4

บทที่ 4


 

มื้ออาหารบนเครื่องบินยังดำเนินต่อไป ความกลัดกลุ้มใจของกมลดาถูกลืมเลือนลงชั่วคราว เนื่องจากมีเพื่อนร่วมทางชวนคุยอย่างถูกคอ

ฮันส์เปลี่ยนจากผู้สัมภาษณ์มาเป็นฝ่ายถูกซักถามบ้าง เขาคุยเก่งทีเดียว กมลดาสนุกกับการฟังชีวิตวัยเด็กของหนุ่มตาน้ำข้าวคนนี้

“เพราะเราอยู่เมืองไทยตั้งสิบสามปี พ่อแม่ของผมเลยผูกพันกับเมืองไทย หลังพ่อเกษียณ พวกเขาเลยย้ายกลับไปอยู่ที่นั่นปีละหกเดือน มีปีนี้ที่ยังไม่ยอมกลับกันมาสักที ผมเลยต้องบินไปหา เพื่อฉลองครบรอบแต่งงานปีที่สามสิบห้าของพวกเขาน่ะครับ”

“ว้าว! ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

“คุณย้ายกลับมาเนเธอร์แลนด์ตอนอายุเท่าไหร่หรือคะ”

“สิบสี่ครับ”

“โอ้โห นั่นก็วัยรุ่นแล้วนะคะ”

“ใช่ ผมต้องปรับตัวเยอะเลยแหละ แต่ตอนที่เรายังเป็นเด็ก อะไรๆ ก็สนุก” ฮันส์ยิ้มพลางตักขนมเค้กเข้าปาก

ทันใดนั้น มือล่องหนคู่หนึ่งจับหมับเข้าที่แก้มทั้งสองของเขา ก่อนจะง้างปากชายหนุ่มให้กว้างขึ้นๆ แล้วมือของใครอีกคนก็ยัดยาเม็ดเข้าไปในลำคออย่างแม่นยำ!

ฮันส์เบิกตากว้าง ทว่ามือลึกลับก็ขยับมาปิดปากเขาไว้อย่างฉับไว ความใหญ่โตของมือที่แผ่กว้างไปถึงครึ่งหน้าแทบจะอุดจมูกเขาเลยด้วยซ้ำ ฮันส์อ้าปากไม่ได้ รสขมของยาปริศนาจึงกระจายไปทั่วช่องปาก ปะปนไปกับขนมเค้กจนฮันส์เกือบสำรอกออกมา เขาพยายามดิ้นรน แต่ทำได้ยากยิ่ง มือมากมายกลุ้มรุมจับตัวเขาไว้

กมลดาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมือเรียวสวยอีกคู่หนึ่งยื่นมาปิดหูเธอ ทั้งยังเอาผ้าพันคอสีชมพูหวานมากางกั้นระหว่างหญิงสาวกับฮันส์ไว้ กำบังไม่ให้เธอเห็นอะไร กมลดาจึงดื่มด่ำแต่เพียงรสชาติของขนมเค้กในถาดอาหาร

ฮันส์ยังคงดิ้นรนอยู่ตามลำพัง เขาไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง วงหน้าขาวจัดเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ดวงตาเหลือกลาน แม้จะอยากเรียกหญิงสาวที่นั่งข้างๆ ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายชายหนุ่มจำต้องกลืนยาขมผสมขนมเค้กหวานลงไปในลำคอดังเอื๊อก!

มือทั้งหลายปล่อยเขาทันที!

ส้อมในมือชายหนุ่มร่วงหล่นลงในถาด เขารู้สึกถึงความโล่งและเป็นอิสระประหนึ่งคนจมน้ำที่สามารถผุดขึ้นมาหายใจเหนือน้ำได้อีกครั้ง เขาเริ่มไอ จึงทุบหน้าอกตนเองแรงๆ

“เป็นอะไรคะ” กมลดาเพิ่งหันไปมอง

ฮันส์ไม่ตอบ แต่ดื่มไวน์ซึ่งเพิ่งเติมมาไม่นานนี้ดังอั้กๆ รวดเดียวหมดแก้ว เขาขอไวน์จากแอร์โฮสเตสมาดื่มอีก มองรอบๆ ตัวอย่างพรั่นพรึงไม่แตะอาหารอีกเลย

