
๕
ในรถตู้ของนิติคุณซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นสารถีด้วยตนเอง ปณาลีนั่งอยู่ตอนหน้าของรถคู่กับสามี ส่วนห้องโดยสารด้านหลังซึ่งมีเก้าอี้อยู่สองแถวนั้น ลวัศกรนั่งอยู่แถวแรกกับลูกโป่งซึ่งเขาผูกเอาไว้กับเก้าอี้ ขณะที่หลานสาวทั้งสองนั่งอยู่ตอนท้ายสุดของรถ
ตรงกลางระหว่างเด็กๆ คือหญิงสาวที่ลวัศกรไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกันอีกกมลดาถือลูกโป่งที่เหมือนกับของลวัศกรเปี๊ยบ‘Welkom’ เหมือนกับของเขา
หลานๆ ไม่สนใจอาอย่างเขาเลยสักนิด แต่กลับคุยจ้อเป็นภาษาไทยปนอังกฤษกับกมลดาตั้งแต่วินาทีแรกที่พบหน้า เห็นได้ชัดว่าสนิทกัน
‘เดียร์อยู่อะพาร์ตเมนต์เดียวกับเรา เป็นเพื่อนบ้านกัน’
นิติคุณแนะนำสั้นๆ ตอนอยู่ที่สนามบิน ลวัศกรไม่แน่ใจว่าพี่ชายรู้หรือไม่ว่าเธอเป็นน้องของใคร และครอบครัวของเขากับเธอก็ไม่ถูกกัน แต่ลำพังตัวลวัศกรเองไม่ได้มีปัญหาอะไรกับกมลดาอยู่แล้ว เขาแยกแยะได้ว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่และเรื่องของลูกผู้ชาย ผู้หญิงไม่เกี่ยว
ถ้าลวัศกรจะมีปัญหาอยู่บ้างในตอนนี้ก็คงเป็นแค่ความอิจฉาเล็กๆ น้อยๆ ที่หลานสาวสนใจกมลดามากกว่าอาแท้ๆ
เด็กน้อยมองมาอย่างไม่แน่ใจทั้งที่เขาพยายามส่งยิ้มผูกมิตร ส่วนกมลดาก็เหล่มองมาในบางครั้ง
อย่างเช่นตอนนี้ พอเธอรู้ว่าเขาเองก็มองอยู่ หญิงสาวจึงทำเป็นเล่นกับตุ๊กตาสุนัขสีฟ้าตัวยาวทำจากผ้าที่ทั้งเก่าและเหี่ยว เพราะไส้นุ่นข้างในน่าจะยุบลงไปตามกาลเวลา แขน ขา และหางยาวๆ ของเจ้าหมาจึงลีบแบนไปหมด ตรงขอบปากกับปลายเท้าทั้งสี่มีรอยลิปสติกกับยาทาเล็บสีแดงเลอะเปรอะ แต่กมลดาก็จับอุ้งเท้าหน้าของมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม
ลวัศกรรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า ลวิตรา น้องสาวของเขาเป็นคนซื้อตุ๊กตาหมาตัวนี้ให้พริบพราวตอนที่เธอเกิด แต่กลับถูกใจเพ็พพินซึ่งรับมรดกตุ๊กตาหมอนข้างสำหรับเด็กทารกนี้มาจากพี่สาว ถึงขนาดพาไปไหนๆ ด้วย เขาเห็นรูปมันบ่อยๆ ในโซเชียลมีเดียของพี่สะใภ้
“น้องเพ็พพาพี่หมามารับพี่เดียร์ด้วยหรือคะ สวัสดีค่ะพี่หมา” กมลดาเขย่าขาหน้าของมันเบาๆ
“เฮลโล” เพ็พพินทำเสียงต่ำๆ ในลำคอ พร้อมยิ้มกว้าง
“โอ้ นี่พี่หมาพูดหรือคะ”
