10

บทที่ 10


๑๐

 

“เธอเป็นคนแรกในรอบหลายปีของบริษัทเราเลยนะที่ถูกสัมภาษณ์โดยเจ้านายพร้อมกันทั้งสองคน”มีนาตั้งข้อสังเกตหลังจากที่กมลดาเล่าเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในห้องผู้บริหารจบ

ทั้งสองอยู่ในร้านแซนด์วิชเล็กๆ ใกล้ฟรอลิกสตูดิโอ ปกติมีนามักรับประทานอาหารง่ายๆ ที่เตรียมไปเองในห้องครัวของออฟฟิศเหมือนเช่นพนักงานอื่น แต่วันนี้เธอปลีกตัวมากินข้าวเที่ยงกับกมลดาเพราะอยากรู้ผลการสัมภาษณ์จนใจจะขาดแล้ว

“ฮันส์…เอ่อ…ฉันควรต้องเรียกเขาว่าคุณฮันส์ไหม ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายฉันแล้ว” กมลดาถามความเห็น

“เรียกฮันส์เหมือนเดิมนั่นแหละ เขาให้พนักงานทุกคนรวมทั้งฉันเรียกเขาอย่างนั้นเหมือนกัน” มีนากัดแซนด์วิชซึ่งทำจากขนมปังคล้ายๆ ขนมปังบาแกตต์ของฝรั่งเศสแต่มีขนาดสั้นกว่า

“ฮันส์ไม่ค่อยถามอะไรฉันหรอก แต่มาร์กน่ะสิโหดมาก ถามละเอียดยิบไปหมดทุกอย่างจนฉันคิดว่าไม่รอดแล้ว แต่อยู่ดีๆ เขาก็ยิ้มแล้วยื่นมือมาเชกแฮนด์ บอกว่ายินดีด้วยนะ คุณได้เป็นส่วนหนึ่งของฟรอลิกสตูดิโอแล้ว หรืออะไรเทือกๆ นี้แหละ ฉันตื่นเต้นจนงงไปหมดเลย”

จนป่านนี้กมลดาก็ยังไม่หายฉงน ผู้บริหารของฟรอลิกสตูดิโอที่สัมภาษณ์เธอ นอกจากมาร์กแล้ว ก็ยังมีฮันส์ เขาอยู่ในฐานะเหนือกว่า กมลดาจึงไม่กล้าต่อว่าโทษฐานที่ฮันส์เคยโกหกว่าไม่ได้ทำงานที่นี่ แต่ยังดีที่เขาออกตัวขอโทษก่อนพร้อมให้เหตุผลว่าสนใจในความสามารถของเธอ การสนทนาบนเครื่องบินจึงเป็นการสัมภาษณ์งานครั้งแรก

“เธอต้องนั่งติดเขาบนเครื่องบินตั้งสิบกว่าชั่วโมง นั่นมันยิ่งกว่าสัมภาษณ์งานปกติอีก ถ้าฉันต้องติดแง้ก…”

“ติดแหง็ก”

“โอเค ติดแหง็ก…ถ้าฉันต้องติดแหง็กอยู่กับคนที่เราอยากทำงานด้วยเป็นเวลานานขนาดนั้น ฉันคงเกร็งตาย เขาไม่บอกเธอก็ถูกแล้ว และมาให้มาร์กจัดการต่อ มันก็เป็นไปตามขั้นตอนดีนะ”

การที่ฮันส์เรียกกมลดามาในวันนี้ก็เพื่อให้มาร์ก ซึ่งปกติเป็นคนคัดเลือกพนักงาน ได้สัมภาษณ์และตัดสินใจเป็นขั้นสุดท้าย ถ้ามาร์กไม่รับ ฮันส์ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ตลอดการสัมภาษณ์ชายหนุ่มจึงนั่งเงียบๆ

