
๖
อะพาร์ตเมนต์ของอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ครอบคลุมเนื้อที่ทั้งชั้นของอาคารเล็กๆ แห่งนี้ มันอยู่ชั้นสามซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของตึกก็จริง แต่เมื่อนับตามแบบคนไทยจะเป็นชั้นสี่ เพราะชั้นศูนย์ของที่นี่หมายถึงชั้นหนึ่ง
ลวัศกรลากกระเป๋าเดินทางตามครอบครัวของนิติคุณเข้าไปในห้องโถง ซึ่งจัดอย่างน่ารัก มีตู้เตี้ยๆ วางกระถางต้นไม้สลับกับภาพวาดสีอะคริลิกในเฟรมผ้าใบ และดินปั้นรูปสัตว์ต่างๆ ระบายสีสดใส เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือหลานสาวทั้งสอง ปณาลีให้ชายหนุ่มถอดรองเท้ามาเก็บไว้ในตู้เช่นเดียวกับคนอื่น
นิติคุณอธิบายว่าอะพาร์ตเมนต์แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ทางซ้ายเป็นส่วนของที่พัก มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ พ่อแม่ลูกทั้งสี่พำนักในห้องนอนใหญ่ซึ่งอยู่ด้านในสุด ส่วนห้องสำหรับแขกที่ลวัศกรพักตั้งอยู่ใกล้โถงทางเข้า ขณะที่ฝั่งขวาของอะพาร์ตเมนต์มีห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว ห้องครัว และห้องซักรีด
ลวัศกรยกกระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องนอนขนาดกะทัดรัด แต่น่าอยู่ ตกแต่งทันสมัย มีเตียงขนาดควีนไซซ์ตั้งอยู่ตรงกลาง ขนานไปกับประตูกระจกที่เปิดออกไปสู่ระเบียงซึ่งทอดยาวมาจากโถงทางเดินหน้าทางเข้าอะพาร์ตเมนต์ ผ่านห้องพักแขกนี้ และยาวไปถึงห้องนอนใหญ่ของครอบครัว แม้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ท้องฟ้ายังสว่างเนื่องจากเป็นฤดูร้อนซึ่งดวงตะวันตกช้า
ชายหนุ่มแอบกระเป๋าเดินทางไว้ข้างตู้เสื้อผ้าติดผนังด้านที่อยู่ตรงข้ามประตูระเบียง เขาโยนเป้ใบเก่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ตรงปลายเตียง ใกล้กันเป็นชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่เขามั่นใจว่าน่าจะเป็นของหนอนหนังสืออย่างนิติคุณ
ลวัศกรเดินออกจากห้องนอนไปยังอีกปีกหนึ่งของบ้าน เขาชอบอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ตรงที่มันมีหน้าต่างกระจกบานโตอยู่โดยรอบ เขาจึงชื่นชมทิวทัศน์ได้ทุกทิศทาง
