4

บ้านกล้วยไม้

4

บ้านกล้วยไม้

 

หลังจากแหวกว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่ร่วมชั่วโมง ในที่สุดสาวน้อยร่างบางพร้อมชุดทูพีซสีม่วงสดก็ไต่ราวบันไดขึ้นมา แม่บ้านสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ รีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยซับน้ำจากร่างกายและเส้นผมให้อย่างเบามือ ใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะชมพูระเรื่อเพราะเลือดลมสูบฉีด ปากอวบอิ่มแดงก่ำ เส้นผมที่มัดรวบขึ้นไม่หมดแนบไปตามผิวหนังประหนึ่งลวดลายบนแจกันกระเบื้องชั้นยอด ยามมองจากที่ไกลๆ ก็ว่าเปล่งประกายมากแล้ว ยิ่งได้มาสัมผัสผิวนุ่มเนียนเต่งตึงใกล้ๆ กล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าคงมีแต่เจ้าตัวคนเดียวที่ชอบเปรียบเปรยตัวเองว่าเป็น ‘ของมีตำหนิ’ 

“น้ำมะพร้าวค่ะคุณไคยะ”

“ありがとう(ขอบคุณมากนะ)” เจ้าของชื่อหลุดพูดภาษาบ้านเกิด หลังจากรับไปดื่มอึกๆ จนหมดแก้วแล้วจึงส่งคืน มีการผสมผสานวัฒนธรรมด้วยการไหว้ขอบคุณเล็กน้อย ก่อนเดินตัวปลิวจากไปพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม 

“สองสามวันมานี้คุณไคยะอารมณ์ดีแปลกๆ นะว่าไหม” หนึ่งในนั้นชวนคุยขณะเก็บกวาดจานของว่าง

ตอนที่หลานสาวของเจ้าของบ้านย้ายมาไทยช่วงแรกๆ พวกเธอต้องอยู่กับความหวาดผวา และยังต้องอดทนยามอีกฝ่ายจ้องหาเรื่องจับผิด อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ได้ ถูกปาจานข้าวใส่เพราะทำออกมารสชาติไม่ถูกใจยังเคยโดนมาแล้ว พอเวลาผ่านไปอีกฝ่ายมีพฤติกรรมดีขึ้นก็จริงอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะค่อนไปทางเฉยชา ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น อย่าว่าแต่กับแม่บ้าน กระทั่งตัวคุณดมิสาผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ยังโดนเมินอยู่บ่อยๆ 

“เพราะหาของเจอละมั้ง ก่อนหน้านี้เห็นคุณไคยะใส่ติดตัวตลอด คงสำคัญน่าดู” 

“ของครอบครัวที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ ทางนั้นก็ใจแข็งเนอะ โยนลูกเต้ามาซะไกล คิดถึงก็ไม่ยอมให้กลับไปเยี่ยม” 

“นั่นสิ น้ามันจะไปเหมือนกับพ่อแม่ได้ยังไง แค่ความรักความเอาใจใส่ก็ต่างกันแล้ว” 

แม่บ้านทั้งสองคนวิพากษ์วิจารณ์กันพอหอมปากหอมคอ พวกเธอไม่จำเป็นต้องสืบเสาะหาคำตอบให้เปลืองแรง ตราบใดที่เจ้านายอารมณ์ดี ชีวิตพวกเธอก็จะดีตามไปด้วย คิดได้ดังนั้นจึงชวนกันไปดูละครต่อ 

จะมีใครรู้เหตุผลดีไปกว่าผู้เป็นประเด็นสนทนา ซึ่งหากจะว่าไปแล้วสองแม่บ้านก็ทายถูกครึ่งหนึ่ง ไคยะอารมณ์ดีเพราะได้ของที่หายไปกลับคืนสู่อ้อมอก นอกจากนั้นยังได้ ‘หยอก’ ใครบางคนจนหน้าซีด

อะไรที่เสียไปแล้วมันยากจะได้คืน เธอรู้กฎเกณฑ์ธรรมชาติข้อนี้ดี แต่ตอนที่หันไปเจอของสำคัญอยู่กับผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง ในใจพลันเดือดพล่านยิ่งกว่าลาวา อยากลุกไปกระชากคืนกลับมาให้รู้แล้วรู้รอด ตำรวจหน้าไม่อายนั่นก็เหลือเกิน กล้าพูดได้ยังไงว่าเป็นของของตัวเอง ชื่อเธอออกจะทนโท่ทิ่มตาขนาดนั้น โดนสั่งสอนทั้งพี่ทั้งน้องก็สมควรแล้ว 

