บทที่ ๗
ยิหวากะพริบตาปริบๆ หล่อนไม่เคยได้ยินชายหนุ่มพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน สำเนียงภาษาอังกฤษของเขาเป็นธรรมชาติ ถ้อยคำที่เอ่ย ‘เข้าปาก’ เหมือนกับเป็นคำพูดที่พูดเป็นประจำ สายตาเขาที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของหล่อนสื่อความหมายบางอย่างที่ทำให้หล่อนต้องเสหลบตา
คีรีเดินไปตัดกุหลาบดอกหนึ่งมายื่นให้หญิงสาวแล้วบอก
“สวีตฮาร์ต กุหลาบพันธุ์ใหม่ของฉัน”
ยิหวาทอดตามองดอกกุหลาบในมือ กุหลาบดอกใหญ่สมบูรณ์ กลีบดอกกลมหนาอัดกันแน่น สีชมพูพาสเทลอ่อนหวานเข้มขึ้นเล็กน้อยที่ปลายกลีบ ส่วนโคนดอกเจือสีโอลด์โรสจางๆ ดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอม แต่ก็ดูเข้มแข็งด้วยกลีบดอกที่แข็งแรง ตัวดอกสูง ก้านยาว เป็นกุหลาบที่สวยที่สุดดอกหนึ่งที่ยิหวาเคยเห็นมาทีเดียว
“สวยไหม” คนที่จับจ้องกิริยาของหล่อนตลอดเวลาเอ่ยถาม
“สวยค่ะ” ยิหวาตอบ เงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มแล้วถาม “แต่คุณภูบอกว่าจะพาหนูดีมาคุย ทำไมถึงพามาชมกุหลาบล่ะคะ”
“เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับกุหลาบ” เขาตอบทันควัน
ยิหวานิ่ง รอให้เขาอธิบาย และชายหนุ่มก็ไม่ทำให้หล่อนผิดหวัง เขาเริ่มเล่าช้าๆ
“เมื่อสองปีก่อน ฉันได้พบกับ...บางอย่าง...ที่เป็นแรงบันดาลใจให้พัฒนากุหลาบพันธุ์นี้ขึ้นมา” เขาจ้องตาคนฟังสลับกับมองดอกกุหลาบในมือหล่อนขณะพูด เมื่อเห็นว่าหล่อนตั้งใจฟัง เขาก็หยิบกุหลาบจากมือหล่อนขึ้นมาแตะจมูก สูดกลิ่นยาว สีหน้าละมุน
“สวีตฮาร์ตนอกจากจะสวยแล้วยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีความหอมหวานตามแบบกุหลาบ ผสานกับกลิ่นสดชื่นของซิทรัสเจือกลิ่นน้ำผึ้งจางๆ ให้ความรู้สึกสวยงามน่าทะนุถนอม แต่ก็มีชีวิตชีวาเหมือน...สาวน้อยแรกแย้ม” ขณะพูด ดวงตาคมจ้อง ‘สาวน้อยแรกแย้ม’ ตรงหน้าไม่วางตา
สาวน้อยที่เป็นแรงบันดาลใจของกุหลาบพันธุ์ใหม่ในมือ หล่อนสวยหวานน่ารัก มีชีวิตชีวา โดยเฉพาะรอยยิ้มที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับ เขาจึงพัฒนาพันธุ์กุหลาบขึ้นมา กุหลาบที่มีลักษณะเหมือนหล่อน ส่วนชื่อพันธุ์...สวีตฮาร์ต...เป็นความหมายตรงตัวของยิหวา ชื่อของหล่อน
ยิหวา...ดวงใจรัก...ของเขา
เมื่อเขาเอาแต่จ้องหล่อนนิ่ง ยิหวาก็ถามเพื่อลดความขัดเขิน
“เรื่องขโมย...เกี่ยวยังไงกับกุหลาบสวีตฮาร์ตหรือคะ”
“ไม่กี่เดือนก่อน สวีตฮาร์ตชนะการประกวดกุหลาบประเภทรวม คือทั้งสวยงามและมีกลิ่นหอม นายทรงศักดิ์ เจ้าของไร่กุหลาบจากเชียงรายติดต่อมาขอซื้อพันธุ์ แต่ฉันไม่ขาย เพราะมีโครงการจะใช้กุหลาบพันธุ์นี้ทำอย่างอื่น แต่แล้วก็มีขโมยขึ้นบ้านอย่างที่เธอรู้ คืนนั้นเกิดไฟไหม้ที่อีกฟากของไร่ ซึ่งเมื่อกลับมาคิดแล้วน่าจะเป็นการล่อฉันออกจากบ้านมากกว่า และหากเป็นการขโมยของทั่วๆ ไป ขโมยคงจะทำสำเร็จ กว่าฉันจะกลับเข้าบ้าน มันก็คงหนีไปไกลแล้ว แต่เพราะของที่มันต้องการคือข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่มีระบบป้องกันอย่างดี ตอนที่ฉันกลับเข้าบ้านหลังจากดับไฟได้แล้วนั้น จึงเห็นขโมยกำลังพยายามจะเปิดเครื่อง จากนั้นก็เกิดการต่อสู้กันอย่างที่เธอรู้”
