10

บทที่ 9


บทที่ ๙

“กินข้าวแล้วเข้าไร่กับฉันนะหนูดี”

คำพูดที่คนฟังรู้สึกว่าเป็นคำสั่งมากกว่าคำชวนจากคนตัวโตที่นั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ด้วยกันทำให้ยิหวาเงยหน้าขึ้นมองเขา เมื่อเห็นว่าเขามองหล่อนอยู่ก็หลุบตาลงมองโต๊ะแล้วตอบรับเสียงแผ่ว

“ค่ะ”

“มีชุดสำหรับขี่ม้าไหม”

“มีค่ะ”

คีรียิ้มนิดๆ เมื่อได้ยินคำตอบ เขารู้ว่าไม่จำเป็นต้องถาม หล่อนมีเสื้อผ้าและรองเท้าสำหรับขี่ม้า ศาสตราสอนลูกสาวขี่ม้าตั้งแต่เล็กๆ และตั้งแต่ที่เขาเริ่ม สนใจ หล่อนเมื่อสองปีก่อน หลายหนที่เขาแอบมองหล่อนขี่ม้าอยู่ไกลๆ ท่านั่งหลังตรง บังคับม้าด้วยท่วงท่าสง่างามและมั่นอกมั่นใจ เรียกความสนใจจากเขาได้เสมอ หล่อนมักจะออกไปขี่ม้าตอนเช้าตรู่วันหยุดสุดสัปดาห์ แต่นับแต่พ่อของหล่อนถูกยิง หล่อนยังไม่เคยไปขี่ม้าอีกเลย 

“งั้นเดี๋ยวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ ไปขี่ม้ากัน” เขาบอก

“ค่ะ” ยิหวารับคำ

 

คีรีนำรถยนต์มาจอดรอหน้าบ้านตอนที่ยิหวาเดินออกมาในชุดสำหรับขี่ม้าเรียบร้อย มีป้าสุขใจถือตะกร้าบางอย่างตามออกมาด้วย

“อะไรหรือคะป้าสุขใจ” ยิหวาถาม สายตาจับที่ตะกร้าในมือแม่ครัวของบ้าน

“อาหารกลางวันค่ะคุณหนูดี พ่อเลี้ยงสั่งไว้” ป้าสุขใจตอบ แล้วเดินถือตะกร้าไปยื่นให้คนตัวโตที่ยืนรออยู่ที่รถ

ยิหวาเดินตามไปแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ รอชายหนุ่มจัดวางตะกร้าอาหารจากแม่ครัวไว้ในที่นั่งตอนหลัง จนเขาเดินมานั่งยังที่นั่งคนขับ หล่อนจึงหันไปถาม

“คุณภูเอาอาหารกลางวันไปให้ใครหรือคะ”

“ของเราสิ” ชายหนุ่มตอบ เมื่อเห็นหล่อนมองด้วยสีหน้าไม่เข้าใจจึงบอก “ไปปิกนิกกัน วันนี้อากาศดี”

“อ้อ...ค่ะ” ยิหวาทำเสียงรับรู้ หล่อนมักจะโอนอ่อนผ่อนตามเสมอหากเรื่องที่เขาเสนอไม่ใช่เรื่องที่ขัดความรู้สึกหล่อนนัก

คีรีปรายตามองคนตอบรับง่ายๆ แล้วระบายยิ้มบางเบา ถามเสียงนุ่ม

“อยากไปหรือเปล่า”

“ค่ะ”

“ค่ะนี่คืออยากไปหรือไม่อยากไป” เขาถามคล้ายตอแย

“ถ้าคุณภูอยากให้ไป หนูดีก็ไปได้ค่ะ”

คีรีหันมองหญิงสาว พิจารณาใบหน้าหล่อนอยู่สักพักก็บอกอย่างอ่อนโยน

“เธอไม่จำเป็นต้องตามใจฉันทุกอย่างนะหนูดี เราทั้งสองมีสิทธิ์ตัดสินใจเท่าๆ กัน ถ้าเธอไม่อยากไป ฉันก็ไม่บังคับ”

ยิหวาตวัดตามองคนพูดแวบหนึ่ง เขาไม่บังคับแต่ก็จัดตะกร้าปิกนิกใส่รถมาเรียบร้อย แล้วถ้าหล่อนบอกว่าไม่อยากไป เขาจะยอมกลับเข้าบ้านหรือเปล่า หญิงสาวสงสัย แต่ก็ทำได้เพียงสงสัยอยู่ในใจ ถ้อยคำที่เอ่ยกลับเป็น