“ทำไมฉันโง่อย่างนี้นะมีนา ทำไมฉันจำหน้าเขาไม่ได้ทั้งที่ฉันก็เคยเห็นรูปเขา ชื่อนามสกุลก็รู้จัก ทำไมพอเขาพูดถึงฟรอลิกแล้วฉันถึงไม่เอามาโยงกับฮันส์ ฟาน เดอร์ แบร์ก ดีไซเนอร์มือรางวัลที่ใครๆ ก็ต้องการตัว แถมยังเป็นเจ้านายเธออีก” กมลดาเพิ่งมีแก่ใจหยิบแซนด์วิชมากินด้วยความรู้สึกทั้งดีใจทั้งสับสน

“ไม่แปลกหรอก รูปโพรโมตของเขาในเว็บมีแต่รูปเก่าสมัยสี่ห้าปีที่แล้วตอนเขายังไว้ผมยาว หนวดเฟิ้มนี่ ตอนนี้เขากลายเป็นหนุ่มหล่อเนี้ยบไปแล้ว ใครจะไปจำได้”

ฮันส์ไม่ค่อยออกงานสังคม แตกต่างจากมาร์ก หุ้นส่วนของเขา ทั้งสองแยกหน้าที่กันรับผิดชอบ โดยมาร์กมักอยู่ประจำออฟฟิศ รับผิดชอบงานในภูมิภาคยุโรป ขณะที่ฮันส์เป็นคนติดต่อลูกค้าในทวีปอื่นๆ รวมถึงเอเชีย การที่เขาเดินทางบ่อยทำให้ฮันส์ใช้วิธีประชุมทางไกลผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับเพื่อนร่วมงาน

มาร์กและฮันส์เป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่ตอนวัยรุ่นสมัยที่ฮันส์ย้ายจากเมืองไทยมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนได้หมาดๆ พวกเขาเรียนหนังสือมาด้วยกัน และมุ่งหน้าสู่เส้นทางของนักออกแบบด้วยการศึกษาต่อในสาขาวิชาเดียวกัน ทั้งคู่ร่วมกันสร้างชื่อเสียงด้วยการล่ารางวัลในการประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในทวีปยุโรป ผลงานของพวกเขาได้รับความสนใจจากนายทุนและเมื่อผลิตออกมาก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีงานไม่ขาดมือ ทั้งสองร่วมกันเปิดบริษัท ค่อยๆ ขยายกิจการ จากที่มีพนักงานเพียงสองคน ตอนนี้มีสิบกว่าคนแล้ว

งานหลักของฟรอลิกสตูดิโอคือเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบให้แก่กลุ่มธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก เพื่อให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าโดยใช้การดีไซน์เป็นเครื่องมือ

การมีหัวเรี่ยวหัวแรงสองคนซึ่งสนใจและถนัดในเรื่องที่แตกต่างกันทำให้ฟรอลิกสตูดิโอรับงานได้หลากหลาย ทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ของตกแต่งบ้าน เครื่องเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จักรยาน อุปกรณ์กีฬา ไปจนถึงสินค้ารุ่นลิมิเต็ดของแบรนด์ดังๆ ระดับโลก

“เธอจะเริ่มงานเมื่อไหร่หรือ” มีนากัดแซนด์วิชเข้าไปคำโต แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ

“ต้นเดือนหน้า” กมลดาวางแซนด์วิชลงบนโต๊ะ หยิบน้ำมาดื่ม

“อีกตั้งสามอาทิตย์แน่ะ นานจัง”

“คุณมาร์กบอกน่ะ”

“ก็ดีนะ เธอจะได้มีเวลาเตรียมตัว…โอ๊ะ!”

