8

บทที่ 8



 

ลวัศกรไม่เคยคิดเลยว่าทิวทัศน์ซึ่งงดงามที่สุดในกรุงเฮกแท้จริงแล้วไม่ใช่วิวนอกหน้าต่าง แต่เป็นภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก

กมลดา...เด็กน้อยที่เขาเคยเห็น โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว

ใบหน้านวลปราศจากเครื่องสำอางแต่น่ามองเหลือเกิน ผิวขาวใสตัดกับเรียวปากอวบอิ่มซึ่งเป็นสีแดงระเรื่อโดยธรรมชาติ หญิงสาวเกล้าผมมวยหลวมๆ ปล่อยลูกผมรุ่ยร่ายระลำคอระหง ปอยผมบางส่วนหลุดรอดลงมาเคลียคอเสื้อยืดแซ็กซึ่งเก่าจนย้วยต่ำลงไปถึงร่องอกอวบ หญิงสาวไม่ได้สวมเสื้อชั้นในแน่ๆ เขาจึงเห็นร่องรอยของปทุมถันเต่งตูมวอมแวมอยู่หลังผ้ายืดสีขาวนวล

หัวใจของลวัศกรเต้นโครมคราม เขาไล่สายตาไปตามแนวโค้งเว้าของชุดแซ็กที่แนบไปตามเรือนร่าง ชายเสื้อปิดต่ำกว่าสะโพกเพียงคืบเศษ เผยต้นขาขาวผ่อง ปราศจากไขมันส่วนเกิน ชายเสื้อขยับไหวเล็กน้อย เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นไฝเล็กๆ อยู่ตรงขาอ่อนด้านใน แต่ไม่แน่ใจ

ลวัศกรเลื่อนสายตากลับขึ้นไปยังทรวงอกที่ผลิพุ่งอยู่หลังผ้ายืดบางๆ นั้น จินตนาการถึงขนาดของมัน และถอนสายตาไปไหนไม่ได้อีกเลย

“พี่ต้น!”

เสียงตกใจของกมลดาดึงสติของลวัศกรกลับสู่โลกแห่งความจริง เขาสะดุ้ง รีบหันหลังให้เธอแทบจะพร้อมๆ กับที่หญิงสาวกระโดดหลบหลังบานประตู โผล่มาแค่ใบหน้าซึ่งแดงก่ำถึงใบหูและลำคอ

“ขอโทษๆ พี่ไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นจริงๆ” ลวัศกรละล่ำละลักแก้ตัว หลับตาปี๋ สั่นหัวดิก…เวรแล้วไงไอ้ต้น เขาด่าตัวเอง

“ใครมาหรือมายเดียร์”

เสียงมีนาดังมาจากข้างในบ้านตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ ลวัศกรตระหนักได้ทันทีว่า ‘คนรัก’ ของกมลดามาแล้ว เขายิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิม

“คุณมาทำไม อ้าว พริม เพ็พ มาด้วยหรือคะ” น้ำเสียงของมีนาอ่อนลงเมื่อเธอเห็นเด็กๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกประตูบังอยู่

“หนูมาชวนพี่เดียร์ไปเดินเล่นในเมืองค่ะ” พริบพราวกล่าว

“ตอนนี้น่ะหรือ” มีนาถามต่อ

“ค่ะ ดาดาจะพาอาต้นไป แต่หนูอยากให้พี่เดียร์ไปด้วย” พริบพราวทำเสียงอ้อน

“หนูก็อยากห้ายพี่เดียร์ไปด้วย” เพ็พพินพูดตามอย่างเป็นลูกคู่ที่ดี

“ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอโทษที่มารบกวน” ลวัศกรบอกโดยที่ยังหันหลังให้หญิงสาว เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย น่าอึดอัดชะมัด

“แต่หนูอยากห้ายพี่เดียร์ไป” เพ็พพินแย้ง

“หนูก็อยากให้พี่เดียร์ไป” คราวนี้พริบพราวเป็นลูกคู่ของน้องบ้าง

“เธอเพิ่งกลับมาเองนะ เมื่อคืนก็นอนไปนิดเดียว จะไหวหรือเดียร์” มีนาค้าน

“เอ่อ…” กมลดาอ้ำอึ้ง

“พี่เดียร์ขา ไปด้วยกันนะคะ” พริบพราวอ้อน

“ปายด้วยกันนะค้า”