“ค่ะ หนูดีอยากไป”

ตอบไปแล้วก็เห็นคนฟังคำตอบยิ้มสมใจก่อนจะหันไปออกรถ แล้วไม่พูดอะไรกับหล่อนอีก

ชายหนุ่มขับรถพาหญิงสาวไปอีกฟากของไร่ซึ่งเป็นที่ตั้งของคอกม้า และไม่ไกลกันนักเป็นบ้านพักผู้จัดการไร่ บ้านที่ยิหวาเคยอยู่และเติบโตมา

รถจอดลงบริเวณลานจอดรถหน้าคอกม้า แต่คนที่นั่งมาในรถกลับจับจ้องบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่ไม่วางตา และอดถามคนนั่งเคียงไม่ได้เมื่อเห็นว่าบ้านเงียบสงัด ประตูปิดมิดชิดอย่างวันสุดท้ายที่หล่อนขนเสื้อผ้าย้ายออกไป

“ผู้จัดการไร่คนใหม่ยังไม่มาหรือคะ” ขณะถามสายตาหล่อนไม่ละไปจากบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่เลย

“ยัง เขาเลื่อนไปเป็นสัปดาห์หน้า” ชายหนุ่มตอบ

เมื่อได้มายืนอยู่ใกล้คอกม้าที่มักจะมาขลุกอยู่กับพ่อในวันหยุด มีบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กับพ่อในคลองสายตา ความรู้สึกโหยหาก็ถาโถมราวกับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าใส่ตัวหล่อน รุนแรงจนถึงกับทำให้หล่อนเซไปปะทะร่างใหญ่ของคนยืนเคียง ยิหวารู้สึกถึงอ้อมแขนแข็งแรงของเขาที่โอบประคองหล่อนไว้ เจ้าของเสียงทุ้มถามน้ำเสียงห่วงใย

“หนูดี เป็นอะไรหรือเปล่า”

ยิหวาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้มลงถาม ใบหน้าครึ้มหนวดเคราของเขาอยู่ห่างจากหล่อนไม่ถึงคืบ ดวงตาคมที่ทอดมองลงมาอย่างเป็นห่วงทำให้ยิหวาน้ำตาพรั่งพรู ความรู้สึกคิดถึงพ่อพลุ่งพล่านอยู่ภายใน ขับน้ำตาให้ไหลหลั่ง หล่อนสะอื้นไห้จนตัวโยนแต่ไม่มีเสียง จนเมื่ออ้อมแขนของเขากระชับแน่น หล่อนก็ซบหน้าเข้าหาอกกว้างของเขา มือใหญ่ลูบหลังลูบไหล่หล่อน เสียงทุ้มพร่ำปลอบ

“ไม่เป็นไรนะหนูดี เธอยังมีฉัน ฉันจะดูแลเธอเอง” เขาพูดราวกับรับรู้ความคิดของหล่อน

ยิหวาไม่ตอบเขา หล่อนซบหน้าร้องไห้อยู่กับอกเขา รับรู้ถึงอ้อมแขนอุ่นที่เข้ามาแทนที่อ้อมแขนของพ่อ อ้อมแขนที่ส่งความอบอุ่นปลอดภัยให้แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูหัวใจ ความรู้สึกโหยไห้ถึงพ่อที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกค่อยๆ สงบลงทีละน้อย เมื่อหัวใจหล่อนรับรู้ว่าอ้อมอกนี้คือที่พักพิงใหม่นับแต่พ่อจากไป

หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา พยายามอย่างมากที่จะหยุดร้องไห้ ด้วยรู้ดีว่าต่อให้หล่อนร้องจนน้ำตาเป็นสายเลือด พ่อก็ไม่มีวันกลับคืนมา ชีวิตของหล่อนต่อจากนี้ไม่มีพ่อ มีเพียงเขาและไร่ภูคีรีที่เป็นอนาคตของหล่อน

“หนูดีขอโทษค่ะคุณภู” หล่อนพึมพำ

“ไม่มีอะไรต้องขอโทษ ฉันเข้าใจ แต่ร้องไห้แล้วเธอต้องก้าวต่อ ชีวิตยังต้องเดินต่อไป” เขาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงอ่อนโยนเหลือเกิน

