5

ตัวประกัน

ตัวประกัน

 

“ในไทยมีร้านเครื่องประดับเป็นร้อยเป็นพัน ผู้กองแค่ใจเย็นๆ รอให้หน่วยพิสูจน์หลักฐานจัดการไม่ดีกว่าเหรอครับ ไม่เห็นจำเป็นต้องออกมาเองเลย” ร้อยตรีวรกันต์กล่าวพลางแคะหูพลาง คนในทีมตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมหนุ่มหน้าใสอย่างเขาต้องมาเดินห้างสรรพสินค้ากับผู้กองหน้ายักษ์ในวันหยุดด้วย 

“กูถ่อไปรับมึงถึงที่ ข้าวกูก็เลี้ยง ไอ้ที่มึงดูดอยู่นี่กูก็จ่าย มึงยังจะบ่นหาพระแสงของ้าวอะไร” 

“ผมมีนัดกับสาวนี่ครับ! ยกเลิกไปดื้อๆ แบบนั้นไม่รู้ป่านนี้จะงอนผมรึเปล่า” ว่าแล้วก็ดูดชานมไข่มุกอีกสองอึกขณะส่งข้อความหาสาวอีกรอบ ทั้งยังเอียงโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปคนข้างๆ ส่งไปเป็นหลักฐาน เผื่อโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา 

แชะ!

“กูหน้าเหมือนป้ายโฆษณาเหรอ” ผู้กองหนุ่มยกมือปิดกล้องด้วยความรำคาญ พร้อมทั้งให้ทางแก้ปัญหาด้วยกลวิธีดุดันสมชายชาตรี “งอนนักก็เลิก หาใหม่แม่ง ผู้หญิงเยอะแยะ” 

“ขนาดผู้หญิงเยอะแยะยังไม่มีหลุดมาสักคน” คนได้รับคำแนะนำพึมพำกับตัวเอง พวกคนโสดก็ทฤษฎีแน่นอย่างงี้ พอเจอของจริงขึ้นมาเห็นสยบใต้ไม้แขวนเสื้อแทบไม่ทัน 

“กูได้ยินนะไอ้วอน” 

เจ้าของชื่อรีบกระโดดหลบ ผู้กองนิลขึ้นชื่อเรื่องปากว่าตีนถึง เกิดโดนก้านคอกลับมาจะได้ไม่คุ้มเสีย “แหะๆ ผมไม่ได้นินทาผู้กองนะครับ ผมแค่จะบอกว่าทางนั้นมีร้านจิวเอลรี พวกเราเข้าไปดูกันเถอะครับ” 

เจ้าหน้าที่หน่วยรังผึ้งทั้งสองเดินเลี้ยวเข้าร้านเครื่องประดับหรูหรา ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะล้วงรูปถ่ายสร้อยข้อมือสีเงินออกมาสอบถามข้อมูลกับพนักงาน คำตอบที่ได้ไม่ต่างจากร้านก่อนๆ คือไม่ใช่เครื่องประดับของทางร้าน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามาจากที่ไหน แต่ดูจากรูปแบบของหินและอัญมณีแล้วน่าจะเป็นงานเก่าแก่ และหากเจ้าของสนใจขาย ทางร้านจะให้ราคาแบบยุติธรรม

ฆนิลกาฬถอนหายใจระบายความหงุดหงิด ถ้าเขารู้ว่าเจ้าของคือใครจะถ่อมาหาเบาะแสเพื่อ! กลายเป็นว่าเสียทั้งเงินและเวลาเพื่อคว้าน้ำเหลว คิดถึงตรงนี้ก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองว่า ทำไมคืนนั้นไม่ชกคนร้ายเวรตะไลนั่นให้ซี่โครงหัก จะได้ไม่ต้องมาเล่นเกมซ่อนหาเหมือนทุกวันนี้ เขาอยู่ในที่แจ้ง แต่อีกฝ่ายอยู่ในที่ลับ ไม่ว่าจะมองยังไงก็เสียเปรียบ 

ชายหนุ่มไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องสาวให้คนในทีมฟัง เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรื่องเล่าที่ผ่านสิบปาก ต่อให้เป็นฝนตกปรอยๆ ก็เล่าว่าไต้ฝุ่นถล่มได้ อีกอย่างถึงบิดาของเขาจะออกจากราชการไปหลายปี แต่หูตาก็ยังจัดได้ว่าเป็นสับปะรด หากเลี่ยงได้ก็ไม่อยากทำให้บุพการีเป็นห่วง 

พลั่ก!