เพ็พพินพยักหน้า ดึงตุ๊กตาพี่หมาออกจากมือกมลดา แล้วจับอุ้งเท้าทั้งสองของมันมาประกบกัน อีกมือกดหัวให้ก้มลง เสมือนเจ้าหมายกมือไหว้
“โอ้โห พี่หมาไหว้สวยจังเลย” กมลดาหัวเราะคิก
ลวัศกรมองผู้หญิงต่างวัยทั้งสองคนยิ้มสดใสให้แก่กัน เขาอดยิ้มไปด้วยไม่ได้
‘น้องไอ้แบร์ยิ้มสวย’ เขาเผลอคิด
ตอนนั้นเองที่กมลดาหันมา…รอยยิ้มของหญิงสาวค่อยๆ หุบลง กลายเป็นยิ้มสุภาพ
แม้ลวัศกรจะรู้สึกเสียดาย แต่เขาไม่ยอมเสียฟอร์ม ชายหนุ่มแกล้งยิ้มยียวน แถมยักคิ้วให้อีกต่างหาก แล้วจึงหันไปชวนเพ็พพินคุย
“อาไม่ได้เจอพี่หมามาตั้งหลายปีแล้ว ขอทักพี่หมาด้วยคนได้ไหมครับ เฮลโล่พี่หมา” ชายหนุ่มแกล้งดัดเสียงตลกๆพร้อมยื่นมือออกไปหาเจ้าตุ๊กตา
เพ็พพินกุมขาหน้าของมันมั่น สบตาผู้เป็นอาอย่างไม่แน่ใจ
“ให้พี่หมาทักอาต้นด้วยสิคะ” กมลดาเอ่ยหลังจากเกิดความเงียบอยู่นาน
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวมีอิทธิพลต่อหลานของเขา เพ็พพินยื่นเท้าหน้าของเจ้าตุ๊กตามาให้ชายหนุ่มจับ
“เฮลโล” เธอพูดค่อยๆ
“เฮลโลพี่หมา” ลวัศกรเขย่าขามันเบาๆ “นี่อาต้นนะครับ อาขอไปอยู่ที่บ้านด้วยคนได้ไหมครับพี่หมา”
ลวัศกรรื้อฟื้นวิธีเล่นกับเด็กผู้หญิงจากที่เขาเคยเลี้ยงน้องสาวซึ่งมีอายุห่างกันถึงแปดปี เธอเคยติดตุ๊กตามาก ถึงกับนับเป็นคนในครอบครัวด้วย บางทีลวิตราอาจรักมันยิ่งกว่าเขาเสียอีก ถ้าเขาไม่ให้เกียรติตุ๊กตาตัวโปรดของน้อง มันจะเป็นปัญหาระดับชาติทีเดียว เขาจึงต้องให้เกียรติพี่หมาของเพ็พพินด้วยเหมือนกัน
“พี่หมาบอกว่าด้าย”
เพ็พพินพูดไทยไม่ชัด อาจเป็นเพราะว่าตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เธอซึ่งอายุเพิ่งสองขวบไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเลย เมื่อเข้าเรียนในระดับก่อนปฐมวัยจึงมีปัญหาในการสื่อสารอย่างมาก ทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน ทุกคนในครอบครัวจึงพยายามพูดภาษาอังกฤษด้วย ตอนนี้เพ็พพินสื่อสารภาษาอังกฤษได้ปร๋อ แต่พูดภาษาไทยเป็นสำเนียงฝรั่ง และไม่เข้าใจความหมายของคำยากๆ
“ขอบคุณครับ”
ลวัศกรยิ้มร่า ใจชื้นที่เห็นหลานคนเล็กยิ้มเขินๆ ให้เขามากขึ้น ชายหนุ่มอยากจะเข้าข้างตัวเองว่าเห็นร่องรอยทึ่งๆ ในดวงตาของหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงกลาง เธอคงไม่คิดว่าเขาจะเล่นกับเด็กผู้หญิงได้