ยิหวายกมือขึ้นไหว้ กล่าวเจือสะอื้น

“ขอบคุณค่ะคุณภู ขอบคุณที่รักษาสัญญาที่ให้พ่อไว้ ขอบคุณที่ไม่ทอดทิ้งหนูดี”

คีรีรวบมือที่พนมอยู่ของหญิงสาวแล้วรั้งหล่อนเข้าสู่อ้อมอกอีกครั้ง กล่าวเสียงหนักแน่น

“เธอคือครอบครัวของฉัน ฉันจะทิ้งเธอได้ยังไงกันหนูดี”

ยิหวาปล่อยให้อ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ซึมซับความอบอุ่นใจจากถ้อยคำของเขา แม้จะไม่มีพ่ออีกแล้วแต่หล่อนก็ยังมีเขา มีเขาเป็นครอบครัวของหล่อน

เมื่อน้ำตาหยุดไหลพร้อมกับหัวใจที่แข็งแรงขึ้น ยิหวาก็ขยับตัว ถามเขาเสียงเบา

“ไปกันหรือยังคะคุณภู”

คีรีก้มลงพิจารณาคนที่ขยับออกจากอ้อมกอดเขาไปยืนอยู่ไม่ห่างนัก เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ได้มีท่าทางโหยไห้อาดูรราวกับจะล้มคว่ำไปอย่างเมื่อครู่ จึงพยักหน้าแล้วบอก

“เธอไปเตรียมม้ารอก่อนไป ฉันจะเอาตะกร้าอาหารไปให้คนงานเก็บไว้ให้ก่อน ทิ้งไว้ในรถร้อนๆ เดี๋ยวจะบูด อดกินพอดี”

“ค่ะ” ยิหวารับคำอย่างว่าง่ายแล้วผละจากเขาตรงไปยังคอกม้า

หล่อนยังเตรียมม้าไม่เสร็จตอนที่ชายหนุ่มเดินตามมา เขาช่วยหล่อนใส่อานและขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเรียบร้อยแล้วจึงจัดการกับม้าของตน ก่อนที่ม้าสองตัวจะทะยานออกจากคอก วิ่งตามกันไปตามทางดินกลางไร่

สายลมเย็นที่ปะทะใบหน้าขณะที่ม้าทะยานไปข้างหน้าทำให้ยิหวาลืมความเศร้าหมอง หล่อนทิ้งความทุกข์และบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กับบิดาไว้เบื้องหลัง ในตอนนี้มีเพียงความรู้สึกปลอดโปร่ง เป็นอิสระ บนหลังม้าปราดเปรียวที่ควบไปด้วยความเร็วเท่านั้น

ม้าสองตัววิ่งตามกันไปตามทางดินเลาะเขตไร่ไปทางด้านหลังที่ติดกับภูเขาลูกหนึ่ง ตีนเขาเป็นธารน้ำที่ไหลลงมาจากยอดเขา น้ำตื้นลึกสลับกันไป บางแห่งเป็นแอ่งน้ำกว้าง ริมฝั่งมีหาดทรายละเอียดค่อนข้างยาว

นับแต่วิ่งเลียบลำธาร ม้าสองตัวก็เหยาะย่างเคียงกันไปเนิบนาบ เปิดโอกาสให้สองคนบนหลังม้าชื่นชมบรรยากาศอันงดงามมากกว่าจะกวดแข่งกันอย่างในตอนแรก เมื่อไปถึงชายหาด คีรีก็เอ่ย

“ไปนั่งเล่นที่ชายหาดกันเถอะหนูดี ปล่อยสายฟ้ากับสายหมอกให้เล็มหญ้าตรงนี้สักพัก”

สายฟ้ากับสายหมอกเป็นม้าเพศผู้ทั้งสองตัว คนงานประจำคอกม้าดูแลม้าทั้งสองเป็นอย่างดี แผงคอที่ถูกแปรงจนมันขลับล้อลมไปมา ขณะที่ม้าก้มลงเล็มหญ้าอยู่ไม่ห่างจากผู้เป็นนายทั้งสองนัก