เพราะมีนานั่งหันหน้าออกไปทางนอกร้าน เธอจึงเห็นคนที่เข้ามาใหม่

“ฮันส์มา” มีนากระซิบ

“ว้าย” กมลดาหดหัวราวกับเป็นเต่าหลบในกระดอง

แต่ว่าที่เจ้านายหันมาเห็นพวกเธอเสียแล้ว

 

ฮันส์ลอบยิ้มทันทีที่เห็นหญิงสาวซึ่งตนหมายปอง ชายหนุ่มมองจากห้องทำงานที่อยู่ตึกตรงข้ามจึงรู้ว่ากมลดากับเพื่อนมาที่นี่ เขามัวแต่คุยกับมาร์กจึงไม่ได้ตามมาในทันที

มาร์กไม่ต้องการรับพนักงานใหม่เพิ่ม เนื่องจากเดือนที่แล้วรับมาพร้อมกันถึงสองคน หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนของกมลดา แต่เพราะฮันส์ยืนยันว่าหญิงสาวมีแววจะเป็นกำลังสำคัญของบริษัทได้ในอนาคต มาร์กจึงยอมนัดเธอมาพบ

ฮันส์ไม่จำเป็นต้องให้สัญญากับมาร์กว่าเขาจะไม่แทรกแซงการตัดสินใจ ทั้งยังไม่ขอร้องเพื่อนให้พิจารณาเธอเป็นพิเศษ พวกเขารู้จักกันดีมากพอที่จะรู้ว่ามาร์กเป็นคนซื่อตรงและไม่ใช่คนที่ใครจะบังคับได้ ขณะเดียวกับที่ฮันส์ไม่มองคนมั่วๆ ถ้าเขาเห็นแววใครแปลว่าคนนั้นน่าจะไปได้สวย

อย่างไรก็ตามมาร์กก็ขอให้กมลดาเริ่มงานในเดือนถัดไป เพราะจะได้เตรียมงบประมาณต่างๆ ทัน มาร์กมีวิธีคิดและวิธีทำงานแปลกๆ ของตัวเอง ซึ่งฮันส์ไม่ก้าวก่าย แค่เพื่อนเห็นด้วยที่จะรับกมลดามาทำงาน เขาก็ยินดีปรีดาอย่างยิ่งแล้ว

อันที่จริงฮันส์ไม่ได้อยากใช้วิธีนี้เพื่อสานสัมพันธ์กับสาวไทยที่ตนหมายปอง การมีความรักในที่ทำงานอาจนำมาซึ่งปัญหายุ่งยากในอนาคต แต่มันเป็นข้ออ้างเดียวที่จะได้เจอเธอ

ฮันส์แสร้งทำเป็นสั่งแซนด์วิชอย่างไม่เร่งรีบ แล้วจึงก้าวไปทางโต๊ะที่เธอนั่งเหมือนไม่ได้ตั้งใจ กมลดาหันหลังให้ มุ่งมั่นกับการรับประทานแซนด์วิช มีแต่เพื่อนของเธอที่ส่งยิ้มมา

“ผมขอนั่งด้วยคนได้ไหม” เขาถามเป็นภาษาอังกฤษเพราะกลัวลูกน้องอีกคนจะไม่เข้าใจภาษาไทย

กมลดาซึ่งกำลังเคี้ยวแซนด์วิชอยู่เต็มปากสบตาเพื่อน ก่อนจะพยักหน้าแต่ยังกลืนอาหารไม่ทันพอจะตอบ

“เชิญค่ะ” เพื่อนของเธอพูดแทนเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกับฮันส์พลางกุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้ออกให้

“ขอบคุณครับ คุณชื่อ…”

“มีนาค่ะ” เธอตอบฉะฉาน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับมีนา” เขายื่นมือไปเชกแฮนด์กับเธอ

“เป็นเกียรติของฉันที่ได้พบคุณที่นี่ค่ะ” มีนาจับมือเขาด้วยท่าทางมั่นใจ

ผู้หญิงคนนี้ดูภายนอกเหมือนดุกร้าว บุคลิกและการแต่งกายค่อนข้างแรง แต่ฮันส์ชินกับความหลากหลายของศิลปิน เธอจึงไม่แปลก เขาคิดว่ามีนาน่าจะเป็นคนขี้เล่นและสดใสเสียด้วยซ้ำ เพราะเคยเห็นผลงานที่เธอออกแบบ บุคลิกที่แท้จริงของศิลปินซ่อนอยู่ในงานของพวกเขาเสมอ

