9

บทที่ 9



 

กมลดาเขม้นมองนงนุช หญิงไทยวัยห้าสิบเศษที่ถูกสามีของเธอจับแขนไว้เขากล่าวกับเธอเป็นภาษาอังกฤษ

“Honey. Come on! (ที่รัก อย่า!นะ!)” คำเรียกคล้ายจะหวาน แต่น้ำเสียงกับสีหน้าของคนพูดเข้มงวดและดุดัน

นงนุชมองสามีสลับกับเพ็พพินด้วยความลังเล

“We’d better go now. (เราควรต้องไปแล้วละ)” สามีของนงนุชผงกศีรษะให้ทุกคนและจูงภรรยาออกไปอย่างฉับไว

ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที

“มาเร็ว เคลมเร็วอีกแล้ว ไม่รู้จะรีบไปไหน” กมลดาบ่น

“นั่นดิ ฉันไม่ชอบเขาเลย” มีนามองตาม

“พี่ก็เหมือนกัน” ปณาลีพยักหน้า

“หนูยังไม่ด้ายเล่นกับป้าเลย” เพ็พพินทำแก้มป่อง

“ทำไมลุงต้องรีบพาป้านงนุชไปตลอดเลยล่ะคะ” พริบพราวย่นหัวคิ้ว

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เขาอาจมีธุระก็ได้” ปณาลีพยายามหาเหตุผลให้ลูกทั้งที่ไม่มั่นใจ

“เขามีธุระทุกทีเลยหรือคะ” พริบพราวยังไม่หายสงสัย

“คงอย่างนั้นมั้งลูก” นิติคุณมองตามหลังสามีภรรยาคู่นั้นอย่างไม่สบายใจ

“เขาเป็นใครหรือครับ” ลวัศกรถาม

“เพื่อนบ้านค่ะ พี่เจอพวกเขานานๆ ทีเวลาพาเด็กๆ ไปเดินเล่นในสวน พี่นงนุชเป็นคนไทย สามีเป็นคนเวียดนาม ” ปณาลีบอก

“พี่นงนุชชอบมาเล่นกับเด็กๆ ค่ะ แต่สามีเป็นอะไรก็ไม่รู้ มาลากพี่นงนุชออกไปทุกที เหมือนไม่อยากให้คบใครอย่างนั้นแหละ” กมลดาสะบัดเสียง

นี่น่าจะเป็นประโยคยาวที่สุดที่เธอพูดกับลวัศกรในวันนี้ หญิงสาวหงุดหงิดสามีของนงนุชมานานจนไม่อยากเก็บอารมณ์ไว้ เธอเคยแอบนินทากับมีนาอยู่บ่อยๆ ว่านงนุชมีท่าทางหวาดกลัวสามี ไม่รู้ว่าเขาทำร้ายร่างกายเธอหรือเปล่า

กมลดาเคยบอกนิติคุณกับปณาลี รวมถึงเพื่อนคนไทยในร้านอาหารที่เธอทำงาน พวกเขาช่วยกันหาข้อมูล แต่ไม่ได้อะไรมากนัก เนื่องจากนงนุชกับสามีไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใด เท่าที่ทราบสามีทำงานที่บ้าน อาจเป็นโปรแกรมเมอร์หรืออะไรสักอย่าง ส่วนนงนุชเป็นแม่บ้าน

“น่าเป็นห่วงจัง ผู้หญิงคนเดียวมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ถึงจะมีสามีมาด้วย แต่เขาก็ดูแปลกๆ” ปณาลีเปรย

ทุกคนพยักหน้าด้วยความหนักใจพอๆ กัน

 

ในอีกฟากของเมืองมีบ้านแบบดัตช์ขนาดสี่ชั้นหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมคลองในย่านเก่าแก่ ดูจากภายนอกตัวบ้านเป็นตึกแคบๆ เหมือนบ้านส่วนใหญ่ในเมืองที่อยู่ติดกับบ้านอื่นๆ โดยใช้ผนังร่วมกัน แต่บ้านหลังนี้เป็นสีเทา อยู่ระหว่างบ้านสีน้ำตาลแดงกับสีขาว

