1

บทที่ 1


 

ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางความมืดมิดแห่งรัตติกาล ทุกชีวิตหลับใหล มีเพียงผู้เดียวที่ตื่นอยู่เสมอทุกค่ำคืน และใช้ชีวิตปกติเสมือนเป็นเวลากลางวัน

ไฟในห้องแต่งตัวแบบวอล์กอินคลอเซตสว่างขึ้น สุภาพสตรีวัยหกสิบตอนปลายปรากฏกายกลางห้อง

เธอมีใบหน้างามเพริศแพร้วราวกับภาพเขียนของจิตรกรเอก ผมสีดำขลับเกล้ามวยไว้อย่างประณีต ลำคอระหงประดับสร้อยทับทิมล้อมเพชรขนาดมหึมารับกับต่างหูที่ออกแบบมาให้เข้าชุดกัน ร่างเพรียวแต่งชุดราตรีสีแดงเพลิงปักเลื่อมแวววาวบนกระโปรงบานซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าบางพลิ้วซ้อนเป็นชั้นๆ ชายกระโปรงสูงเหนือข้อเท้าขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นรองเท้าส้นสูงสำหรับเต้นรำสีดำแซมทอง

เครื่องแต่งกายสุดแสนอลังการและบุคลิกอันงามสง่าส่งให้เธอดูเหมือนนางพญาผู้ทรงอำนาจเหนือข้าทาสบริวาร ผิดกันก็แต่เธอยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางห้องแต่งตัวหรูหรา เรียงรายไปด้วยชั้นวางของกรุกระจกใส ภายในจัดวางกระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้าส้นสูงราคาแพง เครื่องประดับสำหรับงานแฟนซี วิกผมสารพัดทรง ทั้งหมดนี้เป็นของเธอคนเดียว

ร่างในชุดราตรีบานพลิ้วฮัมเพลงพลางหมุนตัวด้วยท่วงท่าของนักเต้นรำที่เชี่ยวชาญ เพื่อลอยล่องลึกเข้าไปในห้องซึ่งมีกระจกเงาอยู่รอบด้าน ซ่อนตู้เซฟและตู้เสื้อผ้าหลายสิบใบไว้อย่างแนบเนียน ด้านในสุดของห้องมีโต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่พร้อมกับเครื่องสำอางแบรนด์ดังวางรอให้ใช้งาน

ทุกครั้งที่เข้ามาในห้องนี้ เธอเป็นต้องหงุดหงิด เพราะไม่มีวันจะได้เห็นเงาของตนสะท้อนมาจากกระจกเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว

แต่วันนี้…เธออารมณ์ดี

ร่างระหงเคลื่อนกายไปยังโต๊ะเครื่องแป้งด้วยท่วงท่าราวกับหงส์เหิน ประตูลับหลังกระจกเงาบนโต๊ะเครื่องแป้งเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ มีเพียงสิ่งเดียวที่ถูกซ่อนอยู่ในนั้น

กล่องเครื่องประดับสีเงิน ซึ่งไม่มีใครหาเจอนอกจากเธอคนเดียว บนฝากล่องแกะสลักอักษรย่อ ‘P.N.’ ชื่อและนามสกุลของเธอเอง

‘ปราณปรียา นฤบาลบดี’

สามีสั่งให้ช่างชาวอิตาลีทำให้เพื่อเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสครบรอบแต่งงานปีแรก เขาตั้งใจให้ปราณปรียาใช้เก็บของมีค่า แต่ภาคภูมิไม่รู้หรอกว่าของมีค่าที่สุดสำหรับเธอไม่ใช่เครื่องประดับราคาแพง ทว่าเป็นความทรงจำอันงดงาม

กล่องสีเงินลอยมาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างรู้หน้าที่ ปราณปรียาทรุดกายลงบนม้านั่งซึ่งลากออกมารออยู่แล้ว

“เปิด!”