งานของกมลดามีความนุ่มละมุนกว่า เหมือนตัวเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาในตอนนี้

“พวกคุณเรียนด้วยกันที่เคเอบีเคหรือครับ”

“ค่ะ แล้วเราก็เป็นรูมเมตกันด้วย” มีนายิ้มอวด

“โอ้ ผมไม่รู้เลยนะเนี่ย” ฮันส์มองพวกเธอสลับกันไปมา

“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลยที่ให้โอกาสฉันได้มาทำงานที่ฟรอลิก ฉันกับมีนาก็จะได้ทำงานด้วยกันด้วย ฉันดีใจมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” วลีสุดท้ายเธอพูดเป็นภาษาไทยและพนมมือไหว้จนชายหนุ่มแทบไหว้ตอบไม่ทัน

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก คุณเข้ามาได้ด้วยความสามารถของคุณเอง ผมไม่ได้ทำอะไร” ฮันส์รีบออกตัวเป็นภาษาไทย

“ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพราะคุณค่ะ ฉันสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ไม่ให้เสียชื่อคุณเลย”

“เรามาตั้งใจทำงานกันนะเพื่อน” มีนากล่าวเป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่งพอๆ กับเขา

“คุณพูดไทยได้ด้วยหรือ” ฮันส์ประหลาดใจ

“ได้สิคะ แม่ฉันเป็นคนไทยนี่นา” มีนายิ้มกว้าง

“คุณเป็นลูกครึ่งดัตช์-ไทย?”

“ค่ะ” เจ้าหล่อนพยักหน้าแรงๆ

“อา…เรามีคนไทยสามคนในบริษัทแล้ว” ฮันส์ยิ้มพราย

“คนไทยสามคน…คุณนับตัวคุณเองด้วยเพราะเคยไปอยู่เมืองไทยหรือคะ” กมลดาถาม

“ใช่แล้วครับ ผมเคยอยู่เมืองไทยตั้งสิบสามปีเชียวนะ”

“นานกว่าฉันอีกค่ะ ฉันเคยไปอยู่เมืองไทยแค่ปีละไม่กี่เดือนเอง” มีนากล่าวอย่างทึ่งๆ

“เห็นไหม ผมคุ้นกับเมืองไทยมากกว่าคุณอีก” เขายิ้มพราย

“งั้นเราต้องมาดื่มฉลองการเป็นคนไทยสามคนในฟรอลิกสตูดิโอกันแล้วละค่ะ” มีนาชูแก้วน้ำเปล่าของเธอขึ้นมา กมลดาทำตามอย่างกระตือรือร้น

ฮันส์ยกแก้วขึ้นมาชนกับแก้วของสาวๆ หลังเดินทางไกลมายาวนาน นี่น่าจะเป็นวันเริ่มต้นของการกลับบ้านที่ดีที่สุดของเขาเลยทีเดียว

 

โต๊ะตัวที่ใกล้กับที่มนุษย์ทั้งสามนั่งอยู่มีสามีภรรยาวัยเจ็ดสิบต้นๆ เท้าคางมองพวกเขา

ชายชราเป็นชาวดัตช์ร่างสูง สวมแว่นตาแบบนักวิชาการ ใบหน้าเหี่ยวย่นแต่ผิวขาวอมชมพูแบบคนมีสุขภาพดี นัยน์ตาเป็นสีฟ้าเหมือนฮันส์ แต่ศีรษะมีผมบางกว่ามาก เส้นผมเป็นสีทองอ่อนเกือบขาว ส่วนภรรยาเป็นศิลปินชาวอังกฤษซึ่งใบหน้ายังคงความสวยสมกับที่เคยเป็นสาวเปรี้ยวแห่งยุคผมสีเงินถูกซอยสั้นเกือบติดหนังศีรษะ เธอสวมแพนต์สูทสีแดงสดทะมัดทะแมงแต่โก้เข้ากับสีน้ำตาลของดวงตา