ท่าทางแปลกประหลาดของฮันส์สร้างความงงงันให้กมลดายิ่งนัก ชายหนุ่มขอตัวไปเข้าห้องน้ำโดยไม่รอให้แอร์โฮสเตสมาเก็บถาดอาหารด้วยซ้ำ ครั้นเขากลับมาก็เอาแต่นั่งหาว

“คุณโอเคมั้ยคะ” เธอถามอย่างหวั่นใจ

“โอเค…หะ…ฮ้าว…”

ฮันส์หลับไปก่อนที่เขาจะหาวจบด้วยซ้ำ!

 

ท่ามกลางความงงงวยของกมลดา วิญญาณทั้งหลายต่างก็ตีมือไฮไฟว์ซึ่งกันและกัน

“บราโว! ขอบคุณพวกคุณทุกคนนะคะ” ปราณปรียายิ้มร่าให้แก่ความสำเร็จ

สมน้ำหน้าอีตาฝรั่งขี้นกที่เอาแต่ดื่มไวน์อย่างกับน้ำเปล่า พวกเธอจึงทำให้เขาหลับได้ไม่ยากด้วยการขโมยยานอนหลับจากผู้โดยสารคนหนึ่งที่ปราณปรียาแอบเห็นว่ามี ทีแรกเธออยากให้เขากินเข้าไปเลยสักสองเม็ด แต่วิญญาณแอร์โฮสเตสห้ามไว้และอาสาป้อนให้เขาไปหนึ่งเม็ด

ปราณปรียาหวังว่ายานอนหลับผสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์คงจะทำให้อีตาฮันส์หลับยาวไปจนถึงเนเธอร์แลนด์

แต่ถ้าไม่ เธอก็มียาเหลืออีกเม็ดหนึ่งในมือ

ปราณปรียาหัวเราะหึๆ พลางมองกมลดาที่นั่งเงียบๆ ชมภาพยนตร์ไปตามลำพัง

 

ไฟบนเครื่องบินดับลงเพื่อให้ผู้โดยสารทุกคนนอนพัก กมลดาดูหนังจบไปเรื่องหนึ่งแล้ว เธอเหลือบมองฮันส์ซึ่งกรนเบาๆ แล้วก็เริ่มง่วงบ้าง หญิงสาวจึงกดปุ่มปิดภาพบนหน้าจอ เอนพนักพิงไปด้านหลังอีกเล็กน้อย และห่มผ้านอน

กมลดาหลับไปได้ครู่หนึ่งแล้ว เจ้าของร่างระหงในชุดพนักงานต้อนรับสีบานเย็นจึงเดินมา มือเรียวซึ่งทาเล็บสีเดียวกับชุดช่วยดึงชายผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงใต้คางหญิงสาว นิ้วที่สวมแหวนเพชรแพรวพราวเลื่อนขึ้นมาไล้แก้มนวลใสราวกับเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

“หนูเดียร์ หนูเป็นคนน่ารัก เก่ง และแกร่งสมกับเป็นผู้หญิงยุคใหม่ แต่ถึงยังไงหนูก็ต้องมีคนมาดูแลนะไม่ต้องห่วงจ้ะ ย่าจะพาเขามาให้หนูเอง”

ปราณปรียาหัวเราะ แล้วหายตัววับไปเยี่ยมคนคนนั้น

 

ร่างในชุดสีชมพูปรากฏกายขึ้นข้างเก้าอี้ของลวัศกรชายหนุ่มหลับไปแล้วปราณปรียาจึงดึงชายผ้าห่มมาปิดถึงต้นคอแบบเดียวกับที่เธอทำให้กมลดา

ลวัศกรลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือปราณปรียาชะงักมือ เห็นชายหนุ่มกะพริบตาสองสามครั้ง และจ้องตรงมาที่เธอ แต่ปราณปรียารู้ว่าเขามองไม่เห็นเธอหรอก หญิงชราคลี่ยิ้มเอ็นดู

“นอนหลับฝันดีนะจ๊ะต้น พอหลานตื่นขึ้นมาก็จะได้เจอเจ้าสาวที่ย่าพามาให้เสียที”

“เจ้าสาว…” ชายหนุ่มพึมพำ สีหน้ามึนงง

ปราณปรียาผงะ เขาพูดว่าอะไรนะ!