“หนูจะไปกี่โมงคะ” กมลดาใจอ่อนยวบ

“ดาดาบอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงค่ะ” เจ้าหลานคนโตพูดต่อ

“พี่เดียร์ปายกับหนูนะคะ หนูคิดถึงพี่เดียร์ม้ากมาก” เพ็พพินลากเสียงยาวเพื่อยืนยันว่าคิดถึงมากแค่ไหน

“หนูก็คิดถึงพี่เดียร์ม้ากมาก” พริบพราวเลียนแบบน้อง และเข้าไปกอดหญิงสาว โดยมีเพ็พพินตามไปกอดอ้อนๆ ด้วยอีกคน

“ก็ได้ค่ะ” กมลดาตอบเสียงอ่อย แพ้พ่ายต่อเด็กๆ เหมือนที่ลวัศกรต้องยกธงขาวมาแล้ว

“เย้! พี่เดียร์ยอมไปแล้วค่ะทวด…อุ๊ป!” เพ็พพินทำหน้าตาตื่นเพราะพริบพราวเอามือมาปิดมาเธอ

“เพ็พพี!” พี่สาวดุเสียงเข้ม เมื่อไรก็ตามที่พริบพราวเรียกน้องด้วยชื่อนี้ แปลว่าไม่พอใจอย่างมาก

“ซอรี่(Sorry)” เจ้าตัวเล็กทำคอย่น

“ชวนพี่เดียร์คนเดียว พี่น้อยใจนะ พี่ขอไปด้วยอีกคนได้ไหม” มีนาทำเสียงงอนๆ

เด็กสองคนนิ่งไปอย่างขบคิด ก่อนจะตอบพร้อมกันว่าได้

การเดินทางของพวกเขาคงสนุกแน่นอน หรือไม่ก็อึดอัดกันไปเลย ลวัศกรแอบคิดในใจ

 

อีกหนึ่งชั่วโมงเศษต่อมาลวัศกรเดินไปตามท้องถนนกับนิติคุณ พวกเขาชอบถ่ายรูปมากพอๆ กันจึงเดินตามหลังภรรยาและลูกของพี่ชายซึ่งนำหน้าไปไกลแล้วโดยมีกมลดากับมีนาช่วยกันจูงเด็กๆ

อากาศในเดือนสุดท้ายของฤดูร้อนสดใส ดวงอาทิตย์สว่างจ้า ดอกไม้บานสะพรั่ง ชวนให้ผู้คนอยากออกมาชื่นชมและกักตุนความสดชื่นนี้ไว้ เพราะอีกไม่ช้าเนเธอร์แลนด์จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งฝนจะตกแทบทุกวัน อากาศชื้น ท้องฟ้ามืดหม่น ต้นไม้เหลือแค่ใบเหี่ยวเฉาบ้างก็มีแต่กิ่งก้านโกร๋นๆ ยิ่งเข้าฤดูหนาวก็จะมีทั้งฝนและหิมะ ดวงอาทิตย์ขึ้นช้าตกไว แสงตะวันอันสดใสจะเป็นสิ่งที่หายากไปอีกแสนนาน

พวกเขาจะไปเยือนที่ตั้งของ ‘ศาลโลก’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของนิติคุณ จึงเดินไปแทนการนั่งรถเมล์หรือรถราง

กรุงเฮกเป็นเมืองที่ไม่วุ่นวาย ค่อนข้างสงบเสียด้วยซ้ำ ในวันอาทิตย์ที่อากาศดีแบบนี้ ผู้คนออกมาเดินเล่น บ้างก็นั่งคุยกัน หรืออ่านหนังสือเงียบๆ ตามม้านั่งใต้ต้นไม้ ลวัศกรสังเกตว่ามีพื้นที่สีเขียวมากมายแม้จะอยู่ในตัวเมือง ต้นไม้ร่มรื่น สมเป็นประเทศที่โดดเด่นเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ

ชายหนุ่มถ่ายรูปตึกรามบ้านช่อง แต่ดวงตากับมือเจ้ากรรมมักทำให้เขาเผลอย้ายกล้องไปทางผู้หญิงห้าคนที่เดินนำหน้า โดยเฉพาะเจ้าของร่างงามสมส่วนที่สวมเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนขายาว ซึ่งแนบไปกับสะโพกที่แกว่งเล็กน้อยตามจังหวะการเดินของเธอ