กมลดาเสมองไปทางพริบพราว แล้วขมวดคิ้ว
“ทำไมน้องพริมเงียบจังคะ ขึ้นรถมาด้วยกันรึเปล่าน้า”
คำถามของหญิงสาวทำให้ลวัศกรเบนสายตาไปทางหลานคนโต พริบพราวนั่งเงียบกริบมาตั้งแต่ขึ้นรถได้สักพักหนึ่งแล้วจริงๆ นั่นแหละ
ดวงตากลมแป๋วมองมาทางเขา…ไม่สิ มองมาที่เก้าอี้ข้างๆ เขา ใบหน้าเคร่งเครียด
“ว่าไงครับพริม วันนี้พาเพื่อนมารับอาต้นด้วยรึเปล่า อาตาลบอกว่าพริมก็มีเพื่อนตุ๊กตาเหมือนกัน ชื่ออะไรนะ…คัปเค้กใช่ไหม คัปเค้กมาด้วยรึเปล่าครับ” ลวิตราร่ายยาวถึงความชอบของหลานให้เขาฟังมาหลายวันแล้ว
พริบพราวส่ายศีรษะ
“ไม่ได้พามาหรือ งั้นเดี๋ยวอาต้นค่อยไปเจอคัปเค้กที่บ้านเนอะ”
หลานคนโตยังคงเงียบกริบ
“ทำไมน้องพริมไม่ตอบอาต้นล่ะคะ วันนี้พี่เดียร์แทบไม่ได้ยินเสียงหนูเลย เป็นอะไรรึเปล่า” กมลดาย่นหัวคิ้วพลางกุมมือเด็กหญิงซึ่งสีหน้าคล้ายจะร้องไห้เต็มแก่
“พริมเป็นอะไรลูก” ปณาลีถามมาจากที่นั่งตอนหน้าของรถ
พริบพราวมองมารดา แล้วเลื่อนสายตามาทางลวัศกร…ลูกโป่ง…และที่นั่งว่างๆ ข้างเขา นัยน์ตาสั่นระริกราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง
“น้องพริม…” กมลดาโอบบ่าเด็กน้อย ลูกโป่งในมือเธอแกว่งไปมา
พริบพราวสบตาหญิงสาว แล้วยืดกายขึ้น กระซิบข้างหูเธอด้วยเสียงที่ไม่เบานัก เพราะลวัศกรได้ยิน
“พี่เดียร์ คนนั้น…เขาเป็นใครหรือคะ”
“คนนั้น…ก็…อาต้นไงคะ คุณอาของหนูไง” กมลดาเลิกคิ้วขึ้นมองลวัศกรอย่างงุนงง
ชายหนุ่มเอะใจ เขารู้สึกว่าพริบพราวไม่ได้มองมาที่ตน แต่เป็นที่นั่งข้างๆ ต่างหาก…ที่ว่างๆ นั่น…
หรือจริงๆ แล้ว มันไม่ได้ว่าง!
“พริมหมายถึงใครครับ”
“ผู้หญิงสีพิงก์” เพ็พพินเป็นคนตอบแทน พลางชี้มายังเก้าอี้ข้างๆ เขา
ใจของลวัศกรกระตุกวาบ จู่ๆ เขาก็นึกถึงแอร์โฮสเตสชุดสีชมพูที่เห็นในฝัน!
“ผู้หญิงคนไหน ไม่มีนะลูก” ปณาลีร้องเสียงหลง
เป็นครั้งแรกที่กมลดาสบตาลวัศกรตรงๆ แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความคลางแคลงและพรั่นพรึง
…เขาเองก็เริ่มจะกลัวเหมือนกัน…
ผู้หญิงชุดชมพูซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ว่างข้างลวัศกรก็ตกใจมากที่มีมนุษย์มองเห็นตน
“หนูเห็นย่าด้วยหรือ!”
