6

หลงตัวเอง

6

หลงตัวเอง

 

ไคยะลืมตาพึ่บ สูดเอาอากาศหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ตามกรอบหน้าขาวซีดปรากฏเหงื่อผุดพรายเม็ดโต รู้สึกเจ็บเสียดไปทั้งหน้าอกจนต้องนอนนิ่งๆ

ดูเหมือนว่าเธอจะผล็อยหลับไประหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล 

ผู้บาดเจ็บเงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยเบาๆ สลับกับเสียงการทำงานของอุปกรณ์อะไรสักอย่าง ขณะที่ดวงตาสีน้ำหมึกก็เริ่มสำรวจรอบตัวไปด้วย พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงแคบๆ ทั้งด้านซ้ายและด้านขวามีผ้าม่านสีเทากั้นความเป็นส่วนตัว และข้างๆ ยังมีเสาน้ำเกลือตั้งโด่เด่อยู่ 

มือบางยกขึ้นกุมสีข้างของตัวเอง เธอเป็นพวกไม่มีศาสนา ดังนั้นจึงพลอยไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องโชคชะตาไปด้วย แต่พักหลังมานี้รู้สึกว่าตัวเองจะ ‘ซวย’ มากไปหน่อย มีอย่างที่ไหน แผลเก่าเพิ่งจะหาย ก็ได้แผลใหม่มาเพิ่ม มิหนำซ้ำยังทับรอยเดียวกัน แบบนี้จะใช้หลักการอะไรมาอธิบายดี 

แกร๊ก

“อ้าว ฟื้นแล้วเหรอ” ผู้มาใหม่เลิกม่านดู เมื่อเห็นผู้บาดเจ็บนอนลืมตาโพลงจึงจัดแจงตัวเองมานั่งข้างเตียง เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า ถ้าไม่โอเคก็บอก จะได้ตามหมอมาตรวจดูทีเดียว” 

“ไม่เป็นไรมากค่ะ ขอบ...คุณ...” มนุษย์ดวงตกมัวแต่รำพึงรำพันกับตัวเองจนหันไปมองคู่สนทนาช้าไปนิด แวบแรกก็ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนที่สบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นเข้าจังๆ คำพูดท้ายประโยคพลันขาดหาย

บ้าบอ! คราวหน้าเธอต้องพกยาฆ่าแมลงติดตัวแล้ว!

จำได้ว่าหลังจากเหตุการณ์สงบ ตำรวจพื้นที่ก็เข้ามาจัดการความเรียบร้อยต่อ ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร คนจากหน่วยรังผึ้งไม่สมควรบินตามมาถึงข้างเตียง ร่างบางพลันเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที ทว่าการเคลื่อนไหวเร็วเกินไปนำพาความเจ็บแปลบมาเยือน ไม่ทันไรจึงถูกมือใหญ่ผลักลงไปนอนราบเหมือนเดิมอย่างง่ายดาย จะเปิดฉากสู้กันกลางโรงพยาบาลก็ใช่เรื่อง สุดท้ายจึงต้องนอนเป็นผักต่อไปอย่างเสียไม่ได้

“ใจเย็นๆ ตอนนี้น้องอยู่โรงพยาบาล ปลอดภัยแล้วนะ” ผึ้งหนุ่มยังอยู่ในชุดวอร์ม แต่มีแจ็กเกตสีเดียวกับกางเกงสวมเพิ่มเข้ามาอีกตัว ป้ายด็อกแท็กสีเงินขนาดประมาณสองนิ้วห้อยอยู่กลางร่องอก บ่งบอกถึงวินัยในการดูแลร่างกายเป็นอย่างดี 

“เราเคยเจอกันมาแล้ว จำพี่ได้รึเปล่า” 

“ขอโทษค่ะ ฉันจำไม่ได้” ไคยะโกหกหน้าตาย เธอโดนเตะที่ท้อง ไม่ใช่ที่หัว เมื่อเช้ายังนั่งหัวเราะเยาะอีกฝ่ายอยู่เลย หากจำไม่ได้ก็บ้าแล้ว 

“พี่น่ะเป็นคนช่างสังเกต เห็นแวบเดียวก็จำน้องได้แม่นเลย” 

“...”

