2

บทที่ 2


 

ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ลวัศกรเพิ่งเสร็จสิ้นการจากเช็กอินที่เคาน์เตอร์ของสายการบินซึ่งเขาจะโดยสารไปประเทศเนเธอร์แลนด์ ชายหนุ่มสะพายเป้ เดินตรงไปยังทิศทางซึ่งจะนำไปสู่ทางเข้าช่องทางพิเศษ ฟาสต์ แทร็ก เลน อันเป็นทางลัดสำหรับผู้โดยสารชั้นบิซิเนสคลาสกับเฟิสต์คลาส

ทว่ายังเดินไปไม่ถึงไหน เขาก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่ทำให้บรรยากาศในสนามบินอึดอัด มัวซัวราวกับมีมลภาวะเป็นพิษกระจายอยู่ในอากาศ

ลวัศกรมองอย่างระแวดระวัง ก่อนที่ดวงตาคมจะวาบปลาบ ใบหน้าซึ่งเปื้อนยิ้มอยู่เป็นนิจขึงขังขึ้นทันควัน เมื่อเขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนเด่นสะดุดตาอยู่ท่ามกลางนักท่องเที่ยว เกือบทั้งหมดเป็นผู้ชายร่างบึกบึน สวมสูทสีเข้ม ใส่แว่นตาดำ ชวนให้นึกถึงแก๊งมาเฟียในภาพยนตร์ต่างประเทศที่พร้อมจะหาเรื่องใครสักคน ผู้ซึ่งถูกหมายหัวก็น่าจะเป็นเขานี่แหละ เพราะถึงจะสวมแว่นกันแดด เขาก็สัมผัสได้ว่าไอ้พวกนั้นมองมาทางนี้

ชายหนุ่มจำได้ทันทีว่ามันเป็นลูกสมุนของ ‘หนึ่งในศัตรูหมายเลขหนึ่ง’ ของตน…ไม่ใช่สิ…ของพ่อ ของปู่ ของทุกคนในวงศ์ตระกูลเขาเลยต่างหาก

ไอ้พวกเจริญกิจพัฒนา!

ชัยภัคดิ์ คู่แค้นตลอดกาลของลวัศกรยืนอยู่เกือบจะกลางวง เขาเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันกับไอ้หมอนี่ เป็นคู่แข่งกันมาทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเรียน ไปจนถึงการทำกิจกรรมอื่นๆ นอกห้อง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะแม้เมื่อมาสืบทอดกิจการของที่บ้าน พวกเขาก็ยังแข่งกันต่อ

ล่าสุดแอลแอล ดีเวลลอปเมนต์ของเขาเพิ่งแพ้ซีเคพี คอนสตรักชันของชัยภัคดิ์ไปหมาดๆ งานก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปโภคมูลค่าถึงห้าพันล้านหลุดลอยไปอย่างน่าเจ็บใจ

คิดแล้วเขาก็ยังแค้นไม่หาย!

ทุกครั้งที่เห็นชัยภัคดิ์ ลวัศกรเป็นอันต้องหมั่นไส้ในความขี้เก๊กทำเป็นเข้มแบบเจ้าพ่อมาเฟียในหนังคนอื่นอาจหวาดกลัว แต่ไม่ใช่ลวัศกร ร่างสูงพอๆ กันกับเขาสวมสูทสีดำสนิท เสื้อเชิ้ตข้างในก็ดำ เนกไทก็ดำ กางเกงก็ดำ รองเท้าก็ดำ แถมยังสวมแว่นตาดำอีก หนำซ้ำบอดีการ์ดของชัยภัคดิ์ทุกคนก็สวมสูทสีดำไม่ต่างจากเจ้านาย

‘ในชีวิตนี้ มันคงไม่รู้จักสีอื่นเลยสินะ’ ลวัศกรแค่นยิ้มอย่างดูถูก

ความดำทะมึนของเครื่องแต่งกายที่ชัยภัคดิ์สวมใส่ช่างแตกต่างจากเสื้อสูทและกางเกงสีฟ้าครามของน้องชายซึ่งยืนอยู่ข้างๆ