พอคิดถึงท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงตอนที่ผึ้งหนุ่มออกจากห้องพยาบาลก็ได้แต่ยิ้มหยัน ความจริงควรขอบคุณที่เธอเลือกใช้ยาแทนทุบให้สลบด้วยซ้ำ แบบนี้จะนับเป็นหนี้บุญคุณได้รึเปล่านะ

นี่เหรอหน่วยรังผึ้ง ปั่นหัวง่ายชะมัด

“ขอโทษนะตำรวจ ฉันเองก็เบามือไม่เป็น ฮ่าๆๆ” บุคคลผู้ได้แก้แค้นกระซิบกระซาบกับตัวเองขณะกุมท้องหัวเราะหัวหงาย ลืมไปว่ากำลังเร่งเป่าผมให้แห้งด้วยความร้อนสูงสุด ตอนที่ไอระอุโดนหน้าถึงกับสะดุ้งโหยง

ช่างเถอะ...เธอไม่รู้จะเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องไปทำไม เพราะจากนี้ไปคงยากจะเจอกันอีก

ไคยะเดินไปเลือกเสื้อผ้า วันนี้เธอมีนัดเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันที่สถานสงเคราะห์ จะใส่เครื่องแบบนักเรียนไปก็ใช่เรื่อง สุดท้ายจึงไปจบที่ชุดเอี๊ยมยีนส์ขาสั้นสีขาวและเสื้อตัวในแขนยาวสีครีม มัดรวบผมครึ่งศีรษะ พอจัดการตัวเองเสร็จก็รีบร้อนออกจากบ้าน เธอยังต้องแวะรับของอีกหลายที่ 

ศีรษะเล็กเอนพิงกระจกมองออกไปด้านนอก เธอเคยเรียนขับรถอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เพราะเวลาไปไหนมาไหนมีคนคอยรับส่งจนชิน อีกทั้งตอนที่เธอเอาหนังสือกฎจราจรของประเทศไทยมาเทียบกับสภาพจริงบนท้องถนนก็พบว่ามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นอกจากต้องใช้ความอดทนขั้นสูง ยังต้องใช้จิตวิทยาในการเดาใจคนร่วมด้วย ในเมื่อภาคปฏิบัติมันวุ่นวายนัก สุดท้ายจึงตัดสินใจพับโครงการไว้ก่อน หากพร้อมเมื่อไหร่ค่อยว่ากันใหม่

รถตู้สีดำเงาเลี้ยวเข้าไปในสถานที่ที่คล้ายโรงเรียนขนาดย่อม ป้ายไม้สีน้ำตาลอ่อนด้านหน้าเขียนว่า ‘สถานสงเคราะห์บ้านกล้วยไม้’ ตึกแถวสองชั้นจำนวนสามหลังปลูกเรียงกันเป็นรูปยู ตรงกลางเป็นลานทำกิจกรรมกว้างขวาง เด็กเล็กหลายคนกำลังเล่นเครื่องเล่นที่คนนำมาบริจาค ไม่ไกลจากบริเวณนั้นมีโต๊ะม้าหินอ่อนตั้งเรียงราย ผู้สูงอายุนั่งจับเข่าคุยกันอย่างออกรสชาติ บ้างก็ปัดกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าให้สะอาดสะอ้าน บ้างก็ถือฝักบัวรดน้ำแปลงพืชผัก ถึงที่นี่จะมีสมาชิกอยู่เกือบสองร้อยชีวิต แต่บรรยากาศกลับเงียบสงบและร่มรื่น

พวกเด็กๆ จำรถยนต์คันดังกล่าวได้ จึงทิ้งของเล่นและวิ่งไปหาทันที “โอฮาโย! พี่สาวมาแล้ว!”   

