7

กินง่าย

7

กินง่าย


ประมาณสามสิบนาทีต่อมา ดุลยวัตก็มาถึงคอนโดที่หมาย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านภัทรไพศาลสกุลเพียงหนึ่งกิโลเมตร เจ้าของร่างสูงโปร่งจอดสปอร์ตไบค์คันใหญ่ไว้ในพื้นที่จอดสำหรับผู้มาเยือน ก่อนจะเดินเข้าไปยังล็อบบีพร้อมไม้เท้าที่แวะซื้อจากร้านขายยาหน้าปากซอยมาให้คนเท้าพลิก

    แพทย์หนุ่มหยิบสมาร์ตโฟนออกมากดโทร. หาม่านมุก เสียงสัญญาณดังอยู่ไม่นานเธอก็รับสาย

    “สวัสดีค่ะ”

    “สวัสดีครับ ผมอยู่ที่ล็อบบีแล้วนะ”

    “รอแป๊บนึงนะคะ”

    “เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาเองก็ได้ คุณขาเจ็บอยู่ ไม่ควรเคลื่อนไหวมาก” เขาอาสา

    “ขึ้นมายังไง คุณไม่มีคีย์การ์ดนี่ หรือว่า...จะเดินเข้ามาข้างในตอนลูกบ้านคนอื่นเปิดประตู” หญิงสาวคาดเดา “แต่คุณก็ขึ้นมาชั้นที่ฉันอยู่ไม่ได้อยู่ดีอะ เพราะระบบลิฟต์ของที่นี่มันเป็นแบบล็อกชั้น”

    “ขึ้นไปได้สิครับ” ดุลยวัตจุดรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นที่มุมปากทั้งสองข้าง "แค่คุณโทร. แจ้งรปภ. ให้ช่วยเปิดประตูแล้วก็กดลิฟต์ให้ผม” ไม่มีคีย์การ์ดไม่ใช่ปัญหาสักหน่อย

    “...”

    “ว่าไงครับ” แพทย์หนุ่มทวงคำตอบเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป

    “ไม่เป็นไรค่ะ คุณรอที่ล็อบบีนั่นแหละ” พูดจบหญิงสาวก็วางสายไปทันที

    ดุลยวัตยืนรอคนที่ไม่ยอมให้เขาขึ้นไปหาอยู่ใกล้ๆ ประตูทางเข้าโถงลิฟต์ด้านใน 

ห้านาทีต่อมา คนตัวเล็กที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนขาสั้นสีครีมก็เดินกะเผลกออกจากลิฟต์ตัวในสุดมาเปิดประตู

    “ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ พอดีฉันเดินเร็วไม่ได้” ม่านมุกบอกเมื่อเปิดประตูออกมาด้านนอก ข้อเท้าข้างขวาของหญิงสาวยังคงพันผ้ายืดสีน้ำตาลไว้เหมือนเมื่อวาน

    “เดินช้าๆ ดีแล้วครับ” ดุลยวัตพูดจบก็ยื่นไม้เท้าให้เธอ “อ้ะ”

    ม่านมุกมองไม้เท้าในมือหนา ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าคนตัวสูง “อะไรคะ” สาวร่างบางขมวดคิ้วเข้าหากัน

    “ไม้เท้าไง”

    “รู้แล้ว แต่เอามาทำไมคะ”

    “เอามาให้ จะได้เดินสะดวกขึ้น” แพทย์หนุ่มพูดพร้อมเอื้อมมือไปคว้ามือหญิงสาวมา และยัดไม้เท้าใส่มือเธอ “อันนี้ให้เลยนะ ไม่ต้องคืน” เขาว่า ก่อนจะปล่อยมือนุ่มให้เป็นอิสระ

    “ฟรีเหรอ” ม่านมุกถามเพื่อความแน่ใจ

    “ใช่ครับ แต่ถ้าไม่อยากรับไปฟรีๆ จะเลี้ยงข้าวผมสักมื้อก็ได้นะ” ดวงตาเรียวสองชั้นของคนพูดเปล่งแสงพริบพราว

    “หือ?” หญิงสาวทำหน้าเหลอหลา

    “เลี้ยงอะไรก็ได้ครับ ผมกินง่าย” คนตัวโตยิ้มกว้าง

    “ยังไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงปะ” อีตาเดย์พูดเองเออเองทั้งนั้น

    “อ้าวเหรอ”

    “อือ”

    “ไม่เลี้ยงก็ได้ ผมตั้งใจเอามาให้ ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนอยู่แล้วละ” คนตั้งใจทำดีไม่หวังผลตอบแทนทำหน้าหงอยนิดๆ 

