7

บทที่ 6


 

บทที่ ๖

 

เช้าวันเสาร์ยิหวาตื่นสายเล็กน้อย ด้วยเป็นวันหยุดและเจ้าของบ้านอนุญาตให้หล่อนลงไปรับประทานอาหารเช้าสายกว่าปกติได้ หญิงสาวลืมตาตื่นอย่างเกียจคร้าน แต่กลับรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เขม็งเกลียวไปด้วยความหวาดหวั่นอย่างวันแรกที่เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้

นอกจากความรู้สึกโดดเดี่ยวในบ้านหลังใหม่ในวันที่ไม่มีพ่อ ความรู้สึกหนึ่งที่จับจองพื้นที่ในหัวใจเกือบทั้งหมดของยิหวาคือ ความหวาดกลัวต่อการต้องทำหน้าที่ ภรรยา ของคนที่หล่อนจดทะเบียนสมรสด้วยก่อนที่พ่อจะจากไปไม่นาน แต่หลังจากสามคืนที่หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ นอกจากจูบราตรีสวัสดิ์ที่หน้าผาก เขาก็ไม่เคยล่วงเกินหล่อนอื่นใดอีก ทำให้หล่อนเริ่มคลายใจว่า บางทีเขาคงจะจับหล่อนจดทะเบียนสมรสเพื่อดูแลหล่อนแทนพ่อเท่านั้นจริงๆ ไม่ใช่อยากได้เด็กสาวบริสุทธิ์มารองรับความต้องการตามธรรมชาติอย่างที่หล่อนเคยคิด

ความรู้สึกของยิหวาต่อชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย ความอึดอัดอย่างคนแปลกหน้าที่ต้องมาอยู่ร่วมบ้านกันค่อยๆ เลือนหาย เพราะนับแต่ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับเขา เขาปฏิบัติกับหล่อนด้วยความอ่อนโยน ไม่เคยพูดจากระโชกกระชากหรือขึ้นเสียงกับหล่อนแม้แต่ครั้งเดียว ถึงเขาจะชอบทำหน้าเฉยเมยกับหล่อนอยู่เสมอ แต่ยิหวาก็ได้รู้ว่าเขาใจดีกว่าที่คิดมากนัก

สามวันที่ผ่านมาเขาขับรถไปรับไปส่งหล่อนที่โรงเรียนทุกวัน แม้หล่อนจะบอกว่าหล่อนนั่งรถตู้รับ-ส่งของไร่ได้ แต่เขาก็ยืนกรานจะไปส่ง โดยให้เหตุผลว่าเขาพอมีเวลาจึงอยากทำ เพราะหากเขายุ่ง เขาก็จะไม่ได้มีเวลารับ-ส่งหล่อนอย่างนี้ ซึ่งแม้ตอนแรกหล่อนจะไม่อยากให้เขาไปรับไปส่งหล่อนนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การที่เขาไปรับ-ส่งทำให้หล่อนรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากขึ้น ช่องว่างระหว่างกันลดลงอย่างรู้สึกได้

หญิงสาวลุกขึ้นเก็บที่นอนแล้วอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็วิ่งลงบันไดไปข้างล่าง เดาว่าคงเห็นป้าสุขใจหรือต้นหอมรอจัดอาหารเช้าให้หล่อน แต่เมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เท้าที่กำลังซอยเร็วๆ ลงบันไดไปก็ชะงักกึก

“คุณภู...” หล่อนอุทานเรียกชื่อเขาแทบไม่ได้ยินเสียง

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่เมื่อได้ยินเสียงวิ่งลงมาจากชั้นบน เขาเงยหน้าขึ้นทัก สีหน้านิ่งเฉยเป็นปกติซึ่งตอนนี้คนเห็นเริ่มคุ้นชิน

“ตื่นแล้วหรือ” เขาถามพร้อมวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะหน้าโซฟาและลุกขึ้น

“ค่ะ...เอ่อ...คุณภูรอหนูดีหรือคะ”

“เธอพร้อมออกจากบ้านหรือยัง” เขาไม่ตอบคำถาม แต่ถามหล่อนแทน

“ออกจากบ้านไปไหนคะ”