คีรีพายิหวาเดินตรงไปยังชายหาดริมฝั่ง ต้นตะขบที่ขึ้นอยู่ไม่ห่างฝั่งนักแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ใต้ร่มไม้มีเสื่อปูอยู่ บนเสื่อเป็นตะกร้าปิกนิกและกระเป๋าผ้าใบหนึ่ง

ยิหวาหันไปมองคนตัวโตโดยไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของหล่อนคงจะบอกสิ่งที่คิดอยู่ในใจจนหมดสิ้น เพราะเขาตอบโดยที่หล่อนไม่ต้องถาม

“ให้คนงานเอามาวางไว้ให้”

“ค่ะ” ยิหวาทำเสียงรับรู้ เดินตามเขาไปนั่งลงบนเสื่อ

คีรีหยิบกระเป๋าผ้าขึ้นมาค้นหาอะไรกุกกัก ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มบางๆ ออกมาเล่มหนึ่งแล้วยื่นให้หญิงสาว

“อ่านหนังสือให้ฟังหน่อย”

ยิหวาก้มลงมองหนังสือในมือเขาแล้วเงยขึ้นมองหน้าคนยื่นให้ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ

“หนังสืออะไรหรือคะ”

“หนังสืออ่านเล่นภาษาอังกฤษ ฉันจ้างคนมาสอนภาษาให้เธอ แต่ให้สอนแค่แกรมมาร์และการเขียน ส่วนการฟัง การอ่าน ฉันจะสอนเอง” บอกแล้วก็ยัดหนังสือใส่มือหล่อน จากนั้นขยับไปนั่งเอนตัวพิงโคนต้นไม้ แล้วบอกหล่อน

“หนังสืออ่านเล่นง่ายๆ เห็นอยู่บนชั้นหนังสือเลยหยิบมาให้เธอลองอ่านดูก่อน เดี๋ยวจะพาไปซื้อที่ร้านในเมืองอีกที”

พูดเสร็จก็มองหล่อนราวกับจะบอกให้หล่อนเริ่มอ่าน ยิหวาจึงเปิดหนังสือแล้วเริ่มต้นอ่านออกเสียง

หล่อนอ่านตะกุกตะกักในตอนแรก เนื่องจากขัดเขินที่ต้องมาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้เขาฟัง เพราะหล่อนก็ไม่ค่อยมั่นใจในภาษาของตนนัก แต่หลังจากเริ่มไปเพียงเล็กน้อยและเขาไม่ขัด หล่อนก็มั่นใจขึ้น

คีรีปล่อยให้ยิหวาอ่านหนังสือไปอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะบอกให้หล่อนหยุด

“เธออ่านหนังสือคล่องดี แต่บางทียังสเตรสเสียงไม่ถูก ภาษาอังกฤษ ถ้าสเตรสไม่ถูก เจ้าของภาษาจะไม่เข้าใจทันที”

“ค่ะ”

“อ่านต่อสิ ต่อจากนี้ถ้าเธอออกเสียงไม่ถูกฉันจะแก้ให้”

“ค่ะ” ยิหวารับคำ จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

ชายหนุ่มรอให้หญิงสาวอ่านจนจบบทจึงถาม

“เข้าใจที่อ่านมาไหมหนูดี”

“ไม่ทั้งหมดค่ะ บางคำหนูดีก็ไม่รู้ความหมาย” หล่อนตอบตามตรง คำบางคำหล่อนอ่านออกแต่แปลไม่ได้

“คำไหนไม่รู้ความหมายให้จำไว้ไปหาความหมายทีหลัง ระหว่างอ่านให้พยายามเดาความหมายจากบริบทของเรื่อง” ชายหนุ่มแนะนำ เขานิ่งไปพักแล้วจึงถาม

“ใช้ดิกชันนารีแบบไหน”

“เป็นเล่มค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวจะพาไปซื้อทอล์กกิงดิก มันเร็วกว่า”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูดีใช้แบบเป็นเล่มได้” ยิหวาว่า หล่อนไม่อยากรบกวนเขา

“ก็ใช้ทั้งสองแบบ” เขาพูดง่ายๆ

ยิหวาลอบถอนใจ ดูเหมือนเขาไม่อยากให้หล่อนขัดในสิ่งที่เขาเสนอ จึงไม่พูดอะไรเรื่องดิกชันนารีอีก

“อ่านต่อสิ”