“หนีไม่พ้นหรอก”

คนฟังใจเต้นตึกตัก แน่นอนว่าไม่มีความเขินอายเจือปนอยู่สักกระผีก ดวงตาสีน้ำหมึกลอบชำเลืองอย่างระแวดระวัง พูดแบบนี้...หรือเขาจะหาเบาะแสบางอย่างเจอ เธอพลันลูบข้อมือว่างเปล่าของตัวเองโดยอัตโนมัติ ของมันเคยหายมาแล้วครั้งหนึ่งจึงเก็บเอาไว้ที่บ้าน ถ้าถูกพบพร้อมสร้อยข้อมือคงยากจะแก้ต่างให้ตัวเอง

แล้วเช่นนั้น...เขาจำได้ยังไงกัน

ในหัววางแผนต่างๆ นานา หากมีตำรวจเสียชีวิตที่โรงพยาบาลแล้วเหยื่อผู้น่าสงสารหายตัวไป คนจะหาความเชื่อมโยงของเรื่องทั้งสองได้รึเปล่า หรือว่าเธอควรลงมือแล้วกลับมานอนที่เดิม อย่างไรเสียคงไม่มีใครสงสัยหรอกว่าสาวน้อยอายุสิบแปดที่สะเทือนใจจากเหตุการณ์ร้ายๆ จะกล้าทำเรื่องพรรค์นั้น

ระหว่างที่คนหนึ่งกำลังไตร่ตรองว่าจะเริ่มดำเนินการตอนไหนดี อีกคนกลับหัวเราะเสียงเบาในลำคอ ชายหนุ่มเผยยิ้มกว้างจนปรากฏลักยิ้มบุ๋มที่แก้มทั้งสองข้าง เขาเพิ่งซ้อมท่าไม้ตาย ‘รอยยิ้มพิฆาตเด็ก’ เมื่อครู่นี้เอง หากใครยังกล้าชี้วิจารณ์ว่าเป็นตำรวจหน้ายักษ์ ก็แสดงว่าคนผู้นั้นมีปัญหาทางสายตาแล้ว 

“น้องไก่”

“...”

“พวกเราเคยเจอกันที่งานโอเพนเฮาส์ ที่น้องเล่นเกมแล้วได้ที่หนึ่ง” 

“อ๋อ ใช่ๆ จำได้แล้วค่ะ โลกกลมจังเลยนะคะ” ไคยะตีเนียนหัวเราะด้วย รีบปั้นยิ้มใสซื่อแทบไม่ทัน ทั้งที่ไม่ชอบเวลาใครมองว่าเธอเป็นเด็ก แต่หลายครั้งก็ใช้ความอ่อนเยาว์ในการทำให้คนรอบข้างตายใจ 

พอคลี่คลายปัญหาหลักได้ก็ถอนหายใจโล่งอก อย่างไรเสียเธอก็จำรสชาติกำปั้นของผึ้งตำรวจสมควรตายตรงหน้าได้ พี่น้องที่โรงฝึกของเธอไม่มีใครเรี่ยวแรงเท่าเขา โดนไปหลายทีขนาดนั้น ซี่โครงไม่หักก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ตอนนั้นเธอถึงกับเดินตัวเอียงไปหลายวัน พอพิจารณาสภาพตัวเองในขณะนี้ เลี่ยงการปะทะออกไปได้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 

“ว่าแต่พวกเด็กๆ ล่ะคะ โดยเฉพาะคนที่ถูกแทง ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บร้ายแรงรึเปล่า” ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเหมือนว่าคู่สนทนาเองก็เดาออกว่าเธอจะขออะไร

“น้องคนนั้นปลอดภัยดี มีหมอเด็กกับผู้ใหญ่ที่มาด้วยคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง อีกสักพักค่อยไปเยี่ยมก็แล้วกัน ส่วนเด็กคนอื่นมีเจ้าหน้าที่ไปพาไปส่งที่สถานสงเคราะห์แล้ว ทีมนักจิตวิทยาเด็กจะตามไปทีหลัง ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างเรียบร้อย” 

“แบบนั้นก็ดีค่ะ พวกเด็กๆ คงขวัญเสียน่าดู” 

“หืม แล้วน้องไม่ขวัญเสียหรือยังไง” 

“ไม่มากเท่าเด็กๆ หรอกค่ะ” 

ฆนิลกาฬเลิกคิ้วประเมินสภาพร่างกายของคนตรงหน้า เรียก ‘เด็กๆ’ ได้คล่องปากเชียว ทั้งที่ตัวเองก็อายุไม่ได้ต่างกันเลย เขาได้ยินเรื่องราวจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ บวกกับดูกล้องวงจรปิดสถานที่เกิดเหตุคร่าวๆ นับว่ากล้าหาญมากที่เข้าไปช่วยผู้เคราะห์ร้าย แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างไรเสียก็ไม่ควรปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้ โลกความจริงมันไม่ได้สวยงามเหมือนในภาพยนตร์ ก่อนจะเป็นฮีโรต้องประเมินศักยภาพของตัวเองก่อน เกิดทีมเจ้าหน้าที่ไปถึงช้ากว่านี้อีกนิด ผลลัพธ์อาจจะเกินคาดคิดก็ได้ เพราะแบบนั้นจึงต้องเตือนกันไว้บ้าง 