ชัยพลมีรูปร่างสูงโปร่งกว่าผู้เป็นพี่และเห็นได้ชัดว่าเขารู้จักสีอื่นในโลกนี้มากกว่าพี่ด้วย ชายหนุ่มไม่ได้ผูกเนกไท แต่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคอตั้งไว้ด้านใน ทับด้วยเสื้อถักสีกรมท่าน่าจะเป็นแบรนด์เนมเขาจึงเหมือนนายแบบบนรันเวย์แฟชั่น

บอดีการ์ดของชัยพลยืนอารักขาอยู่คนละฟากกับผู้ติดตามของชัยภัคดิ์ เขาสวมสูทสีกรมท่า ด้านในมีเสื้อเชิ้ตสีฟ้าครามเฉดเดียวกับสูทของเจ้านายและผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้ม เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่มองลวัศกรอยู่

ตรงกลางระหว่างชัยภัคดิ์กับชัยพล มีผู้หญิงต่างวัยสามคน สองในนั้นคือเพ็ญกับภคมน ย่าและมารดาของพวกเขา ทั้งคู่ผลัดกันโอบกอดหญิงสาวร่างเพรียวบางลวัศกรคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นเธอ ก่อนจะนึกได้ว่าครอบครัวนี้มีน้องสาวอีกคน คุ้นๆ ว่าชื่อ ‘เดียร์’ ชัยภัคดิ์กับชัยพลหวงนักหวงหนาถึงกับเคยไล่เตะเด็กผู้ชายที่พยายามตามจีบเธอ

เจ้าหล่อนอายุห่างจากลวัศกร…น่าจะ…สี่ปีได้ ตอนเขาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เธอยังเป็นแค่เด็กมัธยมต้น เป็นนักกีฬาของโรงเรียน มักจะซ้อมวิ่งบนลู่รอบสนามฟุตบอลที่เขาเล่นอยู่เป็นประจำ ลวัศกรไม่เจอเธอตั้งแต่เขาจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เธอไม่ออกงานสังคมกับที่บ้าน หรือลงนิตยสารใดๆ แบบที่พวกไฮโซมักจะทำ

เวลาสิบกว่าปีที่ผ่านไป เจ้าหล่อนโตเป็นสาวแล้ว สวยเสียด้วย โชคดีที่เธอหน้าตาละม้ายไปทางชัยพล เพราะหากคล้ายชัยภัคดิ์ละก็…น่าสงสารแย่!

วงหน้าเก๋ล้อมกรอบด้วยเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลมะฮอกกานีนัยน์ตากลมโตเปี่ยมชีวิตชีวาและแพขนตางอนยาวตามธรรมชาติรับกับคิ้วหนาได้รูปราวกับถูกวาดไว้ จมูกโด่งเป็นสันเรียวปากอวบอิ่มเผยอออกเล็กน้อย ช่างเซ็กซี่ทีเดียว

เรือนร่างที่เคยสูงเก้งก้างแบบเด็กๆ มีส่วนเว้าส่วนโค้งงดงามพอดิบพอดี ไม่มากไปหรือน้อยไป เขาเห็นโค้งเว้านั้นได้ชัดจากเสื้อยืดคอวีเข้ารูปสีขาวแขนสั้น กับกางเกงจ็อกเกอร์สีดำขลิบขาวซึ่งแนบไปกับสะโพกผาย เธอดูดีแม้จะสวมเพียงชุดลำลองง่ายๆ กับรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่เก่า สะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลทะมัดทะแมง

เจ้าของดวงตาดำขลับตวัดมายังเขาราวกับรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง ลวัศกรตกใจเล็กน้อยที่ถูกจับได้ แต่เรื่องอะไรจะยอมเสียฟอร์ม เขาส่งยิ้มให้ และเห็นคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นตอบมา

ไอ้มาเฟียจอมปลอมถลันเข้ามาบังหญิงสาวจนหายไปอยู่ด้านหลัง แม้ชัยภัคดิ์จะไม่ถอดแว่นกันแดด ลวัศกรก็รู้สึกถึงประกายไฟที่ลั่นเปรี๊ยะๆ อยู่หลังกรอบแว่น

