
๓
งานของปราณปรียายากยิ่งกว่าที่คิด ลวัศกรกับกมลดานั่งกันคนละโซนบนเครื่องบิน คนหนึ่งโดยสารชั้นธุรกิจ อีกคนนั่งอยู่ในชั้นประหยัด
ลวัศกรไม่รู้เลยว่าถูกจับตามอง ชายหนุ่มสนใจแต่เพียงงานในหน้าจอแท็บเล็ต จนกระทั่งได้ยินเสียงหวานๆ ทักทาย
“ขอโทษนะคะ คุณต้นใช่ไหมคะ”
เจ้าของชื่อเหลียวไปยังที่นั่งข้างๆ จึงเห็นสาวสวยคนหนึ่งส่งยิ้มมาให้
“นกยูงค่ะ ครอบครัวนกยูงเป็นเจ้าของร้านจิวเอลรีที่คุณป้าวรดาเป็นลูกค้าวีไอพีอยู่”
“อ๋อ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ลวัศกรค้อมศีรษะพร้อมส่งยิ้มให้ตามมารยาท
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ คุณป้าวรดาเล่าเรื่องคุณให้ฟังบ่อยๆ”
“แม่นินทาอะไรผมรึเปล่าครับเนี่ย”
“แหม นินทาอะไรกันล่ะคะ มีแต่ชมว่าคุณเก่ง ทำงานหนัก รักคุณแม่มาก แล้วก็…หล่อมากด้วยค่ะ” เธอยิ้มหว่านเสน่ห์
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
“คุณคงจะไปทำงานที่เนเธอร์แลนด์ใช่ไหมคะ”
“ครับ คุณทราบได้ยังไง”
“แหม นักธุรกิจไฟแรงอย่างคุณต้นคงไม่เดินทางไปเที่ยวให้เสียเวลางานหรอกค่ะ สงสัยว่าแอลแอลจะมีโพรเจกต์ยักษ์ใหญ่กับทางเนเธอร์แลนด์แน่ๆ เลย ใช่ไหมคะ”
“คุณเป็นสายที่บริษัทคู่แข่งส่งมาล้วงความลับของผมรึเปล่า” ลวัศกรแกล้งถามยิ้มๆ
“อุ๊ย คุณต้นก็…”
เจ้าหล่อนหัวเราะคิกคัก ก่อนทำตาโตเมื่อจู่ๆ ฉากกั้นระหว่างที่นั่งก็เลื่อนขึ้นมาบังหน้าเธอกับเขาไว้
“เอ๊ะ! อะไรเนี่ย” หญิงสาวพยายามยืดกายขึ้นจนสุดตัวก้นลอยจากพื้นกันเลยทีเดียว
“มันเลื่อนขึ้นมาได้ยังไง” ลวัศกรกดปุ่มให้ฉากกั้นหุบกลับลงไปดังเดิม แต่มันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าคุณไม่อยากคุยกับนกยูงก็บอกมาตรงๆ ก็ได้” เจ้าหล่อนต่อว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ”
“ฮึ! ไอ้เรารึอุตส่าห์ชวนคุยด้วย ไม่เป็นไรค่ะ นกยูงเข้าใจ”
“ไม่ใช่นะครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”
เขากดปุ่มเลื่อนฉากลงซ้ำๆ ไปมา แต่ไม่ได้ผล จึงเรียกพนักงานต้อนรับมาช่วย ไม่มีใครทำให้ฉากขยับเขยื้อนได้ ลวัศกรได้แต่เอ่ยคำขอโทษต่อสาวสวยเจ้าของร้านจิวเอลรีทั้งที่ตนไม่ได้ทำอะไรผิด
จากศีรษะที่โผล่มาให้เห็น เธอเชิดใส่เขาอย่างโกรธจัดทีเดียว ทิ้งลวัศกรให้นั่งบื้อใบ้ไปด้วยความงงงวย
เสียงหัวเราะสะใจดังมาจากที่ว่างข้างแถวที่นั่งของนักธุรกิจหนุ่ม นำโดยร่างในชุดแอร์โฮสเตสสีชมพูและเพื่อนใหม่ทั้งหลาย
ปราณปรียาตีมือไฮไฟว์กับวิญญาณช่างบำรุงอากาศยานผมทองสัญชาติเดียวกับสายการบิน รอบๆ มีวิญญาณตนอื่นที่ปรบมือชอบใจ