ไคยะเปิดประตูลงจากรถ หัวเราะร่าเมื่อได้ยินภาษาบ้านเกิด ก่อนค้อมกายทักทายพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “おはよ(สวัสดี) วันนี้พี่สาวเอาไก่ทอดกับพิซซ่ามาฝาก มีแฮมเบอร์เกอร์กับพาสต้าด้วยนะ ใครอยากกินยกมือขึ้น” 

“หนูๆๆๆ” เด็กๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวจนผู้ดูแลออกมาดู พอเห็นว่าเป็นใครก็รีบตรงดิ่งเข้ามาทักทาย 

“สวัสดีค่ะคุณไคยะ” 

“รบกวนช่วยยกของลงจากรถได้ไหมคะ” 

“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ เป็นทางนี้มากกว่าที่รบกวนคุณไคยะอยู่บ่อยๆ” ผู้ดูแลชื่อแพรวคณิตโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ก่อนตะโกนเรียกคนอื่นๆ ให้มาช่วยยกของกินของใช้นับสิบถุงไปไว้ที่โรงอาหาร 

สถานสงเคราะห์บ้านกล้วยไม้อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิไม่ประสงค์ออกนาม จุดประสงค์หลักคือให้ความช่วยเหลือเหล่าเด็กกำพร้าและคนชราไร้ที่พึ่ง ส่วนใหญ่จะดูแลคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน เช่น อาหาร ที่พักอาศัย เครื่องนุ่งห่ม ค่ารักษาพยาบาล เด็กทุกคนที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์สามารถไปโรงเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และหากมีผลการเรียนดีเยี่ยมจะได้รับทุนการศึกษาไปจนถึงระดับปริญญาตรีซึ่งเหล่าผู้ดูแลสถานสงเคราะห์ต่างก็เคยได้รับโอกาสเหล่านั้น

ภายในโรงอาหารที่ทั้งโล่งและอากาศถ่ายเท เด็กและคนชราต่างรายล้อมเข้ามาทักทายคนคุ้นเคย ผู้มีพระคุณคนนี้แวะมาเยี่ยมเยียนพวกเขาอาทิตย์ละหนึ่งถึงสองครั้ง และทุกครั้งก็ไม่เคยมามือเปล่า แต่มักจะมีของกินของใช้ติดมาด้วยทุกรอบ 

กับเด็กๆ ที่ไม่เคยเผชิญโลกภายนอกยังไม่เท่าไหร่ แต่คนชราหลายคนที่เคยระหกระเหเร่ร่อน กลางคืนต้องหาหนังสือพิมพ์มาห่มแก้หนาว คุ้ยหาเศษอาหารเพื่อประทังชีวิต การได้มาอยู่สถานสงเคราะห์บ้านกล้วยไม้ถือเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิต ส่วนเงินยังชีพผู้สูงอายุที่ผู้ดูแลพาไปลงทะเบียนรับสิทธิ์ พวกเขาก็แบ่งออกมาครึ่งหนึ่งเพื่อทำทุนกองกลาง เอาไว้ให้พวกเด็กๆ ที่รักเอ็นดูเหมือนลูกหลานซื้ออุปกรณ์การเรียน 

“เอาซุปฟักทองกับซุปเห็ดไปให้คุณตาคุณยายก่อนนะ” แพรวคณิตใช้เด็กชายคล่องแคล่วหลายคนให้เตรียมอุปกรณ์รับประทานอาหาร ส่วนเด็กหญิงก็คอยยกถ้วยที่ตักแบ่งเรียบร้อยไปเสิร์ฟให้ผู้อาวุโส พอเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วจึงค่อยกลับมารับส่วนแบ่งของตัวเอง

“หนูอยากกินน่องไก่”

“พิซซ่าอร่อยจังเลยฮะ”

“ผมชอบพาสต้าฮะ” 

“ค่อยๆ เคี้ยว เดี๋ยวก็ติดคอหรอก” ไคยะยิ้มจนตาหยี ก่อนผละไปหาผู้สูงอายุที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ “คุณตาคุณยายต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ บอกไคยะได้นะ เดี๋ยวไคยะให้คนขับรถไปซื้อเพิ่มให้” 

“โอ๊ย แค่นี้ก็อิ่มเกินจะอิ่มแล้วหนู” หญิงชราวางช้อน เอื้อมไปลูบหลังมือเต่งตึงเบาๆ “ขอบคุณหนูไคยะมากนะ ขอให้ชีวิตมีแต่ความสุข พบเจอแต่สิ่งดีๆ อายุมั่นขวัญยืน” 

“ขอบคุณค่ะ” เจ้าของชื่อไหว้รับพร พอมาที่นี่บ่อยเข้า อะไรที่ไม่ชินก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ  