สิ้นเสียงสั่ง ฝากล่องก็เด้งออก เผยให้เห็นรูปถ่ายปึกหนึ่งวางอยู่ภายใน

ปราณปรียาหยิบภาพถ่ายมาดูทีละใบ มีทั้งภาพบิดามารดาผู้ล่วงลับ รูปหมู่ครอบครัว ภาพลูกหลาน ภาพเธอกับสามีในวันสำคัญต่างๆ ไปจนถึงรูปสองสามใบที่อยู่ด้านล่างสุด

เจ้าของมือเรียวหยิบภาพถ่ายสีขาวดำเหล่านั้นมาเพ่งพินิจ มันเป็นรูปของหนุ่มน้อยวัยต้นยี่สิบจำนวนสามคน แต่งชุดนักศึกษา ผูกเนกไทซึ่งมีตราของสถาบันรัฐชื่อดัง พวกเขากอดคอกันยิ้มให้กล้องอย่างสดใส แสดงถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นอย่างไม่น่ามีสิ่งใดทำให้ทั้งสามแตกคอกันได้เลย

ปราณปรียาอดอมยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เธอเลื่อนสายตาไปยังลายมือของหนุ่มน้อยแต่ละคนที่ึเซ็นชื่อตนเองไว้ตรงที่ว่างใต้ภาพของพวกเขา ก่อนอ่านชื่อเรียงลำดับจากคนที่อยู่ซ้ายสุด

“เทียม เจริญกิจพัฒนา…เลอสรรค์ เลอเลิศพงศ์…ภาคภูมิ นฤบาลบดี…”

น้ำเสียงยามหญิงสูงวัยเอ่ยชื่อบุคคลสุดท้ายอ่อนโยนยิ่งกว่าใคร เพราะเขาคือสามีของเธอเอง

เรียวปากอิ่มคลายยิ้มลง ดวงตาเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย เธอเก็บรูปดังกล่าวลงในกล่อง หยิบอีกใบขึ้นมา มันยังคงเป็นภาพผู้ชายทั้งสาม คราวนี้มีสาวน้อยอีกสองคนเพิ่มมาด้วย

คนแรกอยู่ซ้ายสุดของภาพ เธอแต่งชุดนักศึกษา หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราราวกับตุ๊กตา รวบผมเป็นหางม้า ดูยุ่งๆ เล็กน้อย แต่น่าเอ็นดู ขัดกับแววตามุ่งมั่นจริงจัง

“ลม…เพื่อนรักของฉัน”

ปราณปรียายิ้มให้สาวน้อยในรูป ลลนาเป็นเพื่อนรักของเธอมาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาจนเข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์มาด้วยกัน

“ตอนนี้เธอก็คือ ลลนา เลอเลิศพงศ์ แล้วสินะ”

ปราณปรียายิ้มกว้างขึ้นยามพินิจมองเพื่อนรักซึ่งยืนอยู่ติดกับเลอสรรค์ ไม่มีใครเคยคิดว่าทั้งคู่จะมาลงเอยเป็นคู่ชีวิตกัน แต่พวกเขาก็เป็นคู่ที่น่ารักที่สุด

“และนี่ก็ฉันเอง”

ปราณปรียาจ้องมองสาวน้อยในชุดดรัมเมเยอร์ซึ่งแม้จะเป็นรูปขาวดำ อดีตดาวมหาวิทยาลัยก็จำได้แม่นว่าที่จริงมันคือชุดสีขาวขลิบเงิน คอปกตั้ง ติดอินทรธนูบนบ่าทั้งสองข้าง กระโปรงบานสั้นกุด อวดเรียวขา

งามสมส่วน มีรองเท้าบูตสูงคลุมขึ้นมาถึงครึ่งแข้ง เธอปล่อยผมหยักศกยาวสลวยเหนือบ่า เซตเข้ารูปตามสมัยนิยมในตอนนั้น และสวมหมวกทรงสูงมีขนนกประดับบนยอด ในมือถือคทาดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของมหาวิทยาลัย

ตำแหน่งยืนของปราณปรียาในรูปนี้ก็เหมือนกับแทบทุกครั้ง คือตรงกลาง เสมือนเธอเป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคน

ในภาพปราณปรียายืนอยู่ระหว่างเลอสรรค์กับเทียมที่ต่างก็ยิ้มกว้าง เอนศีรษะมาทางเธอ ราวกับจะแข่งกันอยู่ในทีว่าใครได้อยู่ใกล้นางในดวงใจมากกว่า ขณะที่ภาคภูมิผู้เคร่งขรึมอยู่ริมขวาสุดของรูป เขาไม่แสดงความชื่นชอบต่อปราณปรียาอย่างออกนอกหน้าเหมือนเพื่อนๆ แต่มักใช้การกระทำบ่งบอกว่าเธอสำคัญที่สุดสำหรับเขา