ชายหนุ่มยิ้มเยาะยกมือขึ้นปาดผมแบบเท่ๆ เดินอาดเข้าไปหาด้วยท่าทางที่มั่นใจว่าหล่อและกวนตีนที่สุด รู้ตัวว่าอย่างไรเขาก็กินขาด

ชัยภัคดิ์ถอดแว่นกันแดดเสียบตรงกระเป๋าเสื้อสูท เผยให้เห็นดวงตาวาววับฉายแววฟาดฟัน เขาก้าวเข้ามาประจันหน้าลวัศกร

ท่ามกลางความตึงเครียด ลวัศกรเหลือบไปเห็นหญิงชราผู้สูงวัยที่สุดในนั้นมองมาพอดี หน้าตาใจดีของเพ็ญทำให้ชายหนุ่มนึกถึงย่าของตัวเอง เขาจึงยกมือไหว้

“สวัสดีครับ”

เพ็ญไหว้ตอบด้วยรอยยิ้มมีเมตตา ดูเหมือนเธอจะจำเขาไม่ได้ ลวัศกรหันไปไหว้ภคมนอีกคนอย่างมีมารยาท มารดาคู่อริรับไหว้ แต่ไม่ได้ยิ้ม และก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้งเหมือนกัน

“อย่ามายุ่งกับครอบครัวฉัน!” ชัยภัคดิ์พูดให้ได้ยินกันแค่สองคน

“ไม่ได้หรอก ฉันเป็นคนมีมารยาท”

ลวัศกรยิ้มยียวน ยิ่งเห็นคู่อริหงุดหงิด เขาก็ยิ่งสนุก จากที่คิดว่าจะแค่ทักผู้ใหญ่ตามมารยาททางสังคม ชายหนุ่มจึงเลือกทำในสิ่งที่มั่นใจว่าจะยั่วให้ชัยภัคดิ์โกรธมากขึ้น เขาขยับตัวให้เพ็ญมองเห็นตนได้ชัดๆ แล้วชวนคุยอย่างนอบน้อม

“ไม่ได้พบท่านมานานเลย ท่านสบายดีนะครับ”

“สบายดีค่ะ เอ…หน้าคุณดูคุ้นๆ นะ”

“ผมชื่อต้นครับ เคยเจอท่านตอนที่ผมยังเป็นเด็ก แต่ท่านยังดูแข็งแรงและสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ อย่างกับหยุดเวลาไว้แน่ะ” ลวัศกรรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จากที่เคยเห็นเพ็ญไปรับหลานๆ ที่โรงเรียนในบางวันสมัยพวกเขายังเด็ก

“แหม คุณก็พูดเกินไป ขอบใจนะ คนแก่เลยได้กระชุ่มกระชวย คุณเองก็หล่ออย่างกับดารา ฉันจำคุณไม่ได้ ขอโทษด้วย เอ๊ะ หรือว่าคุณเป็นดาราคะ” รอยยิ้มของเพ็ญที่ผ่องใสขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าเธอชื่นชอบคำชมของเขา

“ไม่ใช่ดาราหรอกครับอาม่า ไอ้ต้น ลวัศกร เลอเลิศพงศ์ หลานคุณเลอสรรค์ไง” ชัยภัคดิ์บอกเสียงแข็ง

“อ้าว!” เพ็ญยกมือทาบอกและเงียบไปเลยทันที

“ครับ ผมเป็นหลานปู่สรรค์กับย่าลม แต่ผมดีใจจริงๆ นะครับที่ได้พบท่านในวันนี้” ลวัศกรยืนยันด้วยรอยยิ้มสุภาพ ส่งผลให้เพ็ญอดยิ้มตอบไม่ได้

“หยุดทะลึ่งกับอาม่าของฉันได้แล้ว” ชัยภัคดิ์กระซิบเสียงเย็นเยียบ

“แต่อาม่าของนายท่านเอ็นดูฉันนะ” ลวัศกรโต้กลับพลางยักคิ้วข้างเดียวให้

“ไอ้…”

“ผมไปก่อนนะครับท่าน สวัสดีครับ”