ร่างสูงเซไปสองก้าวเมื่อถูกชนจังๆ จากด้านหลัง พอหันไปมองก็พบว่าเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างที่มัวแต่คุยวิทยุสื่อสารจนไม่ได้มองทาง อีกฝ่ายยกมือขอโทษปลกๆ ก่อนวิ่งหน้าเครียดตามพรรคพวกไป ที่จริงเขาก็ไม่ได้ติดใจเอาความหรอก ถ้าไม่ได้ยินเสียงแว่วๆ จากวิทยุสื่อสารว่าเกิดเหตุ 200

                เหตุ 200 งั้นเหรอ...

“ผู้กองได้ยินเหมือนผมรึเปล่า” วรกันต์ทิ้งท่าทางเฉื่อยแฉะเมื่อครู่แทบจะทันที ‘เหตุ 200’ เป็นหนึ่งในโคดวิทยุแจ้งเหตุฉุกเฉิน แปลว่ามีเหตุประทุษร้ายต่อร่างกาย ต่อให้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยตรง แต่ด้วยเลือดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อันแรงกล้าจะปล่อยผ่านก็คงไม่ได้ พลันเหลือบมองหัวหน้าชุดปฏิบัติการตามความเคยชิน

“ตาม!” 

 

เด็กจากสถานสงเคราะห์บ้านกล้วยไม้เดินตามผู้ดูแลไปยังลานจอดรถ แต่ละคนหอบหิ้วถุงชอปปิงของตัวเอง ระหว่างนั้นก็พูดคุยเรื่องอุปกรณ์กีฬาของแต่ละคนไปด้วย สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นการจับจ่ายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้

“พวกเราไม่เคยซื้อของเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยเนอะ กลับไปทุกคนต้องตกใจแน่” 

“พรุ่งนี้ชวนน้องๆ มาตีแบดกันเถอะ ตอนไปเล่นที่โรงเรียนจะได้ไม่อายเขา” 

เด็กสาวที่ตัวเล็กสุดอย่างน้ำใสหัวเราะคิกคักมาตลอดทาง จวบจนกระทั่งเดินผ่านเสาต้นใหญ่ สายตาดันไปสะดุดที่ชายวัยกลางคนในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัย อีกฝ่ายหน้าซีดจนเกือบจะเป็นสีขาว แลบลิ้นเลียริมฝีปากแตกระแหง และไหนจะดวงตาปูนโปนเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นานๆ จะได้ออกมาพบเจอผู้คน ต่อให้เป็นเด็กกล้าแสดงออก เจอผู้ใหญ่ยืนจ้องหน้าเขม็งแบบนี้ก็คงอดสะดุ้งไม่ได้ 

“เป็นไรอะน้ำ เพิ่งออกจากห้องแอร์ ทำไมเหงื่อออกเยอะขนาดนั้น” หนึ่งในนั้นสะกิดถาม เพราะมัวแต่สนใจของเล่นใหม่ในมือจึงไม่ได้สังเกตความผิดปกติที่อยู่ใกล้ตัว 

“ปะ...เปล่า พวกเรารีบไปกันเถอะ อยากกลับบ้านแล้ว” น้ำใสกอดถุงกระดาษแน่น เบียดร่างเข้าไปชิดเพื่อนที่ตัวสูงกว่า ก่อนเร่งฝีเท้าจ้ำอ้าวให้เร็วขึ้น ทว่าสายตาเจ้ากรรมก็ยังเหลือบมองคนน่ากลัวเป็นระยะ

เมื่อสบตากับเหยื่ออายุน้อย ชายวัยกลางคนพลันแสยะยิ้มน่าขนลุก เดินตามด้วยฝีเท้าเงียบกริบ อาศัยจังหวะที่คนอื่นหันไปคุยกันเขยิบเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม 

น้ำใสที่เห็นท่าไม่ดีเตรียมจะสะกิดเรียกเพื่อน แต่ยังช้าไปกว่าร่างผอมกะหร่องที่พุ่งเข้ามาคว้าแขนและกระชากเธอไปอย่างรุนแรง 

หมับ!!