ตาต่อตาสบกัน วิญญาณผู้เป็นย่าเริ่มมีความหวัง…เขาได้ยินและมองเห็นเธองั้นหรือ ถ้าเธอคุยกับเขาได้ตรงๆ ก็ดีสิ อะไรๆ คงจะง่ายขึ้น

แต่แล้ว…เปลือกตาของลวัศกรก็ปิดลง และเขาก็หลับไป

“อ้าว” ปราณปรียาทำปากยื่น ตวัดค้อนราวกับสาวๆ

ไม่เป็นไร เธอยังมีหวัง ลวัศกรจะมีเธอตามติดไปอีกนาน อย่างน้อยก็ตลอดการเดินทางของเขานี่แหละ

ปราณปรียาหัวเราะหึๆ วาดหวังไปถึงผลลัพธ์อันน่าอภิรมย์ ซึ่งเธอต้องทำให้สำเร็จก่อนลวัศกรกลับเมืองไทย

 

สิบสองชั่วโมงของการเดินทางผ่านพ้นไปในที่สุดล้อเครื่องบินก็แตะพื้นรันเวย์ของท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัม สคิปโพล๑

ลวัศกรซึ่งเป็นผู้โดยสารชั้นบิซิเนสคลาสได้ลงจากเครื่องบินก่อน ขณะที่กมลดาออกมากับฮันส์ซึ่งตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ ปราณปรียาพยายามโบกมือไม้ทักทายลวัศกรมาตั้งแต่เขาตื่น ด้วยความหวังว่าเขาจะมองเห็นเธอ

แต่เขาไม่เห็น

เธอตามลงมาจากเครื่องบินด้วยความผิดหวัง โดยมีวิญญาณแอร์โฮสเตสและช่างอากาศยานมาด้วย ทั้งคู่อาสาว่าจะช่วยให้ถึงที่สุด และเรียกเพื่อนผีร่วมอาชีพที่สิงสถิตอยู่ในสนามบินแห่งนี้มาช่วยอีกหลายแรง

ด่านตรวจคนเข้าเมืองจึงไม่ได้มีแต่มนุษย์ซึ่งต่อคิวจนแน่นขนัด ทว่ามีวิญญาณจับกลุ่มกันเฝ้ามองพวกเขา ลวัศกรกับกมลดายืนห่างกันไกลจนคุณย่าขัดใจ แต่ยังดีที่ฮันส์แยกตัวออกไปเข้าคิวในช่องทางสำหรับผู้ถือพาสปอร์ตพลเมืองสหภาพยุโรป

ลวัศกรผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปได้แล้วเกือบครึ่งชั่วโมง กมลดาจึงตามหลังไป แต่เพราะความช่วยเหลือของเหล่าวิญญาณที่ยกโขยงกันไปขัดขวางการขนกระเป๋าลงจากเครื่องบินทำให้สัมภาระมาถึงอาคารสนามบินช้ามาก พวกเขาถึงกับหยุดสายพานไม่ให้ทำงานจนกว่ากมลดาจะมาถึงบริเวณรับกระเป๋า พวกวิญญาณขี้เล่นจึงยอมปล่อยสัมภาระทั้งหลายออกมา

กมลดายืนอยู่ไกลจากลวัศกรเกินไป พวกผีจึงเริ่มแผนสอง…

 

ลวัศกรโล่งใจที่กระเป๋ามาถึงสายพานเสียทีหลังรอคอยมายาวนาน เขาเกือบจะหงุดหงิดทั้งที่อุตส่าห์อารมณ์ดีมาตลอดเพราะนอนมาเต็มอิ่มจากบนเครื่องบิน

ตามปกติแล้ว เขาแทบไม่หลับบนเครื่อง ทว่าหนนี้ไม่ใช่แค่หลับ เขายังฝันแปลกๆ อีกด้วย เห็นแอร์โฮสเตสสูงวัยหน้าตาใจดีมาห่มผ้าให้ แล้วพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ ‘เจ้าสาว’ เขาตื่นขึ้นมาอย่างงุนงงและขบขันไปพร้อมกัน

กระเป๋าเดินทางของลวัศกรมาถึงเป็นใบแรกๆ ตามสิทธิ์ของผู้โดยสารชั้นธุรกิจ ชายหนุ่มกระชับเป้สะพายหลัง และเอื้อมมือไปคว้าหูกระเป๋าเดินทาง

มันขยับหนี!