ลวัศกรไหว้ลาเพ็ญและภคมนโดยไม่สนใจไอ้คู่แค้น ทั้งสองไหว้ตอบมา ชายหนุ่มกำลังจะหันหลังกลับ สายตาก็ปะทะกับเจ้าของวงหน้าสวยที่ยังคงขมวดคิ้วมองมา

เขาไม่รู้ว่าน้องสาวคู่อริเหม็นขี้หน้าตนเหมือนที่พี่ชายเธอคอยเสี้ยมสอนหรือไม่ แต่ถ้าไม่คิดอะไร เธอจะนิ่วหน้าทำไม

เห็นแล้วมันน่าแกล้ง!

“พี่ไปก่อนนะครับน้องเดียร์ สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยิ้มเก๋ไก๋ แสร้งรอให้หญิงสาวตอบ

เจ้าหล่อนยกมือไหว้ด้วยสีหน้าที่เขาอ่านไม่ออก แต่ก็ช่างเถอะ แค่เห็นชัยภัคดิ์แทบจะเต้นเร่า เขาก็สนุกจะแย่ ลวัศกรรับไหว้อย่างอารมณ์ดี

“อย่ายุ่งกับน้องฉัน!” ชัยภัคดิ์ตะคอก อีกนิดหนึ่งอาจเหวี่ยงหมัดชกหน้าคน

ลวัศกรยิ้มทะเล้น เขายักคิ้วให้ชัยพลอีกคน แล้วหมุนตัวอย่างเท่ๆ เดินทอดน่องออกไปให้ดูกวนตีนแม้อีกฝ่ายจะเห็นเขาแค่ด้านหลัง มั่นใจว่าตอนนี้ชัยภัคดิ์คงเดือดดาลจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงตัดกับเสื้อผ้าสีดำแล้ว

ถึงลวัศกรจะสะใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าการเจอชัยภัคดิ์ทำให้เสียฤกษ์การเดินทาง

‘ทำไมต้องมาเจอตัวซวยตั้งแต่ต้นอย่างนี้ด้วยวะ!’

ชายหนุ่มหวังว่าการทำงานของเขาในต่างแดนจะไม่มีอุปสรรค เขาเอามือปัดไปตามตัวเพื่อไล่ความซวยออก ก่อนจะเข้าไปในช่องทางพิเศษพร้อมกับพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินไปประเทศเนเธอร์แลนด์

ที่ซึ่งไม่มีพวกเจริญกิจพัฒนาไปเสนอหน้าอยู่อย่างแน่นอน

 

พี่ชายคนโตของเธอโกรธจนแทบคลั่งไปแล้ว กมลดามองผู้เป็นพี่สลับกับผู้ชายตัวสูงที่เพิ่งเดินจากไป

สองคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่เกลียดขี้หน้ากันมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ยังมีภูรินทร์อีกคน ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเห็นทั้งสามหาเรื่องทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เวลาไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ขนาดพวกเขาโตจนอายุจะสามสิบอยู่อีกไม่นาน ก็ยังเถียงกันเหมือนเด็กๆ

กมลดาไม่ได้เจอลวัศกรมานานแล้ว แต่เห็นเขาบ่อยในสื่อต่างๆ คู่แค้นของพี่ชายยังกวนประสาทเหมือนเดิม เธอไม่เคยคุยกับเขาหรอก แต่ชัยภัคดิ์ด่ากรอกหูมาตั้งแต่เล็ก เธอจึงพานหมั่นไส้เขาไปด้วย

“ทำไมเดียร์ต้องไปไหว้มัน”

“เขาอายุมากกว่าเดียร์นี่คะ ถ้าเดียร์ไม่ไหว้ เขาอาจจะว่าเอาได้ว่าบ้านเราไม่อบรมสั่งสอน” เธอชี้แจงอย่างใจเย็น

“ไม่เห็นต้องแคร์มันเลย คราวหน้าเดียร์อย่าไปไหว้มันอีกนะ”