“คนพูดน้อยแต่ต่อยหนัก เพราะอย่างนี้ฉันถึงสนใจคุณ”

ปราณปรียายิ้มขบขัน เธอเพิ่งมาค้นพบว่าภาคภูมิมักทำอะไรที่คาดไม่ถึงบ่อยๆ และใส่ใจเธอเกินกว่าที่คิดก็ตอนเธอกับเขาไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษเพียงสองคน

“แล้วฉันก็เลยรักคุณ”ปลายนิ้วเรียวไล้ไปบนวงหน้าคมสันของสามีอย่างโหยหา

เธอถอนใจเมื่อนึกถึง ‘การเลือก’ ของตน อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนรักทั้งสามสั่นคลอน

หญิงสูงวัยหยิบรูปงานมงคลสมรสของตัวเองกับภาคภูมิขึ้นมา เทียม เลอสรรค์ และลลนามาร่วมงานด้วย แม้สองหนุ่มจะยิ้ม แต่ดวงตาเศร้าหมองยิ่งนัก ยังดีที่ข้างกายของเลอสรรค์มีลลนาคอยปลอบใจ เพราะเหตุนี้ไม่กี่เดือนต่อมา ทั้งคู่จึงแต่งงานกัน

ปราณปรียามองภาพสุดท้ายตรงก้นกล่อง เป็นรูปที่ถ่ายหน้าบริษัทเก่าของเพื่อนรักทั้งสาม พวกเขาเคยเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจก่อสร้างด้วยกัน

เธอยืนเคียงข้างสามี ถัดไปเป็นเลอสรรค์กับลลนา ตามด้วยเทียมซึ่งแต่งงานกับเพ็ญ เจ้าสาวที่ครอบครัวหาไว้ให้ มีเด็กน้อยสามคนยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ตรงริมขวาของภาพ ซึ่งก็คือบุตรชายของพวกเขา

เด็กๆ เกิดไล่เลี่ยและน่าจะเป็นเพื่อนรักกันเฉกเช่นบิดา ทว่ากลับมีเหตุไม่คาดฝันทำให้ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง เมื่อจู่ๆ เงินหมุนเวียนในบริษัทหายไปอย่างไร้ร่องรอยถึงยี่สิบล้าน หุ้นส่วนทั้งสามต่างโทษกันเองว่าใครบางคนในหมู่พวกเขาโกงเงินไป

หลังเกิดเรื่องไม่มีใครมองหน้ากันติด แม้แต่ปราณปรียากับลลนาซึ่งเคยเป็นเพื่อนรัก ขณะที่ภาคภูมิ เทียม เลอสรรค์ ต่างก็ไปเปิดบริษัทก่อสร้างของตนเอง และขับเคี่ยวแข่งกันในทุกๆ เรื่องนับจากนั้นมา ตั้งแต่รุ่นพ่อ ไปจนรุ่นลูก มาถึงรุ่นหลาน

ปราณปรียาถอนใจอย่างเศร้าสร้อย เธอก้มมองตนเอง ชุดราตรีสีแดงเพลิงไม่เหมาะกับอารมณ์โศกศัลย์เอาเสียเลย ร่างระหงลุกขึ้นยืน แล้วหมุนตัว กระโปรงบานพลิ้วก็พลันเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเกือบดำหม่นมัวพอๆ กับจิตใจหดหู่ในยามนี้

“ฉันทำความปรารถนาก่อนตายไม่สำเร็จ”

ใช่…เธอตายมานานแล้ว…ตาย…ก่อนที่ทุกคนที่เธอรักจะคืนดีกัน…

เสียงนกร้องดังมาจากนอกหน้าต่างเป็นสัญญาณว่ายามเช้าใกล้มาถึง ปราณปรียาเก็บรูปเก่าๆ ทั้งหมดกลับลงไปในกล่อง ก่อนจะกรีดนิ้ว แบมือออก ภาพถ่ายจากกระดาษอัดใหม่เอี่ยมก็ปรากฏขึ้นในมือ

แสงทองจากดวงอาทิตย์ลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างแทนที่แสงไฟในห้องซึ่งดับลงอย่างรู้งาน ดวงตะวันยามเช้าส่องให้เห็นรูปถ่ายซึ่งเธอได้มาจากนภัสสร หลานสาวคนเล็ก