วิศวกรหนุ่มอมยิ้มกับร่องรอยของเด็กๆ ที่ประทับอยู่แทบทุกตารางนิ้ว เขาอยากเรียกห้องนั่งเล่นที่ตนยืนอยู่ว่าห้องเล่นของหลาน เพราะมีตุ๊กตา บ้าน ครัวจำลอง ตัวต่อ ตลอดจนของเล่นอื่นๆ และหนังสือเด็กอีกสารพัด แต่แม้จะมีของเยอะ พวกมันก็ถูกจัดไว้ค่อนข้างเป็นระเบียบ ของชิ้นใหญ่วางเป็นเอกเทศอยู่บนพื้น ส่วนชิ้นเล็กถูกเก็บในลังที่น่าจะประดิษฐ์ขึ้นมาเองจากวัสดุเหลือใช้และจัดเรียงไว้บนชั้นเตี้ยๆ ใต้หน้าต่าง แบ่งซอยเป็นช่องๆ
สิ่งที่สะดุดตาชายหนุ่มมากที่สุดก็คือโต๊ะทำงานสีขาวติดผนัง น่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ซึ่งต่อขึ้นมาเองเพราะความสูงของโต๊ะเป็นขนาดที่พอเหมาะกับเด็กเก้าอี้ตัวน้อยซึ่งวางคู่กันสองตัวยืนยันว่าเจ้าของโต๊ะคือผู้ใด
เหนือโต๊ะตัวนั้นมีไม้อัดขนาดเท่าความยาวของโต๊ะ เจาะรูเล็กๆ สำหรับแขวนตะขอที่เกี่ยวไว้กับภาชนะรีไซเคิลบรรจุเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะนานาชนิด
ปากกาเมจิกอยู่ในกระป๋องหนึ่ง สีไม้อยู่อีกกระป๋อง เช่นเดียวกับหลอดสีน้ำ สีอะคริลิกอยู่ในแกลลอนนมที่ถูกตัดออกครึ่งหนึ่ง พวกมันมีร่องรอยว่าผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน พู่กัน กรรไกร เทปกาว ถูกเก็บในขวดแก้วซึ่งน่าจะเคยใส่แยมมาก่อน ใต้โต๊ะมีชั้นเตี้ยๆ แบบลากออกมาได้ซ่อนอยู่ ข้างในบรรจุกระดาษแบบต่างๆ กับแคนวาสวาดภาพ และมีกล่องใส่ดินปั้นกับขาตั้งผ้าใบขนาดกะทัดรัด
จากที่รู้จักนิติคุณมาตลอดชีวิต ลวัศกรไม่คิดว่าพี่ชายจะสนใจในการดัดแปลงเอาภาชนะเก่าๆ มาใช้งานใหม่โดยดีไซน์ให้เก๋ไก๋ได้ถึงเพียงนี้ ต้องเป็นฝีมือพี่สะใภ้แน่ หรือไม่การมีลูกก็ทำให้พี่ชายเปลี่ยนไป หรืออีกทีพวกเขาอาจจ้างคนมาช่วยทำ
ลวัศกรเดินไปยังเปียโนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณห้องครัว ซึ่งจริงๆ เป็นแค่เคาน์เตอร์กั้นระหว่างห้องนั่งเล่นกับพื้นที่สำหรับกินข้าว ปูพื้นกระเบื้องเฉพาะตรงส่วนที่ใช้ประกอบอาหาร บริเวณอื่นๆ ในห้องเป็นไม้ปาร์เกต์
“อ้าว! ต้น” ปณาลีโผล่ขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์ในครัว
“เฮ้ย! พี่ปลา” ลวัศกรสะดุ้งโหยง
“ตกใจหรือ ขอโทษที พี่มัวแต่หยิบของ”
พี่สะใภ้ยิ้มแหย เธอเป็นคนตัวเล็ก และเคาน์เตอร์นี้ก็สูงกว่าปกติ ขนาดปณาลียืนขึ้นมาเต็มตัวแล้ว ขอบเคาน์เตอร์ก็ยังต่ำกว่าช่วงอกของเธอไม่กี่นิ้ว ตู้ใส่ของทั้งหลายอยู่สูงเหนือศีรษะ หากพี่สะใภ้จะเอื้อมมือไปเปิดหยิบของ คงต้องเอื้อมสุดแขน
“พี่ปลาจะทำอะไรครับ ให้ผมช่วยไหม”