“ฮือ…” พริบพราวคราง ซุกหน้าเข้ากับต้นแขนของกมลดาพร้อมหลับตาปี๋
“น้องพริม ไม่มีอะไรหรอกนะ” กมลดาโอบปลอบเด็กน้อย
“ตายแล้ว อย่ากลัวย่าเลยนะ ย่ามาดี” ปราณปรียาละล่ำละลักบอก
“ย่าหนูอยู่ไทยแลนด์…” เพ็พพินแย้ง
“นี่ก็ย่า…” ปราณปรียาเถียง
“ย่าไหนครับเพ็พ” ลวัศกรหันขวับมาทางผีตนที่ถูกเรียก เขากวาดสายตาไปรอบๆ ค้นหาว่าเธออยู่ไหน แต่คงมองไม่เห็น
“ย่าสีพิงก์”
“เพ็พพูดอะไรน่ะลูก ไม่เอานะ แม่กลัว”
ปณาลีเหลียวหลังมาทำหน้าเครียด นิติคุณซึ่งขับรถอยู่ก็เหลือบมองกระจกส่องหลังอย่างไม่สบายใจ
“แย่แล้ว! ย่าไปก่อนดีกว่า”
พูดจบ ปราณปรียาก็หายตัววับ หนีปัญหาไปเลยทันที
“ย่าหายปายแล้ว!”เพ็พพินตะโกน ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปข้างหน้า
พริบพราวลืมตาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อแอบมอง ก่อนเธอจะค่อยๆ ขยับออกจากอ้อมกอดของกมลดาอย่างกลัวๆ กล้าๆ
“หายไปแล้วหรือ”
“หนูพูดถึงใครกันน่ะลูก” ปณาลีถามบุตรสาว
“หม่ามี้ หนูเห็นผู้หญิงนั่งข้างๆ อาต้นเมื่อกี้” พริบพราวบอกเสียงสั่น
“ตอนนี้ ม่ายมีแล้ว” เพ็พพินพูดต่อ
ลวัศกรมองไปข้างตัวอย่างขยาด เขาสบตากมลดาซึ่งมองมาด้วยความระแวง ต่างคนต่างหน้าเครียด ก่อนกมลดาจะกระแอมสองที แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“พี่ว่า…เรา…มาดูของที่พี่เอามาฝากกันดีกว่า พี่ซื้อลิปมันมีสีที่น้องพริมกับน้องเพ็พอยากได้มาให้แล้วนะคะ อยู่ในกระเป๋านี่แหละ…”
กมลดาเปิดกระเป๋า แต่มือข้างหนึ่งถือลูกโป่งอยู่ ทำให้ไม่ถนัด หญิงสาวจึงขอร้องเขา
“ขอโทษนะคะพี่ต้น เดียร์ขอฝากลูกโป่งได้มั้ย”
“ได้สิ” ชายหนุ่มรับลูกโป่งมาถือ
“ขอบคุณค่ะ” กมลดายิ้มเป็นการเป็นงาน เธอเปิดกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่วางอยู่บนตัก “น้องพริมขา ช่วยพี่หาลิปมันหน่อยได้ไหมคะ มันอยู่ตรงไหนน้า”
พริบพราวพยักหน้าช้าๆ แม้จะยังมีความหวาดกลัวจนหน้าซีด แต่ก็ยอมขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง ยื่นมือน้อยๆ เข้าไปในกระเป๋า
“หนูช่วยๆ” เพ็พพินโบกตุ๊กตาหมา แต่ติดที่ออกจากเก้าอี้คาร์ซีตไม่ได้
“ได้เลย แต่ให้พี่พริมหาก่อนนะคะ แล้วน้องเพ็พค่อยหาของตัวเอง” กมลดาเปิดปากกระเป๋าให้กว้างขึ้น
“หนูเจอแล้ว” พริบพราวหยิบลิปมันสีโอลด์โรสออกมา
“ของหนูล่ะ” เพ็พพินยื่นมือออกมา
“อะนี่” กมลดาส่งกระเป๋าให้เด็กน้อย ไม่นานเพ็พพินก็เจอลิปมันของตนเอง
“ขอบคุณพี่เดียร์ด้วยค่ะลูก” ปณาลีเตือน
ทั้งคู่ยกมือไหว้ขอบคุณกมลดา ก่อนจะละความสนใจจากทุกสิ่ง พากันทาลิปมันบนเรียวปาก และขอดูกระจกจากตลับแป้งของกมลดาเพื่อชื่นชมสีปากอ่อนๆ ของตน