กมลดาเป็นคนเดียวในกลุ่มนั้นที่สวมกางเกงขายาว ขณะที่มีนาสวมเสื้อเอวลอยกับกางเกงขาสั้น อวดเอวคอดกิ่ว ส่วนหลานสองคนใส่เสื้อยืดสกรีนลายการ์ตูนน่ารักกับกระโปรงสั้น มารดาของเธอใส่กระโปรงกางเกงยาวคลุมเข่าผ้าเบาสบาย

ลวัศกรได้ยินปณาลีถามกมลดาตอนเจอกันใหม่ๆ ว่าไม่กลัวร้อนหรือ หญิงสาวปฏิเสธว่าไม่ร้อน และเผลอตวัดสายตามองเขา ชายหนุ่มอยากด่าตัวเองยิ่งขึ้นไปอีกว่า เป็นเพราะตนแน่ๆ ที่ทำให้กมลดาไม่สบายใจ

ตอนนี้เขาก็เผลอมองก้นสวยๆ ของเธอ…บ้าชะมัด! เขารีบหันไปทางอื่น ทุ่มความสนใจกับทิวทัศน์รอบด้าน

“ถึงแล้ว โน่นไงพีซ พาเลซ๓(Peace Palace) ที่ตั้งของศาลโลก” นิติคุณชี้ไปข้างหน้า

ลวัศกรมองตามไปจนเห็นลานกว้างซึ่งมีนักท่องเที่ยวกระจัดกระจายเป็นกลุ่มๆ ไกลออกไปมีรั้วเหล็กดัดกางกั้นลานกว้างนี้กับบริเวณของพีซ พาเลซหรือ Vredespalaisในภาษาดัตช์ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็อาจเรียกว่า วังสันติภาพ

พวกเขาเดินข้ามถนนไปยังลานกว้าง ริมซ้ายมีอนุสาวรีย์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ประชากรในกรุงเฮกซึ่งสูญเสียชีวิตจากการโจมตีของกองทัพนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ครั้นก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนผ่านพ้นอนุสรณ์แห่งความรุนแรงของสงคราม ก็เริ่มมีประติมากรรมที่แสดงสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือกันในการสร้างสันติภาพ เช่น ม้านั่งซึ่งประดับประดาด้วยกระเบื้องโมเสกสีจัดจ้าน เรียงต่อกันเป็นรูปนกพิราบ รูปมือที่เอื้อมมาจับกัน เป็นต้น

พริบพราวกับเพ็พพินวิ่งจี๋ไปตรงกลางลานซึ่งมีขอบม้านั่งทำจากหินแกรนิตสีเทาหลายแผ่นเรียงต่อกัน ล้อมรอบแปลงหญ้าเขียวขจี

จู่ๆ เด็กน้อยทั้งสองก็เบรกเอี๊ยด วิ่งตื๋อกลับมาจับมือกมลดาไว้คนละข้างอย่างวุ่นวาย แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือพวกเธอลากกมลดามาหาลวัศกร!

“อาต้นขา ไปหาคำว่าพีซ(peace)ในภาษาไทยกันนะคะ” พริบพราวยื่นมือออกมาหาชายหนุ่มด้วยความลังเล

ลวัศกรสบตากมลดาที่มีสีหน้าตกใจ แต่เขาก็ยอมจับมือหลานอย่างงงๆ เพราะไม่อยากให้พริบพราวเสียใจ

เด็กๆ จูงทั้งคู่ไปยังขอบม้านั่งหินซึ่งเมื่อดูใกล้ๆ ลวัศกรจึงเห็นว่าบนแผ่นหินสีเทาสลักอักษรสีขาวเป็นคำว่าสันติภาพในภาษาต่างๆ เขาเริ่มเข้าใจเจตนาของหลานขึ้นมานิดหนึ่งว่าคงอยากให้อาเห็นตามประสาเจ้าของบ้านที่ดี

“ไหนครับภาษาไทย พาอาไปดูซิ” ชายหนุ่มทำเสียงเล็กเสียงน้อยเล่นกับพวกเธอ

“นู่น” เพ็พพินชี้เธอปล่อยมือกมลดา แล้วปีนขึ้นไปวิ่งบนขอบหิน

ลวัศกรกับกมลดาปราดเข้าไปจับมือหนูน้อยไว้ กลัวเธอตก แต่เพ็พพินไวกว่าวิ่งหนีไปพร้อมพริบพราวแล้ว มือของสองหนุ่มสาวจึงสัมผัสกัน