“พี่จะอุ่นอาหารให้ต้นนั่นแหละ หิวรึยัง เมื่อกี้ต้นก็ไม่ได้กินข้าวมาในรถ เดียร์ก็เหมือนกัน” ปณาลีวางจานเปล่าลงบนเคาน์เตอร์
“ยังไม่หิวครับพี่ ผมทำเองดีกว่า” เขากุลีกุจอเข้าไปในครัว
“ไม่ต้องหรอก ต้นเดินทางมาเหนื่อยๆ” เธอเทข้าวผัดจากร้านอาหารจีนใส่จานอย่างคล่องแคล่ว “อุ่นหน่อยนะ ต้นไปนั่งไป ไม่ต้องช่วยพี่”
ชายหนุ่มพยายามแย่งจานมา แต่ปณาลียึดจานไว้ เธอหมุนตัวขวับไปทางเตาอบไมโครเวฟซึ่งอยู่เหนือตู้เย็นขึ้นไปอีก ลวัศกรรีบไปช่วย แต่เจ้าของร่างน้อยปีนขึ้นเก้าอี้บันไดไปแล้ว เธอเอาจานใส่เตา กดปุ่มให้มันทำงาน
เขาไม่ยอมพลาดอีก จึงยืนเฝ้าหน้าเตาเลยทีเดียว ลวัศกรเพิ่งสังเกตว่าเก้าอี้บันไดทำจากไม้ ดีไซน์เก๋ รูปร่างเพรียวบางกว่าเก้าอี้บันไดทั่วไป เสียแต่หนักไปหน่อย แต่ข้อดีคือมีที่จับอยู่ด้านบน เอาไว้สำหรับเลื่อนไปมาได้โดยไม่ต้องก้มลงยกมัน
ตอนที่ชายหนุ่มเผลอ เจ้าของครัวผู้แคล่วคล่องก็ขยับไปเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบช้อนส้อมไปวางบนโต๊ะอาหาร ลวัศกรพุ่งไปจัดโต๊ะเอง แต่พี่สะใภ้ก็เดินสวนกลับเข้าไปส่วนของครัวอีกแล้ว เธอหยิบไม้ยาวๆ ซึ่งมีสติกเกอร์การ์ตูนติดอยู่เต็มขึ้นมา น่าจะเป็นฝีมือการแปะของหลานคนใดคนหนึ่ง
“พี่ปลาจะเอาอะไรครับ”
“ไปนั่งไป”
เธอสั่งเสียงเข้มพร้อมกับยื่นไม้ปริศนาออกไปข้างหน้า กดปุ่มดังคลิก ง่ามโลหะก็กระเด้งออกมา คล้ายไม้เซลฟี่ แต่ตรงปลายเป็นมือปลอมต่อแขนคนธรรมดาให้ยาวขึ้น ปณาลีเกี่ยวมันเข้ากับหูจับของตู้เพื่อเปิดตู้ออก
ลวัศกรปรี่ไปช่วย แล้วจึงตระหนักได้ว่าไม่จำเป็นเลย เพราะภายในตู้สูงมีกลไกที่ติดไว้กับชั้นวางของข้างในอีกที เมื่อเปิดตู้ ชั้นวางของซึ่งต่อเอาไว้เป็นพิเศษด้านในจะยื่นลงมาในระดับที่คนตัวเล็กอย่างปณาลีหยิบของต่างๆ ได้
“โอ้โห!” เขาอุทาน
“บอกแล้วว่าไม่ต้องช่วย อะ แก้วน้ำค่ะ”
ลวัศกรพึมพำขอบคุณพลางรับแก้วมาวางไว้บนเคาน์เตอร์ ความสนใจอยู่ที่แขนปลอมและชั้นติดกลไกในตู้สูง
“เจ๋งอะ พี่ซื้อของพวกนี้มาจากไหนหรือครับ”
“ไม่ได้ซื้อหรอก เดียร์ทำให้ ต้นเปิดตู้อื่นดูด้วยก็ได้ เธอทำให้ทุกตู้เลย ตู้เก็บเครื่องปรุงนั่นก็ด้วยค่ะ”
“น้องเดียร์น่ะหรือครับ…” ลวัศกรขมวดคิ้ว เขาสำรวจทุกตู้ด้วยความสนเท่ห์
“ค่ะ เดียร์เขาสงสารพี่ที่เป็นคนตัวเตี้ยในโลกของคนตัวสูง ต้นรู้ใช่ไหมว่าชาวดัตช์เป็นชนชาติที่สูงที่สุดในโลก ในครัวของคนดัตช์อะไรๆ ก็เลยอยู่สูงไปหมด เดียร์สังเกตเห็นว่าเวลาพี่หยิบของแต่ละทีลำบากจะตาย เลยอาสาทำอุปกรณ์พวกนี้มาให้ ตอนนี้พี่เลยสบายแล้ว” ปณาลียิ้มอวดอย่างภาคภูมิใจ
ลวัศกรแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับกมลดาเลย คุ้นๆ ว่าเคยได้ยินแค่เธอไปช่วยงานในทีมสถาปนิกของซีเคพีอยู่ระยะหนึ่งหลังเรียนจบใหม่ๆ เขาทราบเพราะสถาปนิกที่สนิทกันเล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว
“น้องเดียร์จบ’ถาปัตย์หรือมัณฑนศิลป์ไม่ใช่หรือครับ”
“มัณฑนศิลป์ค่ะ แต่ตอนนี้เธอมาเรียนต่อทางอินดัสเทรียลดีไซน์ จบแล้วละ กำลังหางานทำอยู่”
เสียงเตาไมโครเวฟส่งสัญญาณว่าอุ่นอาหารเสร็จแล้ว ลวัศกรหยิบจานออกมา เอาไปวางบนโต๊ะอาหาร พร้อมกับแก้วน้ำ เขาขอบคุณปณาลีอีกครั้งเมื่อเธอเดินตามมารินน้ำใส่แก้วให้
“ต้นคงยังไม่เห็นถังขยะรีไซเคิลของเดียร์ อันนี้เป็นแม่แบบของงานที่เขาส่งประกวดตอนเรียน ได้รางวัลด้วยนะ”
ปณาลีชี้ไปยังถังขยะลายไม้บีชสีอ่อน รูปทรงสี่เหลี่ยมสูงประมาณต้นขาของเธอ มันแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นบนเป็นแบบเปิดฝา มีช่องอยู่สองช่อง ส่วนชั้นล่างเป็นลิ้นชักสองอัน ใช้สำหรับแยกขยะออกเป็นประเภทต่างๆ
“เมื่อก่อนเวลาเดียร์มาบ้านเราก็จะเห็นเด็กๆ หรือแม้แต่ตัวพี่เองแยกขยะผิดเป็นประจำเพราะเราคนไทยไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องนี้ มิสเตอร์จังก์แมนประจำบ้านต้องมาแยกขยะใหม่ทุกที…พี่หมายถึงพี่คุณนั่นแหละ พี่กับลูกๆ เรียกเขาว่าจังก์แมน (Junkman)เพราะเป็นคนเอาขยะไปทิ้งให้ทุกวัน ที่นี่เขาต้องแยกขยะเวลาทิ้งค่ะ พี่คุณแยกไปบ่นไป เดียร์ก็เลยทำถังขยะนี้มาให้ ชีวิตจะได้ง่ายขึ้น”
ปณาลียังเล่าอย่างชื่นชมต่อไปว่ากมลดาไม่ใช่แค่ออกแบบและประดิษฐ์ของใช้ในครัว แต่เธอกับมีนายังช่วยกันประกอบเฟอร์นิเจอร์แทบทั้งหมดในโซนของเด็ก ทั้งตู้เก็บของและโต๊ะทำงาน โดยเน้นเอาวัสดุเหลือใช้มาทำ และให้เด็กๆ มีส่วนร่วมช่วยตกแต่ง หลานสาวทั้งสองจึงสนุกกับการเก็บของและรักษาความสะอาดพื้นที่ของพวกเธอเพราะกมลดาต้องมาตรวจ
“น้องเดียร์มาที่นี่บ่อยหรือครับ” ลวัศกรถามพลางตักข้าวผัดรับประทานไปด้วย
“บ่อยค่ะ เดียร์มาสอนเปียโนให้เด็กๆ ทุกวันอังคาร แต่เมื่อก่อนนี้มาเกือบทุกวันเลย”
ปณาลีเล่าให้ฟังว่ากมลดาย้ายตามมีนามาอยู่ที่ตึกนี้ได้ปีครึ่งแล้ว…ที่แท้เธอก็ย้ายตามคู่รักมานี่เอง!