“ค่ะ”

ยิหวารับคำแล้วอ่านหนังสือในมือต่อ หล่อนหยุดเมื่ออ่านจบบท สรุปความคร่าวๆ ของเรื่องราวที่อ่าน จดคำศัพท์ที่หล่อนไม่รู้ความหมายไว้ในสมุดที่เขาเตรียมมาให้ จากนั้นก็อ่านบทต่อไป

เสียงหวานๆ ที่อ่านหนังสือเจื้อยแจ้ว แม้บางคำจะออกเสียงไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ไม่ทำให้คนฟังรำคาญ กลับรู้สึกเพลิดเพลินไปกับเสียงของหล่อนและเรื่องราวในหนังสือ เขานั่งฟังหล่อนจนตะวันตรงหัวจึงถาม

“หิวไหมหนูดี พักกินอะไรก่อนดีไหม”

เมื่อหล่อนเห็นด้วย เขาจึงเก็บหนังสือไว้ในถุงผ้า หยิบกล่องบรรจุอาหารที่ป้าสุขใจเตรียมไว้ให้ออกมาจากตะกร้า จัดใส่จานแล้วยื่นให้หล่อน

ยิหวายื่นมือไปรับอาหารจากมือชายหนุ่ม พึมพำขอบคุณเบาๆ จากนั้นก็เริ่มลงมือรับประทาน แม้อาหารจะเป็นเพียงข้าวผัดอเมริกันง่ายๆ แต่เมื่อได้นั่งอยู่ในบรรยากาศผ่อนคลาย สายลมเย็น สายน้ำไหลเอื่อย ก็ช่วยชูรสอาหารขึ้นได้อีกโข

หลังเสร็จจากอาหารกลางวันและเก็บภาชนะลงตะกร้าเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ชวนหญิงสาวเดินเล่นย่อยอาหาร

ทั้งสองเดินเลียบลำธารไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นแปลงกุหลาบที่ออกดอกสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมรวยริน หลายหนที่คนตัวสูงหยุดเดินเพื่อตัดดอกไม้ยื่นให้คนเดินเคียง และอธิบายรายละเอียดต่างๆ ของดอกไม้ในมือ ราวกับต้องการให้หล่อนทำความรู้จักกุหลาบทุกต้นในไร่แห่งนี้

เมื่อกลับมาที่เสื่อใต้ต้นตะขบอีกครั้งนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อย ทั้งสองจึงชวนกันกลับบ้าน

ม้าสองตัวเหยาะย่างกลับคอกอย่างไม่เร่งรีบนัก เมื่อไปถึงคอก คนงานนำม้าทั้งสองตัวไปให้น้ำและทำความสะอาด ในขณะที่สองหนุ่มสาวขับรถกลับบ้าน

ก่อนที่ยิหวาจะแยกเข้าห้องของตนเพื่ออาบน้ำ ชายหนุ่มก็คว้าแขนไว้

“คะ?” ยิหวาถาม หลุบตามองมือใหญ่ที่จับแขนหล่อนซึ่งผละออกทันทีที่หล่อนหยุดเดิน

“วันนี้เธอสนุกไหมหนูดี” เขาถามเสียงอ่อนโยน

ยิหวาเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเขามองหล่อนอยู่คล้ายรอคอยคำตอบ จึงยิ้มให้

“สนุกมากค่ะคุณภู ขอบคุณนะคะที่พาหนูดีไปเที่ยว”

เขายิ้มบางๆ พยักหน้าให้ “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะไป”

ยิหวาเดินตรงไปยังรถยนต์เอสยูวีคันใหญ่ที่จอดรออยู่หน้าโรงเรียน หล่อนเปิดประตูรถด้านหน้า ก้าวเข้าไปนั่ง แล้วหันไปยกมือไหว้คนมารอรับ เขาบอกหล่อนไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้วว่าวันนี้ไม่ให้กลับรถตู้

เมื่อรถยนต์เคลื่อนออกจากหน้าโรงเรียน คนขับก็หันไปถามคนที่เพิ่งขึ้นรถมา

“หิวหรือเปล่าหนูดี แวะหาอะไรกินหน่อยไหม”