ลูกค้าใหม่สองรายถือแซนด์วิชมุ่งตรงมายังโต๊ะของพวกเขา แล้วนั่งทับลงมาบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่ทั้งสองนั่ง

“เอ้า! ลุกก็ได้วะ” ชายชราทำหน้าบูด

“เฮ้อ กำลังนั่งสบายเลย” ผู้เป็นภรรยาค้อนปะหลับปะเหลือก

ทั้งสองย้ายมายืนข้างๆ ฮันส์มองสาวน้อยชาวไทยอย่างเพ่งพินิจ

“หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจังนะคะ”

“อืม…สวย…เอ่อ…แต่สู้คุณไม่ได้หรอกจ้ะที่รัก” เขารีบบอกเมื่อภรรยาหันมาทำตาเขียวใส่

“แล้วไป ฮันส์คงจะชอบแม่หนูคนไทยคนนี้มาก เขาไม่ออกเดตกับใครมานานแล้วนะ”

โยฮันกับอิงกริดเป็นปู่ย่าแท้ๆ ของฮันส์ ทั้งสองเสียชีวิตมาหลายปีแล้ว แต่ยังคงสิงสถิตอยู่ในบ้านที่ยกให้ฮันส์เป็นมรดก พวกเขาคิดถึงหลานชายใจจะขาด แต่ฮันส์มัวบินไปบินมารอบโลกทิ้งให้ปู่ย่ารออยู่ที่บ้านด้วยความเหงาหงอย

อิงกริดอยากไปเยี่ยมลูกหลานในอีกซีกโลกบ้าง แต่โยฮันนี่สิไม่ชอบไปไหน เขาเป็นคนติดบ้าน ตายแล้วก็ยิ่งเป็นผีติดบ้าน อิงกริดตัดใจทิ้งสามีไม่ลง ทว่าวันนี้เขายอมออกมาเนื่องจากเมื่อวานได้ยินฮันส์คุยโทรศัพท์กับมาร์กถึงสาวน้อยชาวไทยคนนี้

ฮันส์ไม่ค่อยพูดถึงสาวๆ ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ค่อยพาใครมาบ้าน ที่พามาก็เลิกรากันไปในเวลาไม่นานอิงกริดจึงอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ชื่อกมลดา เพราะดูจากแววตาระยิบระยับตอนที่ฮันส์กล่าวถึงเธอทางโทรศัพท์ เจ้าหล่อนน่าจะพิเศษกว่าใคร

แล้วเธอก็ได้เห็นเสียที

“ฉันชอบเด็กคนนี้ น่ารักน่าเอ็นดูกว่าหลายๆ คนที่ฮันส์เคยคบ”

“คนเราต้องดูกันยาวๆ คุณเพิ่งเจอแกแป๊บเดียวเอง”

“เอ๊ะ! หลานฉันชอบใคร ฉันก็ต้องชอบคนนั้นสิ หรือคุณไม่อยากเห็นหน้าเหลน”

“ก็แค่เห็น แต่ไม่มีสิทธิ์อุ้ม ไม่มีสิทธิ์เลี้ยง เราตายแล้วนะอิงกริด”

“ถึงจะตาย แต่เราก็ยังได้เห็น ได้ชื่นชมเขา ได้รู้ว่าลูกหลานมีความสุข แค่นี้ฉันก็มีความสุขแล้ว” อิงกริดยิ้มเศร้า

“อืม ก็จริง” โยฮันถอนหายใจ เขาโอบบ่าภรรยา ให้เธอเอนซบไหล่เหมือนที่ทำเสมอตั้งแต่ตอนมีชีวิต

“ขอเพียงแค่ฮันส์มีความสุข ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ฉันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กคนนี้มาเป็นหลานสะใภ้ของเราเลยละ”

อิงกริดประกาศต่อให้เธอต้องบุกน้ำลุยไฟก็ยอม

 

อีกคนที่ต้องการกมลดามาเป็นหลานสะใภ้ของเพื่อนรักก็ตามติดหลานชายของลลนาเพื่อไม่ให้เขาไปยุ่งกับผู้หญิงใดได้เลย