ชายหนุ่มเชยคางหญิงสาวให้เงยขึ้นสบตาเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ
“ฉันขอโทษ หนูดี ศาสตราตายเพราะฉัน ไม่ใช่เฉพาะที่รับกระสุนแทนฉัน แต่เป็นเพราะขโมยต้องการของที่ฉันไม่ยอมขาย ถ้าฉันยอมขายพันธุ์กุหลาบให้นายทรงศักดิ์เสีย เขาก็ไม่ต้องส่งคนมาขโมย และพ่อของเธอคงไม่ตาย แต่...หนูดี ฉันจะขายสวีตฮาร์ตได้ยังไง กุหลาบพันธุ์นี้มีความหมายกับฉันมากเหลือเกิน”
“เรื่องที่เกี่ยวกับพ่อ...หนูดีมีสิทธิ์รู้ไม่ใช่หรือคะ ทำไมคุณภูต้องปิดบังหนูดี” หล่อนว่าอย่างกล่าวหา เสียใจที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบิดาเสียชีวิตอย่างมีเบื้องหน้าเบื้องหลังมากกว่าแค่ถูกขโมยยิง
“ฉันไม่ได้ตั้งใจปิดบัง แต่ถ้าเธอรู้ เธอก็คงอยู่อย่างไม่สบายใจ ถ้าเธอรู้ เธอจะไม่หวาดระแวงหรือหนูดี คนร้ายยังไม่ได้สิ่งที่มันต้องการ เธอไม่กลัวว่ามันจะพยายามอีกครั้งหรือ”
“ก็...คงกลัวมั้งคะ” หล่อนยอมรับ ถอนหายใจนิดแล้วกล่าวต่อ “แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็คงไม่มีอะไรร้ายแรงเท่ากับสิ่งที่เกิดไปแล้วหรอกค่ะ”
คีรีกุมมือหล่อนไว้ด้วยมือทั้งสองของเขา แล้วบอกหล่อนอย่างหนักแน่น
“เธอไม่ต้องกลัวหรอกนะหนูดี ฉันสัญญากับพ่อของเธอแล้วว่าจะดูแลเธอ และฉันขอสัญญากับเธอตรงนี้ว่า ถ้าฉันยังอยู่ จะไม่ยอมให้อะไรร้ายๆ เกิดขึ้นกับเธออีกแล้ว...ฉันสัญญา”
ยิหวาหลุบตาลงมองมือของตนที่ถูกมือใหญ่เกาะกุม เสียงทุ้มอ่อนโยนที่เปล่งคำมั่น สัญญาว่าจะไม่ยอมให้เรื่องร้ายใดๆ แผ้วพานหล่อนอีกหากยังมีเขาอยู่ ทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับหัวใจถูกโอบล้อมด้วยอ้อมกอดของความอบอุ่น ในวันที่ไม่มีพ่อ...ยังมีเขาที่จะคอยดูแลหล่อน อย่างที่เขาได้ให้สัญญาแก่พ่อไว้
หญิงสาวดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา ยกขึ้นพนมแล้วค้อมศีรษะไหว้
“ขอบคุณค่ะคุณภู”
คีรีทอดตามองหญิงสาวตรงหน้าและระบายยิ้มเล็กน้อย...นิดเดียวแค่พอให้ใบหน้าที่ปกติมักจะเรียบเฉยคลายลง แล้วจึงชวน
“เข้าบ้านกันเถอะ”
ยิหวาเดินตามเขากลับบ้านอย่างว่าง่าย หล่อนถามระหว่างทาง
“แล้วคุณภูมีโครงการอะไรกับกุหลาบพันธุ์สวีตฮาร์ตหรือคะ”
“ถึงเวลาแล้วจะบอก”
เมื่อได้ยินคำตอบ ยิหวาจึงเดินตามเขากลับบ้านเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
เช้าวันจันทร์ ยิหวาเดินถือกระเป๋านักเรียนลงมายังห้องอาหารตามเวลาปกติ เห็นป้าสุขใจกำลังตั้งโต๊ะรออยู่แล้ว
“คุณหนูดี มานั่งสิคะ วันนี้พ่อเลี้ยงฝากให้ป้าบอกคุณหนูดีว่าไม่ต้องรอ พ่อเลี้ยงจะเข้าสายหน่อยค่ะ” ป้าสุขใจบอกเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นหล่อน