“ไม่มีคราวหน้าหรอกเฮีย ร้อยวันพันปีเดียร์ก็ไม่เคยเจอเขา ต่อไปก็คงไม่ได้เจอหรอก” กมลดาลูบแขนพี่คนโตปลอบให้สงบลง

“นั่นสิ คนไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปี ย่าเลยจำเขาไม่ได้ เห็นหน้าคุ้นๆ ก็เลยคิดว่าเป็นดารา ที่แท้ก็หลานสรรค์กับลมนี่เอง ตอนเด็กๆ เขาก็หน้าตาดีนะ แต่พอโตขึ้น หล่อกว่าเดิมอีก”

“หล่อตรงไหนกันครับอาม่า หน้าอย่างกับลิง ต้องอย่างผม อย่างไทเกอร์สิครับ ถึงจะเรียกว่าหล่อ”

ชัยภัคดิ์โวยวายพลางพยักพเยิดไปทางชัยพลซึ่งมีใบหน้าสวยเกินผู้ชายทั่วไป บางครั้งกมลดาก็อดคิดไม่ได้ว่าหากจับพี่คนรองมาแต่งตัวเป็นผู้หญิงและยืนเทียบกับเธอ เขาอาจสวยกว่าด้วยซ้ำ

“โอ๊ย ใครจะหล่อไปกว่าหลานย่าได้ล่ะ แบร์กับไทเกอร์หล่อที่สุดในโลกแล้ว เพราะมีย่าสวย” เพ็ญหัวเราะคิกคัก ทุกคนจึงขบขันตาม บรรยากาศอันตึงเครียดมลายหายไปทันที

“วันนี้คนเยอะเหมือนกันนะ ลื้อน่าจะเข้าไปข้างในได้แล้วนะ เผื่อคิวตรวจอะไรๆ มันจะยาว” มารดามองนาฬิกาข้อมือ

“ค่ะม้า” เธอใจหายเมื่อนึกถึงการจากลา

“พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน ทุกอย่างอยู่ครบนะ” ชัยภัคดิ์สำรวจไปรอบๆ ตัวน้องสาว

“ครบสิคะ นี่ไง” กมลดาชูพาสปอร์ตซึ่งมีบัตรโดยสารเครื่องบินเสียบอยู่ข้างใน

“กระเป๋าตังค์ล่ะ เอามารึเปล่า”

“แหม ก็ต้องเอามาสิ อยู่ในนี้” เธอตบกระเป๋าสะพายหนังสีน้ำตาลใบเก่งดังปุๆ

“การ์ดเอาใส่กระเป๋ารึยัง เดี๋ยวไม่มีตังค์ใช้” เขาถามถึงบัตรเดบิตของธนาคารในเนเธอร์แลนด์เนื่องจากประเทศดังกล่าวแทบจะเป็นสังคมไร้เงินสดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

“ไม่เคยเอาออกจากกระเป๋าเลย”

“จริงอะ ไหนขอดูหน่อย” ชายหนุ่มเอื้อมมือมาที่กระเป๋าสะพายของเธอ

“เฮียแบร์ เดียร์อายุยี่สิบห้าแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว” หญิงสาวโวย

“เออว่ะเฮียลืมไป โทษที” ชัยภัคดิ์หัวเราะเก้อๆ

“แหม ตั้งแต่มีแฟนเด็กนี่ลืมตลอดเลยนะเฮีย”ชัยพลแซวพี่ชาย

ชัยภัคดิ์ลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ เขาอายุยี่สิบเก้าปีแล้ว แต่ริอ่านจีบเด็กมัธยม อ้อ ไม่ใช่สิ นภัสสรเป็นเฟรชชีในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแล้วต่างหาก

“เดียร์จะไม่ให้เฮียอัปเกรดเราไปนั่งชั้นบิซิเนสคลาสจริงๆ หรือ ทิ้งตั๋วเครื่องบินอันนี้ไปเหอะ เฮียซื้อตั๋วใหม่ให้เอง” ชัยพลเสนอเหมือนที่เขาพูดซ้ำๆ มาหลายหนแล้วตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“อย่าเลยค่ะเฮียไทเกอร์ เสียดายเงิน ที่นั่งอีโคโนมีก็สบายออกเดียร์นั่งได้ ไม่ต้องห่วง”