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นลูกครึ่ง แต่ความจริงเธอเกิดและโตที่ญี่ปุ่น ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้าหรือรู้จักชื่อบิดาบังเกิดเกล้า ทั้งหมดที่มารดามักจะพูดถึงคือ ‘ผู้ชายคนนั้นเป็นคนไทย’ และ 'แกมันอ่อนแอเหมือนพ่อของแก’ 

เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามารดารักหรือเกลียดชังชายผู้นั้นกันแน่ ถ้ารักแล้วทำไมไม่เคยกล่าวถึง แต่ถ้าเกลียดชังแล้วจะคอยย้ำเตือนให้เธอไม่ลืมรากเหง้าอีกครึ่งที่อยู่ในตัวไปเพื่ออะไร ตั้งแต่เล็กเธอต้องเรียนมากกว่าพี่น้องคนอื่นเสมอ วิชาที่เพิ่มเข้ามาล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย...ประเทศที่เธอไม่เคยมาเหยียบเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

จวบจนเย็นวันนั้น...วันเกิดอายุครบสิบหก

...

เด็กสาวในชุดเคย์โกะ3สีดำนั่งก้มหน้างุดกลางลานฝึก แก้มซีกซ้ายบวมแดงจากการถูกของแข็งฟาด ดวงตาข้างเดียวกันปรากฏเส้นเลือดแตกฝอยสีแดงฉานรอบๆ ลานฝึกมีเหล่าผู้อาวุโสนั่งมองการทดสอบด้วยแววตานิ่งสงบ ด้านหลังคือเด็กสาวและเด็กหนุ่มในเครื่องแต่งกายแบบเดียวกันนับสิบคน ส่วนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือสตรีผู้ที่ใช้คำว่างามหยาดฟ้ามาดินมาบรรยายไม่พอ ใบหน้าหวานซึ้งสะกดใจ แต่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นชาบริสุทธิ์และสูงส่งสมชื่อ ‘รัน คิโยะ’ เจ้าบ้านรันรุ่นที่สิบห้า

“น่าผิดหวังจริงๆ” 

“...”

“เก็บข้าวของซะ ฉันจะส่งแกไปอยู่กับมิสะ และต่อไปอย่าได้ใช้ชื่อ ‘รัน ไคยะ’ อีก”

เจ้าของชื่อเบิกตากว้าง คลานเข่าเข้าไปกอดขาคนตรงหน้าอย่างไม่สนใจอาการบาดเจ็บ เอ่ยวิงวอนด้วยเสียงแหบแห้ง “ไม่นะคะคุณแม่ หนูไม่อยากไป ทั้งชีวิตของหนูอยู่ที่นี่ ได้โปรดให้หนูได้เข้าทดสอบอีกสักครั้งนะคะ หนูต้องทำได้แน่ๆ”

“แกกล้าทดสอบอีกครั้งเหรอ” คิโยะยอบกายลง ใช้ด้านคมของมีดทันโท4ในมือเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้น ก่อนเบนสายตาไปยังเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนที่นั่งคุกเข่ารอด้วยความนิ่งสงบ

“กล้า!” เด็กสาวให้คำตอบด้วยเสียงมั่นใจ ดวงตาสีน้ำหมึกหลุบมองเหล็กแผ่นบางที่อยู่ใต้คาง ใบมีดสีเงินสลักลายดอกกล้วยไม้แสนประณีต 

รันแปลว่าดอกกล้วยไม้...ตราประจำตระกูลรันที่มีประวัติยาวนานกว่าสี่ร้อยปี และมีดตรงหน้าคือหนึ่งในสมบัติที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นที่จะมอบให้ทายาทสายตรงเท่านั้น เธอรับอาวุธเย็นเยือกมาทั้งมือสั่นเทา ก่อนลุกขึ้นย่างก้าวไปหาคนที่เธอเรียกว่า ‘พี่น้อง’ ช้าๆ 

นี่คือบททดสอบการก้าวข้ามสู่ความเป็นผู้ใหญ่...การเอาชนะความกลัว

“ลงมือเถอะไคยะ มัวแต่ลังเลอะไรอยู่ ฉันเชื่อใจเธอ แค่ครั้งเดียว...แล้วพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป” เด็กหนุ่มคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นมอง กล่าวพลางยกมือวางเหนือหน้าอกของตนเอง แม้น้ำเสียงจะสงบนิ่ง แต่ถ้ามองเข้าไปในแววตาส่วนลึกจะพบความพรั่นพรึงผสมหวาดกลัวอันเก็บไม่มิด 