พวกมนุษย์คงไม่รู้ว่าบนเครื่องบินซึ่งตนโดยสารมานั้นไม่ได้มีแค่พวกเขา แต่ปะปนไปด้วยดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ทั้งแอร์โฮสเตสเก่าแก่และช่างบำรุงอากาศยานที่ยังผูกพันกับงาน อดีตผู้โดยสารวัยชราชาวเอเชียซึ่งหัวใจวายตายบนเครื่องบินลำนี้ ตลอดจนเจ้าของกระดูกและร่างซึ่งเครื่องบินเคยขนย้ายมา
ปกติแล้วเหล่าวิญญาณจะไม่สนใจกัน แต่พอมีดวงวิญญาณหน้าใหม่เข้ามา พวกเขาก็พากันสงสัย ปราณปรียาอาศัยความมีมนุษยสัมพันธ์ดีทำความรู้จักทุกตน เธอเล่าเหตุผลที่ต้องมาจับคู่ให้หนุ่มสาวทั้งสองด้วยท่าทางน่าสงสาร วิญญาณทั้งหลายยอมร่วมมือด้วยทันที
ในโลกแห่งความตายที่ทุกคนลืมพวกเขาไปหมดแล้ว วิญญาณก็อยากมีตัวตนสำหรับมนุษย์ เพียงแค่ไม่มีโอกาส ทั้งพลังอำนาจก็ไม่มากพอ ปราณปรียาก็เช่นกัน เธอไม่มีอิทธิฤทธิ์มากมายนัก แต่ถ้าพวกผีจับมือกันเมื่อไรละก็ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้
ปราณปรียากระหยิ่มยิ้มย่องมองลวัศกรที่เริ่มรับประทานอาหารซึ่งพนักงานนำมาเสิร์ฟโดยไม่มีใครมาชวนให้วอกแวกอีก หากเป็นไปได้เธออยากให้กมลดาได้ย้ายมานั่งในชั้นธุรกิจด้วยกัน เสียดายที่ไม่มีที่ว่างเหลือ จะไล่ใครออกไป เธอก็เกรงใจและดูไม่ยุติธรรม แม้จะอยากจับคู่ให้หลานของทุกคนที่เธอรักมากแค่ไหน ปราณปรียาก็มีจรรยาบรรณ
เจ้าของวงหน้างามพิลาศพยักหน้ากับเพื่อนใหม่ ก่อนทั้งหมดจะหายตัววับไปในโซนที่นั่งของผู้โดยสารซึ่งเป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง
ในโซนของผู้โดยสารชั้นประหยัดกมลดานั่งอยู่ติดกับหน้าต่าง ข้างๆ มีฝรั่งตัวสูงนั่งใกล้ทางเดิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องเริ่มเข็นรถมาเสิร์ฟอาหาร
กมลดาเปิดโต๊ะหน้าที่นั่งแทบจะพร้อมๆ กับหนุ่มผมทอง เมื่อแอร์โฮสเตสยื่นถาดอาหารมา เขาก็ช่วยรับและส่งมาให้เธอ
“Thank you.” เธอขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษ
“ด้วยความยินดีครับ” เขาตอบภาษาไทย
หญิงสาวยิ้มอย่างสุภาพ ไม่แปลกใจที่เจอฝรั่งพูดภาษาไทยได้ เพราะเขาเดินทางออกจากประเทศไทย อาจจะทำงานอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็มีภรรยาคนไทย จากการเดา กมลดาคิดว่าเขาน่าจะอายุพอๆ กับพี่ชายของเธอหรือไม่ก็มากกว่าไม่กี่ปี
“อาหารอร่อยดีนะครับ” เขายังชวนคุยเป็นภาษาไทย แม้จะแปร่งไปบ้างเล็กน้อย
“ค่ะ” เธอจิ้มปลาอบซอสซึ่งปรุงรสกำลังพอดี รับประทานกับมันฝรั่งและผัก
“ปกติผมไม่ชอบอาหารบนเครื่องบินเลย” เขาสารภาพด้วยหน้าแหยๆ
“ฉันก็ไม่ค่อยชอบค่ะ แต่จานนี้รสชาติดี” หญิงสาวส่งปลาเข้าไปในปากและเคี้ยวตุ้ยๆ