ยิหวาเดินไปนั่ง รอจนแม่บ้านวางชามข้าวต้มลงตรงหน้าจึงถาม
“คุณภูไปไหนหรือคะ”
“เข้าไร่ตั้งแต่เช้าค่ะ เห็นว่าวันนี้ทีมวิจัยจะกลับมาทำงาน พ่อเลี้ยงเลยอยากเคลียร์งานในไร่ให้เสร็จก่อน เลยไม่ได้ไปส่งคุณหนูดีที่โรงเรียนด้วยค่ะ”
“อ้อ...ค่ะ” ยิหวาพึมพำรับรู้ ก้มลงจัดการอาหารเช้าตรงหน้า เมื่อเสร็จก็เงยหน้าขึ้นบอก
“หนูดีไปโรงเรียนก่อนนะคะ”
หล่อนลุกขึ้น หิ้วกระเป๋านักเรียนเดินตรงไปยังรถตู้ที่เคลื่อนมาจอดรอหน้าบ้านพอดี
“ไม่สมัครจริงๆ หรือหนูดี” ลูกหว้า เพื่อนในกลุ่มถาม เมื่อไม่เห็นยิหวากรอกใบสมัครสอบตรงของมหาวิทยาลัยในเมือง ขณะที่เพื่อนคนอื่นในกลุ่มต่างก้มหน้าก้มตาเขียนใบสมัครช่วงพักกลางวันกันอย่างคึกคัก
“ไม่ละ หนูดีจะแอดมิชชันเข้ามหา’ลัยในกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ภาคอื่น”
“พ่อเลี้ยงยอมให้หนูดีไปเรียนไกลบ้านหรือ” เพื่อนถาม ทุกคนรู้ว่าพ่อเลี้ยงคีรี เจ้าของไร่ที่บิดาของยิหวาเคยทำงานกลายมาเป็นผู้ปกครองของหล่อนหลังบิดาเสียชีวิต
“เขาบอกว่าหนูดีจะสอบเข้าเรียนที่ไหนก็ได้” ยิหวาตอบ ไม่ได้บอกต่อว่า เว้นแต่ต่างประเทศเท่านั้นที่เขาจะไม่ส่งหล่อนไป
“ดีจังเลย อิจฉาหนูดีจัง คุณพ่อลูกหว้าไม่ยอมให้ลูกหว้าไปเรียนไกลบ้าน ต้องสอบเข้า มช. ให้ได้เท่านั้น”
“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ” เพื่อนอีกคนถาม
“ได้อยู่แล้วแหละ ลูกหว้าเรียนเก่งออก” ยิหวาว่า
ลูกหว้ากับหล่อนผลการเรียนใกล้เคียงกัน แต่ลูกหว้าเก่งวิชาฟิสิกส์กว่ามาก และเพื่อนสนิทของหล่อนก็ตั้งใจจะสอบเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งน่าแปลกที่หญิงสาวที่มีลักษณะท่าทางเป็นคุณหนูทุกกระเบียดนิ้วอยากเข้าเรียนในสาขาวิชาที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นสาขาวิชาของผู้ชาย และคุณพ่อที่หวงลูกสาวอย่างกับไข่ในหินก็ยังสนับสนุนอีกด้วย
“แล้วหนูดีจะเรียนอะไร ยังจะสอบเข้าแพทย์อยู่หรือเปล่า”
ยิหวานิ่งคิดสักพักกับคำถามนั้น หล่อนเคยต้องการสอบเข้าเรียนแพทย์ ซึ่งเหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหล่อนเรียนเก่ง และเด็กเก่งถ้าไม่สอบเข้าหมอก็วิศวะ ในเมื่อหล่อนไม่ชอบฟิสิกส์ เลยตั้งใจจะสอบเข้าคณะแพทย์เท่านั้นเอง แต่เมื่อได้ทราบถึงงานที่มากกว่าปลูกกุหลาบขายของเจ้าของไร่ หล่อนก็อยากจะเรียนในสาขาวิชาที่จะกลับมาช่วยเขาทำงานได้ ตอบแทนที่เขารับภาระดูแลหล่อนต่อจากพ่อ
เมื่อคิดดังนั้นจึงตอบเพื่อนอย่างไม่มั่นใจนัก
“หนูดียังไม่แน่ใจเลย ว่าจะเข้าไปคุยกับอาจารย์แนะแนวดูก่อน หนูดีอยากเรียนอะไรที่กลับมาทำงานในไร่ได้”
“เกษตรหรือ” เพื่อนถามตาโต “หนูดีจะกลับมาทำงานในไร่น่ะหรือ”
ยิหวาฝืนยิ้ม ไม่ใช่หล่อนจะ ‘กลับมา’ แต่เป็นเพราะหล่อนไปจากไร่ไม่ได้ต่างหาก