เขาพยายามจะคว้า แต่สายพานที่เลื่อนอยู่ก็พากระเป๋าห่างออกไปไกล ลวัศกรเกือบจะวิ่งตามไป แต่กลัวไม่เท่ เขาจึงยอมยืนรอจนกระเป๋าวนกลับมาอีกรอบโดยมีสัมภาระของผู้โดยสารส่วนใหญ่ทยอยออกมาจนเกือบเต็มสายพาน

คราวนี้เขาคว้ากระเป๋าตัวเองไว้ได้ ชายหนุ่มวางมันลงบนพื้น กำลังจะลากออกไป แต่เห็นสองสามีภรรยาวัยชราพยายามยกกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ลงจากสายพานด้วยความยากลำบาก ลวัศกรจึงเข้าไปช่วย

ชายหนุ่มหันกลับมาที่สัมภาระของตน แล้วก็ต้องตกใจ

มันเลื่อนปรู๊ดหนีไปราวกับมีขา!

“เฮ้ย!” ลวัศกรวิ่งตามกระเป๋าใบเขื่องด้วยความอัศจรรย์ใจ

 

อีกคนที่ไล่ตามกระเป๋าเดินทางของตนเองอยู่เช่นกันก็คือ กมลดา

หญิงสาวไม่มีวันจะเห็นว่าตัวก่อการเบื้องหลังเป็นวิญญาณในสนามบินนี่เอง พวกเขาลากกระเป๋าเธอไปหากระเป๋าของลวัศกรซึ่งถูกพาวิ่งมาให้บรรจบกัน

ปราณปรียาและผีอีกหลายสิบตนลอยปราดตามไปดู ดวงตาทุกคู่มองมนุษย์หนุ่มสาวที่ต่างก็ไล่ตามกระเป๋าเดินทางของตนเอง จนกระทั่งกระเป๋าชะลอความเร็วลง และแตะกันเพียงเบาๆ ก่อนจอดนิ่งอยู่คู่กัน

สองหนุ่มสาวหยุดลงข้างสัมภาระของพวกเขา ต่างคนต่างคว้าหูกระเป๋าของตนเองด้วยความพิศวง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกันและกัน ก็ยิ่งฉงนฉงาย

“น้องเดียร์!”

“พี่ต้น!”

ทั้งคู่อ้าปากค้าง ต่างจากพวกวิญญาณที่พากันปรบมือเป่าปากอย่างรอฉากนี้มานาน

“พวกเขารู้จักกันด้วยหรือนี่ เนื้อคู่ชัดๆ!”

ปราณปรียาดีใจจนเนื้อเต้นยิ่งกว่าใครๆ หากจุดพลุฉลองชัยตรงนี้ได้ เธอคงทำไปแล้ว ผู้สูงวัยเฝ้ามองการทักทายของสองหนุ่มสาวอย่างเปี่ยมหวัง

ทว่าพวกเขากลับดูประดักประเดิดกันชอบกล

“น้องเดียร์มาเที่ยวหรือครับ”

“เปล่าค่ะ เดียร์เรียนอยู่ที่นี่”

“อ๋อครับ พี่ไม่เคยรู้เลย”

กมลดายิ้มพอเป็นพิธี ลวัศกรซึ่งมักจะยิ้มเรี่ยราดไปทั่วก็กลับกลายเป็นคนสุภาพไปเสียอย่างนั้น

ปราณปรียาขบคิดว่าควรทำอย่างไรต่อ แต่ได้ยินเสียงห้าวของผู้ชายอีกคนเข้าเสียก่อน

“เดียร์!”