“ดีแค่ไหนก็สู้กินหมูย่างจิ้มแจ่วกับข้าวเหนียวนึ่งไม่ได้หรอก” พ่อหนุ่มตาน้ำข้าวย่นจมูกทั้งที่คนไม่ชอบอาหารฝรั่งควรเป็นคนไทยอย่างเธอมากกว่า
“จริงค่ะ” เธอหัวเราะ “คุณชอบอาหารไทยหรือคะ”
“ยา (Ja)” เขาตอบรับด้วยภาษาดัตช์ที่แปลว่าใช่ “ผมชอบอาหารไทย ตอนเด็กๆ ผมเคยอยู่เมืองไทยมาสิบสามปีครับ” เขาหยิบไวน์ขึ้นมาจิบ
“เพราะอย่างนี้เองคุณถึงพูดไทยได้คล่อง”
“ครับ พ่อผมเคยทำงานที่นั่น ครอบครัวเราเลยย้ายตามกันไปครับ อ้อ ผมชื่อฮันส์ครับ” ชายหนุ่มวางแก้วบรรจุไวน์ลง ยื่นมือออกมารอ
“ฉัน เดียร์ค่ะ” เธอเชกแฮนด์กับเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเดียร์” ฮันส์เขย่ามือหญิงสาวเบาๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” เธอดึงมือออกอย่างนุ่มนวล
“คุณจะไปเที่ยวเนเธอร์แลนด์หรือครับ” ฮันส์จิบไวน์ต่อ
“เปล่าค่ะ ฉันเรียนอยู่ที่นั่น” กมลดาซึ่งไม่ดื่มไวน์ยังคงเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า
“ว่าแล้วเชียว คุณดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดา คุณเรียนอะไรครับ”
“อินดัสเทรียลดีไซน์ค่ะ”
“น่าสนใจมาก” ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายวาววับ เขาขยับตัวจ้องมองมาอย่างจริงจังยิ่งกว่าเดิม “ที่ไหนครับ”
“รอยัล อะคาเดมี ออฟ อาร์ต เดอะ เฮก2 ค่ะ”
เธอบอกชื่อมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติในกรุงเฮก ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. ๑๖๘๒ โดยผลิตศิลปินซึ่งมีอิทธิพลในแวดวงศิลปะมาหลายยุคสมัย ในส่วนของสาขาการออกแบบ
เชิงอุตสาหกรรมที่กมลดาร่ำเรียนก็ได้มีการริเริ่มหลักสูตรนี้ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อ ค.ศ. ๑๙๓๘
“เคเอบีเค”
ฮันส์พูดชื่อย่อของมหาวิทยาลัยดังกล่าวที่มาจากชื่อเต็มในภาษาดัตช์ว่าKoninklijkeAcademie van BeeldendeKunsten
“คุณเรียนปริญญาตรีใช่ไหม”
“ปริญญาโทค่ะ”
“ปริญญาโทหรือครับ! คุณหน้าเด็กมากเลย” เขาวางแก้วไวน์ลง มองหญิงสาวอย่างทึ่งๆ
“ฉันอายุยี่สิบห้าแล้วค่ะ เรียนจบแล้วด้วย” กมลดายิ้มอวดๆ
“ผมลืมไป คนไทยหน้าเด็กกว่าอายุเกือบทุกคนคุณบอกว่าเรียนจบแล้ว คุณมีแผนจะทำอะไรต่อครับ”
“หางานทำค่ะ ฉันสมัครงานไว้หลายที่เหมือนกัน กำลังรอคำตอบอยู่” กมลดาพูดให้โก้ๆ ไปอย่างนั้น ทั้งที่ยังมืดแปดด้าน
“สไตล์งานของคุณเป็นอย่างไรล่ะ”
กมลดาไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงรู้สึกว่าฮันส์มองมาอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่เธออาจจะคิดไปเองก็ได้ หญิงสาวเลือกที่จะเปิดภาพถ่ายผลงานชิ้นเด็ดๆ ของตนที่เซฟไว้ในโทรศัพท์มือถือให้เขาดู ชายหนุ่มพิจารณางานแต่ละชิ้นอย่างจริงจัง