ปราณปรียาอยู่กับลวัศกรมาตั้งแต่เช้า เธอหาวหวอดมาไม่รู้กี่รอบ แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจที่ชายหนุ่มตั้งใจศึกษาดูงาน ไม่มีโอกาสไปยุ่งกับสาวใด

ลวัศกรนั่งรถรางไปยังเมืองเดลฟท์(Delft)ตั้งแต่เช้า มันอยู่ห่างจากกรุงเฮกไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร ลูกน้องของชายหนุ่มไปรอรับที่ป้ายรถรางแล้วเดินทางไป Delft University of Technology พร้อมกัน

ตลอดทั้งวันลวัศกรเอาแต่ดูงานในมหาวิทยาลัยเทคนิคของรัฐแห่งนี้ ซึ่งมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า TU Delft๑๕

เขาเข้าประชุมเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและการออกแบบชุมชนเมืองที่มีความเสี่ยงจากอุทกภัยซึ่งที่นี่โด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และดูเหมือนในวันอื่นข้างหน้าเขาก็ได้วางโปรแกรมที่จะศึกษาในเรื่องของวิศวกรรมแห่งโลกอนาคต ซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างสังคมที่ยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน ประชากร และประเด็นปัญหาที่เป็นความท้าทายของโลกในปัจจุบัน

แม้ว่าปราณปรียาจะเป็นภรรยา มารดา และย่าของวิศวกร เธอก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดงานของพวกเขามากนัก แต่กระนั้นก็ยังชื่นชมในหัวก้าวหน้าของลวัศกร

หากน้ำท่วมโลก เขาน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่พึ่งพาได้ เธอคิดอย่างขำขันแต่เมื่อน้ำยังไม่ท่วมโลก และตัวเธอเองก็ตายไปแล้ว ปราณปรียาจึงฟังการบรรยายบ้าง ไม่ฟังบ้าง เธอแอบแวบไปเที่ยวไปเมืองเดลฟท์เสียด้วยซ้ำ เพราะเคยมากับภาคภูมิเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว จึงมารำลึกความหลัง

ปราณปรียากะเวลากลับมาหาลวัศกรพอดีกับที่ชายหนุ่มเสร็จสิ้นการดูงานในวันนี้ เขาประชุมกับลูกน้องอีกเล็กน้อย ก่อนจะนั่งรถรางกลับกรุงเฮกในตอนเย็นต่อด้วยรถเมล์เป็นระยะทางสั้นๆ และถึงบ้านก่อนเวลาที่เขาบอกปณาลีไว้เกือบชั่วโมง

ลวัศกรถอดเสื้อสูทออกนานแล้วเนื่องจากอากาศร้อนจัด เขาพาดมันไว้บนแขน ถอดเนกไทพับไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต และถือกระเป๋าหนังใส่แท็บเล็ตกับเอกสาร ดูเรียบร้อย เป็นทางการผิดจากการแต่งกายในทุกๆ วัน

“โถ ร้อนจนหน้าไหม้หมดแล้วหลานเอ๊ย” ปราณปรียาส่ายศีรษะ

ฤดูร้อนของเนเธอร์แลนด์อากาศในวันนี้ร้อนไม่แพ้เมืองไทยเลย อาจมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นความร้อนแบบแห้งๆ เหงื่อแทบไม่ระบายออก จึงทรมานกว่า ขนาดเป็นวิญญาณปราณปรียายังรู้สึกถึงแดดอันแรงกล้าที่แผดเผาผิวของชายหนุ่มจนไหม้แดง

ลวัศกรข้ามถนนมาจนถึงหน้าตึกอันเป็นที่อยู่ของญาติผู้พี่ เขากดออด แต่ไม่มีใครตอบ

“สงสัยพี่ปลากับเด็กๆ จะไม่อยู่” ชายหนุ่มพึมพำ เขากดกริ่งอีกที และมีแต่ความเงียบกริบ