หนึ่งในภาพนั้นถ่ายในงานเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสที่นภัสสรสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จัดในภัตตาคารของโรงแรมหรูใจกลางกรุง เดิมทีครอบครัวของเธอตั้งใจจะกินเลี้ยงกันเฉพาะญาติสนิท แต่นภัสสรซึ่งรับรู้ความปรารถนาของปราณปรียา ต้องการสานฝันให้ย่าด้วยการขอร้องบิดามารดาให้เชิญชัยภัคดิ์และครอบครัวของเขามาด้วย

ชัยภัคดิ์ก็คือหลานชายคนโตของเทียมกับเพ็ญ ภาพประวัติศาสตร์จึงเกิดขึ้น

ภาคภูมินั่งติดกับคุณยายของนภัสสรซึ่งนั่งอยู่ตรงกลาง บิดามารดาของนภัสสรนั่งถัดจากเขา ขณะที่ด้านซ้ายของคุณยายของนภัสสร ต่อด้วยเพ็ญและบิดามารดาของชัยภัคดิ์ ด้านหลังในแถวยืนคือหลานๆ ของทั้งสองตระกูล โดยมีนภัสสรยืนอยู่ตรงกลาง ติดกับชัยภัคดิ์

แม้บรรยากาศในภาพจะตึงเครียดเหมือนทุกคนถูกบังคับให้มาถ่ายรูปร่วมกัน แทบไม่มีใครกล้ายิ้ม ยกเว้นนภัสสรและผู้เป็นยายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใดๆ ของสองตระกูล แต่เพียงเท่านี้ปราณปรียาก็ปลื้มปริ่มจนน้ำตาซึม

เธอใช้ปลายนิ้วซับน้ำตา ปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยสองครอบครัวก็กลับมาฟื้นความสัมพันธ์กันอีกครั้งด้วยการช่วยเหลืออย่างลับๆ ของตน

“ย่าจับคู่ให้หนูจิ๋วกับตาแบร์สำเร็จ ผู้ใหญ่ก็เลยมาดีกัน…” แม้จะไม่ใช่การคืนดีอย่างสนิทใจร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม “มันคงต้องใช้เวลา…ใช่ไหม จิ๋วของย่า”

ปราณปรียาพยักพเยิดกับสาวน้อยวัยสิบแปดปีในภาพ วงหน้างามพริ้มเพราของหลานรักสวย ‘เกือบจะ’ เท่าเธอในวัยสาว นภัสสรเป็นหลานคนสุดท้องที่ปราณปรียาทั้งรักทั้งห่วง แต่ตอนนี้เธอไม่กังวลเท่าไรแล้ว เพราะแม่หนูตัวน้อยมีชัยภัคดิ์มาดูแล

เธอมองหนุ่มหล่อวัยยี่สิบเก้าปีที่ยืนเคียงข้างนภัสสร อายุของพวกเขาอาจจะห่างกัน แต่ความรักช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยจนทั้งสองปรับตัวเข้าหากันได้และกลายเป็นคู่ที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

“ฉันดีใจที่เพ็ญยอมมา ถึงแม้ว่าเทียมจะยังไม่หายโกรธ แล้วก็ไม่มีครอบครัวเลอสรรค์กับลมด้วย…แต่คงอีกไม่นานหรอก”

ปราณปรียาวาดหวังอย่างหมายมั่น เธอมองรูปถ่ายอีกใบซึ่งเป็นการรวมตัวย่อยๆ ของสองครอบครัว นภัสสรกับมารดาเดินทางไปร่วมงานรับปริญญาโทของน้องสาวชัยภัคดิ์ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพ็ญ มารดาของชายหนุ่ม และน้องทั้งสองอยู่ในภาพด้วย ทุกคนยิ้มให้กล้องอย่างชื่นมื่น เป็นภาพหมู่ที่อบอุ่นแสดงถึงความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล

เธอย้อนกลับไปดูรูปหมู่ในงานเลี้ยงซึ่งสองครอบครัวพบกันครั้งแรกอีกที ทุกคนเคร่งเครียดกว่านี้มาก ปราณปรียาเคาะปลายนิ้วไปบนใบหน้าถมึงทึงของภูรินทร์ หลานชายคนโตของเธอเอง เขาหงุดหงิดที่น้องสาวคบหากับอดีตคู่อริอย่างชัยภัคดิ์ ทว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากจำใจยอมรับ

“ถ้าภูรู้ว่าย่าเล็งเจ้าสาวเอาไว้ให้แล้ว เป็นคนที่ภูจะต้องคาดไม่ถึงทีเดียว ภูจะว่าอย่างไรกันนะ”

ปราณปรียาหัวเราะหึๆ น่าเสียดายที่เจ้าสาวของภูรินทร์คนนั้นยังอยู่ห่างไกลเหลือเกิน…คงยังไม่ถึงเวลาของพวกเขา

“แต่ย่าเบื่อจะรอแล้วนี่นา” ปราณปรียาทำเสียงดังจึ๊กจั๊กในปาก

ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเรียก ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ

‘แป้ง…’

ใครเรียกเธอกันนะ น้ำเสียงช่างอ่อนโยนและอบอุ่นเหลือเกิน ปราณปรียาสัมผัสได้ถึงกระแสความสุขที่อาบเอิบจนร่างในชุดสีม่วงหม่นมัวเต็มไปด้วยประกายเรืองรอง

“ฉันต้องไปดูหน่อยแล้ว!”

ปราณปรียาโบกมือ สั่งให้กล่องเครื่องประดับกระเด้งกลับเข้าไปซ่อนตัวในช่องลับหลังโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนที่ร่างโปร่งจะลอยออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมกับภาพถ่ายใหม่เอี่ยมทั้งสองใบ

 

สถานที่ซึ่งปราณปรียามาปรากฏกายคือหน้าคฤหาสน์สไตล์โมเดิร์น ที่เจ้าของตั้งใจให้เป็นต้นแบบของบ้านประหยัดพลังงานและพึ่งพิงธรรมชาติ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหรูแพงติดอันดับต้นๆ ของโครงการบ้านจัดสรรในประเทศ

ตัวบ้านมีลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เปิดโล่งด้านหน้าของกล่องไว้ เผยให้เห็นกล่องเล็กๆ อีกสามกล่องเรียงซ้อนขึ้นไปแบบซิกแซ็กจนต่อกันเป็นสามชั้น แต่ละชั้นเชื่อมกันด้วยบันไดและระเบียงที่เปิดโล่งเพื่อให้ลมโกรกได้ทุกทิศผนังและกำแพงบ้านปลูกพืชไม้เลื้อยเพื่อดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์ ขณะที่หลังคาของกล่องสี่เหลี่ยมใหญ่เป็นดาดฟ้าไว้สำหรับปลูกพืชผักสวนครัว ชั้นล่างของบ้านมีบ่อปลาขนาดใหญ่สำหรับคนรักการเลี้ยงปลาอย่างเลอสรรค์ ล้อมรอบด้วยสนามหญ้าและสวนอันเต็มไปด้วยแมกไม้เขียวขจี

นอกจากนี้ยังมีการติดแผงโซลาร์เซลล์เพื่อเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้า ทั้งยังมีระบบน้ำหมุนเวียนในบ้านเพื่อให้ใช้น้ำได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

บริเวณหน้าบ้านในขณะนี้ ประตูรั้วถูกปิดลงหลังจากที่พระสงฆ์เดินบิณฑบาตคล้อยหลังไปไกลแล้ว คนรับใช้ช่วยกันยกโต๊ะซึ่งเคยวางสำรับอาหารสำหรับถวายพระกลับเข้าไปภายใน

หญิงชราวัยเจ็ดสิบตอนปลายก้มลงกรวดน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่โดยมีวรดา ลูกสะใภ้ช่วยประคอง แม้ลลนาจะอธิษฐานอยู่ในใจ ปราณปรียาก็ได้ยินเสียงกังวานใสอย่างชัดเจน

‘ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำในวันนี้ให้แก่ปราณปรียา นฤบาลบดี เพื่อนรักของข้าพเจ้า ไม่ว่าเธอจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ขอให้เธอมารับบุญกุศลที่ข้าพเจ้าอุทิศให้ในครั้งนี้ด้วยเทอญ’