“เงิน! เอาเงินมาให้กู!!” 

“กรี๊ดดด!!” 

“น้ำ!!” 

ไคยะที่กำลังสนทนาอยู่กับผู้ดูแลแพรวคณิตหันขวับไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ พบถุงอุปกรณ์กีฬาร่วงเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ส่วนพวกเด็กๆ กำลังยื้อยุดอยู่กับพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ให้ดึงตัวเพื่อนในกลุ่มไป

ประกายวาววับสีเงินเงื้อขึ้นสูง ก่อนตามมาด้วยของเหลวสีแดงฉาน...

ฉึก!

“กรี๊ดดด! พี่แพรวช่วยหนูด้วย!” น้ำใสหวีดร้องอย่างคนขวัญเสีย สะบักด้านขวามีมีดคัตเตอร์ปักคาอยู่ อาจเพราะเสียงแสบแก้วหูไปกระตุ้นโทสะของผู้ลงมือเข้า คนร้ายจึงชักมีดออกไป ทำท่าจะแทงซ้ำเข้ามาอีกที 

“กูบอกให้มึงเงียบ!!” 

พลั่ก!

เพียงเสี้ยวนาทีแห่งชีวิต โทรศัพท์มือถือเครื่องบางพลันแหวกอากาศเข้าไปชนกลางหน้าผากของคนร้ายอย่างแม่นยำ ก่อนที่มือเย็นเยียบของใครบางคนจะคว้าร่างตัวประกันเหวี่ยงไปจากรัศมีการต่อสู้ ตามมาด้วยเสียงตะโกนออกคำสั่งกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยืนร้องไห้ระงมอย่างคนทำอะไรไม่ถูก 

“หนี! พาเด็กหนี!!”

“คุณไคยะ!” แพรวคณิตตื่นตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำท่าจะเข้าไปช่วยอีกแรง แต่กลับถูกแววตาดุดันอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนห้ามไว้ 

“ไป! วิ่ง!”

“เอาเงินมาให้กู!!”

ผู้ดูแลพาเด็กๆ วิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือในห้างสรรพสินค้า คนร้ายทำท่าจะหมุนตัวตามไป แต่ถูกคนที่เข้ามาขวางวิ่งชนอย่างแรงจนมีดคัตเตอร์กระเด็นหลุดไปจากมือ ทั้งนี้พอตั้งหลักได้จึงเปลี่ยนเป้าหมายมายังสาวน้อยร่างบางตรงหน้าแทน 

“มึง!!” 

การเคลื่อนไหวของคนร้ายไม่จัดว่าเร็วนัก ไคยะจึงเบี่ยงหลบได้อย่างง่ายดาย ความจริงแล้วการดับลมหายใจของชายตรงหน้าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ติดก็ตรงที่ลานจอดรถมีกล้องวงจรปิดเต็มไปหมด เธอไม่อยากเสี่ยงเปิดเผยตัวตน เลยทำได้แค่ยื้อเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

“มึงจะแย่งเงินไปจากกูใช่ไหม!!” 

อย่างไรก็ตาม...ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน อะไรที่คิดว่าง่ายกลับสร้างปัญหาให้ไม่น้อย เธอเพิ่งตระหนักว่ามือของตนเองอาบย้อมไปด้วยเลือดของน้องน้ำใส พอจมูกได้กลิ่นคาวคลุ้งอันเข้มข้น การเคลื่อนไหวก็เริ่มติดขัดประหนึ่งคนเป็นตะคริว ตรงกันข้ามกับคนร้ายที่วิ่งเข้าใส่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ได้แต่สงสัยว่าคนผอมกะหร่องเช่นนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเยอะแยะ 

อาจเพราะมัวแต่ใช้ความคิด ขาพลันไปสะดุดกับคอนกรีตกั้นที่จอดรถ ร่างบางถึงกับสูญเสียการทรงตัวทันที ตอนที่หันกลับไปก็พบว่าเงาดำเข้ามาประชิดตัวแล้ว

บ้าฉิบ!

“อีเด็กเหี้ย!”

หมับ! เผียะ!