ทั้งผีทั้งคนต่างก็หันไปมองหนุ่มตาน้ำข้าวที่ลากกระเป๋าเดินทางตรงมาหากมลดา

“ฮันส์”

กมลดาละความสนใจจากลวัศกรไปหาไอ้หนุ่มชาวดัตช์ซึ่งยิ้มแฉ่งรับการเรียกชื่ออย่างน่าหมั่นไส้

ลวัศกรมองคนทั้งคู่ด้วยสายตาที่ทำให้ปราณปรียาหวั่นใจว่าเขาต้องเข้าใจผิดไปแล้วแน่ๆ ก่อนชายหนุ่มจะดึงก้านลากกระเป๋าเดินทางขึ้นมาดังคลิก

“พี่ไปก่อนนะครับน้องเดียร์”

“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่ต้น” กมลดายกมือไหว้ลา

เขารับไหว้ ผงกศีรษะทักฮันส์ และลากกระเป๋าออกไป

“ปัดโธ่เอ๊ย!” ปราณปรียาสบถ

ผีเพื่อนใหม่ต่างก็หงุดหงิดจนถึงกับร้องโห่ หนึ่งในนั้นแกล้งลากกระเป๋าฮันส์หนีไป ทำให้หนุ่มตาน้ำข้าวต้องวิ่งตาม

ปราณปรียาชูนิ้วโป้งทั้งสองมือเพื่อขอบคุณเพื่อนๆ เธอมองกมลดาสลับกับลวัศกรที่เดินห่างออกไปไกลแล้ว ละล้าละลังว่าควรทำอย่างไรต่อดี สุดท้ายจึงเลือกตามลวัศกรไป

 

สิ่งแรกที่ปราณปรียามองเห็นทันทีที่ออกมาจากประตูซึ่งกางกั้นด่านศุลกากรกับบริเวณรอรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศก็คือ ลูกโป่งน่ารักสองใบ เป็นวงกลมพื้นขาวสลับน้ำเงิน มีตัวอักษรภาษาดัตช์สีแดงเขียนว่า ‘Welkom’ หรือยินดีต้อนรับนั่นเอง

แต่ที่น่ารักกว่าลูกโป่งคือ เด็กหญิงสองคนซึ่งเป็นคนถือมัน

ทั้งคู่เป็นชาวเอเชีย คนหนึ่งอายุประมาณแปดเก้าขวบ อีกคนคงจะสี่หรือห้า สวมแจ็กเกตยีนสีซีดกับรองเท้าผ้าใบสีชมพูขลิบขาวเหมือนกันเปี๊ยบ ต่างกันตรงแม่หนูคนพี่สวมเสื้อยืดข้างในสีชมพูอ่อนกับกระโปรงหนังสีดำสั้นๆ ดูเท่ๆ ส่วนคนน้องใส่เสื้อยืดสีเทาอ่อนกับกระโปรงบานฟูฟ่องสีชมพูเฉดเดียวกับสีเสื้อยืดของพี่สาว ทำให้ดูเป็นสาวหวาน

ข้างๆ เด็กทั้งสองน่าจะเป็นพ่อแม่ของเธอเพราะหน้าละม้ายคล้ายกัน พวกเขาอายุประมาณสี่สิบต้นๆ คนเป็นพ่อรูปร่างสูงใหญ่หล่อคมเข้มทีเดียว มีเค้าคล้ายลวัศกร ภรรยาของเขาตัวเล็กกว่ามาก ผมยาว หน้าสวยราวกับตุ๊กตา ทั้งสองโบกมือให้ลวัศกร ปราณปรียาตระหนักได้ทันทีว่าพวกเขาก็คือนิติคุณกับปณาลี

นักธุรกิจหนุ่มยิ้มกว้าง โบกมือตอบ ลากกระเป๋าไปหา และยกมือไหว้คนทั้งคู่

“สวัสดีครับพี่คุณ พี่ปลา สวัสดีครับพริม เพ็พ”

ลวัศกรทักหนูน้อยทั้งสองซึ่งไหว้เขาอย่างเขินๆ คนพี่ยื่นลูกโป่งให้ด้วยท่าทางไม่มั่นใจเท่าไร