ค่อยยังชั่วที่หลานๆ ลืมผู้หญิงชุดสีชมพูไปแล้ว ทว่าลวัศกรไม่ลืมง่ายๆ เขาเหล่มองเก้าอี้ว่างข้างกายซึ่งมีเพียงลูกโป่งแกว่งไปมาตามการเคลื่อนตัวของรถ หวังว่าจะไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แต่อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ขอบคุณไหวพริบของกมลดาที่เอาลิปมันมากู้วิกฤติไปได้
ลวัศกรผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก และเห็นว่ากมลดาก็ถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน
พวกเขามาถึงกรุงเฮกอย่างราบรื่นโดยไม่มีใครเห็นอะไรแปลกๆ อีก เด็กทั้งสองก็เหมือนจะลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปแล้ว เอาแต่คุยจ้อให้กมลดาฟังว่าช่วงสองอาทิตย์ที่หญิงสาวกลับไปเมืองไทย พวกเธอทำอะไรบ้าง
นิติคุณขับรถไปตามถนนในกรุงเฮกอันสงบเงียบ แม้จะเป็นเวลาหัวค่ำของวันหยุดสุดสัปดาห์ การจราจรก็บางตากว่ากรุงเทพฯ มาก รถตู้แล่นผ่านย่านธุรกิจอันเต็มไปด้วยตึกสูงทันสมัย ก่อนอาคารจะเตี้ยลงเมื่อถึงย่านเมืองเก่า แสงไฟสีทองส่องให้เห็นตึกรามบ้านช่องแบบดัตช์อันเรียบง่าย แต่งามสง่า ตั้งขนานไปกับคูคลองซึ่งมีเกือบทุกท้องถนน อาคารส่วนใหญ่สูงประมาณสี่ห้าชั้น มีบ้างที่สูงกว่านั้น แต่ก็ไม่มาก นอกจากเลนรถยนต์แล้วก็ยังมีรถราง และที่ขาดไม่ได้คือทุกแห่งหนมีเลนรถจักรยาน
ไม่นานรถตู้ก็แล่นมาถึงที่พักของนิติคุณ ซึ่งอยู่ใกล้กับย่านของสถานเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ข้างตึกที่นิติคุณพักก็มีสถานทูตของประเทศหนึ่งในแถบลาตินอเมริกาอยู่ด้วย
นักการทูตหนุ่มเลี้ยวเข้าที่จอดรถของอะพาร์ตเมนต์ เพ็พพินหลับไปแล้ว กมลดาปลุกเด็กน้อย และจูงมือเธอออกมา พริบพราวตามลงมาทีหลังและรีบไปจับมือมารดา มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนถอนหายใจโล่งอก
ลวัศกรเข้าไปช่วยนิติคุณยกกระเป๋าเดินทางของตนกับกมลดา ไม่ลืมเอาลูกโป่งทั้งสองใบที่หลานๆ ให้ลงมาจากรถ
“เดียร์ลากกระเป๋าเองค่ะพี่ต้น” หญิงสาวบอกเขา
ชายหนุ่มส่งสัมภาระของเธอและลูกโป่งให้ ส่วนเขารับผิดชอบกระเป๋ากับลูกโป่งอีกใบของตนเอง ทั้งสองเดินตามหลังนิติคุณกับปณาลีที่จูงมือลูกๆ ออกจากโรงรถ เดินเข้าไปในตัวตึก
ตอนนั้นเองที่ลวัศกรเห็นผู้หญิงฝรั่งตัวสูงโย่งเปิดประตูอาคารออกมา เธอซอยผมสั้นกุด เจาะหูหลายรู และเจาะคิ้ว ดวงตาคมกรีดอายไลเนอร์คมกริบ เธอสวมเสื้อยืดสีเทาเข้มสกรีนลายวงดนตรีร็อกยุค ๘๐ กับกางเกงขาสั้นสีเขียวทหาร และรองเท้าแตะ
บุคลิกโหดๆ ของหญิงสาวช่างขัดกับรอยยิ้มกว้างและท่าทางดีใจราวกับเด็กๆ ยามโผเข้ากอดกมลดา
“มายเดียร์ ที่รักของฉัน เธอกลับมาแล้ว คิดถึงที่สุดเลย!”
สาวฝรั่งพูดไทยชัดยิ่งกว่าหลานคนเล็กของลวัศกรเสียอีก ชายหนุ่มเดาว่าเธออาจเป็นลูกครึ่ง เพราะดูดีๆ ก็มีเค้าความเป็นเอเชียอยู่บ้าง
“มีนา คิดถึงจังเลย”
เอาละสิ กมลดากอดรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้นไปอีกจนตัวแทบจะสิงกันได้อยู่แล้ว!