    ม่านมุกเห็นอย่างนั้นก็เริ่มรู้สึกละอายใจ เพราะเขาทั้งช่วยปฐมพยาบาลเธอ แถมยังอุตส่าห์เอาไม้เท้ามาให้อีก แต่เธอยังไม่ตอบแทนอะไรเขาเลย

    “คุณอยากกินอะไรล่ะคะ”

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเลี้ยงก็ได้ ผมไม่ซีเรียส” ดุลยวัตส่ายหน้า

    “ตามใจ”

    “อ้าว ไม่ตื๊อก่อนเหรอ”

    บิวตีบล็อกเกอร์สาวยักไหล่ “ก็คุณบอกว่าไม่เป็นไรนี่” 

    “ปกติเขาก็ต้องฟอร์มก่อนนิดนึงไหม แต่ถ้าคุณตื๊ออีกรอบ ผมก็ยอมให้เลี้ยงแล้ว ตื๊อหน่อยดิ” คนตัวสูงทำหน้าออดอ้อน

    “โอเคๆ ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณ อยากกินอะไร”

    แพทย์หนุ่มยิ้มกว้าง “แล้วแต่คนเลี้ยงเลยครับ”

    “คุณอยากกินอะไรเลือกเลยค่ะ” ม่านมุกโยนกลับไปให้เขา

    “ผมกินได้ทุกอย่างครับ”

    “โอเค งั้นเอาเลขบัญชีมา”

    “เอาไปทำไมครับ”

    “ฉันจะโอนเงินค่าอาหารให้ค่ะ”

    “ยังไงอะ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง

    “ก็จะเลี้ยง แต่ไม่ไปด้วย”

    “ได้เหรอ คนเลี้ยงต้องไปด้วยสิครับ” ชายหนุ่มทักท้วง

    “อาทิตย์นี้ฉันยุ่งอ้ะ ไม่มีเวลาไปหรอก” ม่านมุกบอกปัด เพราะถ้าจะไปจริงๆ เธอก็ไปได้อยู่แล้ว 

    “เฮ้ย ไม่เป็นไร รอได้ ว่างเมื่อไหร่ค่อยไป”

    “อย่ารอเลยค่ะ”

    “ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ กินร้านตามสั่งตรงข้ามคอนโดก็ได้นะ พอดีผมอยากคุยเรื่องเฮียปรินซ์อะ” แม้การให้หญิงสาวเลี้ยงข้าวจะอยู่นอกแผน แต่การคุยเรื่องปริญญ์อยู่ในแผนของเขาตั้งแต่แรก ยังไงเขาก็ต้องคุยกับเธอวันนี้ให้ได้

    “...” คุยเรื่องหมอปรินซ์งั้นเหรอ ชื่อนั้นทำให้ม่านมุกลังเลขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงของใครอีกคนก็แทรกเข้ามาเสียก่อน

    “พี่มุก”

    ม่านมุกและดุลยวัตหันไปมองเจ้าของเสียงพร้อมกัน

    “อ้าวเจ” บิวตีบล็อกเกอร์สาวยิ้มให้ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีในชุดเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์สีขาว กางเกงยีนฟอกสีซีด สวมหมวกแก๊ปสีดำ ซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเธอ

    “ขาพี่เป็นไรอะ” คนมาใหม่ถามเมื่อเห็นม่านมุกใช้ไม้เท้าช่วยทรงตัว

    “พลิก แต่ไม่เป็นไรมากหรอก”

    เจตนิพัทธ์พยักหน้ารับรู้ 

“อ๋อ ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว คราวหลังเวลาเดินก็มองทางหน่อย อย่ามัวแต่มองหนุ่มๆ” อีกฝ่ายแซวพลางยิ้มทะเล้น

    หญิงสาวส่งค้อนวงใหญ่ให้ญาติผู้น้องวัยยี่สิบปี “บ้า! ไม่ได้มัวแต่มองหนุ่มๆ สักหน่อย” ก็แค่รีบเดินหนีใครบางคน “ว่าแต่แกมาทำไมเนี่ย”

    “แม่ให้เอานี่มาให้” เจตนิพัทธ์ชูถุงขนมจีนและแกงเขียวหวานไก่ในมือขึ้น                                                                                                                                                                                                                                                                                                                 

    แม่ของชายหนุ่มก็คือพิไลพรหรือ ‘ป้าไล’ ของม่านมุกนั่นเอง

    “ยังไม่มีอาหารเที่ยงพอดีเลย” ดวงตากลมโตเป็นประกายวิบวับ

    “เดี๋ยวผมกินด้วย” เจตนิพัทธ์ว่า

    “อ้าว เจยังไม่กินเหรอ”

    “ยัง แม่ให้เอามาให้พี่มุกก่อนเที่ยง แต่ผมตื่นสายอะ ถ้ามัวแต่กินเดี๋ยวมาไม่ทันเที่ยง เลยจะมากินกับพี่มุก นี่ไม่ได้กำลังจะออกไปไหนใช่ป้ะ” เจตนิพัทธ์มองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ญาติผู้พี่