กมลดาอุทาน ลวัศกรเองก็ตกใจ เขาพึมพำขอโทษ ทั้งสองรีบชักมือออกราวกับถูกเปลวไฟไหม้มือ

“พี่เดียร์ อาต้น มานี่!” เพ็พพินร้องเรียก มีพริบพราวกระโดดโลดเต้นชี้ตัวหนังสือที่น่าจะเป็นภาษาไทย

ลวัศกรก้าวฉับไปหาหลานสาว กมลดาตามมาติดๆ ทว่ามีนาปราดเข้ามาแทรกกลาง และตีหน้ายักษ์ใส่ชายหนุ่ม

ซวยแล้วไง! มีนาหึงใช่ไหม ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้อย่างใจดีสู้เสือ แต่แทบจะหูแว่วได้ยินเสียงคำรามของแม่เสือสาวดังก้องมาจากเจ้าของใบหน้าดุดัน

เด็กทั้งสองตะโกนเร่ง แข่งกันอวดตัวหนังสือภาษาไทยที่สลักเป็นคำว่า ‘สันติภาพ’ ไว้อย่างเด่นสง่าท่ามกลางภาษาจากประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ (United Nations)

นิติคุณพาทุกคนเดินไปที่หน้าประตูทางเข้าของวังสันติภาพซึ่งมีไม้กั้นอยู่ ลวัศกรตัดสินใจไม่เข้าไปชมข้างในเพราะเกรงใจเจ้าบ้านที่อาจมากันบ่อยแล้ว อีกทั้งการเยี่ยมชมภายในวังสันติภาพต้องเข้าร่วมทัวร์ซึ่งมีการบรรยายโดยเจ้าหน้าที่เท่านั้น และไม่เปิดให้เยี่ยมชมในวันที่มีการพิจารณาคดี

“จริงๆ แล้วที่นี่ไม่ใช่พระราชวังหรอก มันถูกสร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคจากกองทุนของนักธุรกิจด้านอุตสาหกรรมและนักเคลื่อนไหวทางสังคมชาวสกอต-อเมริกัน ชื่อว่า แอนดรูว์ คาร์เนกี๔(Andrew Carnegie) เขาได้รับการชักชวนจากนักการทูตชาวรัสเซียกับชาวอเมริกันสองคนซึ่งเคยมาประชุมเรื่องสันติภาพที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงเฮก” นิติคุณเล่า

ตอนนั้นนักการทูตทั้งสองปรึกษากันว่าอยากหาสถานที่จัดตั้งศาลอนุญาโตตุลาการถาวรเอาไว้สำหรับแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศในกรณีที่การเจรจาทางการทูตล้มเหลว พวกเขาจึงชวนคาร์เนกีมาเป็นนายทุน แต่คาร์เนกีอยากสร้างหอสมุดกฎหมายระหว่างประเทศมากกว่า เขาจึงรวมทุกสิ่งไว้ด้วยกันที่นี่

คาร์เนกีจัดให้มีการประกวดออกแบบอาคารโดยสถาปนิกจากประเทศต่างๆ ส่งผลงานมาแข่งขัน และในปี ๑๙๐๗ ซึ่งมีการประชุมสันติภาพครั้งที่สอง ณ กรุงเฮก พิธีวางศิลาฤกษ์ก็ถูกจัดขึ้น การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ๑๙๑๓ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองหลายสิบปี

การที่ลวัศกรยืนมองอาคารแบบนีโอ-เรอเนซองซ์(Neo-Renaissance)ผ่านรั้วเหล็กดัดสีดำซึ่งกั้นขวางระหว่างพื้นที่ภายนอกกับอาณาเขตของวังสันติภาพ ทำให้ชายหนุ่มตระหนักถึงความขลังของสถานที่แห่งนี้ยิ่งขึ้น

อาคารถูกออกแบบให้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีสวนอยู่ตรงกลาง แต่เมื่อมองจากบริเวณที่ลวัศกรยืนอยู่จะเห็นเพียงส่วนของอาคารด้านหน้า