“เธอรู้ไหมว่าตอนเธอไม่อยู่ ฉันนอนไม่หลับเลย ค่อยยังชั่วหน่อย คืนนี้ฉันไม่ต้องนอนคนเดียวแล้ว”
“โอ๋ ไม่เป็นไรนะ ฉันกลับมาแล้ว”
“ดีใจที่สุดเลย มายเดียร์”
สองสาวกอดกันไปมาราวกับอยู่ในโลกส่วนตัว จนกระทั่งมีนาหันมาเห็นครอบครัวของนิติคุณ จึงคลายอ้อมแขน ไหว้และยิ้มเขินๆ ทักทายพวกเขา ไม่มีใครทำสีหน้าผิดแผกประหนึ่งว่านี่คือเรื่องปกติที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
…จนกระทั่งมีนาสังเกตเห็นลวัศกร
ใบหน้ายิ้มแย้มของสาวลูกครึ่งหุบลงทันควัน เธอหรี่ตามองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
“มีนา นี่พี่ต้นครับ เป็นน้องชายพี่เอง” นิติคุณแนะนำ
“สวัสดีค่ะ” มีนาทักด้วยเสียงแข็งๆ ไม่ยอมไหว้
“สวัสดีครับ” ลวัศกรทักตอบอย่างไม่ถือสา แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอเกลียดขี้หน้าเขาตั้งแต่พบเจอเลยหรือไร
“มีนากับเดียร์เป็นเพื่อนบ้านของเรา พวกเธออยู่ชั้นสอง เราอยู่ชั้นสาม” นิติคุณอธิบาย
“อ๋อ ครับ” ลวัศกรยิ้มให้ตามมารยาท
มีนาดูจะไม่ชอบใจ เจ้าหล่อนโอบบ่ากมลดาเข้าไปใกล้ตัวอย่างหวงแหน
เธอหึงเขาหรือ
ลวัศกรงง หากมีนาจะหึงใครสักคน ก็ควรไปหึงหนุ่มฝรั่งตาสีฟ้าที่สนามบินจะดีกว่า ทีแรกเขาคิดว่าหมอนั่นเป็นแฟนของกมลดา แต่เธอบอกพี่ชายกับพี่สะใภ้ว่าเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมทางซึ่งนั่งติดกันบนเครื่องบิน
ลวัศกรสงสารผู้ชายคนนั้น ท่าทางเขาอาลัยอาวรณ์กมลดาตอนจากกัน หมอนั่นควรจะได้รู้ ผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้มีดวงตาไว้มองผู้ชาย
น่าเสียดายจริงๆ
โชคดีที่เขาไม่ได้ชอบเธอ และไม่มีวันจะชอบด้วย เพราะน้องสาวของชัยภัคดิ์ไม่ใช่คนที่เขาควรจะสนใจ
“ฉันไม่ชอบเขา!”