“เอ้อ ไอ้น้อง” ชายหนุ่มเผลอเรอตามความเคยชิน ใครใช้ให้รอบๆ ตัวมีแต่พวกชายฉกรรจ์เถื่อนๆ เล่า พอรู้ตัวก็รีบเปลี่ยนคำพูดก่อนที่เด็กสาวจะตกใจ “น้องไก่ครับ พี่เป็นตำรวจนะ” 

บุคคลผู้ถูกเรียกว่า ‘น้องไก่’ ชำเลืองมองคู่สนทนา ก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ 

“จากเรื่องที่เกิดขึ้น ต้องชมว่าน้องมีสติและเก่งมากๆ ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าตัดสินใจแบบเดียวกัน” ตำรวจหนุ่มถอนหายใจ แค่เริ่มเกริ่นก็เหนื่อยแล้ว การสร้างภาพอ่อนโยนคุยกับผู้หญิงและเด็กมันเผาผลาญพลังงานเช่นนี้นี่เอง 

ผู้รับบทน้องไก่ยังคงคลี่ยิ้มไม่รู้สึกรู้สา ทั้งที่ความจริงเตรียมแคะหูรอคำสั่งสอนจาก ‘ผู้ใหญ่’ เรียบร้อย ให้ตายสิพับผ่า ทำไมถึงชอบประเมินความสามารถกันที่อายุนะ 

“แต่ยังไงก็ตาม พี่คิดว่าน้องควรจะรอความช่วยเหลือมากกว่าเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าน้องเป็นอะไรไป คนข้างหลังก็จะเสียใจ เพื่อนน้องก็จะเสียใจ ครอบครัวก็จะเสียใจ เข้าใจที่พี่อธิบายรึเปล่า” 

จากที่กำลังอารมณ์ดีๆ พลันสะดุดกึกกับคำว่าเพื่อนและครอบครัว แววตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ค่ะ จะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ ขอบคุณที่เตือนค่ะ” ไคยะตัดบทด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ รอยยิ้มบนหน้าแข็งกระด้างขึ้นมาเล็กน้อย ถกเถียงไปก็จะเป็นการต่อความยาวสาวความยืดเปล่าๆ อีกทั้งตัวเธอเองไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง อย่างไรก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตของเธออยู่แล้ว 

“แค่นั้นเหรอ”

“แล้วอยากได้ยินคำว่าอะไรล่ะคะ” 

ฆนิลกาฬมุ่นหัวคิ้วให้แก่คำตอบแบบขอไปที อดใจไม่ให้เอื้อมมือไปเคาะกะโหลกกลมๆ ของคนบนเตียงสักโป๊ก อยู่มาจนป่านนี้มีหรือจะอ่านท่าทางลิงหลอกเจ้าไม่ออก ในเมื่อเขาจัดการไม่ได้ โยนไปให้ผู้ปกครองรับผิดชอบก็แล้วกัน 

“พี่ขอเบอร์ติดต่อคนที่บ้านหน่อย จะได้โทร. แจ้งให้มารับที่โรงพยาบาล” ชายหนุ่มสอบถาม ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดีตรวจดูกระเป๋าสตางค์ของกลาง พบเพียงบัตรเครดิตหลายใบและเงินสดอีกปึกหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นก็ไม่พบบัตรประชาชนหรือข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย 

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องนี้เอง”

“ไม่ได้ๆ นี่เป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ ให้ความร่วมมือหน่อย” 

“คนที่บ้านไปต่างประเทศค่ะ”

“แล้วมีญาติผู้ใหญ่คนอื่นที่พอจะติดต่อได้บ้างไหม”

พอถูกซักไซ้มากเข้าก็เริ่มหมดความอดทน แต่จะไล่ตะเพิดก็ทำไม่ได้ คำตอบต่อมาจึงเริ่มห้วนขึ้นเรื่อยๆ “ไม่มี”

“แล้วอยู่บ้านกับใคร ใครเป็นผู้ปกครอง” คิ้วเข้มของผู้พูดเลิกขึ้นเล็กน้อย จากคำบอกเล่าของผู้ดูแลสถานสงเคราะห์ สาวน้อยตรงหน้าเป็นลูกคนรวยจากสักบ้าน เขารู้ว่าแต่ละครอบครัวดูแลลูกหลานต่างกันไป ก็จะไม่วิจารณ์ตรงจุดนั้น แต่การปล่อยเด็กมัธยมใช้ชีวิตคนเดียวมันไม่แปลกเกินไปหน่อยเหรอ 

“เรื่องอยู่บ้านกับใคร...ไม่คิดว่าคำถามนี้คุกคามเกินไปเหรอคะ ยังไงฉันก็เป็นผู้หญิงนะ ต่อให้คนถามเป็นตำรวจก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง” ไคยะเอียงคอถามกลับ ทิ้งท่าทางไร้เดียงสาในทันที ริมฝีปากอวบอิ่มวาดรอยยิ้มแฝงความนัยสองแง่สองง่าม ทั้งยังส่งสายตายั่วเย้าคนที่นั่งตะลึงพรึงเพริด

