหอมหวานของกุหลาบนำมาก่อน ก่อนที่เจ้าของกลิ่นกายจะปรากฏตัวในชั่วอึดใจต่อมา
“รอนานหรือเปล่า”
คนเพิ่งมาถึงถามโดยไม่เจาะจงว่าถามใคร แต่ยิหวารู้ว่าเขาถามหล่อน จึงตอบ
“ไม่นานค่ะ หนูดีเพิ่งลงมา”
“ทำการบ้านอยู่หรือ” เขาถามขณะทรุดตัวลงนั่งข้างหล่อน
“อ่านหนังสือค่ะ ใกล้สอบแล้ว”
“จะจบแล้วหรือ” เขาถาม สีหน้าไม่เปิดเผยความคิด
“ยังค่ะ สอบปลายภาคปลายกุมภา แต่ปลายเดือนหนูดีมีสอบแกต แพต”
คีรีทำเสียงรับรู้ในลำคอ เขาไม่มีรายละเอียดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปัจจุบัน รู้เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากการสอบเอนทรานซ์ในสมัยที่เขาเป็นนักเรียน มาสู่การสอบหลายตัว ซึ่งคนตรงหน้ากำลังจะสอบอยู่นี่ละกระมัง
“กินข้าวกันเถอะ” เขาชวนพลางทำมือเป็นสัญญาณให้แม่ครัวเริ่มตักอาหาร
หลังอาหารเย็น ยิหวาเดินตาม ‘ครูสอนภาษาอังกฤษ’ เข้าไปในห้องนั่งเล่น ที่ซึ่งเขากับหล่อนใช้เวลาหลังอาหารเย็นอ่านหนังสือหรือดูซีรีส์ภาษาอังกฤษด้วยกันทุกคืนก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน
คีรีทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา แล้วหันมาถามคนที่เดินตามมานั่งไม่ห่างจากเขามากนัก
“อยากดูหนังหรืออ่านหนังสือดีวันนี้”
“อ่านหนังสือก็ได้ค่ะ เกือบจบแล้ว หนูดีอยากอ่านให้จบ” หล่อนตอบ ไม่ได้บอกเขาว่าเรื่องราวในหนังสือกำลังค้างคา และหล่อนอยากรู้ตอนจบใจจะขาดแล้ว
คนหน้านิ่งสีหน้าคลายลงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำตอบหล่อน เขาเอนกายลงพิงพนักโซฟา ยกมือขึ้นประสานกันใต้ท้ายทอย แล้วบอกขณะหลับตาลง
“ขอนอนฟังนะ”
ยิหวาเหลือบตามองคนพูดแวบหนึ่ง เห็นเขาเอนตัวนอนท่าทางสบายจึงเริ่มต้นอ่าน
หล่อนไม่รู้ว่าหลงวนอยู่กับเรื่องราวในหนังสือนานแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ จากคนนอนฟังหลังจากที่เรื่องราวจบลง
“อ้าว...หลับตอนไหน” หล่อนพึมพำขณะมองคนหลับท่าทางสบายนั้น
ยิหวายื่นมือไปทำท่าจะแตะแขนเพื่อปลุกเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางหลับสบาย สีหน้าที่ปกติเคร่งขรึมดูผ่อนคลายและอ่อนเยาว์ลงไปอีกหลายปี หล่อนก็เปลี่ยนใจมานั่งพิจารณาเขาแทน
ใบหน้าภายใต้หนวดเครารกครึ้มนั้นคล้ำแดดแต่ไม่หยาบกร้าน ผิวสีเข้มดูเนียนน่าสัมผัส โครงหน้าเขามีเหลี่ยมมุมชัดเจน คิ้วดกหนาแต่ไม่รก จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูจางปิดสนิท หน้าอกตึงแน่นใต้เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวขยับขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ยิหวารู้สึกหน้าร้อนวูบเมื่อรู้ตัวว่าหล่อนแอบพิจารณาเขาตอนที่เขาไม่รู้ตัว ‘หน้าไม่อายจริง’ หล่อนว่าตนเองในใจ ก่อนจะตัดสินใจปลุกเขาให้ขึ้นไปนอนในห้อง
วินาทีหนึ่งหล่อนยื่นมือไปเขย่าตัวเขา แต่วินาทีต่อมา หล่อนกลับนอนหงายบนโซฟาโดยมีร่างใหญ่โตของคนหลับคร่อมทับ สายตาเขามองลงมาสบกับสายตาตื่นตระหนกของหล่อนด้วยประกายงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะมีแววจดจำได้ เขาเอ่ยเสียงเบา
“ขอโทษ...”
คีรีมองสีหน้าตื่นตระหนกของคนใต้ร่างแล้วอดยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าหล่อนอย่างแผ่วเบาไม่ได้ เขาอธิบายอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นหล่อนจ้องหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ขอโทษหนูดี ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ เธอแตะตัวฉันตอนที่ไม่มีสติ”
คำอธิบายของเขาทำให้ยิหวามองเขาอย่างพิจารณา เขาแค่ทำไร่ แค่พัฒนาพันธุ์กุหลาบในห้องปฏิบัติการ มีอะไรให้หวาดระแวงจนถึงกับแตะตัวตอนหลับไม่ได้เชียวหรือ หล่อนรู้...ตอนที่เขาพลิกหล่อนให้ลงไปนอนหงายบนโซฟา มันเป็นลักษณะเหมือนการประชิดตัวคนร้าย ไม่ใช่การรุกรานอย่างชายหญิงแน่นอน
เมื่อเห็นว่าหล่อนยังจ้องเขาอยู่พร้อมคิ้วที่ขมวดน้อยๆ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นคลึงหัวคิ้วหล่อนเบาๆ แล้วบอกชิดใบหน้าหล่อนอย่างอ่อนโยน
“ไม่มีอะไรหรอก เข้านอนกันดีกว่านะ”
ความคิดเห็น |
---|