ความอิ่มเอมและเป็นสุขอาบเอิบไปทั่วทุกอณูของปราณปรียา โต๊ะอาหารเรียบง่ายผุดขึ้นมาจากผืนดินด้านหน้า มันเต็มไปด้วยสำรับกับข้าวที่เธอเคยชอบ เพื่อนรักยังจำได้ทุกอย่าง

ปราณปรียามองร่างที่ท้วมขึ้นเล็กน้อยตามวัยของเพื่อน ใคร่อยากบอกให้ลลนารู้ว่าตนซาบซึ้งมากเพียงไร แต่คนที่เธอติดต่อสื่อสารด้วยได้ในยามนี้มีเพียงท่านเจ้าที่ซึ่งเยี่ยมหน้าออกมาทักทายจากศาลพระภูมิรูปร่างทันสมัยไม่แพ้บ้านหลังใหญ่

“สวัสดีค่ะท่าน” ปราณปรียายกมือไหว้

“ตามสบายนะคุณ” ท่านเจ้าที่โบกมือให้

เธอคุ้นเคยกับท่านเพราะมาบ้านหลังนี้บ่อย ต้องขอบคุณลลนาที่ลดทิฐิลงหลังจากปราณปรียาเสียชีวิต เพื่อนถึงกับเคยเอ่ยปากอนุญาตให้ดวงวิญญาณของเธอตามเข้าไปได้ทุกบ้านที่เจ้าตัวอาศัยอยู่ แม้กระทั่งบ้านใหม่ซึ่งครอบครัวเลอเลิศพงศ์เพิ่งย้ายมาพำนักเมื่อไม่กี่ปีนี้หลังจากโครงการบ้านจัดสรรสุดหรูในเครือบริษัทพวกเขาสร้างเสร็จ

ลลนารู้สึกผิดที่ปฏิเสธการพบปะปราณปรียาในยามมีชีวิต และหมั่นทำบุญให้เธอเป็นประจำ…น่าเศร้าที่เพื่อนเพิ่งมาเสียดายเวลาและมิตรภาพก็ตอนที่ฝ่ายหนึ่งได้ตายจากไปแล้ว

ดวงตาคู่งามหมองหม่นลง คงจะดีถ้าคนเป็นได้เข้าใจสิ่งที่คนตายเพิ่งตระหนักรู้หลังทุกสิ่งสายเกินแก้ คนตายอย่างปราณปรียาไม่สามารถสื่อสารกับคนที่ตนรักได้อีก เพียงแค่แสดงความขอบคุณต่อลลนาก็ยังทำไม่ได้

เพื่อนรักไม่ได้มองมาทางนี้ แต่หันหลังกลับไปทางตัวบ้าน ปราณปรียาเบนสายตาตามไป และเห็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีเดินเข็นจักรยานออกมา

เขาแต่งกายง่ายๆ สบายเกินไปด้วยซ้ำตามมาตรฐานของปราณปรียา เสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงฟุตบอลขาสั้นสีดำ สวมหมวกและรองเท้าขี่จักรยานสีน้ำเงินสลับส้มสะท้อนแสง สะพายกระเป๋าใบโตไว้

ด้านหลังอย่างทะมัดทะแมง ความธรรมดาของเครื่องแต่งกายหาได้ลดทอนความหล่อเหลาของวงหน้าคมเข้มที่โดดเด่นราวกับพระเอกภาพยนตร์ลงได้ มันกลับทำให้ชายหนุ่มดูเท่และมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

แต่ถึงเขาหล่อแค่ไหนก็แพ้ภูรินทร์ หลานชายของเธออยู่ดี!

ปราณปรียารู้จักพ่อหนุ่มคนนี้…ลวัศกร เลอเลิศพงศ์…หลานคนโตของลลนากับเลอสรรค์ เขาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับภูรินทร์และชัยภัคดิ์มาตั้งแต่สมัยเรียน ขับเคี่ยวแข่งกันมาทุกเรื่องจนถึงทุกวันนี้

“ไปออฟฟิศหรือต้น”

ลลนาถามหลานชายที่เดินตรงมาหา สีหน้าของเพื่อนรักไม่แสดงความแปลกใจกับเสื้อผ้าของผู้เป็นหลานเลยสักนิด

“ครับย่า วันนี้ผมมีประชุมแต่เช้าเลย”