“งานของคุณน่าสนใจมากครับ ทุกอย่างใช้ได้จริงๆ การดีไซน์มีส่วนผสมระหว่างตะวันออกกับตะวันตก มีความอ่อนช้อยเป็นผู้หญิง แต่ยังไม่มีเอกลักษณ์ เราสามารถหางานดีไซน์แบบนี้ที่ไหนก็ได้”
“อย่าบอกนะว่าคุณทำงานสายนี้เหมือนกัน” กมลดาทำตาโตกับการวิจารณ์ตรงไปตรงมาตามสไตล์คนดัตช์ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงผงะและจิตตกไปเลย แต่ตอนนี้ชินแล้ว
“เนย์! (Nee)” เขาปฏิเสธเป็นภาษาดัตช์ “ผมแค่สนใจงานดีไซน์ และสะสมมัน”
หญิงสาวหรี่ตามองอย่างค้นหาพิรุธ ชายหนุ่มยกแก้วไวน์มาดื่มโดยไม่ยอมสบตา และเรียกแอร์โฮสเตสที่เดินผ่านมาพอดีเพื่อขอเติมไวน์อีก
“คุณมีแววว่าจะไปได้ไกลถ้าได้รับการชี้แนะจากคนที่ถูกต้อง คุณลองไปสมัครที่ฟรอลิกสตูดิโอดูสิ มันเป็นบริษัทที่กำลังมาแรงในวงการ เขากำลังเปิดรับสมัครพนักงานใหม่อยู่นะ”
“คุณทราบได้ยังไงคะ คุณทำให้ฉันสงสัยมากขึ้นไปอีกแล้วนะ คุณทำงานที่นั่นรึเปล่า”
“เพื่อนผมทำ” เขาจิบไวน์
“เพื่อนฉันก็ทำงานที่นั่นค่ะ เพิ่งเริ่มเมื่อต้นเดือนนี่เอง” เพื่อนสนิทซี้ปึ้กของเธอเลยละ
“แล้วทำไมคุณไม่ไปสมัครบ้าง” เขาหันมามองเธอเต็มตา
“ฉันยื่นใบสมัครไปนะคะก่อนกลับเมืองไทย”
“คุณยื่นใบสมัครไปหรือ”
“ค่ะ แต่ยังไม่ได้คำตอบเลย”
สีหน้าของฮันส์เต็มไปด้วยความครุ่นคิด แต่กมลดาไม่ทันสังเกต เธอบิขนมปังกินอย่างกลัดกลุ้มใจ
สองหนุ่มสาวไม่รู้หรอกว่ารอบๆ ตัวมีวิญญาณจ้องมองมาอย่างไม่พอใจ โดยเฉพาะปราณปรียาซึ่งเกือบจะคว้าขวดไวน์มาทุบหัวพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวให้สลบไปเสียเลย
“หน้าดูคุ้นๆ อยู่นะเจ้าหมอนี่ ฉันเคยเห็นที่ไหนนะ” เธอรู้สึกตงิดๆ
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องตัดไฟแต่ต้นลม!
“เราต้องรีบย้ายที่นั่งของพ่อหนุ่มนั่นแล้วละ ผมจะทำให้จอหนังของเขาดับ เก้าอี้พัง เอนพนักพิงไม่ได้ ดีไหม” ช่างซ่อมบำรุงเสนอ
“เครื่องเต็มขนาดนี้ เขาจะย้ายไปที่ไหนล่ะคุณ” ชายชราชาวเอเชียท้วง
“ผมว่าทำให้เขาหลับป้อกไปเลยดีกว่า เอาไขควงทุบหัวมันเลย!” วิญญาณนักเลงที่ถูกฆ่าตายแล้วเถ้ากระดูกถูกขนกลับประเทศบ้านเกิดมาทางใต้ท้องเครื่องบินเมื่อหลายปีก่อนเสนอแนะ
“อย่าทำร้ายผู้โดยสารของฉันเชียวนะ!” แอร์โฮสเตสวัยดึกปรามเสียงเข้ม
ปราณปรียาหรี่ตามองคนที่ดื่มไวน์ราวกับน้ำ แล้วก็ผุดความคิดขึ้นมา
“ถ้าเราทำอย่างนี้ล่ะคะจะดีไหม”
เธอกระดิกนิ้ว เรียกผีทุกตนมาสุมหัวประชุมกัน
ความคิดเห็น |
---|