“ไม่หิวค่ะ หนูดีกินขนมมาแล้ว” หล่อนตอบ

โรงขนมอบของโรงเรียนมีขนมอร่อยๆ อบใหม่ๆ วางขายในตอนบ่าย และพอมีคาบว่าง หล่อนกับเพื่อนๆ ก็มักจะไปเป็นลูกค้าเสมอ

“ถ้าอย่างนั้นไปร้านหนังสือกันเลยนะ”

“ค่ะ” ยิหวารับคำ

ใช้เวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็ขับรถไปจอดในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า จากนั้นทั้งสองก็ก้าวเคียงกันเข้าไปในอาคาร จุดหมายอยู่ที่ร้านหนังสือที่มีหนังสือภาษาอังกฤษจำหน่าย

เมื่อถึงร้าน คีรีตรงไปยังชั้นจำหน่ายหนังสือฝึกอ่านภาษาอังกฤษที่จัดระดับความยากง่าย แจ้งจำนวนคำใหม่ที่จะได้เรียนรู้ อีกทั้งท้ายเล่มยังมีคำศัพท์รวบรวมไว้ให้ด้วย

หนังสือส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่เป็นฉบับแต่งใหม่ด้วยคำศัพท์ที่เหมาะกับระดับของผู้อ่าน คีรีเลือกหนังสือไปสี่ห้าเล่ม ถามความเห็นคนที่ต้องอ่าน เมื่อหล่อนพอใจ เขาก็หยิบหนังสือทั้งหมดไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

หลังจ่ายเงินเรียบร้อย คีรีหิ้วถุงหนังสือด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างยื่นมาแตะข้อศอกหญิงสาวพาเดินออกจากร้าน ขณะเดินไปด้วยกันเขาก็ก้มลงบอก

“ถ้าเธอไม่อยากได้อะไรแล้ว กลับกันเลยก็แล้วกันนะ วันนี้ฉันมีคนจะแนะนำให้รู้จัก”

“ค่ะ” ยิหวารับคำ

จากนั้นทั้งสองก็เดินกลับไปยังรถแล้วกลับไร่ในทันที

 

เมื่อถึงบ้าน คีรีอนุญาตให้ยิหวาทำการบ้านอยู่ในห้องนอนของหล่อนได้ แล้วค่อยลงมาเมื่อถึงเวลาอาหาร เพราะเขามีธุระต้องเข้าไร่ หล่อนจึงไม่ต้องเข้าไปนั่งทำการบ้านในห้องทำงานของเขาเช่นทุกวัน

“งั้นหนูดีขอตัวนะคะ” หล่อนบอกเขา และหมุนตัวเดินไปยังบันไดเมื่อชายหนุ่มพยักหน้าให้

ยิหวาทำการบ้านเสร็จแล้วเห็นว่ายังมีเวลาเหลือก่อนจะถึงเวลาอาหาร จึงอาบน้ำแต่งตัวใหม่ นอนอ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ซื้อมาอยู่สักพัก จนเมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารจึงลงไปข้างล่าง

ป้าสุขใจซึ่งจัดโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้พร้อมทักทาย

“คุณหนูดีมาแล้วหรือคะ หิวหรือเปล่า พ่อเลี้ยงยังไม่มาเลยค่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะป้าสุขใจ หนูดีรอได้ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”

“ไม่มีแล้วค่ะ คุณหนูดีไปนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นรอดีกว่า พ่อเลี้ยงมาแล้วป้าจะให้ต้นหอมไปเรียก”

“งั้นก็ได้ค่ะ” ยิหวาว่าง่าย จากนั้นก็เดินไปยังห้องนั่งเล่น

หญิงสาวกำลังนั่งดูรายการเกมโชว์ช่วงเย็นอยู่ตอนที่คนสองคนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น

คนตัวโตหน้านิ่งที่เดินนำมาก่อนนั้นคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าเขาในชุดเสื้อเชิ้ตลายสกอต กางเกงยีน และสวมรองเท้าบูตหุ้มข้อที่เดินเข้ามากับเขานั้น หล่อนไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

“หนูดี...”