“ห่วงสิ ตั้งสิบสองชั่วโมง หลังขดหลังแข็งกันพอดี”

“เดียร์บินอีโคโนมีได้จริงๆ นะ แล้วเราก็เช็กอินไปแล้วด้วย ขามาเดียร์ก็นั่งมาแล้ว สบายออกจะตาย”

“ปล่อยน้องไปเหอะไทเกอร์ เฮียพูดจนปากแฉะแล้ว เดียร์ไม่ยอมฟัง”

ชัยภัคดิ์สบตากับชัยพลอย่างมีความหมาย คล้ายกับว่าทั้งสองส่งสัญญาณลับกันอยู่ และชัยพลก็พยักหน้า

“พวกเฮียแอบวางแผนอะไรกันอยู่ใช่ไหม ไม่ต้องเลยนะคะแล้วก็อย่าแอบโอนเงินให้เดียร์ด้วย เดียร์หาเงินเองได้แล้ว มีเงินพอใช้น่า”

“ใครโอนเงินให้เดียร์ ไม่มี้” ชัยภัคดิ์ปฏิเสธเสียงสูง

“นั่นสิ ไม่มีเลย ไม่ใช่เราสองคนแน่นอน” ชัยพลแกล้งมองไปทางอื่น

กมลดามองพี่ชาย แล้วส่ายหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วเธอแอบซึ้งใจในความห่วงใยของพวกเขา

ทายาทคนสุดท้องของเจริญกิจพัฒนาเพิ่งเรียนจบปริญญาโทในสาขาที่เธอเลือกเอง แม้จะได้รับการคัดค้านจากปู่และบิดาซึ่งไม่เคยเห็นค่าของลูกสาว กมลดาไม่อยากเดินตามเส้นทางที่ถูกขีดไว้ให้ เพราะมีความฝันของตัวเอง

ก่อนหน้านี้กมลดาเคยพยายามเอาความฝันมารวมกับความต้องการของผู้นำครอบครัวด้วยการเรียนปริญญาตรีสาขามัณฑนศิลป์เพื่อจะได้ทำงานออกแบบตกแต่งภายในให้กิจการอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แต่เมื่อลองไปทำงานจริงๆ ก็พบว่าไม่ใช่ตนเอง เธอจึงดิ้นรนมาเรียนปริญญาโททางการออกแบบเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งน่าสนุกกว่า แม้จะไม่มีใครเห็นด้วย

โชคดีที่ชัยภัคดิ์กับชัยพลเข้าใจน้องสาวเสมอ พวกเขาช่วยกันเกลี้ยกล่อมจนทุกคนยอมให้กมลดาได้มาเรียนในสิ่งที่รัก แต่พ่อของเธอมีข้อแม้ว่าเขาจะส่งเสียแค่ค่าเล่าเรียนกับค่ากินอยู่ในจำนวนเงินที่จำกัด นอกนั้นกมลดาต้องหาเงินเอง หญิงสาวจึงทำงานพาร์ตไทม์ไปด้วย

บัดนี้กมลดาเรียนจบแล้วเพ็ญ ภคมน พี่ชายทั้งสอง แฟนของชัยภัคดิ์ และมารดาของเธอบินไปร่วมงานรับปริญญาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง แม้หญิงสาวจะทัดทานด้วยความเกรงใจว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ทุกคนต้องลำบากเดินทางไป แต่พวกเขาเห็นว่าอะไรที่เกี่ยวกับเธอนั้นย่อมสำคัญเสมอ

กมลดาเดินทางกลับมาเยี่ยมเมืองไทยพร้อมทุกคนตามคำขอร้องของผู้เป็นย่าว่าควรเอาใบปริญญามาให้ปู่กับบิดาชื่นชมแม้หญิงสาวรู้ว่าทั้งคู่ไม่มีทางไยดีหรอก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ใบปริญญาเป็นแค่เศษกระดาษสำหรับพวกเขา