คนร้ายกระชากผมยาวและลากร่างเบาหวิวเข้ามาหาตัว ก่อนเงื้อมือตบเข้าไปที่แก้มขาวเนียนสุดแรง ผู้เคราะห์ร้ายถึงกับทรุดลงไปกองที่พื้น แต่เหมือนผู้ลงมือจะยังไม่หนำใจ ตามเข้าไปเตะซ้ำที่ท้องน้อยอย่างบ้าคลั่ง

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

“เสือกดีนัก! ให้มึงเป็นผีก็ขวางกูไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ” 

ไคยะกัดฟันกรอด ทุกครั้งที่พยายามลุกขึ้นจะถูกเหยียบแผ่นหลังจนหมอบกลับไปนอนดังเดิม มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ถึงจะผ่านการฝึกฝนหนักแค่ไหน แต่จุดอ่อนของผู้หญิงโดยธรรมชาติมีมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปต้องเจ็บหนักแน่ 

“ฉะ...ฉันมีเงิน ฉันยกให้หมดกระเป๋าเลย!” เสียงแหลมโพล่งขึ้น เธอภาวนาให้อีกฝ่ายลักพาตัวเธอไปจากที่นี่ ไม่ต้องไกลมากก็ได้ ขอแค่ห่างจากรัศมีกล้องวงจรปิดเป็นพอ จากนั้นเธอจะพิสูจน์ให้ดูว่าใครจะกลายเป็นผี

เมื่อเห็นว่าเหยื่อหมดแรงหนี คนร้ายจึงหยุดการกระทำป่าเถื่อน ร่างผอมกะหร่องนั่งยองๆ ค้นไปตามเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ดวงตาปูนโปนกลุกวาวทันทีที่เปิดกระเป๋าสตางค์ แบงก์สีเทาหลายสิบใบเพียงพอที่จะทำให้ได้ขึ้นสวรรค์อีกครั้ง 

“เงินกู! เงินพวกนี้เป็นของกูคนเดียว ฮ่าๆๆ” คนร้ายระเบิดเสียงหัวเราะดังก้องลานจอดรถ แววตาที่มองเหยื่อไม่ต่างไปจากโจรเห็นขุมทรัพย์ พลันนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่าง 

ถ้าเอาตัวไปด้วย...อาจได้เงินเพิ่ม!

บุคคลผู้ถูกความละโมบครอบงำเดินไปเก็บอาวุธ ก่อนกลับมาช้อนใต้รักแร้ยกร่างเบาหวิวขึ้นมา ลากไปได้ไม่ถึงไหนก็ได้ยินเสียงอึกทึกจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบฝูงเจ้าหน้าที่ชุดสีกากีพร้อมอาวุธครบมือเล็งตรงมาที่ตนเอง  

“หยุด!” ประโยคดังกล่าวมากพอที่จะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นเงียบกริบ แม้ฝั่งเจ้าหน้าที่จะถือครองความได้เปรียบในเรื่องสถานที่และจำนวนคน ทว่ากลับลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับฝั่งคนร้ายและเหยื่อผู้น่าสงสารที่ดูจะสงบกว่า  

“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปล่อยตัวประกันลงแล้วถอยออกไป!!”

“...” ตัวประกันลอบมุ่นหัวคิ้ว สิ่งหนึ่งที่เธอไม่เคยเข้าใจเลยก็คือ ทำไมตำรวจต้องเสียเวลาแนะนำตัว ถามหน่อยว่าผลร้ายมันจะตกอยู่กับใคร ถ้าไม่ใช่...

“มึงแจ้งตำรวจเหรอ!” 

“ถอยๆๆ คนร้ายมีอาวุธ!” เจ้าหน้าที่ตะโกนเมื่อคนร้ายชักคัตเตอร์คมกริบมาจ่อลำคอขาว จากที่กำลังจะตีวงล้อมให้แคบลงก็พลันหยุดการเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเริ่มเจรจาด้วยแววตาหวั่นวิตก  

“ใจเย็นๆ นะครับคุณ น้องเขาไม่รู้เรื่อง...”

“ไม่รู้เรื่องเหี้ยอะไร! พวกมึงคิดว่ากูโง่เหรอ อีนี่นี่แหละที่ไปแจ้งตำรวจ!” คนร้ายแผดเสียงตอบกลับด้วยความโมโห พลางจิกผมยุ่งเหยิงของตัวประกันจนแหงนหน้าขึ้น 

หมับ!