ไคยะกัดริมฝีปากแน่น ค่อยๆ เงื้อมือขึ้นสูง แค่ครั้งเดียว...เธอก็จะผ่านบททดสอบ เรื่องในอดีตก็จะกลายเป็นหมอกควันที่ไม่มีใครพูดถึง ทว่าภาพความทรงจำสีแดงกลับแล่นเข้าสมองเป็นฉากๆ น้ำย่อยตีขึ้นมาในลำคอ พลันรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น ในขณะที่มือทั้งสองเริ่มสั่นจนถึงขั้นควบคุมไม่อยู่ ร่างกายที่ใครต่างก็บอกว่าว่องไวปราดเปรียวแข็งทื่อราวกับโดนสาปให้เป็นรูปปั้น มีดที่ควรจะหนักไม่เท่าไหร่ บัดนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนแบกหินผา 

เคล้ง!

“หนูทำไม่ได้...” อาวุธสีเงินยวงหล่นกระทบพื้น พร้อมกับน้ำตาเอ่อล้นไม่หยุด 

เหล่าผู้อาวุโสที่เห็นเหตุการณ์ต่างทอดถอนใจพร้อมกัน รันสายหลักมีคนน้อยอยู่แล้ว แต่ต้องมาเสียอีกคน ถือเป็นความล้มเหลวอย่างถึงที่สุด อีกไม่นานตำแหน่งเจ้าบ้านจะต้องเปลี่ยนมาอยู่สายที่สองแน่ๆ 

เผียะ!

“ไร้ค่า! ไร้ค่า!! ทำไมแกถึงได้ไร้ค่ายิ่งกว่าของมีตำหนิ!” คิโยะตวัดฝ่ามือใส่แก้มบวมแดง กระทั่งตนเองยังจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ลงมือ ความบ้าคลั่งมันจะทับถมไปเรื่อยๆ จนแทบคุมไม่อยู่ 

“อากิระเป็นพี่น้องของหนู! หนูจะไม่เอาชีวิตเขามาเสี่ยงเพราะบททดสอบบ้าๆ นี่!!”

เผียะ!

“หุบปาก!” 

หนนี้ร่างบางถูกตบจนเซล้มไปอีกทาง มุมปากปริแตกปรากฏเลือดซึมขึ้นมาอีกรอบ ทว่าในดวงตาสีน้ำหมึกกลับยังคงฉายแววไม่ยอมจำนน หันมาเผชิญหน้าอย่างไม่กลัวเกรง

“การที่หนูไม่ลงมือกับอากิระไม่ได้แปลว่าหนูทำงานให้คนตระกูลรันไม่ได้ หนูมีประโยชน์มากกว่านั้น” ไคยะกัดฟันพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ก่อนหันไปหาพี่น้องคนอื่นๆ ที่นั่งก้มหน้าอยู่ 

“หรือคุณแม่จะปฏิเสธความจริงที่ว่าไม่มีใครเอาชนะหนูได้!”

“ดี! ถ้าแกคิดว่าตัวเองมีประโยชน์ ฉันจะให้โอกาสแกได้พิสูจน์ตัวเอง ฉันจะให้แกทำงานหนึ่งอย่าง และถ้าแกทำสำเร็จก่อนอายุยี่สิบ จะไม่มีใครหน้าไหนกล้ากังขาความสามารถของแก” 

“ไม่ได้นะเจ้าบ้าน! กฎย่อมต้องเป็นกฎ!” เหล่าผู้อาวุโสคัดค้านโดยพร้อมเพรียง ต่อให้ ‘รัน ไคยะ’ จะแข็งแกร่งที่สุดในรันรุ่นใหม่ แต่ตามหลักแล้วคนตระกูลรันที่ไม่ผ่านการทดสอบจะต้องถูกขับออกไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น หากเจ้าบ้านสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้บุตรสาวตัวเอง เช่นนั้นความยุติธรรมมันจะอยู่ตรงไหน 

ทว่าพอได้ยินประโยคต่อมา ถ้อยคำคัดค้านพลันถูกกลืนลงคอดังเดิม...