ระหว่างการเดินทางกลับ กมลดาทำให้ย่า มารดา และพี่ชายบ่นกันไปหลายยกโทษฐานที่เธอแอบซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับอัมสเตอร์ดัม-กรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ-อัมสเตอร์ดัมในชั้นประหยัด ไม่ใช่ชั้นธุรกิจเหมือนคนอื่นแม้จะเดินทางกลับมาในเครื่องบินลำเดียวกันก็ตาม

หญิงสาวอยากใช้เงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงตนเองมากกว่าและตั้งใจอีกด้วยว่าจะไม่ทำงานกับบริษัทของครอบครัวปู่กับบิดาจะต้องเห็นว่าเธอสามารถประสบความสำเร็จในหนทางที่เลือกเองนี้ได้ กมลดาพยายามหางานในสาขาวิชาที่ร่ำเรียนมาในประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ก็ยังไม่ได้งานเสียที

การได้กลับมาอยู่ในอ้อมอกของครอบครัวทำให้เธอเคยตัว เมื่อต้องจากลา หญิงสาวจึงใจหาย เธอล่ำลาย่าอย่างอาวรณ์ ต่อด้วยมารดา ซึ่งทุกครั้งที่กอดแม่ เธอก็ไม่อยากปล่อย

“เดียร์ต้องคิดถึงม้ามากแน่เลย”

“ก็ไม่เห็นต้องไปเลยนี่นา อยู่กับม้าดีๆ ก็ไม่ชอบ” ภคมนลูบศีรษะบุตรสาวพร้อมกับบ่นไปด้วย

“เดียร์ชอบอยู่กับม้านะคะ แต่ทุกคนมีทางของตัวเอง ม้าเข้าใจเดียร์ใช่ไหม” กมลดาผละจากอ้อมกอด สบตามารดาอย่างเว้าวอน

“เข้าใจสิ ไม่งั้นม้าคงไม่ยอมให้ลื้อไปตั้งแต่ต้นหรอก” มารดาคลี่ยิ้มอ่อนโยน

เพียงเท่านี้กมลดาก็มีแรงฮึดสู้ ในฐานะลูกสาวคนเดียวในครอบครัวซึ่งปู่กับบิดาเชิดชูแต่เพียงลูกชาย กมลดาน้อยเนื้อต่ำใจมาตั้งแต่จำความได้ โชคดีที่ย่า มารดา ตลอดจนพี่ทั้งสองรักและเข้าใจความรู้สึกของกมลดาเสมอ เธอจึงมีแรงใจต่อสู้มาจนทุกวันนี้

ถึงคราวที่เธอต้องไปสู้ต่อแล้ว หญิงสาวตัดใจ ออกจากอ้อมกอดมารดา แล้วลาพี่ชาย

“ขอบคุณที่มาส่งนะเฮียแบร์ เฮียไทเกอร์”

“จ้ะ เดินทางดีๆ ล่ะ ถึงแล้วบอกเฮียด้วย” ชัยภัคดิ์ตอบ

“แน่นอนค่ะ เดียร์จะไลน์บอกพวกเฮียทันทีที่ลงจากเครื่องบินเลย”

“ดีมาก” เขาลูบศีรษะทุยสวยของน้องสาว

กมลดาหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากสัมผัสของพี่ชายทั้งสองที่ต่างก็ผลัดกันกอดเธอ

“อย่าให้อากงกับป๊ารู้เชียวนะคะว่าเดียร์ยังหางานทำไม่ได้” กมลดาเตือนทุกคนด้วยเสียงอ่อยๆ

“ไม่ต้องห่วง อากงกับป๊าจะไม่รู้แน่นอน” ชัยภัคดิ์รับประกันอย่างขันแข็ง เพ็ญ ภคมน และชัยพลพยักหน้าเห็นพ้อง