การกระทำหยาบช้าของคนร้ายเผยให้เห็นรอยฝ่ามือซึ่งประทับเด่นหราบนแก้มขาวซีดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ไหนจะรอยเลือดบนมุมปาก สภาพน่าสงสารจนเหล่าเจ้าหน้าที่แทบทนมองไม่ได้  

“เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ นะครับคุณ ถ้าตัวประกันปลอดภัย อยากได้อะไรพวกเรายังตกลงกันได้นะครับ แต่ถ้าตัวประกันเป็นอะไรไป คุณจะไม่มีเครื่องมือต่อรองนะครับ!”

ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดกลอกไปมาขณะครุ่นคิด เมื่อเห็นจริงดังคำตำรวจว่า สุดท้ายจึงบอกความต้องการด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว “เงิน...กูต้องการเงิน ไม่สิ...พวกมึงเป็นตำรวจใช่ไหม งั้นพวกมึงไปเอายาจากไอ้พวกเหี้ยนั่นมาให้กู เอามาเยอะๆ เยอะเท่าบ้านเลยก็ยิ่งดี กูจะได้ขึ้นสวรรค์ให้หนำใจ ฮ่าๆๆๆ” 

“ได้ครับๆ แต่ผมขอให้คุณปล่อยตัวประกันก่อน แล้วพวกผมจะหามาให้”

“พวกมึงไปเอามาก่อน!” คนร้ายตวาดลั่น ทุกครั้งที่มีคนทำท่าจะเข้าไปใกล้จะกดปลายมีดลึกลงกว่าเดิม จนของเหลวสีแดงเข้มเริ่มซึมออกมา

“ได้ๆๆ ใจเย็นๆ นะครับคุณ!” พนักงานในเครื่องแบบสีกากีร้องห้าม สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือความปลอดภัยของตัวประกัน ซึ่งไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีในโชคร้ายได้รึเปล่า เหยื่อสาวแทบยืนทรงตัวไม่ได้ก็จริง แถมยังโดนมีดจ่อคอ แต่กลับไม่แสดงอาการตื่นตกใจหรือส่งเสียงใดๆ บางทีอาจจะช็อกจนสมองปิดกั้นการรับรู้ไปแล้ว

“เย็นๆๆ จะให้กูเย็นอะไรนักหนา! กูไม่เย็นแม่งแล้ว! พวกมึงไปเอายามา ไม่งั้นอีเหี้ยนี่ตาย!!” 

การเจรจากับคนเมายาไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้ ผึ้งงานสองคนที่คอยดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ สบตาให้กัน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะบานปลาย หนึ่งในนั้นจึงเดินแทรกตำรวจพื้นที่ไปหยุดอยู่ด้านหน้าสุด ยิ่งมีพื้นหลังเป็นกลุ่มคนชุดสีกากี ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงวอร์มสีน้ำเงินจึงยิ่งดูเด่นออกมา

แรกเริ่มตัวประกันสาวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตำรวจก็คือตำรวจ ไม่ว่าจะคนไหนก็อืดอาดยืดยาดเหมือนกัน หากตัวประกันไม่ใช่เธอ ป่านนี้คงไปเกิดใหม่สองรอบแล้ว แต่ทันทีที่เห็นชัดๆ ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ใบหน้าที่เสแสร้งทำเป็นสงบนิ่งพลันเปลี่ยนเป็นแข็งค้าง

ไม่จริง...น่า

“มึงใจเย็นๆ นะ มึงอยากได้ยาอะไร ยาอี ยาบ้า เฮโรอีน โคเคน ขอแค่มึงบอกมา เดี๋ยวกูจัดให้” ฆนิลกาฬยื่นข้อเสนอด้วยเสียงดังฟังชัด ทั้งยังโชว์ตราประจำตัวเพื่อยืนยันสถานะ “กูเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบจากสำนักงานใหญ่ ของกลางกูมีเพียบ อย่าว่าแค่บ้านมึงเลย เท่าห้างนี่กูก็มี”

“กู...กูอยากได้ กูจะเอา...” แววตาของคนร้ายยังคงเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูดให้จบ อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนั้นราวกับหวั่นเกรงอะไรสักอย่าง