ความโดดเด่นของบ้านอยู่ที่หน้าต่างบานกว้างในแต่ละชั้นเป็นโครงเหล็กดัดสีขาวลวดลายดอกไม้แบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau)สวยสะดุดตา ไม่เว้นแม้แต่บนหน้าจั่วของห้องใต้หลังคา บริเวณบ้านส่วนที่อยู่ติดกับคลองมีเรือนกระจกขนาดกะทัดรัดไว้ปลูกต้นไม้ เจ้าของบ้านเปลี่ยนมันเป็นห้องทำงาน

ฮันส์ได้รับมรดกบ้านหลังนี้มาจากปู่ย่า ซึ่งต่างก็ล่วงลับไปหลายปีแล้ว ที่จริงมันเป็นบ้านของบรรพบุรุษที่ตกทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แม้บ้านจะเก่า ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำนุบำรุงสูง เขาก็ยอม เพราะตั้งใจจะเก็บมันไว้ให้ลูกหลานต่อไป

ไม่ว่าจะไปอยู่ส่วนใดของโลก ฮันส์มักคิดถึงที่นี่ และรู้สึกอุ่นใจเสมอเมื่อได้กลับมา ประหนึ่งว่าปู่กับย่ายังอยู่กับเขา

แต่วันนี้ชายหนุ่มไม่ได้คิดถึงท่านทั้งสองเท่าไรนัก ใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มของหญิงสาวชาวไทยที่เจอกันเมื่อวานลอยเด่นอยู่ในห้วงคำนึง

เรียวปากหยักขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ฮันส์ยอมรับว่าเขาแพ้ผู้หญิงเอเชีย โดยเฉพาะสาวไทย กมลดาเป็นคนสวย กิริยามารยาทนุ่มนวล แต่ก็มีความมั่นใจในตนเอง เธอเป็นเพื่อนคุยที่ดี สนใจในเรื่องเดียวกันกับเขา ชายหนุ่มรู้สึกผิดต่อเธออย่างยิ่งที่เสียมารยาทผล็อยหลับใส่เธอตั้งแต่ตอนไหนก็ยังนึกไม่ออก ทำให้หมดโอกาสที่จะพูดคุยกับกมลดาบนเครื่องบิน

ฮันส์ตื่นมาด้วยความสับสน เขาไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกราวกับมีมือปริศนามากลุ้มรุมยัดอะไรขมๆ ใส่ปากก่อนเขาจะหลับไปเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่

แต่เรื่องที่แน่ชัดยิ่งกว่าทุกสิ่งก็คือ เขาอยากรู้จักกมลดาให้มากกว่านี้

ก่อนลาจากกันที่สนามบิน เธอรีบเพราะกลัวคนมารับจะรอ เขาจึงได้แต่กล่าวขอโทษสั้นๆ ไม่ทันได้แลกเบอร์โทรศัพท์ หรือหนทางการติดต่อ

แต่ไม่เป็นไร เพราะเขามีวิธีที่ดีกว่า

ฮันส์กระตุกยิ้ม ต่อโทรศัพท์ถึงใครบางคนที่จะช่วยได้

 

หญิงสาวชาวไทยที่ฮันส์คิดถึงยืนอยู่หน้าบึงน้ำกว้างใหญ่ใจกลางเมือง ซึ่งมีคนมานั่งเล่นชมวิวอยู่คึกคักทีเดียวเนื่องจากอากาศดี รอบๆ มีสถานที่สำคัญเก่าแก่อยู่มากมาย ตรงกลางบึงมีเกาะเล็กๆ เต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจีและต้นไม้ หงส์ เป็ด และห่าน นอนอาบแดดบนพรมหญ้า แต่ส่วนมากจะว่ายน้ำเล่น

“ตึกใหญ่ๆ ที่เราเห็นอยู่ตรงฝั่งโน้นก็คือ บินเนินฮอฟ๘(Binnenhof) เป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาล อาคารรัฐสภา และหน่วยงานสำคัญๆ ทางราชการ อาคารรัฐสภาที่นี่ถือเป็นอาคารรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังเปิดทำการอยู่เลยนะ”

นิติคุณชี้ไปยังกลุ่มอาคารซึ่งเรียงตัวกันอย่างสง่างามเป็นแนวยาวเกือบเท่าความยาวของบึง เงาที่สะท้อนและทอดยาวอยู่ในน้ำส่งให้มันอลังการมากยิ่งขึ้น ตัวอาคารเป็นอิฐสีน้ำตาลแดง หลังคาสีเทา ยอดหลังคามีทั้งสูงๆ ต่ำๆ บ้างก็มีลักษณะโค้งแหลมตามสถาปัตยกรรมแบบกอทิก(Gothic)