“ไคยะ ฉันขอสั่งให้แกไปลากตัวคนทรยศกลับมา ถ้าแกทำไม่ได้ก็อย่าริอ่านมาเหยียบที่นี่เป็นอันขาด แต่ถ้าแกฝ่าฝืน...ทุกคนที่ได้ยินคำสั่งนี้สามารถกำจัดแกได้อย่างชอบธรรม”

“คุณแม่...” เจ้าของชื่อถึงกับเข่าอ่อน ประกาศิตดังกล่าวแทบไม่ต่างอะไรจากการขับไล่เธอออกจากตระกูลกลายๆ อีกทั้งยังใช้โทษตายแบบเดียวกับพวกคนทรยศ

แต่เธอไม่ใช่คนทรยศ...ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เหรอ

เด็กสาวในชุดเคย์โกะกินั่งจมปลักอยู่ที่เดิม สายตาย้ายจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่เธอเรียกว่าพี่น้อง ไม่ว่าจะกับใคร...เธอก็ไม่อาจละทิ้งความผูกพันเพื่อลงมือได้ทั้งสิ้น และเธอก็เชื่อเต็มหัวใจว่าพวกเขาก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน 

ทว่า...พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเธอด้วยซ้ำ กลับก้มหน้ารับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง

รวมถึงอากิระด้วย

“รับทราบ” 

รัน คิโยะ เจ้าบ้านตระกูลรันเดินเลยไปยังประตูโรงฝึก ทิ้งท้ายคำพูดโดยปราศจากความอาลัยอาวรณ์ เพียงแวบหนึ่งที่เผลอคิดว่าบางทีการใช้กรรไกรตัดกระดาษยังยากกว่าการตัดสัมพันธ์เลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียว 

“ไสหัวออกไป ตระกูลรันไม่มีที่ว่างให้คนอ่อนแอ ฉันไม่มีลูกอ่อนแอ จำเอาไว้”

                ...

เด็กชายอายุหกขวบเช็ดๆ มือที่เปื้อนคราบซอสพิซซ่ากับเสื้อยืด ก่อนเอื้อมไปเขย่าแขนคนที่นิ่งค้างในท่าไหว้มาครู่ใหญ่ “พี่สาวๆ เป็นอะไรฮะ”

ไคยะไหวตัวออกจากภวังค์ พลางกวาดมองรอบตัว คนที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนจับจ้องเธอเป็นตาเดียว ใจที่ดำดิ่งอยู่แล้วตกลงไปลึกกว่าเดิม เธอทำอะไรแปลกประหลาดหรือเปล่า เธอเผลอทำเรื่องผิดพลาดหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าทุกคนยังสุขสบายดี ยังมองเธอด้วยแววตาชื่นชมเหมือนเคย ก็พลันรีบตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างเกินจริง 

“พี่สาวหิวน่ะ ไหน...ใครจะแบ่งให้พี่กินบ้าง”

“กินพิซซ่ากับผมก็ได้ฮะ!”

“หนูมีปีกไก่!”

“ต้น ไปหยิบจานมาให้คุณไคยะเร็ว” 

หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกเมื่อบรรยากาศกลับมาครึกครื้นอย่างที่ควรจะเป็น อยู่ที่นี่เธอคือผู้แข็งแกร่ง พวกเขาชื่นชมเธอ ต้องการเธอ มองเธอเป็นคนสำคัญของพวกเขา จะมีอะไรดีไปกว่านี้...

 

หลังจากเสร็จสิ้นมื้อกลางวัน เหล่าเด็กๆ ก็เอาสมุดการบ้านมาอวดความคืบหน้าของการเรียนให้ผู้มีพระคุณดู พวกเขารู้ถึงสถานะการเป็น ‘เด็กที่ถูกทอดทิ้ง’ ไม่มีครอบครัวสนับสนุนเหมือนเพื่อนที่โรงเรียนคนอื่นๆ วิธีที่จะพ้นไปจากความลำบากคือเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้เยอะๆ ดังนั้นส่วนใหญ่ถึงจึงมีผลการเรียนค่อนไปทางใช้ได้ถึงดีมาก 