“ขอบคุณค่ะ” กมลดาค่อยโล่งใจ

“ขอให้หางานได้ไวๆ นะเดียร์เฮียเอาใจช่วย” ชัยภัคดิ์ยิ้มปลอบ

“ขอบคุณนะเฮีย” เธอกราบเขาที่อก กอดร่างสูงใหญ่ด้วยน้ำตาซึมๆ

“สู้ๆ น้องรัก” ชัยภัคดิ์กอดตอบ

“รักนะเฮียแบร์” หญิงสาวพูดเสียงอู้อี้อยู่แนบอกเขา

“เฮียก็รักเดียร์เหมือนกัน” ชัยภัคดิ์ตบหลังกลมกลึงเบาๆ

“คว้าความฝันมาให้ได้นะ เฮียรู้ว่าเดียร์ทำได้” ชัยพลให้กำลังใจเธอด้วยอีกคน

หญิงสาวกอดพี่ชายทั้งสองแรงๆ และเขย่งปลายเท้า หอมแก้มพี่ทีละคน

“เดียร์ไปนะ”

“จ้ะ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ” ชัยภัคดิ์กอดรัดเธอแน่นๆ อีกหนึ่งครั้งด้วยความอาวรณ์ แล้วจึงยอมปล่อย

กมลดาทำความเคารพย่า มารดา และพี่ชายทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย เธอโบกมือลาผู้ติดตามของพวกเขา ก่อนตัดใจหันหลัง เดินขึ้นบันไดเลื่อนของผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศที่จะไปผ่านด่านตรวจหนังสือเดินทาง

หญิงสาวไม่ชอบการจากลา เธอมักจะคิดถึงพ่อแม่ พี่ชายและปู่ย่าอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในเวลาท้อใจ มีหลายครั้งที่กมลดาอยากล้มเลิก เก็บกระเป๋ากลับบ้านไปเสียเลย แต่การคว้าความฝันมาไว้ในมือได้จำต้องอาศัยความอดทนและเข้มแข็ง ในโลกนี้ไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแอหรอก

ถ้าเธอยังพิสูจน์ตนเองให้ทุกคนในบ้านเห็นไม่ได้ เธอจะไม่มีวันบากหน้ากลับไปเป็นอันขาด

 

กมลดาคล้อยหลังไปนานแล้ว ปราณปรียาเพิ่งหายตัววับมาถึงสนามบิน

เธอแต่งตัวช้าไปสักหน่อย มัวแต่เสกสรรชุดให้เข้ากับการเดินทาง ร่างระหงสวมเครื่องแบบแอร์โฮสเตสสีชมพูบานเย็น ตัวเสื้อเป็นสูทตัดเย็บเข้ารูป กระโปรงสอบยาวคลุมเข่าลงมาเล็กน้อย เธอสวมรองเท้าส้นสูงสีเดียวกับชุด เกล้าผมเป็นมวยอย่างเรียบร้อย และใส่หมวกแอร์โฮสเตสผ้าสักหลาดสีชมพูซึ่งติดเข็มรูปปีกนกสีทองแวววาว เธอลากกระเป๋าเดินทางแบบแครีออนใบเล็กซึ่งยัดสัมภาระมาไม่พอต่อการใช้งาน ทว่ามันเข้ากับชุดที่สวมใส่

“ป่านนี้สองคนนั้นจะไปถึงไหนกันแล้วนะ”

ไม่น่าเชื่อว่าลวัศกรกับกมลดาจะเดินทางวันเดียวกัน เที่ยวบินเดียวกัน นี่มันคู่แท้ชัดๆ!

ปราณปรียาเดาว่าทั้งสองน่าจะผ่านกระบวนการตรวจหนังสือเดินทางและเข้าไปด้านในแล้ว เธอจึงหายตัวตามไปดู

ไม่นานหลังจากนั้น เธอจึงเห็นแผ่นหลังกลมกลึงของกมลดาซึ่งเดินอยู่ไวๆ หญิงสาวมองหาร้านอาหารไทยราคาถูกเพื่อจะได้รับประทานเป็นมื้อสุดท้ายสั่งลาก่อนจากบ้านเกิดไปอีกนาน ขณะที่อีกฟากตรงข้ามกันลวัศกรเดินคล้อยหลังไปยังห้องรับรองของผู้โดยสารชั้นธุรกิจ

ปราณปรียามองทางซ้ายที ทางขวาที เธอจะทำอย่างไรให้ทั้งสองมาเจอกันได้สักที แต่…ไม่เป็นไร…ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเธอหรอกน่า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น