มนุษย์ทุกคนมีอาวุธติดตัวมาตั้งแต่เกิด อยู่ที่ว่าจะรู้วิธีใช้ประโยชน์จากมันรึเปล่า และเธอมั่นใจว่าสามารถดึงศักยภาพของตนออกมาได้ดี 

ทว่า...ผึ้งตำรวจกลับตัวสั่น ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น 

“โอ๊ย! ไอ้หนูเอ๊ย!” ฆนิลกาฬกุมท้องขำยิ่งกว่านั่งดูรายการตลก โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ไม่คิดเลยว่าตนเองจะถูกมองเป็น ‘ตาเฒ่าหัวงู’ ในสถานการณ์แบบนี้

ตัวเขาเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ สังกัดอยู่หน่วยงานพิเศษ ออกไปสืบราชการตั้งไม่รู้เท่าไหร่ มีผู้หญิงแบบไหนที่ไม่เคยเจอบ้าง จะผมบลอนด์เซ็กซี่ คาวาอี้แอ๊บแบ๊ว สวยคมตะวันออกกลาง จะให้ไล่ไปทีละประเทศ ยี่สิบนิ้วก็ยังไม่พอ นี่ไม่ได้จะยกหางตัวเองหรอกนะ แต่คนอย่างผู้กองนิลผ่านมาหมดแล้ว 

“ไม่ต้องห่วงไอ้น้อง พี่ไม่ชอบเด็กว่ะ โตขึ้นค่อยมาหยอดพี่ใหม่นะ ฮ่าๆๆ” 

“...”

“ฮ่าๆๆ ไอ้น้องนี่เป็นคนตลกดีนะ”  

ราวกับถูกฝ่ามือที่มองไม่เห็นตบหน้าฉาดใหญ่ คนถูกปรามาสหน้าแดงแปร๊ด อยากแกะริบบิ้นผูกผมมารัดคอคนมั่นหน้าให้ตาย เพื่อไม่ให้ตนเองพลาดพลั้งลงมือ จึงโน้มตัวไปเรียกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่เดินอยู่ใกล้ๆ 

“คุณเจ้าหน้าที่คะ รบกวนขอรถเข็นด้วยค่ะ”

“อ้าว จะไปไหน แผลน่ะหายดีรึยัง แล้วไม่อยู่รอเยี่ยมเพื่อนก่อนเหรอ” ชายหนุ่มซับหยดน้ำที่หางตา นานๆ จะเจอเรื่องชวนหัวจนเสียอาการ แต่พอเห็นท่าทางตุปัดตุป่อง พลันปลอบเด็กเอ๋ยเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ

“อย่าบอกนะว่าเขิน ไม่เป็นไรๆ วัยรุ่นก็แบบนี้ พี่ไม่ถือ ฮ่าๆๆ”

“ไม่ได้เขิน แต่จะกลับบ้าน!” ไคยะหันขวับไปแก้ความเข้าใจผิด เธอสุดจะทนกับคนหลงตัวเอง 

พึ่บ!

ทันทีที่เจ้าหน้าที่นำรถเข็นมาจอด ไม่รอให้มีใครมาประคองก็เลิกผ้าห่มลงจากเตียงไปนั่งรถเข็นคันนั้นทันที ทั้งที่คิดว่าหนีพ้นจากแมลงน่ารำคาญแล้วแท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับเดินอาดๆ ตามมาสร้างมลภาวะทางหู

“ไม่ตรวจอีกสักรอบเหรอ หรือนอนพักอีกสักคืนก็ได้ พี่ดูแล้วเจ็บหนักเอาการอยู่นะ เกิดช้ำนงช้ำในจะได้รักษาทัน”

“...”

“เออ ว่าแต่กลับยังไง ให้คนที่บ้านมารับหรือเรียกรถกลับเอง”

“...”

“นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้วนะ ถ้าเรียกรถกลับเอง ไม่สู้ให้พี่ไปส่งดีกว่า”

“คุณตำรวจไม่ต้องสนใจฉันนักหรอก ฉันดูแลตัวเองได้ เอาเวลาอันมีค่าไปทำงานอย่างอื่นเถอะ ขอบคุณสำหรับความหวังดีค่ะ” ผู้บาดเจ็บตัดบททั้งรอยยิ้ม ไม่ลืมมารยาทไทยด้วยการยกมือไหว้สวยๆ อีกหนึ่งที ก่อนส่งสัญญาณบอกบุรุษพยาบาลให้เข็นต่อไปได้เลย 

มีหรือที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จะปล่อยให้เจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ของตัวเองโดนขัด ร่างสูงก้าวยาวๆ ไปขวางเบื้องหน้าผู้ลาดเจ็บ มิหนำซ้ำยังนั่งยองๆ ลงมาจับพนักแขนทั้งสองข้างเพื่อหยุดการเคลื่อนที่ของรถเข็น 

“ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ มีโทษทางกฎหมายนะน้อง” 

“...”