กระทั่งล่วงเลยมาถึงช่วงบ่าย ไคยะจึงบอกลาคนที่สถานสงเคราะห์ และพบว่าผู้แลแพรวคณิตและเด็กโตหลายคนกำลังเตรียมตัวออกไปข้างนอก พอสอบถามก็ได้ความว่าที่โรงเรียนสั่งให้เด็กๆ ซื้ออุปกรณ์กีฬาเป็นของตัวเอง ซึ่งรถตู้ที่นำมามีจำนวนที่นั่งพอดีกับจำนวนคน เห็นดังนั้นจึงอาสาไปเป็นเพื่อน เผื่อว่าจะมีอะไรที่พอช่วยได้ 

“ขอบคุณคุณไคยะอีกครั้งนะคะ” แพรวคณิตเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ เด็กโตที่เหลือก็ไหว้ขอบคุณเสียงดังฟังชัดพร้อมเพรียงกัน ภายในรถจึงราวกับห้องเรียนขนาดย่อมๆ ก็ไม่ปาน 

คนขับรถเหลือบมองกระจกหลังเป็นระยะ เขาเพิ่งรู้จักโฮมสกูลก็เพราะหลานสาวของคุณดมิสาก่อเรื่องจนต้องลาออกจากที่โรงเรียน แม้ว่าผู้เป็นเจ้านายจะคัดเลือกอาจารย์เก่งๆ มาสอนที่บ้านก็เถอะ ทว่าลึกๆ ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเรียนคนเดียวมันจะไปสนุกได้อย่างไร เพื่อนฝูงก็ไม่มี คนที่บ้านก็ไม่มีใครกล้าพูดหยอกล้อ ญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวก็ไม่ค่อยกลับบ้าน บางทีที่คุณไคยะชอบมาสถานสงเคราะห์บ่อยๆ เพราะอยากมีเพื่อนก็เป็นได้ สำหรับเด็กสาววัยรุ่น บ้านหลังโตอันแสนเงียบเหงาคงไม่ต่างอะไรจากกรงขัง

ทั้งหมดมาถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ก่อนเฮโลกันไปร้านอุปกรณ์กีฬาขนาดใหญ่ แรกๆ พวกเด็กๆ ก็จับนั่นดูนี่ด้วยความตื่นเต้น แต่พอพลิกไปอ่านป้ายราคาก็ช็อกตาค้างกันถ้วนหน้า ได้แต่วางของในมือลงเงียบๆ ก่อนทำตัวลีบๆ ไปหลบอยู่มุมหนึ่ง 

“อ้าว ทำไมไม่เลือกละ ชอบชิ้นไหนก็หยิบเลย” ไคยะเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ เมื่อไม่ได้คำตอบจึงหันไปส่งสายตาคาดคั้นกับผู้ดูแลแทน 

“คือ...มันเกินงบพวกเราไปมากค่ะ แถวนี้พอจะมีร้านอื่นไหมคะ” แพรวคณิตตอบเสียงค่อย แววตาที่มองเด็กๆ เต็มไปด้วยความสงสาร ต่อให้รวมเงินกันทั้งหมดก็คงได้อุปกรณ์กีฬากลับไปไม่เกินสองสามชิ้น ซึ่งมันไม่เพียงพอต่อจำนวนคน 

นี่เป็นหนึ่งในอุปสรรคด้านการศึกษา หลายครอบครัวก็หืดขึ้นคอเช่นเดียวกัน ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงสถานสงเคราะห์ที่ต้องดูแลเด็กร่วมร้อยคน ต่อให้ไม่ต้องเสียค่าเทอม แต่ก็ยังต้องใช้เงินกับเรื่องอื่นๆ ฝ่ายบัญชีก็พยายามจัดสรรปันส่วนให้เงินทุนที่ได้จากมูลนิธิผู้อุปถัมภ์สัมพันธ์กับรายจ่ายอย่างสุดความสามารถ หลายครั้งที่รายรับไม่พอ ก็ได้พวก ‘ศิษย์เก่า’ คอยสมทบทุนช่วยเหลือจนผ่านมาได้ 

“ให้ทุกคนเลือกเถอะ ฉันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง” 

“ไม่ได้ค่ะคุณไคยะ ของพวกนี้ราคาแพงเกินไป อีกอย่างแพรวอยากให้น้องๆ ใช้เงินเก็บของตัวเอง จะรู้ว่าเงินทองมันหายาก เวลาใช้ของจะได้ระวังให้มาก” ผู้ดูแลปฏิเสธเสียงแข็ง ต่อให้มีผู้สนับสนุนก็เถอะ แต่เธอไม่อยากปลูกฝังนิสัยฟุ้งเฟ้อเกินตัวให้แก่เด็กๆ 