ครอบครัวของญาติผู้พี่เคยเจอหญิงสาวมาบ้างในร้านอาหารไทยซึ่งกมลดาเป็นพนักงานเสิร์ฟ แต่ไม่รู้ว่าเธออาศัยอยู่ที่นี่จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งพริบพราวกับเพ็พพินเล่นซุกซนจนทำเครื่องกระเบื้องเคลือบที่ปณาลีสะสมร่วงลงมาแตก เพ็พพินตกใจจนร้องไห้เสียงดังไปถึงห้องข้างล่าง กมลดาสงสัยจึงขึ้นมาดูเผื่อใครต้องการความช่วยเหลือ
หญิงสาวกลายเป็นแขกประจำบ้าน มาเล่นกับหลาน ชวนเด็กๆ ทำงานศิลปะ ช่วยตกแต่งกับจัดระเบียบบ้านให้ใหม่ วันไหนที่นิติคุณกับปณาลีมีธุระนอกบ้านก็ให้กมลดาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก และหลังๆ ก็รับสอนเปียโนให้อีกด้วย
“เมื่อก่อนพริมกับเพ็พเรียนเปียโนที่โรงเรียนค่ะ แต่เวลาเรียนมันน้อย แล้วครูฝรั่งก็ค่อนข้างดุ เด็กๆ เลยไม่ค่อยเอ็นจอยกับการเรียนเท่าไหร่ พี่เลยให้เดียร์ช่วยสอน เพราะเธอรับสอนเปียโนให้เด็กคนอื่นอยู่บ้างเหมือนกัน ปรากฏว่าลูกๆ พี่ชอบมาก จากที่เมื่อก่อนพวกแกเรียนมาจากโรงเรียน แต่ไม่ค่อยยอมซ้อม ตอนนี้ขยันซ้อมกันใหญ่เลยค่ะ แข่งกันอวดพี่เดียร์”
“เก่งจังหลานๆ วันหลังผมคงต้องขอฟังหน่อยแล้ว น้องเดียร์เองก็ขยันเหมือนกันนะครับ ไหนจะเสิร์ฟอาหาร สอนเปียโน เป็นเบบี้ซิตเตอร์ แล้วยังตกแต่งบ้าน ออกแบบผลิตภัณฑ์อีก”
เขานึกภาพหญิงสาวร่างเพรียวบางแบกถาดอาหาร ดีดเปียโน เลี้ยงเด็ก แล้วยังทำงานช่างสารพัดชนิดเหมือนผู้ชาย ทั้งที่เธอตัวเล็กแค่นี้เอง
“นี่ยังน้อยไปนะ เดียร์รับจ็อบเป็นไกด์พาคนไทยไปเที่ยวด้วยค่ะ ลูกค้าก็มีพวกที่สนิทๆ กัน กับแขกของสถานทูตบางกลุ่ม”
“โอ้โห ทำงานอย่างกับเป็นหนี้เลยครับ” ลวัศกรเกือบจะตบปากตนเองที่เผลอปล่อยสุนัขในปากออกไปตามความเคยชิน เขากำลังงงปนทึ่ง
ตอนชายหนุ่มเรียนที่สหรัฐอเมริกาก็เคยลองเสิร์ฟอาหารดูเล่นๆ เพราะอยากรู้และอยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ แต่ทำไปได้ไม่กี่วันก็พบว่าเหนื่อยมาก งานบริการไม่ใช่ทางของตน ชายหนุ่มจึงเสาะหางานอดิเรกใหม่สุดท้ายได้ค้นพบว่า การแบกเป้ออกไปท่องเที่ยวเปิดโลกทัศน์ ค่ำไหนก็นอนนั่น สนุกกว่า
แต่กมลดากลับทำงานเสิร์ฟที่เขาเกลียดสัปดาห์ละตั้งหลายวัน เธอเป็นหนึ่งในทายาทของครอบครัวเศรษฐีที่ร่ำรวยล้นฟ้า แถมเป็นลูกสาวคนเดียว น่าจะได้รับความทะนุถนอมไม่ต่างจากที่ลวิตราได้รับ หรืออาจจะมากกว่า เพราะมีพี่ชายตั้งสองคน จากที่เห็นสมาชิกในครอบครัวมาส่งกมลดาที่สนามบิน พวกเขาดูรักใคร่กลมเกลียว ไยจึงปล่อยให้กมลดาทำงานหนัก
“มีนาแอบบอกพี่ว่าทางบ้านส่งเสียเดียร์ด้วยจำนวนเงินที่จำกัด เธอก็เลยต้องทำงานน่ะค่ะ”
“ทำไมใจร้ายจัง” ลวัศกรฉุนกึก เขาไม่มีวันยอมให้ลวิตราต้องลำบาก ชัยภัคดิ์โหดร้ายกับน้องตนเองเกินไปแล้ว
“ไม่รู้สิ แต่เวลาพี่ๆ เธอมาเยี่ยมก็ดูรักกันดีออกนะคะ”
“มัน เอ๊ย เขามาบ่อยไหมครับ พี่ๆ ของน้องเดียร์น่ะ”