เสียงทุ้มที่เรียกมาทำให้หล่อนยืนขึ้น จากนั้นเขาก็เดินมาหาหล่อน โอบไหล่และหมุนตัวหล่อนให้เผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกคน แล้วแนะนำ

“หนูดี...คุณบดินทร์ ผู้จัดการไร่คนใหม่ของเรา”

จากนั้นก็บอกกับผู้มาใหม่ “ยิหวา...หนูดี ภรรยาผมเองครับคุณบดินทร์”

ยิหวายกมือไหว้เพราะเห็นว่าตนอ่อนอาวุโสกว่า แต่คำว่าผู้จัดการไร่คนใหม่ อีกทั้ง คุณบดินทร์ ที่มองหล่อนด้วยแววตาสนอกสนใจแต่ก็คล้ายกับเจือความคาดไม่ถึงอยู่ในทีนั้น ทำให้หล่อนรู้สึกวูบไหว คล้ายกับโพรงในอกขยายใหญ่จนสูบลมหายใจเข้าไปเติมไม่ทัน ความรู้สึกวูบโหวงทำให้เข่าอ่อนและภาพตรงหน้าพร่าเลือน

“หนูดี เป็นอะไรหรือเปล่า”

เจ้าของเสียงทุ้มถามแนบหู อ้อมแขนแข็งแรงพยุงหล่อนไว้ ยิหวาสูดลมหายลึก ปรับใจ ปรับความรู้สึก ตอบเสียงแผ่ว

“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ หนูดีไม่เป็นไร”

“คุณหนูดีหน้าซีดมาก พาไปนั่งก่อนไหมครับพ่อเลี้ยง” บดินทร์เอ่ย น้ำเสียงเป็นห่วง

คีรีเห็นด้วย เขาพยุงหญิงสาวไปนั่งที่โซฟา เรียกคนในบ้านให้หาหยูกยาวุ่นวาย

“หนูดีไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะคุณภู อย่าวุ่นวายเลยนะคะ” ยิหวาบอกอย่างรู้สึกผิด หล่อนไม่ได้เป็นอะไร...ทางกาย แค่ใจหล่อนเท่านั้นเองที่ยังไม่พร้อม...ยังไม่พร้อมจะยอมรับความจริง

ป้าสุขใจมาพร้อมกับยาดมยาหอม ยิหวาต้องยืนยันว่าหล่อนไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ถึงได้ยอมผละไป แต่ไม่วายถาม

“คุณหนูดีจะรับข้าวเย็นไหวไหมคะ ไม่งั้นป้าจะให้ต้นหอมเอาขึ้นไปให้ที่ห้อง คุณหนูดีขึ้นไปนอนพักผ่อนก่อน”

ยิหวาฝืนใจ โพรงในอกลดขนาดลงนิดหนึ่งเมื่อเห็นความห่วงใยทั้งจากคนตัวโตและแม่บ้านของเขา ซาบซึ้งใจว่าหล่อนไม่ได้ตัวคนเดียว หล่อนยังมีคนที่นี่ มีคุณภู มีป้าสุขใจ ที่เป็นห่วงเป็นใยหล่อนอย่างจริงใจ หล่อนจึงบอกให้คนเป็นห่วงคลายกังวล

“ไหวค่ะ ไปที่ห้องอาหารกันเถอะค่ะคุณภู หนูดีขอโทษที่ทำให้วุ่นวายและเสียเวลานะคะ”

เมื่อหล่อนยืนยันว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ ทั้งหมดจึงย้ายไปยังห้องอาหาร วันนี้นอกจากหล่อนกับชายหนุ่มแล้วก็มีผู้จัดการไร่คนใหม่ร่วมโต๊ะด้วย

ยิหวานั่งรับประทานอาหารไปเงียบๆ ฟังบทสนทนาระหว่างเจ้าของไร่กับผู้จัดการไร่ถึงเรื่องงานในไร่โดยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนามากนัก นอกจากตอบคำถามของผู้จัดการไร่คนใหม่บ้างเท่านั้น

หลังอาหารเย็น ผู้จัดการไร่ลากลับอย่างมีมารยาทเมื่อเห็นว่าภรรยาของผู้เป็นนายไม่ค่อยสบายนัก จากนั้นคีรีก็หันมาพูดกับหญิงสาว

“คืนนี้งดดูทีวีสักวันนะ เธอขึ้นไปพักผ่อนเถอะ”

หลังอาหารทุกคืน ชายหนุ่มจะใช้เวลาดูโทรทัศน์รายการภาษาอังกฤษกับหล่อนเสมอ แต่คืนนี้เขาอยากให้หล่อนพักผ่อนมากกว่า