“มึงบอกมาเร็วๆ เย็นกว่านี้เดี๋ยวรถติด กว่าจะขนมาให้มึงครบ แม่ง พรุ่งนี้เช้า”

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยลุ้นอยู่รอบๆ แทบหัวคะมำ นี่มันการเจรจาหลักสูตรไหน ถึงได้พูดเรื่องการจราจรกับคนเมายา แต่ดูเหมือนพวกเขาจะดูถูกอานุภาพของการจราจรในกรุงเทพฯ น้อยไป คนร้ายเบิกตากว้างประหนึ่งเจอเรื่องสยองขวัญฝังหัว รีบโพล่งในสิ่งที่ต้องการออกมาทันควัน

“แบล็กไอริส...กูจะเอาแบล็กไอริส! เอาแบล็กไอริสมาให้กู!” 

ชื่อ ‘แบล็กไอริส’ สร้างความงุนงงให้พวกเจ้าหน้าที่ พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามียาเสพติดประเภทนี้อยู่ด้วย ดังนั้นนอกจากร้อยตรีวรกันต์แห่งหน่วยรังผึ้ง ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าผู้เจรจาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่ก็ปรับกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“แม่งเอ๊ย! มึงนี่มันตาแหลม เลือกของใหม่ซะด้วย” ฆนิลกาฬดึงความสนใจด้วยการดีดนิ้วดังเปาะ ก่อนล้วงซองยาแก้เจ็บคอตราแมลงปอออกจากกระเป๋ากางเกง เขย่าๆ ให้มีเสียงดังจากข้างใน “มึงโชคดีนะ กูเพิ่งยึดมาสดๆ ร้อนๆ แม่งซ่อนซะเนียนจนกูเกือบจับไม่ได้ มึงเอาไปก่อน แล้วเดี๋ยวกูไปเบิกเพิ่มให้”

“ไอ้เหี้ย! ตอแหล! แบล็กไอริสบ้านพ่อมึงสิเป็นแบบนี้ มึงเอาไปหลอกโคตรพ่อโคตรแม่มึงเถอะ!” คนร้ายตวาดกร้าว แมลงปอตัวเท่าบ้าน มีแต่ตัวไถนาเท่านั้นที่จะเชื่อ 

แต่สิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นคือ อีกฝ่ายตวาดกลบด้วยเสียงดังกังวานกว่า 

“เอ้าไอ้สัตว์! มึงคิดว่ายาเหี้ยนี่มีแค่แบบเดียวเหรอ แม่งพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ถ้ามึงไม่เชื่อจะให้กูแดกให้ดูตรงนี้เลยไหมละ!” ไม่เพียงแค่พูดขู่ แต่ยังเคาะ ‘ยา’ ใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ ไม่ลืมโฆษณาสินค้าด้วยสีหน้าปริ่มเปรมเต็มประดา “เดี๋ยวมึงคอยดูความฟินของกู” 

“ตำรวจเหี้ยไรเสพยา!”

“ช่างแม่ง กูพิสูจน์หลักฐานไปตามหน้าที่” ผู้เจรจายักไหล่ตอบด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ ส่วนคนที่อยู่ด้านหลังก็ให้ความร่วมมือด้วยการพึมพำสนับสนุนว่า ‘ไม่เป็นไรๆ ไม่ผิดๆ ’

คนร้ายเริ่มเผยอาการสับสน แต่ก็ยังไม่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่เข้าใกล้ “มึงโยนมา!”

“ไอ้โง่! มึงนี่มันโง่ของโคตรโง่” เจ้าของเสียงทุ้มกุมขมับส่ายหน้าผิดหวัง ก่อนชี้ไปยังกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ “มึงไม่กลัวไอ้พวกนี้แย่งของดีๆ เหรอวะ เกิดกูโยนไปแล้วแม่งวิ่งมาตะครุบมึงจะทำไง มึงคนเดียวแย่งกับพวกมันไหวเหรอ ไม่สู้กูส่งให้ถึงมือดีกว่า นี่กูคิดเผื่อมึงเลยนะ” 

“มึงอย่าเข้ามา ถอยออกไป ถอยออกไป!” 