“ย่าขึ้นไปดูให้นะ”

ปราณปรียาหายตัววับไปเพียงอึดใจ ก่อนกลับมาด้วยความกังวลเพราะไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลยช่วงนี้โรงเรียนปิดภาคการศึกษา และจะเปิดขึ้นชั้นเรียนใหม่ในเดือนหน้า ปณาลีคงพาลูกทั้งสองออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน

ลวัศกรผละออกมาจากบริเวณทางเข้าตึกแล้ว เขาอ่อนล้าเกินกว่าจะไปที่อื่น จึงนั่งรอบนเก้าอี้สนามในสวน และหยิบขวดน้ำในกระเป๋ามาดื่ม แต่มันเหลือน้ำเพียงก้นขวดจิบนิดเดียวก็หมด

“โถ น่าสงสารจัง”

ปราณปรียาหันรีหันขวาง คิดว่าจะช่วยเขาอย่างไรดี เธอแหงนมองขึ้นไปบนห้องอื่นๆ ในตึกเดียวกัน เห็นหน้าต่างของห้องที่อยู่ใต้อะพาร์ตเมนต์นิติคุณเปิดอยู่

“รู้แล้ว! ย่าจะไปหาคนมาช่วยต้นเอง”

ร่างโปร่งใสลอยปราดเข้าไปในหน้าต่างบานนั้น สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าโต๊ะทำงานติดหน้าต่างมีสาวน้อยที่เธอปรารถนาจะเจอนั่งอยู่พอดี

กมลดาใส่หูฟังเพลงและสเกตช์ภาพลงในคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ

“เอายังไงดีน้า”

ปราณปรียามองไปรอบๆ แล้วดีดนิ้วดังเป๊าะทันทีที่เห็นกระดาษแผ่นใหญ่ถูกติดด้วยมาร์สกิงเทปบนผนังใกล้ขอบหน้าต่าง เธอตั้งสติรวบรวมพละกำลัง ดึงกระดาษแผ่นนั้นให้หลุดออกมา

“เอ๊ะ!” กมลดาอุทาน ยื่นมือมาฉวยกระดาษที่ร่วงหล่น

แต่ไม่ทัน และมันก็ไม่หล่น เพราะปราณปรียาจับอยู่ เธอถือกระดาษ ลอยฉิวออกไปจากช่องหน้าต่าง ลงไปข้างล่าง

…ตรงเก้าอี้ซึ่งลวัศกรนั่ง

 

ชายหนุ่มกำลังร้อนและกระหายน้ำ เขาคิดว่าจะเดินไปหาร้านที่มีน้ำเย็นๆ ขายและนั่งรอ

แต่มีอะไรลอยมาอยู่ข้างหน้าพอดี

ลวัศกรจับมันไว้โดยอัตโนมัติ ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเป็นกระดาษสเกตช์ภาพกระถางต้นไม้รูปร่างแปลกๆ ลายเส้นสวยสะดุดตา รายละเอียดภาพชัดเจนจนเขาแทบเห็นกระถางที่มีสี่ชั้นไล่ระดับต่อกันไปมานี้อยู่ตรงหน้าได้เลย ต้นไม้ชั้นบนสุดคือบอนไซ ถัดลงมาเป็นหญ้ามอส หินประดับและอื่นๆ แล้วเขาดูออกอีกด้วยว่ากระถางทั้งสี่ไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกัน มันมีรอยโค้งเว้าสำหรับแยกส่วนเพื่อให้เอามาสลับที่ต่อกันในรูปแบบอื่นได้ คนวาดถ่ายทอดได้ชัดเจนทีเดียว

เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งซอยมาหยุดตรงหน้าเขา

ชายหนุ่มลดกระดาษลงและเห็นว่าเป็นเจ้าของร่างอรชรที่มีขาสวยที่สุด เพราะเธอสวมกางเกงขาสั้นกุดกับเสื้อยืดขนาดพอดีตัว