“ให้อาหรือ ขอบคุณครับ น่ารักจังเลย”

เด็กน้อยหลบตา ท่าทางจะเขินเขามาก

“พริม เพ็พจำอาต้นได้ไหมลูก อาต้นเป็นพี่ชายอาตาล เมื่อวานลูกเพิ่งโทร.คุยกับอาตาลทางไลน์อยู่เลยไม่ใช่หรือ” นิติคุณถามบุตรสาว ทว่าเด็กๆ ก็ยังมองลวัศกรตาแป๋ว แต่ไม่พูดด้วย

“อาตาลฝากอาต้นให้ซื้อขนมจากเมืองไทยที่พริม เพ็พชอบมาให้ด้วยนะครับ อยู่ในกระเป๋าเดินทางใบนี้ เดี๋ยวกลับไปถึงบ้าน อาต้นจะเอาให้นะครับ”

เด็กๆ พยักหน้า ไหว้ขอบคุณตามที่มารดาสั่ง แต่ก็ยังขัดเขินอยู่นั่นเอง ลวัศกรซึ่งคงจะไม่ค่อยคุ้นกับการอยู่กับเด็กนัก จึงดูเก้ๆ กังๆ ไปด้วย

“พี่คุณ พี่ปลา รอผมนานไหม ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องรบกวนทุกคนให้มาไกลถึงอัมสเตอร์ดัมเลย” ลวัศกรกล่าวอย่างเกรงใจ

กรุงอัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองหลวงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ แต่ศูนย์กลางของการบริหารประเทศที่แท้จริงอยู่ในกรุงเฮก อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงงาน ทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการรัฐสภา ศาลฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกา สถานที่สำคัญทางราชการรวมถึงสถานเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ นิติคุณจึงต้องขับรถมาไกลถึงสี่สิบกิโลเมตรเพื่อมารับลวัศกรที่สนามบิน

“ไม่ต้องเกรงใจเลยต้น ระยะทางแค่นี้สบายมาก พี่ขับมาบ่อยๆ ที่นี่รถไม่ติดเหมือนบ้านเรา” นิติคุณเอ่ย

“จริงด้วยครับ ผมลืมไป” ลวัศกรหัวเราะ

“วันนี้พี่เลยได้พาเด็กๆ มาเที่ยวเล่น กินข้าวในอัมสเตอร์ดัม สนุกกันไปเลย”

“ค่อยยังชั่วหน่อยครับ ไม่งั้นผมรู้สึกผิดแย่”

“คิดมากน่า นายมาที่นี่ทั้งทีพี่ก็ดีใจ เราไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้วนะ”

“ต้นหิวรึเปล่าคะ เลยเวลาอาหารเย็นมาแล้วด้วย พี่ซื้อข้าวเย็นเตรียมไว้ให้ในรถ เดี๋ยวไปกินนะ”

“ขอบคุณครับพี่ปลา ผมยังไม่หิว แต่เรารีบไปกันเลยก็ดีนะครับเดี๋ยวจะเลยเวลานอนของหลานๆ” ลวัศกรจับก้านสำหรับลากกระเป๋า เตรียมเดิน

“ว้าย! อย่าเพิ่งไป รอหนูเดียร์ด้วย” ปราณปรียาโวยวาย

“พี่ต้องรอรับน้องอีกคนหนึ่งก่อน” นิติคุณผินหน้าไปทางประตูที่ผู้โดยสารจะออกมาจากด่านศุลกากร

“เมื่อหร่ายจะมา” แม่หนูคนเล็กถามพ่อของเธอด้วยสำเนียงไทยที่ไม่ค่อยชัด

ใครจะมา…ผู้ชายหรือผู้หญิง!

‘ถ้าเป็นผู้หญิง ย่าต้องกันออกไปอีกรึเปล่าเนี่ย’ ปราณปรียาเริ่มกังวล

“นั่นไง มาแล้ว” เด็กน้อยคนโตตะโกน

ปราณปรียาเบิกตากว้างเมื่อเห็นหญิงสาวที่ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากประตู

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น