“ฉันบอกว่าวันหยุดจะพาเธอไปดูหนังไง”

“อ้อ...ค่ะ” ยิหวาทำเสียงรับรู้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังจำได้ หล่อนคิดว่าเขาพูดไปอย่างนั้นเอง

“ออกจากบ้านชุดนี้ได้หรือเปล่า” เขากวาดตาขึ้นๆ ลงๆ แล้วถาม

“ได้ค่ะ” ยิหวาตอบ

หล่อนสวมเดรสแขนกุดสีฟ้าพาสเทล ท่อนบนเข้ารูป ส่วนกระโปรงพองบานความยาวคลุมเข่าเล็กน้อย เรียบร้อยมากพอสำหรับออกไปข้างนอก

“ฉันว่าจะพาเธอออกไปกินข้าวเช้าในเมือง หิวไหม ให้ป้าสุขใจทำโอวัลตินให้รองท้องสักแก้วไหม”

“เดี๋ยวหนูดีกินนมสักกล่องก็ได้ค่ะ ไม่ต้องรบกวนป้าสุขใจหรอก” หล่อนบอก

“ไปสิ ฉันจะรอ” เขาบอก

ยิหวาเดินเร็วๆ เข้าไปในครัวเพื่อหยิบกล่องนมที่แช่ไว้ในตู้เย็นแล้วเดินกลับมาหาเขา ซึ่งพาหล่อนเดินออกจากบ้านไปที่รถในทันที

 

ในตัวเมืองเชียงใหม่มีร้านกาแฟกึ่งร้านอาหารหลายที่ให้บริการอาหารเช้าแบบฝรั่ง เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาไม่ขาดสาย ชายหนุ่มเลือกร้านเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นแห่งหนึ่งริมแม่น้ำปิง โต๊ะที่นั่งจัดวางบนระเบียงกว้างของร้านที่เปิดโล่งรับลมแม่น้ำเย็นสบาย

ชายหนุ่มสั่งอาหารเช้าแบบอเมริกันอันประกอบไปด้วยไข่ เบคอน ขนมปังปิ้ง และกาแฟสำหรับตัวเขา ส่วนของหล่อนเป็นน้ำส้มคั้น จากนั้นก็นั่งรับประทานกันเงียบๆ ซึมซาบกับรสชาติของอาหารและบรรยากาศสงบเงียบริมแม่น้ำยามเช้า

เมื่อจัดการอาหารเช้าเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ถาม

“ก่อนไปดูรอบหนัง เธออยากทำอะไรก่อนหรือเปล่าหนูดี ไปเดินเล่นก่อนไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไปดูหนังเลยก็ได้”

เมื่อหล่อนว่าเช่นนั้นเขาจึงเรียกเก็บเงินและพาหล่อนกลับไปยังรถที่จอดไว้ ตรงไปยังห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองเชียงใหม่ทันที

“ดูเรื่องอะไรดี” ชายหนุ่มถามเมื่อพากันยืนอยู่หน้าโรงภาพยนตร์ซึ่งมีใบปิดของภาพยนตร์หลายเรื่องแสดงอยู่

“เรื่องนี้ได้ไหมคะ” ยิหวาชี้ไปยังภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องหนึ่งที่เพื่อนที่โรงเรียนไปดูมาแล้วและพร่ำพูดถึงไม่ขาดปาก หล่อนจึงอยากดูบ้าง

ชายหนุ่มพยักหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องที่เขาอยากดูอยู่พอดี และเกือบถึงเวลาที่ภาพยนตร์กำลังจะเริ่มฉายอยู่แล้ว เขาจึงพาหล่อนไปซื้อตั๋วกับขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม จากนั้นก็เดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์ด้วยกัน

ในโรงค่อนข้างมืดทำให้ยิหวาเดินสะดุด และคงจะล้มคว่ำหากมือแข็งแรงไม่ทันคว้าต้นแขนไว้