“เอางี้ จะให้พี่ไปส่ง หรือจะให้พี่ขับรถตามหลังไป น้องเลือกเอาเองก็แล้วกัน” ฆนิลกาฬยื่นคำขาด หากครอบครัวมารับก็ว่าไปอย่าง เขาไม่ได้ไร้มนุษยธรรมขนาดปล่อยให้เด็กที่แม้แต่จะเดินเองยังไม่ได้กลับบ้านคนเดียวค่ำๆ มืดๆ ต้องทำหน้าที่ให้สมกับรับเงินเดือนจากภาษีประชาชนสักหน่อย 

“ไม่เอาทั้งคู่” ไคยะปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด แค่นี้ก็สุดจะทนแล้ว เรื่องอะไรต้องชักพาความรำคาญติดตัวไปด้วย 

“โอเค งั้นพี่เลือกให้เอง” คนฟังพยักหน้าเข้าใจ ผู้หญิงจะปากหนักหน่อยไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นจึงหันไป ‘ขอความร่วมมือ’ จากบุรุษพยาบาลแทน 

“เข็นตามมา” 

 

ถ้าไม่นับคนขับรถของที่บ้านกับแท็กซี่ที่เป็นระบบขนส่งสาธารณะ นี่เป็นครั้งแรกที่ไคยะขึ้นรถมากับคนแปลกหน้า แถมยังเป็นคนแปลกหน้าที่เคยเกือบจะฆ่ากันตายด้วย 

อาชญากรรมสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ก็จริง แต่ที่เธอกล้าเอาตัวเองมาอยู่ในรถคันนี้ก็เพราะอีกฝ่ายแจ้งกับทางโรงพยาบาลและตำรวจพื้นที่อย่างเปิดเผยว่าจะพา ‘เด็กผู้เคราะห์ร้าย’ ไปส่งที่บ้าน ทั้งยังย้ำนักย้ำหนาให้เธอโทร. เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่สักคน เธอไม่คิดว่าเขาจะโง่สร้างหลักฐานมัดตัวเองหากมีจุดประสงค์มุ่งร้ายจริงๆ

“โว้ววว เย้เย~”

ดวงตาสีน้ำหมึกเหลือบมองสารถีข้างๆ มือหนึ่งจับพวกมาลัยรถ อีกมือหมุนก้านอมยิ้มในปากไปด้วย แค่นั้นยังไม่พอ ยังแหกปากร้องเพลงตามวิทยุ เสียงโหยหวนนี่ใกล้จะทำลายประสาทการได้ยินของเธออยู่รอมร่อ ไหนว่าหน่วยรังผึ้งคัดแต่บุคคลชั้นหัวกะทิ ทำไมถึงมีคนบ้าหลุดคิวซีมาก็ไม่รู้ 

“น้องมีไรก็ว่ามา ไม่ต้องมาชม้อยชม้ายชายตามองพี่” ฆนิลกาฬหันไปเลิกคิ้วถามอย่างเปิดเผย ต่อให้เขาจะมีภูมิต้านทานต่อเพศตรงข้ามสูง แต่ถูกจดๆ จ้องๆ นานเข้าก็เริ่มวางตัวไม่ถูก

“ชม้อยชม้ายแปลว่าอะไร” ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นถามกลับ เธอถูกบังคับให้เรียนอ่าน เขียน และพูดไทยจนคล่องก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจศัพท์ยากๆ แปลกๆ ที่คนปกติไม่ใช้กัน

“แปลว่าแอบมอง โรงเรียนไม่สอนท่องกลอนท่องกาพย์เหรอ เฮ้อ! เด็กสมัยนี้”

ไคยะแค่นเสียงขึ้นจมูกพลางสะบัดหน้าหนี เกลียดความมั่นหน้าของใครบางคนจนหมดคำจะด่า คิดว่าเธออยากมองนักรึยังไง แน่จริงก็เลิกทำตัวน่ารำคาญก่อนสิ 

“เออน้องไก่ กลับไปก็อย่าลืมเล่าให้ผู้ใหญ่ที่บ้านฟังด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ให้รู้ทีหลังมันไม่ดี” 

“รู้แล้วน่า” คนฟังรับปากส่งๆ ย้ำเรื่องเดิมๆ อยู่ได้ คิดว่าเธอเป็นเด็กน้อยไม่ประสีประสาหรือยังไงกัน