เดิมที่แห่งนี้เป็นคฤหาสน์ของชนชั้นปกครองท่านหนึ่งในศตวรรษที่ ๑๓ บึงน้ำก็ถูกขุดขึ้นมาตั้งแต่คราวนั้นเพื่อเป็นสระน้ำของคฤหาสน์ ต่อมามีการขยับขยายไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัยต่างๆ และกลายเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของเนเธอร์แลนด์มาจนทุกวันนี้

“ข้างในนั้นมีปราสาทแบบกอทิกที่เขาเรียกว่า ริดเดอร์ซาล๙(Ridderzaal)แปลว่าหออัศวินเอาไว้สำหรับจัดงานพระราชพิธีสำคัญหรืองานใหญ่ๆ ระดับประเทศ แต่งานสำคัญที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีก็คือในวันปรินเชิสดักค์๑๐(Prinsjesdag)ตรงกับวันอังคารที่สามของเดือนกันยายน พระมหากษัตริย์กับพระราชินีจะเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถม้ามาประทับบนพระราชบัลลังก์ในริดเดอร์ซาล เพื่อพระราชทานสุนทรพจน์เกี่ยวกับแนวทางทางการเมืองและงบประมาณในปีต่อไปให้แก่วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ถือเป็นการเปิดประชุมสภาอย่างเป็นทางการ”

ลวัศกรพยักหน้าหงึกๆ และยกกล้องขึ้นถ่ายรูป

“นายเห็นหอคอยเล็กๆ ตรงมุมทางซ้ายมือนั่นไหม” นิติคุณชี้

“ที่เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม มีหลังคาเป็นยอดแหลมๆ นั่นน่ะหรือครับ” ลวัศกรชะเง้อมองหอคอยเตี้ยๆ ที่ดูจากภายนอกจะเห็นว่ามีความสูงเพียงสองชั้น และมีห้องใต้หลังคาอีกชั้นหนึ่ง

“ใช่ มันคือออฟฟิศของนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ชั้นล่างสุดนั่นเป็นห้องประชุม ส่วนชั้นบนคือห้องทำงานของท่าน”

“โห เล็กๆ น่ารักดีนะครับ” ลวัศกรกดชัตเตอร์ดังแชะๆ

เพราะชายหนุ่มถ่ายรูปไปแทบทุกสิ่งอย่าง แถมยังใช้กล้องราคาแพง กมลดาจึงใคร่รู้นักว่าลวัศกรจะมีฝีมือสักแค่ไหน

เอ๊ะ! แต่…เธอจะอยากรู้เรื่องเขาไปทำไม

หญิงสาวเมินมองไปทางเป็ดและห่านที่พริบพราวกับเพ็พพินชี้ชวนให้พวกผู้ใหญ่ดูอย่างสนุกสนาน แต่หูก็ยังได้ยินการสนทนาระหว่างนิติคุณกับลวัศกร

“ตึกที่อยู่ใกล้หอคอยของท่านนายกฯ แต่มีน้ำกั้นอยู่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งบินเนินฮอฟหรือครับ”

นักธุรกิจหนุ่มชี้อาคารสีไข่ไก่สลับน้ำตาลแดงสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิก มีเสาสไตล์กรีกโรมัน หน้าจั่วมีประติมากรรมแบบนูนต่ำทำให้ดูแตกต่างจากบินเนินฮอฟ

“ไม่ใช่หรอก มันคือ เมาริทส์เฮาส์๑๑(Mauritshuis) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ รวบรวมภาพเขียนของศิลปินดัตช์ที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ ๑๗ เอาไว้ที่นั่น”

ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นยุคทองของเนเธอร์แลนด์ มีความเจริญรุ่งเรืองมากทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ การทหาร และศิลปะแขนงต่างๆ พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้เป็นแหล่งจัดแสดงภาพวาดที่ว่ากันว่าดีที่สุดในยุคสมัยนั้น

“ภาพหญิงสาวกับต่างหูมุก๑๒ของแฟร์เมียร์(Vermeer)ก็ต้องอยู่ที่นี่สิครับ”