“ไปประชุม? ชุดนี้เนี่ยนะ” ปราณปรียาแบะปากอย่างรับไม่ได้

“หนุ่มรักษ์โลกน่ะ ออฟฟิศอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโล เจ้าต้นก็เลยปั่นจักรยานไปทำงานทุกวัน เขาว่าจะได้ไม่ก่อมลภาวะจากท่อไอเสียรถยนต์” ท่านเจ้าที่ออกมาจากศาลตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เขายกมือไพล่หลัง มองลวัศกรด้วยแววตาเอ็นดู

“แต่เขาจะใส่ชุดนี้ไปประชุมจริงๆ หรือคะท่าน นั่นรองประธานกรรมการบริหาร แอลแอลดีเวลลอปเมนต์ จำกัด วงเล็บมหาชน เชียวนะ!”

“เขาเตรียมชุดทำงานใส่กระเป๋าใบนั้นไปไงล่ะคุณ ถึงออฟฟิศ เขาก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกทีหนึ่ง”

“แหม ทำไมต้องทำให้ชีวิตมันยุ่งยากด้วย”

“เด็กรุ่นใหม่ก็อย่างนี้แหละ คิดอะไรไม่เหมือนเรา หลานบ้านนี้สุดโต่งกันทุกคน เจ้าต้นรักสิ่งแวดล้อม ส่วนน้องสาวก็เชื่อหมอดูจนขึ้นสมอง” ท่านเจ้าที่หัวเราะเบาๆ

ปราณปรียาเก็บข้อมูลของเด็กทั้งคู่ไว้อย่างเงียบๆ และหันไปตั้งใจฟังการสนทนาของมนุษย์ทั้งสามต่อ

“เห็นแม่บอกว่าต้นจะไปทำงานเมืองนอกหรือลูก”

“ครับย่า ผมจะไปประชุมกับดูงานที่เนเธอร์แลนด์”

ชื่อประเทศสะดุดหูปราณปรียาเหลือเกิน เธอเพิ่งได้ยินใครบางคนพูดถึงมันอยู่หยกๆ

“ฝากเยี่ยมคุณกับครอบครัวแทนแม่ด้วยนะ” วรดาเอ่ยกับบุตรชาย

“แน่นอนครับ พี่คุณชวนผมไปค้างที่บ้านด้วย”

“นิติคุณ ลูกของพี่สาววรดา เขาเป็นทูตพาณิชย์อยู่ที่กรุงเฮกน่ะ” ท่านเจ้าที่อธิบายทันทีที่เห็นแววตาเต็มไปด้วยคำถามของปราณปรียา

“อย่างนี้นี่เอง” เธอพยักหน้า

แต่…กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ นี่มันยิ่งคุ้นเข้าไปใหญ่…

“ต้นจะไปกี่วันล่ะ” ลลนาถาม

“สองอาทิตย์ครับ ผมมีโปรแกรมทำงานที่นั่นอาทิตย์กว่าๆ แต่ว่าจะอยู่ต่ออีกสักนิดหนึ่ง ไหนๆ ก็ได้ไปแล้ว เลยจะถือโอกาสอู้งานไปเที่ยวดูตึกแถวๆ นั้นเสียเลย ย่าอย่าบอกปู่นะครับ แม่ก็อย่าบอกพ่อนะ” ชายหนุ่มกอดย่ากับมารดาคนละทีสองทีอย่างออดอ้อน

“ไม่บอกอยู่แล้ว ย่าอยากให้ต้นไปพักผ่อนบ้าง เราทำงานหนักไปแล้วนะลูก วันหยุดก็แทบไม่มี แอลแอลใช้งานหลานฉันหนักเกินไปแล้ว!”

“ผมเต็มใจครับย่า ไม่งั้นจะถูกไอ้พวกซีเคพีกับพีพีมาแย่งงานไปหมด”

ปราณปรียาสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อย่อบริษัทของครอบครัวตนเอง นี่อย่างไรเล่า ผลพวงจากการแตกหักของผู้ใหญ่พานให้รุ่นเด็กเขม่นกันไปด้วย

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ย่าเบื่อจะฟัง” ลลนาเอ็ด

“โอเคครับย่า ย่าอยากได้อะไรที่เนเธอร์แลนด์รึเปล่า กังหัน ทิวลิป รองเท้าไม้ ชีส วัว…ผมขนวัวทั้งตัวมาให้ย่าได้นะ ถ้าย่าจะเอา” ลวัศกรยิ้มทะเล้น