ตัวอาคารทำจากอิฐสีแดงจากประเทศเนเธอร์แลนด์ หลังคาใช้หินธรรมชาติสีเทาจากเบลเยียม มีหอคอยอยู่สองแห่ง ทางซ้ายมือของปีกหน้าเป็นหอคอยสูงเด่นตรงกลางมีนาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เหนือนาฬิกาขึ้นไปมีหอคอยเล็กๆ ล้อมรอบหอใหญ่ไว้สี่ทิศ และสูงไปกว่านั้นอีกก็มีหอระฆังซึ่งมีหอคอยเล็กล้อมสี่ทิศไว้เช่นกัน ข้างในมีระฆังสี่สิบแปดอัน ได้รับจากบริจาคมาจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลก ไม่ได้มีไว้สำหรับบอกเวลา แต่ใช้บรรเลงเพลง โดยมีการบรรเลงระฆังทุกวันอังคารและพฤหัสบดี เวลาบ่ายโมงถึงบ่ายโมงสี่สิบห้านาที ส่วนหอคอยอีกแห่งหนึ่งมีขนาดเล็ก เห็นอยู่ไกลๆ เพราะมันตั้งอยู่ตรงกลางของปีกขวาซึ่งหักมุมไปทางด้านหลัง จึงถูกอาคารส่วนหน้าบังอยู่

“ข้างในตึกนั่นก็มีวัสดุอุปกรณ์และของตกแต่งที่ได้รับบริจาคมาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเหมือนกัน แสดงถึงความร่วมมือกันที่จะสร้างสัญลักษณ์แห่งสันติภาพขึ้นที่นี่ เท่าที่พี่จำได้ก็มีบานประตูจากเบลเยียม กระจกหน้าต่างจากอังกฤษ พรมเปอร์เซียจากอิหร่าน พรมแขวนผนังจากญี่ปุ่น แจกันจากจีน ฮังการี รัสเซีย ภาพเขียนจากฝรั่งเศส รูปปั้นจากอเมริกาและโปแลนด์ ส่วนของไทยเราก็เป็นงาช้าง อ้อ ประตูรั้วเหล็กดัดตรงทางเข้านี่ก็มาจากเยอรมันนะ” นิติคุณชี้ไปทางซ้ายมือของพวกเขา

“เจ๋งอะพี่ วันไหนว่างๆ ผมจองทัวร์ไปดูข้างในดีกว่า ว่าแต่ไอ้ศาลโลกนี่มันอยู่ตรงไหนหรือครับ”

“ตรงโน้น นายรู้ใช่ไหมว่าศาลโลกกับศาลอนุญาโตตุลาการถาวรคนละศาลกัน”

“เรื่องศาล ผมรู้จักแค่ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ให้ไปขอหวยเท่านั้นแหละครับ” เขาตอบกวนๆ

นิติคุณส่ายหัวแกมขบขัน เขาอธิบายสั้นๆ ว่าศาลโลกมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ๕(International Court of Justice)จัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยกฎบัตรสหประชาชาติ จึงเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อองค์การสหประชาชาติ มีอำนาจตัดสินคดีความที่เป็นข้อพิพาทระหว่างสองประเทศขึ้นไป เช่น คดีเขาพระวิหารซึ่งไทยมีข้อพิพาททางเขตแดนกับกัมพูชา

ส่วนศาลอนุญาโตตุลาการถาวร๖(PermanentCourt of Justice) เป็นสถาบันตุลาการที่เก่าแก่กว่าศาลโลก เพราะก่อตั้งเมื่อคราวที่มีการประชุมสันติภาพครั้งแรก ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะอุบัติขึ้นเสียอีก จึงไม่ได้สังกัดองค์การสหประชาชาติ

“นอกจากในพีซพาเลซจะเป็นที่ตั้งของศาลทั้งสองนี้แล้ว ก็ยังมีเนติบัณฑิตยสถานระหว่างประเทศแห่งกรุงเฮก กับหอสมุดวังสันติภาพด้วย” นิติคุณเสริม

การที่วังสันติภาพเป็นศูนย์รวมของหน่วยงานสำคัญทางตุลาการนี่เอง ผู้คนถึงขนานนามว่า ‘บัลลังก์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศ (The Seat of International Law)’ อยู่ในความดูแลของมูลนิธิคาร์เนกี ซึ่งแอนดรูว์ คาร์เนกีเป็นผู้ก่อตั้ง