“เอ้าไอ้เวรนี่ สรุปมึงจะเอาหรือไม่เอา ไม่งั้นกูเก็บกลับบ้านนะ ว่าแล้วกูกลับไปขึ้นสวรรค์คนเดียวดีกว่า ส่วนมึงก็อยู่เปลืองน้ำลายกับไอ้พวกนี้ต่อไป แม่ง เสียเวลากูจริงๆ” ผู้พูดถอนหายใจ ทำท่าจะเก็บซองยาแก้เจ็บคอเข้ากระเป๋า แต่ไม่ทันไรเหยื่อที่ติดกับพลันร้องห้ามเสียงหลง 

“มึงเอายามานี่! มาแค่มึงคนเดียวนะ คนอื่นๆ ถอยไป” 

ท่ามกลางความลุ้นระทึก เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินเข้าไปด้วยท่าทางสบายๆ มิหนำซ้ำยังมีอารมณ์สุนทรีย์ผิวปากเป็นทำนองเพลง หากตอนนี้กล้องถ่ายทอดสดทั่วประเทศ คนดูต้องคิดว่านี่เป็นการถ่ายเอ็มวีมากกว่าเจรจาช่วยเหลือตัวประกันแน่ 

“มึงไม่ต้องเสือกวิ่งเข้ามาแทงกูนะ เดี๋ยวไม่มีคนไปเอายาให้มึงไม่รู้ด้วย” 

“กูไม่แทงมึงหรอก แต่ถ้ามึงตุกติก กูจะแทงอีห่านี่ให้ตาย” 

‘อีห่า’ กลอกตาดูสถานการณ์ เห็นเงาไวๆ วิ่งไปหลบหลังเสา เธอลอบหัวเราะเยาะคนร้ายในใจ 

โง่เง่าซะไม่มี ผึ้งโชว์เหล็กในขนาดนี้ยังมองเป็นแมลงวันอยู่ได้ จะโดนตลบหลังแล้วยังไม่รู้ตัว

ไคยะมอง ‘คนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี’ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสองก้าว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นสบตาเธออย่างจังก่อนเบือนไปทางคนร้าย ไม่รู้ว่าสมองของเธอได้รับความกระทบกระเทือนจากการถูกกระชากหัวรึเปล่า เธอเห็นว่ามุมปากบางเฉียบของเขาดูเหมือนจะยกโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่พอตั้งใจพินิจอีกครั้งทุกอย่างก็หายไปแล้ว 

ฆนิลกาฬยื่นซองยาส่งให้ช้าๆ นัยน์ตาคมปลาบดุจเหยี่ยวจ้องตาคนร้ายไม่กะพริบ “กูไม่ตุกติก มึงเอาไป” 

อดีตพนักงานรักษาความปลอดภัยลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ในที่สุดก็โยนการคิด วิเคราะห์ แยกแยะทิ้งไป ตัดสินใจเอื้อมมือสั่นเทาเข้าไปยังของชิ้นดังกล่าว 

ขวับ!

ตำรวจหน่วยพิเศษจับแขนข้างนั้นดึงมาข้างหน้า ทันทีที่ร่างในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเสียการทรงตัว ร้อยตรีวรกันต์ที่แอบอยู่ด้านข้างก็เหยียบสองร้อยวิ่งเข้ามาคว้าตัวประกันออกไปจากรัศมีการต่อสู้ทันที 

หมับ!

“ได้ตัวแล้วครับ!”

“เสร็จกู!” ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ต้องยั้งมืออีกต่อไป ชายหนุ่มหมุนตัวเข้าไปประชิดคนร้ายอย่างรวดเร็ว ล็อกแขนและเหวี่ยงทุ่มมาด้านหน้า ร่างผอมกะหร่องพลันลอยเคว้งในอากาศ ก่อนหล่นกระแทกพื้นดังพลั่ก 

กริ๊ก

ผู้กองนิลแห่งหน่วยรังผึ้งล้วงกุญแจมือจากเอวมาตรึงอิสรภาพของคนร้าย ใบหน้าแข็งกร้าวเผยรอยยิ้มสว่างสดใสประหนึ่งเปิดตัวฮีโรคนใหม่ของโลก ปิดฉากการช่วยเหลือตัวประกันอย่างสวยงาม

                “มึงมีสิทธิ์ที่จะพูดหรือไม่พูดก็ได้ เพราะสุดท้ายกฎหมายจะจัดการมึงเอง” 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น