“ไม่ตลกย่ะ” ลลนาตีแขนหลานชายพร้อมกับค้อนวงใหญ่ แต่กระนั้นก็ลอบยิ้มเมื่อลวัศกรกอดร่างท้วมไว้อย่างออดอ้อน

“ฝากหอมแก้มสองสาวแทนย่าด้วยก็แล้วกัน ป่านนี้จะโตกันแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ยังจะจำทวดลมได้ไหมน้อ”

“เอาแค่พวกแกจะจำผมได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้เลยครับ ตอนไปที่โน่นใหม่ๆ แกยังเพิ่งหกขวบกับสองขวบเอง นี่ก็ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว”

“น่าอิจฉาพี่วิ มีหลานจากคุณมาให้เลี้ยงแล้ว เมื่อไหร่ต้นจะมีหลานให้แม่กับคุณย่าบ้างฮึ” วรดาคาดคั้นเสียงเข้ม

“ก็คงต้องมีสักวันแหละแม่ แต่ยังไม่ใช่วันนี้”

“ไม่ใช่วันนี้แล้วจะวันไหน”

“วันไหนก็วันนั้นแหละครับ ผมไม่รีบ”

“แต่แม่รีบ”

“ย่าก็รีบ อีกไม่กี่ปีย่าก็จะแปดสิบแล้วนะ กลัวจะตายก่อนได้เห็นหลานสะใภ้กับเหลนน่ะสิ”

“ย่าน่ะหรือจะแปดสิบ สวยปิ๊งขนาดนี้ ผมคิดว่าย่าเพิ่งห้าสิบเสียอีก”

“เว่อร์ไปแล้วย่ะ” ลลนาค้อนปะหลับปะเหลือกพาให้ลวัศกรหัวเราะชอบใจ

“หลานชายเธอน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย” ปราณปรียายิ้มเอ็นดู

เมื่อเห็นชายหนุ่มกระเซ้าย่ากับมารดา ปราณปรียาก็ยิ่งชอบเด็กคนนี้ หากผู้หญิงคนไหนได้อยู่กับเขา คงอารมณ์ดีทั้งวัน

หนุ่มนักธุรกิจหัวใจรักษ์โลก ชอบดูตึก นั่นก็แปลว่าลวัศกรน่าจะชื่นชมสถาปัตยกรรมและศิลปะ เขาชอบปั่นจักรยาน กำลังจะไปกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

อา…เธอนึกออกแล้ว!

ปราณปรียาเอารูปถ่ายซึ่งนภัสสรเดินทางไปเนเธอร์แลนด์มาดู ตรงศูนย์กลางของภาพมีหญิงสาววัยยี่สิบเศษหน้าตาสวยเด่นที่ทุกคนไปร่วมแสดงความยินดีในงานรับปริญญาโทของเธอ

‘เดียร์ กมลดา’

น้องสาวคนสุดท้องของชัยภัคดิ์ เธอเรียนอยู่ที่กรุงเฮก มาเยี่ยมเมืองไทยในช่วงสั้นๆ จึงได้ถ่ายรูปนี้ร่วมกับทุกคน และกำลังจะบินกลับเนเธอร์แลนด์ในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ปราณปรียาชอบเด็กคนนี้ เสียดายที่เธอมีหลานชายเพียงคนเดียว แต่ลวัศกรก็ถือเป็นหลานได้เหมือนกัน

หากกมลดามาดองกับลวัศกร ลูกหลานของเทียมกับเลอสรรค์ก็จะได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ความหวังที่สามครอบครัวจะคืนดีกันได้ในอนาคตอาจอยู่ไม่ไกล

กมลดาเรียนที่กรุงเฮก ลวัศกรกำลังจะไปที่นั่น ไม่มีอะไรจะลงตัวยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ต่อให้ประเทศเนเธอร์แลนด์กว้างใหญ่เพียงไร ก็ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับเธอ ปราณปรียายิ้มย่อง

“ฉันเคยเป็นกามเทพให้เด็กๆ มาแล้วคู่หนึ่ง ทำไมฉันจะเป็นกามเทพให้เด็กๆ อีกคู่ไม่ได้ ต้น เดียร์ รอย่าก่อนเถอะ ย่าจะทำให้พวกเธอรักกันเอง!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น