มีนาประกาศกร้าวทันทีที่เธอกับกมลดาเข้าไปในห้องพักของพวกตน
กมลดายิ้มขบขันพลางถอดรองเท้าเก็บเข้าไปในตู้ และลากกระเป๋าเดินทางมาวางตรงมุมหนึ่งของอะพาร์ตเมนต์ ซึ่งที่จริงเป็นของบิดามารดาของมีนา พวกเขาอาศัยอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก ทว่าบิดามารดาของเพื่อนรักย้ายไปอยู่เมืองไทยเป็นส่วนใหญ่ นานๆ จึงกลับมา
มีนาเป็นเพื่อนร่วมเรียนปริญญาโทของกมลดา เจ้าหล่อนซึ่งไม่ชอบอยู่คนเดียวและกำลังหารูมเมตที่เข้ากันได้ จึงชวนกมลดามาอยู่ด้วยกัน ทีแรกกมลดาปฏิเสธ ค่าเช่าห้องของมีนาค่อนข้างแพงและเธอก็อยู่หอพักเล็กๆ ในเมืองซึ่งใกล้มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว แต่ก็เปลี่ยนความคิดในเวลาต่อมาเนื่องจากเพื่อนบ้านไม่น่าไว้วางใจ บ้างก็ขี้เมา บ้างก็ทะเลาะวิวาทกัน เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย พี่ชายทั้งสองก็เป็นห่วง โดยเฉพาะเวลากมลดากลับจากการทำงานเป็นพนักงานพาร์ตไทม์เสิร์ฟอาหารในร้านไทยตอนดึกๆ
จนถึงบัดนี้กมลดาเป็นรูมเมตของมีนามาได้ปีครึ่งแล้ว หญิงสาวตัดสินใจไม่ผิดเพราะได้เพื่อนแท้มาอีกคน
“จริงๆ นะมายเดียร์ ฉันไม่ชอบผู้ชายคนนั้น!” เพื่อนแท้ของกมลดาทำหน้าตูมพลางยื่นลูกโป่งของเด็กๆ ที่เจ้าตัวช่วยถือ คืนมาให้
“ถ้าเฮียแบร์ได้ยิน คงรักเธอตายเลย” กมลดาแกล้งเย้า
เธอผูกลูกโป่งไว้กับราวโลหะของชั้นวางของซึ่งมีแผ่นไม้สีน้ำตาลเข้มบางๆ เป็นฐานในแต่ละชั้น มีนาเป็นคนออกแบบและได้รับรางวัลสมัยเรียนปริญญาตรีปีสุดท้าย เธอดีไซน์ให้โครงเหล็กมีกลไกปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ตามประโยชน์การใช้งาน โดยเป็นได้ทั้งชั้นวางของและโต๊ะตอนนี้มันเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้รูปทรงแปลกๆ ฝีมือกมลดาซึ่งเธอทดลองทำ แต่ยังไม่ได้เรื่องเท่าไร ทว่ามีนาชอบมาก
“ฉันก็อยากให้เฮียแบร์รักฉันนะ เฮียไทเกอร์ด้วย คนไหนก็ได้ ทำไมนะทำไม ฉันอุตส่าห์ทอดถนน...”
“ทอดสะพาน”
“โอ้! ฉันจำผิดอีกแล้วหรือ…ทอดสะพาน...ฉันอุตส่าห์ทอดสะพานแล้ว ทำไมเฮียของเธอถึงไม่รักฉัน”
มีนาคร่ำครวญ ภายใต้ท่าทางโหดๆ อย่างนี้ ที่จริงแล้วเจ้าตัวเป็นหญิงสาวซึ่งโหยหารักแท้ และช่างฝันยิ่งกว่ากมลดาเสียอีก
“เฮียแบร์ก็หนีไปมีแฟนแล้ว ชอบเด็กก็ไม่บอก รู้งี้ฉันไปหาชุดนักเรียนมาใส่ตอนเฮียมาก็ดี” มีนายิ้มกรุ้มกริ่ม
“บ้า” กมลดาหัวเราะ เพื่อนรักจึงหัวเราะไปด้วย
“ว่าแต่ว่าไอ้พี่ต้นนั่นน่ะ เขาเป็นคนที่เฮียแบร์ชอบโทร.มาด่าให้เธอฟังบ่อยๆ ใช่ไหม พวกแอลแอล ดีเวลลอปเมนต์”
“ความจำเธอดีนะเนี่ย”
“อะไรที่เกี่ยวกับเฮียแบร์ ฉันจำได้หมดแหละ เขามาเป็นญาติพี่คุณได้ยังไง ฉันไม่เห็นรู้เลย”
“แม่เขากับแม่พี่คุณเป็นพี่น้องกัน แม่พี่คุณเป็นลูกคนโต แม่พี่ต้นเป็นลูกคนสุดท้อง รู้สึกว่าเขาจะมีกันห้าคนพี่น้องเลยนะ อายุเลยห่างกันเยอะ พี่คุณกับพี่ต้นก็เลยอายุห่างกันไปด้วย”