หากฆนิลกาฬได้ยินความคิดของคนข้างๆ คงตอบว่า ‘ใช่’ อย่างไม่ลังเล ในสายตาของเขา ต่อให้อีกฝ่ายจะทำตัวเลียนแบบผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่ายังเป็นแค่เด็กสาววัยใสคนหนึ่ง ไม่แปลกที่เขาจะใส่ใจมากกว่าปกติ

“นึกไงถึงเข้าไปช่วยคน รู้รึเปล่าว่าคนร้ายขาดสติไปแล้ว” เขาเป็นฝ่ายชวนคุย คนปกติหากเจอเหตุการณ์เหมือนวันนี้คงหลีกหนีไปให้ไกล ไม่ใช่วิ่งเข้าหาอันตรายแบบที่อีกฝ่ายทำ 

“ก็แค่อยากช่วย” 

“แล้วถ้าตัวเองเจ็บหนักขึ้นมาจะทำไง” 

“ทำประกันไว้หลายตัว นอนโรงพยาบาลเอกชนได้ทุกที่ ต้องบอกวงเงินค่ารักษาด้วยไหมคะ” 

“...” คำตอบแบบกำปั้นทุบดินทำเอาคนถามไปต่อไม่เป็น อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดน้องไก่ถึงได้ดูแตกต่างไปจากครั้งแรกที่เจอลิบลับ หรือว่าวัยรุ่นมีความผันผวนสูง ระยะเวลาไม่ถึงเดือนมากพอที่จะทำให้เด็กที่ดูเหมือนจะเรียบร้อยคนหนึ่งเข้าสู่ช่วงต่อต้าน

เอาเถอะ...จะว่าไปตัวเขาในอดีตก็ผีเข้าผีออกไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ถือสาพฤติกรรมดังกล่าว ไหลไปคำถามอื่นเสมือนการต่อปากต่อคำเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น 

“พี่ดูจากกล้องวงจรปิด หน่วยก้านใช้ได้นะเรา หลบซ้าย หนีขวาได้คล่องแคล่วดี ฝึกจริงจังอีกนิดพี่ว่าน่าจะไปได้สวย” 

ในมุมมองของคนที่ผ่านเหตุการณ์อันตรายมาหลายรอบ เด็กสาวอายุเท่านี้ยื้อเวลาจากคนร้ายได้เป็นสิบนาทีไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อห้ามเลือดที่มันพุ่งพล่านในตัวไม่ได้ ไม่สู้ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์อย่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อน 

“เอางี้ไหม พี่รู้จักพวกโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวที่นึง ครูที่สอนเป็นเพื่อนพี่เอง เด็กผู้หญิงรุ่นๆ น้องไปเรียนกันเยอะ พวกเด็กมหาวิทยาลัยก็มี ถ้าสนใจก็บอก เดี๋ยวพี่ติดต่อให้” 

“ใครเก่งกว่ากัน ครูที่นั่นหรือคุณตำรวจ” 

“หึๆ ไม่น่าถาม พี่ก็ต้องเก่งกว่าอยู่แล้วสิ เห็นอย่างงี้พี่สายดำเลยนะโว้ย” ฆนิลกาฬยักไหล่ด้วยสีหน้าภาคภูมิ ก่อนนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ “ไอ้น้องครับ พี่บอกกี่รอบแล้วว่าให้เรียก ‘พี่นิล’ มาคงมาคุณตำรวจอะไรวะ ฟังแล้วปวดหู” 

“ก็เพราะว่าฉันไม่ได้อยากเป็นน้องของคุณ” ไคยะตอบสวนทันควัน อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้หวังให้เธอเรียกพี่ ไม่เลียนแบบด้วยการเรียก ‘ไอ้’ นำหน้าชื่อก็บุญเท่าไหร่แล้ว ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าอีกฝ่ายจะตีความการไม่อยากนับญาติของเธอไปอีกอย่าง 

“พี่รู้ว่าพี่มันเท่ แต่พี่ไม่ชอบเด็กจริงๆ ว่ะ” 

“...” 

“เชื่อพี่ อย่าเพิ่งคิดเรื่องความรักเลยน้อง เดี๋ยวถึงเวลามันก็มาเอง ไม่ต้องรีบร้อน”

“...” สาวลูกครึ่งถอนหายใจรอบที่สิบ กลอกตาเป็นรอบที่ร้อย บางทีถ้าเปิดฉากสู้กันอีกสักยกคงไม่เหนื่อยขนาดนี้ เธอได้แต่ชะเง้อมองป้ายเขียวๆ ตามถนน ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเมื่อไหร่จะถึงบ้านสักที 

จะว่าไป...ใช่ว่าเธอจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์นี่นะ 

“นี่คุณตำรวจ แบล็กไอริสคืออะไรเหรอ”