“ดาดา หนูอยากไปดูหินของไทยแลนด์” เพ็พพินกระตุกมือพ่อ แต่เหล่มองลวัศกรเหมือนอยากชวนเขามากกว่า

“มีหินของไทยแลนด์ด้วยหรือครับ อาต้นขอไปดูด้วยได้ไหม” ชายหนุ่มเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น

ครั้นเพ็พพินตอบรับ นิติคุณจึงจูงบุตรสาวทั้งสองด้วยมือข้างละคน และพยักหน้าเรียกน้องชาย

“พี่เดียร์ไปด้วยกันนะคะ” พริบพราวชวน

ลวัศกรเหลือบมองหญิงสาว แต่มีนาก็ขยับมาบังเธอไว้ด้วยใบหน้าตึง ชายหนุ่มเริ่มระอาว่าเจ้าหล่อนจะระแวงทำไมนักหนา เขาเลิกใส่ใจและหันไปชวนหลานคุย แต่ทั้งคู่ก็ยังยืนรอกมลดา ลวัศกรตัดสินใจว่าจะอยู่ห่างๆ

พวกเขาเดินเลาะขอบรั้วไปยังอนุสาวรีย์อันเป็นที่ตั้งของเปลวไฟแห่งสันติภาพโลก๗(The World Peace Flame)แท่นคบเพลิงถูกออกแบบให้เป็นเสาหินสี่เหลี่ยมสีเทา สูงเกือบเท่าตัวคน มีการเจาะช่องวงกลมไว้ตรงด้านหน้าเสา และเคลือบกระจกใสไว้ เผยให้เห็นเปลวไฟแห่งสันติภาพที่ลุกโชนอยู่ภายใน เปลวเพลิงนี้เป็นการรวมกันของไฟซึ่งถูกจุดมาจากทวีปต่างๆ ในโลก แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกภูมิภาคที่จะร่วมแรงร่วมใจกันรักษาสันติภาพ

รอบแท่นคบเพลิงทำเป็นทางเดินแห่งสันติภาพ โดยเอาหินจากประเทศต่างๆ จำนวน ๑๙๖ ประเทศที่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติมาเรียงต่อกัน ตรงขอบของทางเดินสลักชื่อประเทศทั้งหลายไว้ไล่ตามตัวอักษร

“นั่นคำว่าไทยแลนด์ค่ะ พี่เดียร์ชี้ให้อาต้นดูได้ไหมคะ” พริบพราวคะยั้นคะยอ

“ทำไมเรียกแต่พี่เดียร์ล่ะ พี่มีนาก็รู้นะ พี่จะชี้ให้อาต้นดูเอง”

มีนาพูดกับเด็กน้อยเสียงหวาน แต่เปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อหันมาทางลวัศกร

“นี่ค่ะ ไทยแลนด์”

“อ๋อ อยู่นี่เอง ขอบคุณครับ” ลวัศกรใช้รอยยิ้มเข้าสู้

“ไม่เป็นไรค่ะ” มีนาตอบอย่างมึนตึง

“แล้วไหนหินจากบ้านเราครับ ก้อนนี้หรือ” ลวัศกรนั่งยองๆ มองแนวก้อนหินที่เรียงกันอยู่หลังชื่อประเทศไทย

“ไม่ใช่” มีนาปฏิเสธสั้นๆ หันไปทางนิติคุณราวกับจะบอกให้ช่วยอธิบายต่อ

“เขาเรียงชื่อประเทศตามตัวอักษร แต่ไม่ได้เรียงหินไว้ตามนั้นด้วย เราต้องดูหมายเลขของหินที่เขียนไว้ในแผนผังน่ะต้น” นิติคุณบุ้ยปากยังป้ายซึ่งอยู่ข้างๆ อนุสาวรีย์

“พริม เพ็พไปช่วยอาต้นหาสิลูก” ปณาลีกล่าว

“หนูจำด้ายๆ” เพ็พพินวิ่งปรู๊ดจะพาไปดู

ทว่าตอนนั้นเอง ผู้หญิงชาวเอเชียวัยประมาณห้าสิบเศษร้องเรียกเด็กน้อยด้วยท่าทางตื่นเต้น ดีใจสุดขีด

“หนู!”

“คุณป้า” เพ็พพินยิ้มร่า

ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ทันได้เข้ามาหาหลานสาว ผู้ชายชาวเอเชียใบหน้าดุดันก็พุ่งปราดมาจับแขนเธอไว้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น