“ค่ะ คุณภู งั้นหนูดีขึ้นข้างบนแล้วนะคะ” หล่อนบอกแล้วหมุนตัวเดินจากไป

 

ยิหวาผุดลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงลูกบิดประตูกั้นห้องหมุนและประตูเปิดเข้ามาช้าๆ แสงไฟจากห้องติดกันส่องให้เห็นร่างสูงที่เดินอย่างแผ่วเบาตรงมายังเตียงนอนของหล่อน และชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่าหล่อนนั่งอยู่บนเตียง จากนั้นหญิงสาวจึงเปิดไฟโคมหัวเตียงทำให้ห้องสว่างขึ้น

“ฉันทำให้เธอตื่นหรือเปล่า แค่จะเข้ามาดูว่าเธอเป็นยังไงบ้างเท่านั้น” เขาบอกแต่ไม่หยุดเดิน

“ไม่หรอกค่ะ หนูดี...นอนไม่หลับ” หล่อนยอมรับตามตรง

“เธอร้องไห้หรือหนูดี” เขาถามอย่างตระหนกเมื่อเห็นหน้าหล่อนเต็มตา ดวงตาที่บวมช้ำบอกเขาว่าหล่อนร้องไห้อย่างไม่ต้องสงสัย

ชายหนุ่มเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียงของหล่อน เชยคางหล่อนขึ้น ถามอ่อนโยน

“เป็นอะไร”

“คุณภู” ยิหวาเรียกชื่อเขาก่อนจะปล่อยโฮ โถมตัวเข้าสู่อ้อมอกเขา ร้องไห้สะอึกสะอื้น บอกเขาฟังแทบไม่ได้ศัพท์

“หนูดีใจหาย ผู้จัดการไร่คนใหม่มาแล้ว มาแทนที่พ่อ มาอยู่บ้านที่พ่อเคยอยู่ ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครมาแทน มันเหมือนกับพ่อยังเป็นผู้จัดการไร่อยู่ แต่ตอนนี้...มีคุณบดินทร์มาแทน มีผู้จัดการไร่คนใหม่ เหมือนบังคับให้หนูดียอมรับความจริงว่าไร่ภูคีรีไม่มีผู้จัดการไร่ชื่อศาสตราแล้ว ไม่มีพ่อของหนูดีแล้ว”

น้ำเสียงโหยไห้ราวจะขาดใจของหญิงสาวทำให้คีรีกระชับอ้อมแขนแน่น เขาก้มลงจูบกลุ่มผมหล่อนซ้ำๆ พร่ำบอก

“ฉันขอโทษนะหนูดี ขอโทษ อย่าร้องไห้เลยนะ ฉันจะดูแลเธอแทนพ่อเอง ฉันสัญญา”

คำมั่นที่หล่อนได้ยินจนเจนใจมาตั้งแต่พ่อเสีย และเขาก็ดูแลหล่อน ทำได้อย่างที่สัญญาทุกประการ ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าโพรงในอกถูกเติมเต็ม เต็มตื้นด้วยความอบอุ่น มั่นคง ปลอดภัยอยู่ในอ้อมอกเขา อกที่มาแทนที่พ่อ คอยซับน้ำตา และหล่อนเริ่มจะคุ้นเคย กล้าวางความไว้เนื้อเชื่อใจในอ้อมอกนี้

คีรีนั่งนิ่งปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้ในอ้อมกอดเขาจนพอใจ เขาไม่พูดอะไร ทำเพียงลูบหลังลูบไหล่ ใช้สัมผัสอ่อนโยนแทนคำปลอบประโลม จนเมื่อหล่อนสงบลง เขาก็คลายอ้อมแขน เชยคางหล่อนให้เงยหน้าขึ้นสบตาเขา บอกเสียงอ่อนโยน

“ดึกแล้ว นอนเถอะหนูดี”

เขาบอกแล้วก้มหน้าลงมาหาหล่อน ตั้งใจฝังจุมพิตบนหน้าผากอย่างที่ทำประจำจนคุ้นชิน แต่สายตาที่มองมาอย่างไว้เนื้อเชื่อใจและฝากเนื้อฝากตัว และริมฝีปากอิ่มที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า ก็ทำให้เขาเปลี่ยนจุดหมาย ตัดสินใจแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากของหล่อนช้าๆ
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น