คำถามที่โพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาสารถีชะงักงัน นัยน์ตาคมปลาบลอบมองปฏิกิริยาคู่สนทนา ทว่าสีหน้ากลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 

“ไปได้ยินมาจากที่ไหน”

“ก็...” ริมฝีปากอวบอิ่มยกโค้งนิดๆ แสร้งตอบด้วยสีหน้าใสซื่อ “ก็ฉันได้ยินที่คนร้ายพูด ให้เดาก็คงเป็นโค้ดลับของพวกยาบ้าใช่ไหม พวกตำรวจชอบตั้งชื่อแปลกๆ กันจะตาย คิดว่าประชาชนจะเดาไม่ออกหรือยังไงกัน” 

“ทำนองนั้น” ฆนิลกาฬหัวเราะร่วน ยักไหล่ตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ตอนช่วยตัวประกันเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่งเหมือนหุ่น ไม่แปลกที่คนจะคิดว่าเจ้าตัวจะช็อกจนลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ที่แท้ก็ยังปะติดปะต่อเรื่องราวได้ 

“แต่ชื่อแบล็กไอริสฟังดูน่ารักดีนะ ดูไม่น่ามีพิษภัยเลย” 

“ทำไม ฟังชื่อน่ารักแล้วสนใจอยากลองเหรอ นี่นั่งอยู่ข้างๆ ตำรวจนะเว้ย ต่อให้เป็นคนรู้จักพี่ก็พาไปทัวร์คุกได้ อย่าคิดว่าพี่ไม่กล้า” เจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะต่ำๆ ในลำคอ อาจเพราะอีกฝ่ายไม่ร่ำร้องฟูมฟาย ไม่แสดงท่าทางหวาดกลัวให้เห็น เขาเลยเผลอหยอกเล่นแรงๆ แบบที่ทำกับพวกลูกน้อง 

“เสียใจด้วยนะตำรวจ ฉันคงไม่เอาตัวไปยุ่งกับของพรรค์นั้น” 

“ดีมากไอ้หนู” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบือนมอง เขาไม่อาจเปิดเผยข้อมูลในเชิงลึก ได้แต่เอ่ยเตือนแบบกว้างๆ

“พี่รู้ว่าวัยรุ่นคงอยากรู้อยากลองอะไรหลายอย่าง พี่เองก็ผ่านมาแล้ว แต่ชีวิตมันมีเรื่องสนุกให้ทำอีกมาก จำเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เอาไว้เป็นบทเรียน น้องจะไปเตะต่อยไปบ้าเลือดยังไงก็ช่าง แต่อย่าริอ่านลองพวกยาเสพติด ไอ้จุดหมายปลายทางที่รอน้องอยู่มันไม่ฟินเหมือนตอนเสพหรอก”

“ยังจะกล้ามาสั่งสอนประชาชน ตำรวจเองก็เพิ่งลองไปไม่ใช่เหรอ เห็นเคี้ยวสนุกอยู่คนเดียว” ไคยะหัวเราะเยาะ ยอมเออออด้วยหน่อยถึงกับบ้าน้ำลายขึ้นมาเชียว 

“ยาแก้เจ็บคอเถอะ ไม่เชื่อเอาไปชิมดู ขมหน่อย แต่สมุนไพรดี ช่วยทำให้ปากหอมด้วย” ฆนิลกาฬแก้ความเข้าใจผิด ที่ทำไปแบบนั้นเพราะสถานการณ์บังคับต่างหาก หากผู้รักษากฎหมายยังทำผิดกฎหมายเสียเอง สังคมคงถึงคราววิกฤติแล้ว 

“ถ้าไม่เชื่อ...”

“เชื่อแล้วๆ ไม่ต้องพิสูจน์” หญิงสาวชิงดักคอเมื่อผึ้งตำรวจทำท่าจะพ่นลมหายใจออกมาจริงๆ เกิดผลลัพธ์ไม่ใช่อย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ เธอไม่โดนรมยาพิษตายอยู่ในรถนี่เหรอ 

“พี่เป็นตำรวจดีนะ ดูหน้าก็น่าจะรู้” เจ้าหน้าที่หนุ่มหันไปยิ้มกว้างให้คู่สนทนา นางงามมิตรภาพยังดูไม่จริงใจเท่านี้ ไหนเลยจะคิดว่าจะได้คำตอบกวนตีนเป็นของตอบแทน   

“ไม่เห็นจะดูออกเลย”

“อ้าวไอ้นี่”

ทั้งสองปะทะคารมกันจนกระทั่งรถยนต์สีดำมาจอดหน้าบ้านบริมาส คนที่เพิ่งเคยมาครั้งแรกได้แต่จุปากเมื่อเห็นกำแพงและประตูรั้วซึ่งสูงประมาณสองเมตรกว่า ไหนจะกล้องวงจรปิดรอบบ้าน เดาว่าคงติดตั้งสัญญาณกันขโมยด้วยแน่นอน หากโจรคิดจะยกเค้าบ้านหลังนี้ เกรงว่าต้องฝึกวิชานินจาแล้ว 