“เธอรู้ดีจัง”
“เฮียแบร์กับเฮียไทเกอร์เคยบอกฉันตั้งแต่ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่เสียอีก”
“ฉันลืมไปว่าเฮียของเธอสืบประวัติทุกคนที่มาสนิทกับเธอ รวมทั้งฉันด้วย โชคดีที่ฉันประวัติดี”
“อืม ฉันมีพี่ก็เหมือนมีพ่อ…ไม่สิ…พวกเฮียเป็นห่วงฉันยิ่งกว่าป๊าของฉันเสียอีก” วงหน้าของกมลดาสลดลง
“อย่าน้อยใจไปเลย…” มีนาตบหลังเธอเบาๆ
กมลดาสบตาเพื่อน มีนาเป็นอีกคนที่รับรู้ปมในใจนี้ของเธอมาตลอด สองปีที่หญิงสาวเรียนอยู่ต่างแดน บิดาไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง…ไม่…แม้แต่จะโทรศัพท์มา ปู่ก็เหมือนกัน เวลาเธอโทร.ไปหาพวกเขา ทั้งสองก็ไม่เต็มใจคุยด้วย เอาแต่บ่นว่า หลังๆ เธอจึงไม่ค่อยอยากโทร.ไป
“เธอยังโชคดีที่มีพี่ชายตั้งสองคน ฉันสิ เคยมี แต่พี่ก็ตาย ฉันยังอิจฉาเธอเลย ถ้าพี่ฉันยังอยู่ คงอายุพอๆ กับเฮียแบร์” ใบหน้าของมีนาหมองหม่นลง
“ฉันขอโทษที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา” กมลดาเป็นฝ่ายลูบหลังปลอบเพื่อนบ้าง
“ไม่เป็นไร”
“ฉันให้เธอยืมเฮียเป็นพี่ก็ได้นะ”
“ไม่เอา ฉันอยากได้เขาเป็นบอยเฟรนด์มากกว่า”
“เอาอีกแล้ว ยายมีนา”
สองเพื่อนรักหัวเราะให้แก่กัน ก่อนที่สาวลูกครึ่งจะวกเข้าเรื่องเดิม
“ไอ้พี่ต้นจะอยู่ที่นี่นานไหม”
“คงไม่หรอก ฉันได้ยินว่าเขามาประชุมหรือมาดูงานแค่สองอาทิตย์เอง เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“ดูงานอะไรหรือ”
“ไม่รู้สิ เขาไม่ได้บอก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากให้ฉันรู้ อาจเป็นความลับทางธุรกิจก็ได้นะ”
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นเธอต้องรีบบอกเฮียของเธอแล้วละ”
“เอาไว้ก่อนดีกว่า ฉันไม่อยากให้พวกเขาบินมาถึงนี่”
“อา…จริงด้วย ยิ่งถ้าเฮียแบร์รู้ พรุ่งนี้คงบินตามมาเลย แต่เธอจะทำยังไง เธออาจจะต้องเจอไอ้พี่ต้นบ่อยๆ เลยนะ เธอต้องไปสอนเปียโนให้เด็กๆนี่นา”
“ก็แค่อาทิตย์ละวันเอง ตอนฉันไป เขาอาจจะยังไม่กลับบ้านก็ได้”
“แต่เด็กๆ ติดเธอมากนะดีไม่ดีจะมาชวนเธอไปเล่นที่บ้านเหมือนอย่างเคย แล้วเธอก็เลยต้องเจอไอ้พี่ต้น”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็แค่อยู่กับเด็กๆ ไม่ไปยุ่งกับเขา พี่ต้นเองก็คงไม่อยากยุ่งกับฉันหรอก ฉันเป็นน้องเฮียแบร์นะ เขาไม่ถูกกับเฮีย เขาก็ต้องไม่ชอบหน้าฉันเหมือนกัน เราจะต่างคนต่างอยู่จนเขากลับเมืองไทยไปเลย เธอไม่ต้องห่วง”
“ดี แค่เห็นหน้าเขา ฉันก็หมั่นไส้จะแย่ คนอะไรหน้ากวนตี๊นกวนตีน สมแล้วที่เฮียแบร์ไม่ชอบ ศัตรูของเฮียแบร์ก็คือศัตรูของฉัน แล้วก็เป็นศัตรูของเธอด้วย!”
กมลดาพยักหน้า ไม่รู้เลยว่ามีร่างในชุดสีชมพูกอดอกมองอยู่ด้วยความหนักใจ
ความคิดเห็น |
---|