“เดินระวังหน่อยสิ” เขาทำเสียงดุ

ยิหวาพึมพำขอโทษขอโพย แล้วหัวใจก็เต้นตึ้กตั้กเมื่อมือของเขาเลื่อนจากต้นแขนลงมากุมมือหล่อนไว้ จับจูงพาเดินไปจนถึงที่นั่ง

หญิงสาวลอบถอนหายใจเมื่อเขาปล่อยมือหลังจากหล่อนนั่งลงบนที่นั่งของหล่อน จากนั้นต่างคนต่างก็นั่งชมภาพยนตร์กันเงียบๆ หลายหนที่หล่อนลอบมองคนข้างๆ ก็เห็นเขาสนใจอยู่แต่กับภาพยนตร์ตรงหน้า ไม่ได้สนใจหล่อนแต่อย่างใด ในที่สุดหล่อนก็ผ่อนคลายมากพอที่จะไม่ต้องคอยชำเลืองมองเขา และสนุกสนานกับเรื่องราวบนจอตรงหน้า

เวลาสองชั่วโมงในโรงภาพยนตร์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองหนุ่มสาวเดินออกจากโรงพร้อมกับคนอื่นๆ หลังภาพยนตร์จบ เมื่อหลุดออกมาจากกลุ่มคนได้ ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเครื่องหลังจากที่ปิดไปก่อนภาพยนตร์ฉาย

เสียงสัญญาณข้อความเข้าดังขึ้นทันทีที่โทรศัพท์กลับมาทำงานอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงหันไปบอกคนเดินเคียง

“มีคนฝากข้อความไว้ แป๊บนะ”

ยิหวาไม่รู้ว่าใครฝากข้อความให้เขา แต่คิดว่าข้อความนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าดูไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด หลังจากอ่านข้อความจบ เขาก็หันมาบอกหล่อน

“แวะไปสถานีตำรวจกันก่อนนะหนูดี”

“คะ...มีอะไรหรือเปล่าคะคุณภู” ยิหวาถามหน้าตื่น ก่อนที่หัวใจจะกระตุกแรงเมื่อได้ยินคำตอบจากเขา

“มีข่าวเรื่องคนที่ยิงพ่อเธอ”

ข่าวคนที่ยิงพ่อ...ยิหวาทวนคำในใจแล้วรู้สึกคล้ายกับพื้นที่หล่อนเดินอยู่โคลงเคลงไม่มั่นคง กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร หล่อนก็เอนตัวอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเสียแล้ว

“หนูดี เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถามน้ำเสียงวิตก ดวงตาคมจ้องมองหล่อนอย่างเป็นห่วง

“หนูดี...ไม่เป็นไรค่ะ” หล่อนตอบ ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าปฏิกิริยาทางร่างกายจะรุนแรงเช่นนี้เมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับคนที่ฆ่าพ่อ หล่อนถึงกับหายใจไม่ออกและเข่าอ่อน

“นั่งพักสักพักก่อน ถ้าไม่ไหวฉันจะกลับไปส่งเธอที่ไร่ก่อนแล้วค่อยไปโรงพัก”

“ไม่...ไม่ค่ะ หนูดีจะไปโรงพักด้วย” หล่อนละล่ำละลักบอก แต่เมื่อนึกได้ว่าบางทีเขาอาจต้องการไปเพียงลำพัง ไม่อยากให้เด็กอย่างหล่อนไปเกะกะจึงชะงัก ถามอย่างไม่แน่ใจ “หนูดี...ไปได้หรือเปล่าคะคุณภู”

“ถ้าไหวก็ไปได้” ชายหนุ่มตอบ

“ไหวสิคะ หนูดีไปไหว” หล่อนตอบ พยายามจะลุกขึ้น แสดงให้เขาเห็นว่าหล่อนไหวจริงๆ แต่คนตัวโตกว่ากลับกดไหล่ให้นั่งลง

“ยังไม่ต้องลุก ไหวก็ไหว นั่งพักก่อนสักพัก แน่ใจว่าจะไม่ล้มคว่ำไปอีกค่อยไปกัน” ชายหนุ่มบอกเสียงดุ

“หนูดีไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ค่ะคุณภู เรารีบไปกันเถอะนะคะ” หล่อนบอกเขา มั่นใจว่าตอนนี้คงไม่ล้มคว่ำไปอีกแล้ว เมื่อความตกใจผ่านไป ตอนนี้มีแต่ความอยากรู้ข่าวเกี่ยวกับคนที่พรากพ่อไปจากหล่อนเท่านั้น

“ไปสิ” ชายหนุ่มว่าแล้วลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าหล่อนดูไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ

 

ใช้เวลาขับรถราวครึ่งชั่วโมง คีรีก็พารถยนต์เอสยูวีคันใหญ่ของเขามาจอดที่ลานจอดรถหน้าอาคารสถานีตำรวจในตัวอำเภอ ซึ่งเป็นท้องที่ที่ไร่ภูคีรีของเขาตั้งอยู่

“ไหวแน่หรือหนูดี” เขาหันไปถามคนนั่งเคียงเพราะหน้าหล่อนดูขาวซีดจนน่ากลัว เขายื่นมือไปจับมือสั่นสะริกที่วางอยู่บนตักขึ้นมาบีบเบาๆ และพูดอย่างไม่สบายใจนัก “มือเย็นเจี๊ยบเลย”

“ไหวค่ะคุณภู เราจะ...ได้เห็นหน้าคนร้ายไหมคะ”

“ฉันยังไม่รู้รายละเอียด ท่านผู้กำกับบอกให้เข้ามาคุยรายละเอียดที่นี่ ถ้าเธอมั่นใจว่าไหวก็ไปกันเถอะ จะได้รู้เรื่องเร็วๆ”

“ค่ะ” ยิหวารับคำ

หล่อนกุลีกุจอก้าวลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปสมทบกับชายหนุ่ม มือใหญ่ยื่นมากุมมือหล่อนและจับจูงพาเดินไปยังอาคารตรงหน้า กว่าเขาจะปล่อยมือหล่อนก็เมื่อเห็นนายตำรวจอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาเดินตรงมาหา

“ภู” นายตำรวจในเครื่องแบบดูภูมิฐานเป็นฝ่ายทักทายก่อนพร้อมกับยื่นมือมาจับมือกับชายหนุ่ม

“ติ นี่หนูดี ลูกสาวศาสตรา” ชายหนุ่มแนะนำหญิงสาวกับนายตำรวจแล้วหันไปหายิหวา “หนูดี ผู้กำกับนิติ เพื่อนฉันเอง เขาเป็นคนดูแลคดีให้เรา”

“สวัสดีค่ะท่าน” ยิหวายกมือไหว้ ซึ่งนายตำรวจใหญ่ก็ยกมือรับไหว้แล้วบอกอย่างใจดี

“สวัสดีครับหนูดี เรียกผมว่าอาติก็ได้ เสียใจเรื่องคุณพ่อด้วยนะครับ ไม่คิดว่าพี่ศาสตราจะอายุสั้นแบบนี้”

“คุณตำรวจ...เอ่อ...คุณอา...รู้จักพ่อด้วยหรือคะ”

“เคยตั้งวงกันที่ไร่บ่อยๆ ครับ” นายตำรวจตอบ

ยิหวาพยักหน้ารับรู้ เดาว่าพ่อคงจะตั้งวงดื่มที่บ้านหลังใหญ่ของเจ้าของบ้าน เพราะหล่อนไม่เคยพบนายตำรวจผู้นี้ที่บ้านมาก่อน

“เข้าไปคุยกันในห้องทำงานฉันดีกว่า”

นิติหันไปพูดกับเพื่อน ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยและเดินตามร่างองอาจของผู้กำกับการสถานีไปยังห้องทำงานด้านใน โดยมียิหวาเดินตามเป็นคนสุดท้าย

“จะเอาข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน” นายตำรวจหนุ่มใหญ่เกริ่นด้วยคำถามเมื่อแขกทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว

“ข่าวดีอย่างเดียวไม่ได้หรือวะ” คีรีว่า เขารู้จากเพื่อนนายตำรวจตอนฟังข้อความที่ฝากไว้แล้วว่ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายเกี่ยวกับคดี ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์นักที่มีข่าวร้ายพ่วงมาด้วย