อา…ลวัศกรรู้เรื่องศิลปะกับเขาเสียด้วย

กมลดาอดแปลกใจไม่ได้ การที่เธอเคยเป็นมัคคุเทศก์สมัครเล่นพาคนไทยเที่ยวมาบ้าง น้อยคนจะสนใจและรู้จักจิตรกรชาวดัตช์เหล่านี้

“ใช่” นิติคุณพยักหน้า “ผลงานของเขาอยู่ที่นี่เยอะเลย”

โยฮันเนส แฟร์เมียร์๑๓(Johannes Vermeer)เป็นจิตรกรซึ่งโด่งดังในเรื่องการใช้แสงเงาที่จัดจ้าน แต่มีความละมุนละไม เขามักวาดรูปของชนชั้นกลางระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันธรรมดาในบ้าน ผลงานที่มีชื่อเสียงคือ ภาพหญิงสาวกับต่างหูมุกGirl with a Pearl Earring)เป็นรูปสาวชาวยุโรป โพกผ้าคลุมผมแบบตะวันออก สวมต่างหูมุก มองเหลียวหลังกลับมาในจังหวะที่แสงตกกระทบใบหน้าพอดี

“แล้วก็มีผลงานของเรมบรันต์(Rembrandt)ด้วย”

นิติคุณหมายถึงเรมบรันต์ ฮาร์เมินส์โซน ฟัน ไรน์๑๔(Rembrandt Harmenszoon van Rijn)จิตรกรภาพวาดและภาพพิมพ์ ผู้โดดเด่นเรื่องการถ่ายทอดเรื่องราวและให้รายละเอียดที่สมจริง โดยใช้แสงกับเงามาขับเน้นจุดเด่นของภาพให้มีมิติได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ จนเป็นที่มาของการจัดแสงเพื่อถ่ายภาพในแบบเรมบรันต์ (Rembrandt Lighting)

“ภาพThe Night Watch หรือครับ”

“เปล่า อันนั้นอยู่ในอัมสเตอร์ดัม”

ภาพสีน้ำมันดังกล่าวเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเรมบรันต์ เกี่ยวกับกลุ่มอาสาสมัครพลเรือนซึ่งทำหน้าที่เฝ้าเวรยามรักษาความสงบในช่วงค่ำคืนเพื่อเฝ้าระวังเพลิงไหม้ความงดงามของภาพเกิดจากการใช้แสงที่ตัดกันระหว่างความมืดกับความสว่าง

กมลดายังไม่ทันได้ฟังว่าพวกเขาพูดอะไรกันต่อ เพราะโทรศัพท์มือถือของเธอส่งสัญญาณเตือนว่ามีอีเมลเข้ามา

หญิงสาวเปิดดู หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ และแทบระเบิดออกจากโพรงอกทันทีที่อ่านข้อความจบ เธออ่านทวนซ้ำอีกรอบ กลัวจะเข้าใจผิด

“มีนา…” กมลดาเขย่าแขนเพื่อนรัก

“อะไร”

“บริษัทเธอเรียกฉันไปสัมภาษณ์พรุ่งนี้…เธอดูนี่สิ ฉันอ่านไม่ผิดใช่ไหม” หญิงสาวยื่นโทรศัพท์ให้

ท่าทางตื่นเต้นจนมือไม้สั่นของกมลดาทำให้คนอื่นๆ รวมถึงลวัศกรหันมามอง

“ไม่ผิดจริงๆ ด้วยมายเดียร์ บริษัทฉันเรียกเธอมาสัมภาษณ์แล้วจริงๆ!” มีนากระโดดกอดหญิงสาว

“ไชโย!” กมลดากอดตอบเพื่อน สองคนกระโดดโลดเต้นไปมาเหมือนเด็กๆ

“ยินดีด้วยนะเดียร์” ปณาลียิ้มกว้าง

“ขอบคุณค่ะ แต่เดียร์ยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ไปสัมภาษณ์แล้วจะเป็นยังไงบ้าง เขาอาจจะไม่รับก็ได้นะคะ” เธอยิ้มเจื่อน เริ่มกังวล

“เขาต้องรับอยู่แล้วละ มายเดียร์ของฉันเก่งจะตาย” มีนาวางแขนพาดไหล่กมลดาและเอามือมาจับศีรษะเธอให้เอียงซบหัวตนเองอย่างรักใคร่