“ยังไม่แน่ใจ เดี๋ยวหนูดีหาข้อมูลกับปรึกษาอาจารย์แนะแนวแล้วจะบอกนะ ยังไงหนูดีก็ต้องบอกเพื่อนๆ อยู่แล้วว่าจะเรียนอะไร”
เมื่อหล่อนว่าเช่นนั้น เพื่อนๆ ก็พยักหน้ายอมรับการตัดสินใจของหล่อน จากนั้นก็กลับไปตั้งใจกรอกแบบฟอร์มสมัครสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยกันต่อ และเมื่อออดเข้าเรียนดัง ก็เก็บเอกสารเข้ากระเป๋าแล้วลุกเดินกลับเข้าห้องเรียน เตรียมตัวเรียนวิชาในภาคบ่ายทันที
ทันทีที่เดินเข้าบ้านหลังจากรถตู้มาส่ง ป้าสุขใจก็เดินเข้ามาหา
“คุณหนูดีคะ พ่อเลี้ยงบอกว่าให้คุณหนูดีเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปหาพ่อเลี้ยงที่แล็บค่ะ นี่ค่ะ...พ่อเลี้ยงฝากการ์ดไว้ให้”
ป้าสุขใจบอกพร้อมกับยื่นการ์ดที่ยิหวาเคยเห็นเขาใช้เปิดห้องปฏิบัติการให้หล่อน หญิงสาวจึงยื่นมือไปรับแล้วบอก
“ขอบคุณค่ะป้าสุขใจ งั้นหนูดีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” หล่อนว่าแล้วผละไป
ไม่นานยิหวาก็กลับลงมาในชุดอยู่กับบ้าน หญิงสาวตรงไปยังห้องทำงานของชายหนุ่ม ปกติเมื่อหล่อนเดินเข้าไปมักจะเห็นคนตัวโตนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเสมอ แต่วันนี้ห้องทำงานกลับปราศจากเงาของเขา คงเพราะเขาอยู่ในห้องปฏิบัติการที่บอกให้หล่อนเข้าไปหา
หญิงสาวเดินไปด้านหลังโต๊ะทำงาน ใช้การ์ดแตะกล่องสี่เหลี่ยมตามที่หล่อนเคยเห็นเขาทำ และทันทีที่ได้ยินเสียงปี๊บ ผนังห้องทำงานก็เลื่อนออก เผยให้เห็นห้องปฏิบัติการที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง
ยิหวารู้สึกประหม่าจนแทบก้าวขาไม่ออก เมื่อเห็นคนหลายคนในห้องซึ่งสวมชุดปฏิบัติการสีขาว สวมหมวก สวมผ้าปิดจมูก และแว่นตาใสที่ครอบไปครึ่งหน้า หันมามองหล่อนเป็นตาเดียว ก่อนที่คนตัวสูงที่สุดในที่นั้นจะถอดแว่น ดึงผ้าปิดจมูกออกให้ห้อยลงมาที่คอ และเดินตรงมายังหล่อน
“หนูดี เข้ามาสิ”
ยิหวาเดินตรงเข้าไปหา หล่อนมองเขาอย่างตกตะลึง ด้วยไม่เคยเห็นเขาในภาพลักษณ์นี้มาก่อน เขาไม่ยิ้มให้หล่อน แต่ก็ไม่ได้บึ้งตึง สีหน้าดูอ่อนโยนเมื่อหันไปแนะนำหล่อนกับคนอื่นๆ ในห้องนั้น
“ทุกคน นี่คุณหนูดี” เขานิ่งไปนิด ทอดตามองยิหวาซึ่งมองคนนั้นคนนี้ด้วยดวงตาเบิกโต ก่อนจะกล่าวต่อ “ภรรยาผมเอง”
หากจะมีใครประหลาดใจในสถานะของหล่อนก็มีมารยาทพอที่จะไม่แสดงออก ทุกคนรับไหว้หล่อนเมื่อชายหนุ่มแนะนำให้หญิงสาวรู้จักเป็นรายบุคคล ภัทรกับเกียรติศักดิ์เป็นวิศวกรพันธุศาสตร์ ส่วนมงคลเป็นเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ จากนั้นชายหนุ่มก็หันไปหาหนึ่งในสองวิศวกรในห้องนั้น
“ภัทร ฝากพาหนูดีทัวร์แล็บหน่อยนะ เขาสงสัยอะไรก็ตอบให้หมดแล้วกัน ไม่มีอะไรต้องปิดบัง” ท้ายประโยคบอกชัดเจน ยิหวามีความสำคัญในระดับที่ไม่ต้องรักษาความลับในห้องปฏิบัติการกับหล่อน
“ครับ ดอกเตอร์”
คนพูดพูดด้วยท่าทางธรรมดา แต่คนฟังถึงกับตาเบิกกว้าง
...เขาเป็นดอกเตอร์!
ความคิดเห็น |
---|