“ขอบคุณที่มาส่ง” 

“ไม่เป็น...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค ผู้โดยสารก็เปิดประตูลงจากรถและเดินดุ่มๆจากไป ไม่หันมาเหลือบแลคนนั่งอ้าปากค้างเลยสักนิด

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองตามแผ่นหลังบาง ก่อนย้ายไปเปรียบเทียบระยะทางจากประตูรั้วหน้าบ้านไปถึงตัวบ้านสุดท้ายก็ตัดสินใจลงจากรถไปช่วยประคอง ทว่าปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายเฉียบคมกว่าที่คิด ยังไม่ทันวางมือก็โดนคนตัวเล็กกว่าหันขวับกลับมาถลึงตาใส่

“จะทำอะไร!”

“ไหวปะน้อง ให้พี่ไปส่งในบ้านไหม” ฆนิลกาฬไม่ติดใจท่าทางแยกเขี้ยวขู่ ในเมื่อช่วยแล้วก็อยากช่วยจนถึงที่สุด โดยเฉพาะเมื่อมองจากตรงนี้ยังเห็นหลังคาบ้านอยู่ไกลลิบ เขาไม่มั่นใจจริงๆ ว่าคนบาดเจ็บจะหอบสังขารตัวเองไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ 

“ไม่ต้อง กลับไปได้แล้ว” สำหรับไคยะ คนตรงหน้าไม่เหลือประโยชน์อะไรให้ใช้สอย ดังนั้นจึงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ส่วนมืออีกข้างกดกริ่งรัวๆ เรียกแม่บ้านให้มาเปิดประตูรั้วไปด้วย 

“แหมไอ้นี่ พอพี่หมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งเลยนะ” 

“ตำรวจเสนอตัวมาเอง ฉันไม่ได้ขอร้องสักหน่อย”

ฆนิลกาฬเถียงไม่ออก ได้แต่ยืนกอดอกมองรอยนิ้วมือที่ประทับบนแก้มและรอยปริแตกมุมปากจากหางตา เป็นหลักฐานชั้นยอดที่แสดงให้เห็นว่าผิวใสๆ นั่นไม่ได้เสริมใยเหล็ก แค่เป็นเด็กที่ความอดทนสูงเกินชาวบ้านเท่านั้น ตั้งแต่โดนจับเป็นตัวประกันจนกระทั่งฟื้นขึ้นมาเขาไม่ได้ยินเสียงร้องสักแอะ น้ำตาสักหยดก็ไม่มี แถมยังทำตัวปกติประหนึ่งไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น นี่ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าอีกฝ่ายผ่านอะไรมาบ้าง บอกว่าสะดุดล้มหน้าโรงเรียนกวดวิชาเขาก็เชื่อ

ไม่รู้อะไรดลใจอยู่ๆ ก็โพล่งทำลายความเงียบ “เอาเบอร์พี่มะ” 

ข้อเสนอดังกล่าวมากพอที่จะทำให้คนฟังหันกลับไปมองด้วยแววตาหวาดระแวง ก่อนให้คำตอบเสียงดังฟังชัดโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ไม่เอา”

“แต่พี่อยากให้ว่ะ” ว่าแล้วก็มัดมือชกด้วยการบอกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง ทวนซ้ำอยู่สองรอบ ก่อนถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ “จำได้รึยัง”

“ได้แล้ว”

“ไหนทวนมา”

“191”

“ไอ้นี่ ไม่ได้ตั้งใจฟังเลยสินะ” คิ้วเข้มเลิกขึ้น คำตอบไม่ต่างจากที่คาดเท่าไหร่ ดูท่าทางแล้วต่อให้เขาเอ่ยปากขอเบอร์ติดต่อของอีกฝ่ายก็คงไม่ได้เช่นเดียวกัน

คนอยากแจกเบอร์ล้วงปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ถือวิสาสะกุมมือเล็กขึ้นมาแบออกและเขียนตัวเลขสิบตัวลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมเขียนชื่อตัวโตๆ กำกับว่า ‘พี่นิลคนหล่อ’ เพิ่งจะเขียน อ. อ่าง เสร็จ อีกฝ่ายก็ชักมือกลับไปพร้อมจ้องหน้าเขาตาขวาง หากสายตาคนคมเหมือนใบมีด ร่างคงเป็นรูไปแล้ว

“เอางี้ ถ้าอยากเรียนก็โทร. มาแล้วกัน”

“...”

“แล้วเจอกันนะครับไอ้น้องไก่”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น