“เลือกได้ก็ดีสิ” นายตำรวจหนุ่มตอบก่อนจะเข้าเรื่อง “เอาข่าวดีก่อนละกัน...เราเจอตัวคนยิงพี่ศาสตราแล้ว”

คำพูดของนายตำรวจหนุ่มทำให้สองหนุ่มสาวขยับนั่งตัวตรงตั้งใจฟัง แต่ประโยคต่อมากลับทำให้คีรีสบถลั่น

“แต่กลายเป็นศพไปแล้ว”

“อะไรนะ!

“เราได้เบาะแสว่านายสมหมายหนีไปกบดานที่แม่สรวย แต่พอเจ้าหน้าที่ตามไปถึงบ้านที่ซ่อนตัว ก็เจอแต่ศพซึ่งน่าจะตายไปแล้วเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“ฆ่าปิดปากอย่างนั้นหรือ” คีรีถาม คิ้วขมวด สีหน้าครุ่นคิด

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” นายตำรวจใหญ่เห็นด้วย

“นายทรงศักดิ์นี่จะทำอะไรไม่เกรงกลัวกฎหมายขนาดนั้นเลยหรือ” คีรีพึมพำ

“ถ้าคนที่ส่งคนมาขโมยของนายคือนายทรงศักดิ์แน่ นายคนนี้มีอิทธิพลพอตัวทีเดียวในเขตภาคเหนือนี่” เพื่อนนายตำรวจว่า

“ฉันไม่มีศัตรูที่ไหนนะติ นายคนนี้เพิ่งติดต่อขอซื้อกุหลาบพันธุ์ใหม่ และพอฉันไม่ขาย ก็มีขโมยเข้าบ้าน พยายามจะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หากไม่ใช่นายทรงศักดิ์ส่งเข้ามาขโมยข้อมูลแล้วจะเป็นใคร”

คีรียืนยันว่าเขาสงสัยไม่ผิดคน ขณะที่คนที่นั่งเงียบมาตลอดหันขวับไปมองหน้าชายหนุ่ม หัวคิ้วขมวดแทบชนกัน

หล่อนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เหตุการณ์ที่ทำให้พ่อถึงแก่ความตายนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าแค่ขโมยขึ้นบ้านธรรมดา เขาไม่เคยบอกหล่อน และพ่อก็เจ็บหนักจนไม่เคยพูดเรื่องนี้กับหล่อน หล่อนรู้เพียงแต่ว่าขโมยขึ้นบ้าน แล้วพ่อกับ คุณท่าน ไปพบเข้าจึงต่อสู้กัน คนร้ายจะยิง คุณท่าน แต่พ่อของหล่อนเอาตัวเข้ารับกระสุนแสน หล่อนรู้มาอย่างนั้นจนกระทั่งตอนนี้

ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่ทำให้พ่อตายจะไม่ใช่แค่ขโมยขึ้นบ้านธรรมดาอย่างที่หล่อนเข้าใจแล้วกระมัง

ดูเหมือนคีรีจะอ่านสีหน้าของคนตัวเล็กออก เขาก้มลงกระซิบข้างหู

“ถึงไร่แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันนะ”

ยิหวาเม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจ หล่อนไม่พอใจมากเมื่อได้รู้สิ่งที่คนข้างๆ ปกปิดหล่อน ไม่พอใจที่เขาไม่เคยบอกหล่อนเลยว่าการตายของพ่อมีเงื่อนงำมากกว่าถูกขโมยขึ้นบ้านยิง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดที่ทำให้ ขโมย ขึ้นบ้านเขา หล่อนในฐานะผู้สูญเสียควรมีสิทธิ์รู้ไม่ใช่หรือ

หลังจากนั้นยิหวาก็นั่งฟังชายหนุ่มทั้งสองคุยกันเงียบๆ หล่อนเก็บทุกรายละเอียด ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่อยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว

หลังจากชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยเรื่องความคืบหน้าของคดีอีกเล็กน้อย นายตำรวจเจ้าของสถานที่ก็ถาม

“กินอะไรกันมาหรือยัง ไปกินกับฉันไหม”

ตอนนั้นเองที่คีรีนึกได้ว่าเลยเวลาอาหารกลางวันมานานแล้ว เพราะมัวแต่อยากมาฟังข่าวจนทำให้เขาลืมเรื่องข้าวปลาไป และตอนนี้เขาคิดว่ายิหวาคงจะหิวมากแล้ว จึงตอบตกลงก่อนจะหันไปถามคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ

“กินข้าวกับนายติก่อนนะหนูดี”

“ค่ะ” ยิหวารับคำเสียงสะบัดเล็กน้อย

หล่อนยังไม่หายโกรธเขา และจะไม่หายจนกว่าเขาจะมีคำอธิบายที่สมควรให้หล่อน แม้หล่อนจะเกรงเขาในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่กว่า เป็นเจ้าของบ้านที่หล่อนอยู่ เป็นเจ้าของไร่ที่พ่อทำงาน แต่ตอนนี้ความโกรธที่เขาปิดบังเรื่องสำคัญกับหล่อนนั้นมีมากกว่า มากพอที่จะทำให้หล่อนกล้าแสดงออกให้เขารู้ว่าหล่อนไม่พอใจ

นายตำรวจหนุ่มใหญ่พาทั้งสองไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารไม่ไกลจากสถานีตำรวจมากนัก และเมื่อเสร็จจากมื้ออาหารก็แยกตัวกลับไปทำงาน ในขณะที่สองหนุ่มสาวเดินทางกลับไร่ทันที

คีรีเหลือบมองคนนั่งเคียงที่หน้าตาบึ้งตึงแล้วลอบถอนใจ เขาพอรู้ว่าหล่อนคงไม่พอใจที่เขาไม่เคยบอกหล่อนเรื่องสาเหตุที่แท้จริงของการยิงต่อสู้กันในวันนั้นจนทำให้พ่อของหล่อนถึงแก่ความตาย แต่เขาแค่ไม่อยากให้หล่อนกังวลว่าเขามีศัตรูที่เล่นกันถึงแก่ชีวิต เขาอยากให้หล่อนอยู่กับเขาด้วยความสบายใจ ไม่ใช่หวาดระแวงว่าจะมีใครบุกขึ้นบ้านมาทำร้ายเขาหรือคนในบ้านอีก แต่ดูเหมือนหล่อนจะเข้าใจผิดไปอีกทางกระมัง

 

เมื่อกลับถึงบ้านและจอดรถเรียบร้อย เขาก็บอกหล่อนเมื่อลงจากรถและเดินอ้อมไปหา

“มาทางนี้เถอะหนูดี”

“ไปไหนคะ”

“ไปคุยกันอย่างที่บอกเธอไง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ยิหวาจึงเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย

ชายหนุ่มพาหล่อนเข้าไปในไร่อย่างที่เขาพาหล่อนเดินดูกุหลาบเมื่อวันก่อน แต่คราวนี้เขาพาเดินอ้อมอาคารเก็บอุปกรณ์ไปยังแปลงกุหลาบที่หล่อนยังไม่เคยเห็น

ยิหวาตาเบิกโตกับภาพที่เห็นตรงหน้า แปลงกุหลาบที่ออกดอกสมบูรณ์ สีชมพูอ่อนหวานเจือสีโอลด์โรสจาง กลีบหนาซ้อนกันอย่างสมบูรณ์ กลิ่นหอมหวานรวยรินจนอดสูดลึกเข้าปอดไม่ได้ หล่อนจำได้ว่าเป็นกุหลาบพันธุ์เดียวกับที่ชายหนุ่มตรงหน้าหอบเข้าบ้านเช้าวันแรกที่หล่อนตื่นขึ้นมาในบ้านของเขา

คีรีหยุดยืนนิ่งหน้าแปลงกุหลาบ แล้วหันกลับไปสบตาคนที่ยืนเบิกตาโตอยู่ด้านหลัง เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของหล่อน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น