“ขอบใจนะ” กมลดาขอบคุณเพื่อนรัก ตลอดจนปณาลีกับนิติคุณที่ผลัดกันให้กำลังใจ

ลวัศกรทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป เขาคุกเข่าลงกับพื้นระหว่างหลานสาวทั้งสอง แล้วพูดกับพวกเธอ

“เอ้า เด็กๆ พี่เดียร์กำลังต้องการคนเชียร์ เรามาพูดพร้อมกันนะ ทำแบบนี้ ชูมือขึ้นมา แล้วพูดพร้อมกันว่า สู้ๆ ค่ะพี่เดียร์! โอเค้” เขาดัดเสียงให้เล็ก ฟังแล้วน่าตลก

แม้ยังไม่คุ้นกับอา พริบพราวกับเพ็พพินก็พยักหน้าและทำตามอย่างพร้อมเพรียง

“ขอบคุณนะคะ”

กมลดายิ้มซาบซึ้ง และเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของชายหนุ่มที่เธอไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้จะต้องมาขอกำลังใจจากเขา

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวไปถึงฟรอลิกสตูดิโอหลังจากเพื่อนรักไปถึงได้พักหนึ่ง มีนาทำงานที่นั่นมาตั้งแต่หลังรับปริญญาแล้ว สองสาวแยกกันมาเพื่อความเป็นมืออาชีพ เพราะยังไม่อยากให้ใครรู้มากนักว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน

กมลดาตื่นเต้นจนนอนไม่ค่อยหลับ ตอนนี้มือก็เย็นเฉียบ ทั้งที่ข้างนอกอากาศร้อนจัด หญิงสาวนั่งรอให้คนมาเรียกไปสัมภาษณ์ ภายใต้ท่าทางซึ่งดูเหมือนสงบ จริงๆ แล้วเธอตื่นเต้นจนแทบนั่งไม่ติด

มีนาไม่ได้เข้ามาหา แต่ส่งสายตามาจากโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ไกลๆ ด้วยการชูโทรศัพท์อย่างแนบเนียนทำให้กมลดาเข้าใจว่าเพื่อนส่งข้อความมา

‘ทำใจให้สบาย สูดหายใจลึกๆ เธอทำได้ ไม่ต้องกลัว มายเดียร์’มีนาพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ เพราะสะกดภาษาไทยได้แค่ไม่กี่คำ

‘แต่นี่เป็นการสัมภาษณ์งานครั้งแรกของฉันตั้งแต่เรียนจบ ฉันตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดภาษาคนรู้เรื่องรึเปล่า’ กมลดาพิมพ์ตอบเป็นภาษาเดียวกัน

‘ที่เธอพิมพ์มา ฉันก็อ่านรู้เรื่องนะ’

‘จริงอะ ฉันต้องสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษนะ ภาษาอังกฤษ!!!’

‘เธอก็ใช้ภาษาอังกฤษอยู่นี่ไง ยายบ้า!’

‘แต่ฉันอาจจะพูดไม่รู้เรื่องเท่ากับเขียน’

‘เธอเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าที่ฉันเก่งภาษาไทยอีก เลิกกลัวได้แล้ว!’

กมลดาถอนหายใจ

‘เจ้านายฉันใจดี ไม่ต้องห่วง’

‘ขอบใจ’

‘แต่มีอย่างหนึ่งที่เธอต้องรู้’

‘อะไร’ กมลดาเริ่มใจคอไม่ดี

‘มีคน…’

เพื่อนรักพิมพ์ยังไม่ทันจบ พนักงานสาวชาวดัตช์ก็เรียกกมลดาให้ไปที่ห้องสัมภาษณ์แล้ว!

เธอรีบเก็บโทรศัพท์ สบตาเพื่อนจากระยะไกล แล้วกระชับหูกระเป๋าซึ่งภายในนั้นมีทั้งแท็บเล็ตและแฟ้มซึ่งรวบรวมทุกสิ่งเกี่ยวกับผลงานของเธอเผื่อต้องใช้ในการสัมภาษณ์

พนักงานพากมลดามาหยุดหน้าประตูบานหนึ่ง หญิงสาวสูดลมหายใจ ก่อนเคาะประตู ครั้นได้ยินเสียงห้าวเอ่ยปากอนุญาต เธอจึงเปิดประตูออก

คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้นเมื่อกมลดาเห็นคนที่รออยู่ข้างใน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น