“พี่ต้น…” กมลดาทักด้วยสีหน้าตื่นๆ ทรวงอกอวบสะท้อนขึ้นลงตามแรงหอบของหญิงสาว เธอคงวิ่งลงมาจากชั้นบน

“นี่ของเดียร์หรือครับ” เขาเดาจากท่าทางของเธอ

“ค่ะ มันหล่นลงมาได้ยังไงก็ไม่รู้” คิ้วเรียวขมวดจนแทบเป็นปม

“สวยดีนะ…พี่ชอบ” ลวัศกรยื่นภาพสเกตช์คืนให้เธอ

กมลดาชะงักมือ สบตาเขา แล้วยิ้มเขินๆ

“ขอบคุณค่ะ”

เธอรับกระดาษไปกอดไว้กับอก ท่าทางดีใจมาก ไม่รู้ว่าเพราะได้ภาพคืน หรือได้รับคำชม หรือเพราะเขาบอกว่าชอบ…สาบานว่าเขาหมายถึงรูปภาพ ไม่ได้เกี่ยวกับชอบอย่างอื่นเลยจริงๆ

“เดียร์ไปก่อนนะคะ” กมลดากระพุ่มมือไหว้

ลวัศกรไหว้ตอบ ทอดมองคนร่างเพรียวที่หันหลังกลับไปช้าๆ ดูลังเล

แต่แล้วเธอก็หมุนตัวกลับมา

“ทำไมพี่ต้นมานั่งอยู่ตรงนี้คะ”

“พี่รอพี่ปลาน่ะครับ บอกพี่เขาว่าจะมาช้ากว่านี้ แต่ดันมาถึงเร็ว ไม่มีใครอยู่บ้าน”

“เอ สงสัยพี่ปลาจะพาเด็กๆ ไปเดินเล่นในเมือง แต่เดี๋ยวก็คงมาถึงค่ะ” กมลดาดูนาฬิกาข้อมือ

“ครับ น้องเดียร์ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่นั่งรอตรงนี้แหละ” ลวัศกรยิ้ม นั่งลงด้วยท่าสบายๆ ทั้งที่ความจริงร้อนจนตับแล่บ

 

กมลดาย่นหัวคิ้ว

เขาไม่ร้อนจริงๆ หรือ หน้าแดงถึงขนาดนั้นแล้ว แถมข้าวของยังพะรุงพะรังอีก เธอจะเอาอย่างไรดีนะ

หญิงสาวลังเลว่าควรแสดงความมีน้ำใจดีหรือไม่ ลวัศกรเป็นผู้ชาย แถมยังเป็นคนที่พี่ของเธอไม่ชอบหน้า แต่…เมื่อวานเขาเลี้ยงข้าวเพื่อนร่วมทางทุกคนรวมถึงเธอกับมีนา ชายหนุ่มแอบไปจ่ายเงินค่าอาหารกลางวันแสดงความขอบคุณที่พาเขาไปเที่ยว

ลวัศกรตอบแทนครอบครัวของนิติคุณน่ะไม่แปลก แต่การที่เขามาเลี้ยงเธอกับมีนาด้วยนี่สิ…เธอไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร

กมลดาขบริมฝีปากอวบจนแดงเรื่อก็ยังคิดไม่ตก

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“พี่ต้นมารอที่บ้านเดียร์ก่อนก็ได้นะคะ ถ้าไม่รังเกียจ” เธอตัดสินใจชวน

“พี่จะรังเกียจน้องเดียร์ได้ยังไง เกรงใจมากกว่า ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่รอตรงนี้แหละ สบายมาก” ลวัศกรยักไหล่ ยิ้มระรื่นเสมือนว่าไม่มีปัญหาจริงๆ

แต่เหงื่อที่เริ่มผุดพรายอยู่ตามตีนผมของวงหน้าแดงไหม้ทำให้กมลดาปล่อยผ่านไปไม่ได้

“มาเถอะค่ะพี่ต้น อย่างน้อยก็มาดื่มน้ำสักแก้วหนึ่ง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น