“น่าจะปีละหนสองหนได้ คุณแบร์กับคุณไทเกอร์สลับกันมาค่ะ แต่เมื่อเดือนที่แล้วทั้งสองคนมางานรับปริญญาของเดียร์พร้อมคุณย่าคุณแม่ แฟนคุณแบร์ และคุณแม่ของเธอค่ะ พวกเขาอยู่ที่นี่กันตั้งอาทิตย์หนึ่งแน่ะ เขายังเชิญครอบครัวเราไปกินเลี้ยงฉลองปริญญาของเดียร์กับมีนาด้วยเลย คุณพ่อคุณแม่ของมีนาก็กลับมางานรับปริญญาของลูกสาวด้วยน่ะค่ะพวกเธอจบพร้อมกัน เลยเลี้ยงฉลองพร้อมกันไปเลย คุณย่าของเดียร์เป็นเจ้ามือ”
ก็ยังดี…เขาคิด
“แล้วพ่อน้องเดียร์ล่ะครับ”
“เอ…เขาน่าจะยังไม่เคยมานะ”
ลวัศกรนิ่วหน้า ชายหนุ่มเคยเจอโชคชัยมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ค่อยถูกชะตา เพราะนอกจากโชคชัยมักพูดเสียงดังและชอบวางอำนาจแล้ว ยังตีหน้ายักษ์ขมูขีใส่เขาเป็นประจำเสมือนไม่เคยพอใจอะไรสักอย่างในโลก ลวัศกรเคยแอบได้ยินโชคชัยดุว่าชัยพลบ่อยๆ แต่ชื่นชมชัยภัคดิ์อย่างออกนอกหน้า เขาจึงรู้สึกว่าโชคชัยเป็นบิดาที่ลำเอียงเหลือเกิน
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างโชคชัยกับบุตรสาวคนเล็กเป็นอย่างไร แต่การที่เขาไม่มาเยี่ยมเธอทำให้โชคชัยแตกต่างจากบิดาของลวัศกรซึ่งรักลวิตรายิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ บินไปหาเธอปีละหลายครั้งจนลวิตราต้องแอบขอร้องมารดาให้รั้งบิดาไว้บ้าง หลังๆ เขาจึงยอมปล่อย
การสนทนาหยุดชะงักเมื่อนิติคุณเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าของลวัศกรอ่อนละมุนลงเมื่อรับรู้ว่าพี่ชายซึ่งตอนนี้กลายเป็นคุณพ่อเต็มตัว ได้พาลูกสาวไปแปรงฟัน อาบน้ำ เข้านอน แล้วจึงปลีกตัวมานั่งคุยด้วย นิติคุณถามว่าคุยเรื่องอะไรอยู่ ภรรยาจึงตอบว่าพูดถึงกมลดา
“ต้นรู้แล้วใช่ไหมว่าเดียร์เป็นลูกคุณโชคชัย เจริญกิจพัฒนา แล้วก็เป็นน้องสาวคุณแบร์” นิติคุณถามเสียงขรึม
“ผมทราบครับพี่ ผมเจอเธอตั้งแต่ที่สุวรรณภูมิแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะมาที่นี่”
“แล้วต้นโอเคไหม พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน”
“ไม่เป็นไรเลยครับ เรื่องเล็กน้อย น้องเดียร์ก็ส่วนน้องเดียร์ ไอ้แบร์ก็ส่วนไอ้แบร์ ไม่เกี่ยวกันเลย”
“ค่อยยังชั่วหน่อย ต้นอาจจะต้องเจอเดียร์บ้างในบางวันที่เธอมาสอนเปียโนนะ”
“พี่ปลาบอกผมแล้วครับ พี่ไม่ต้องห่วง ผมสบายมาก”
“งั้นก็ดีแล้ว พี่กลัวจะมีปัญหากัน”
“ไม่มีชัวร์ๆ เชื่อหัวไอ้ต้นได้เลย!”
ลวัศกรรับประกันด้วยความมั่นใจ
ระหว่างที่ผู้ใหญ่สนทนากันอยู่นั้น ห้องนอนซึ่งมีแต่เด็กๆ ได้ปิดไฟจนมืดสนิทแล้ว หนูน้อยทั้งสองกำลังเคลิ้มหลับ แต่แสงวิบวับเหมือนใครเอากากเพชรมาโปรยปรายที่ปรากฏขึ้นกลางห้องปลุกให้พริบพราวตื่นเต็มตา
เด็กน้อยกระเด้งตัวขึ้นมานั่ง เธอคว้าแขนน้องสาวที่ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียให้ลุกตามมา ก่อนทั้งคู่จะเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างผู้มาเยือน…
ความคิดเห็น |
---|