ไคยะครุ่นคิด การใช้อุปกรณ์ที่ดีจะช่วยส่งเสริมศักยภาพของมนุษย์ บางทีประเทศไทยอาจค้นพบนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกคนใหม่ที่สถานสงเคราะห์บ้านกล้วยไม้ก็ได้ เมื่อตัดสินใจแล้วจึงเรียกทุกคนเข้ามาใกล้ๆ กระซิบเสียงเบาให้ได้ยินแค่เฉพาะในกลุ่ม 

“นี่ทุกคน พี่สาวบังเอิญมีบัตรส่วนลด แปดสิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ” 

“แปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยเหรอคะ แบบนี้ก็เหลืออันละสองร้อยใช่ไหมคะ” เด็กคนที่ได้คะแนนเต็มวิชาคณิตศาสตร์อุทานขึ้นมาเป็นคนแรก 

“คุณไคยะ...”

เจ้าของชื่อยิ้มกริ่ม ดวงตาสีน้ำหมึกเสมองผู้ดูแล ชิงพูดขัดเสียงค้าน “เอาล่ะ ทุกคนไปหยิบชิ้นที่ตัวเองชอบ แล้วเอาเงินมารวมไว้ที่นี่ ตอนจ่ายเงินพี่สาวจะใช้บัตรส่วนลดให้ทุกคนเอง แต่เพราะบัตรส่วนลดมีแค่ใบเดียว ปีหน้าจะได้อีกรึเปล่าก็ยังไม่รู้ ดังนั้นทุกคนต้องสัญญาว่าจะรักษาของให้ดีๆ และต้องแบ่งให้น้องๆ เล่นด้วย ตกลงไหม” 

“ตกลงค่ะ!”

“ได้เลยครับ!” 

พวกเด็กๆ พยักหน้าโดยพร้อมเพรียง อะไรที่ผู้มีพระคุณพูดพวกเขาเชื่อว่าเป็นความจริงทั้งสิ้น จากนั้นจึงล้วงเงินแบงก์สีเขียวกับแบงก์สีแดงส่งให้ แน่นอนว่ามีเหรียญอีกหลายกำมือ แล้วค่อยแยกย้ายกันไปเลือกอุปกรณ์กีฬาที่ตัวเองชอบ 

มนุษย์โลกทุกคนเรียนรู้พฤติกรรมโกหกได้โดยไม่ต้องมีใครสอน แต่ยืดเวลาให้ผ้าขาวขาวนานกว่านี้สักหน่อยจะเป็นไรไป ไคยะจึงให้เด็กๆ ไปรอหน้าร้านระหว่างที่รอจ่ายเงิน ในเมื่อทำดีแล้วก็ต้องไปให้สุด เธอไม่อยากถูกจับได้ว่าเป็นคนเลี้ยงแกะในภายหลัง จะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเสียเปล่าๆ 

“คุณแพรวไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ ฉันพอใจที่จะให้พวกเด็กๆ อีกอย่างก็ไม่ได้ขัดต่อเจตนารมณ์ของคุณสักหน่อย” เสียงหวานใสพูดดักคอผู้ดูแล วันนี้เธอได้ยินคำขอบคุณจนหูชาไปหมดแล้ว 

แพรวคณิตน้ำตาปริ่ม กลุ่มผู้ดูแลรุ่นปัจจุบันล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับทุนการศึกษาจากสถานสงเคราะห์บ้านกล้วยไม้ทั้งสิ้น ตัวเธอตั้งใจเรียนสังคมสงเคราะห์มาโดยเฉพาะ เพื่อที่จะได้นำความรู้มาพัฒนาครอบครัว หวังเพียงแค่เด็กรุ่นต่อไปจะเติบโตขึ้นเป็นคนดีมีคุณภาพของสังคม 

“แพรวไม่ขอบคุณก็ได้ค่ะ แต่แพรวและทุกคนสัญญาว่าจะคอยดูแลบ้านกล้วยไม้เป็นอย่างดี ไม่ให้น้ำใจของคุณไคยะต้องเสียเปล่าแน่นอน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น