    “เปล่า อ้อ นี่เดย์ เพื่อนพี่ ส่วนนี่เจ ลูกพี่ลูกน้องของฉันค่ะ” หญิงสาวแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน

    เจตนิพัทธ์และดุลยวัตยิ้มทักทายกัน ก่อนที่หนุ่มคนแรกจะหันไปเอ่ยกับม่านมุก

    “นึกว่าแฟน”

    “ไม่ใช่เว้ย” บิวตีบล็อกเกอร์สาวตอบเสียงสูง

    “แสดงว่าพี่เดย์ไม่ใช่หมอ” หนุ่มคนเดิมว่าต่อ

    “ทำไมล่ะ” ดุลยวัตขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน

    “ผมเล่าได้ไหมพี่มุก” เจตนิพัทธ์ตอบเสร็จก็หันไปยิ้มเย้าญาติผู้พี่

    “ไอ้เจ! อย่าพูดมาก” ม่านมุกถลึงตาใส่คนที่เมาท์เธอต่อหน้าต่อตา

    “เล่าต่อเลยเจ พี่อยากรู้” ประโยคของเจตนิพัทธ์ทำให้เขาสงสัยอย่างแรง

    “ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่มุกหักคอผม” ชายหนุ่มทำท่าขยาดเมื่อเห็นตาวาวๆ ของม่านมุก

    เมื่อไม่ได้คำตอบจากหนุ่มรุ่นน้อง ดุลยวัตก็หันไปไล่เลียงสาวร่างเล็กแทน “ที่เจพูดหมายความว่ายังไงครับ”

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไอ้เจมันก็พูดไปเรื่อย” ระหว่างนั้นมือบางก็หยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลัง และคืนให้เจ้าของก่อนที่จะลืมอีกรอบ “มือถือคุณค่ะ”

    “ขอบคุณครับ” แพทย์หนุ่มเอ่ยพร้อมรับโทรศัพท์มือถือคืนมา

    “ส่วนเรื่องที่คุยกันค้างไว้ เดี๋ยวฉันจะโทร. หาคุณอีกที” ม่านมุกพูดจบก็หันไปหาญาติผู้น้อง “ป้ะ เดี๋ยวไปกินขนมจีนกัน”

    “อ้าว พี่เดย์ไม่ไปกินด้วยกันเหรอครับ ขนมจีนแกงเขียวหวานฝีมือแม่ผมอร่อยมากเลยนะ” เจตนิพัทธ์เอ่ยด้วยสีหน้าภูมิใจ

    “ก็อยากกินอยู่นะ แต่เพื่อนพี่เขาไม่ชวนอะ” ดุลยวัตว่าพลางเหลือบไปมอง ‘เพื่อน’ ของเขา

    “พี่มุก ชวนพี่เดย์ด้วยดิ” อีกฝ่ายหันไปบอกสาวรุ่นพี่

    “เขามีธุระ”

    “ใครบอก” แพทย์หนุ่มเอ่ยแย้ง

    “อ้าว คุณบอกว่ามีธุระไม่ใช่เหรอ” ม่านมุกขยิบตา คิดว่าเขาจะเออออตาม แต่ปรากฏว่า...

    “ฟังผิดแล้ว วันนี้ผมว่างทั้งวัน” 

    “งั้นก็ไปกินด้วยกันก่อนครับพี่เดย์” เจตนิพัทธ์เอ่ยชวน

    “โอเค” ดุลยวัตรีบตอบรับคำชวน

    ม่านมุกกดสายตามองญาติผู้น้องอย่างคาดโทษ ‘นี่ฉันเป็นเจ้าของห้องนะ ต้องถามฉันก่อนไหม!’

    แต่ในเมื่อเจตนิพัทธ์ออกปากชวนแล้ว และหมอหนุ่มก็ตอบตกลงแล้ว จะให้ไล่เขากลับมันก็คงน่าเกลียด เพราะดุลยวัตเป็น ‘เพื่อน’ ของเธอ

    “ว่าไงมุก ผมไปกินด้วยได้ไหม” ดุลยวัตหันมาขอคำตอบจากเธอ

    บิวตีบล็อกเกอร์สาวลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบ “ไปก็ไป” เอาเถอะ อย่างน้อยก็มีเจตนิพัทธ์อยู่ด้วย

    “ขอบคุณครับ” คนตัวโตยิ้มร่าเริง

    “พวกพี่นี่พูดกันสุภาพดีเนอะ ผมๆ คุณๆ” เจตนิพัทธ์แซวพลางหัวเราะเบาๆ 

    ม่านมุกไม่โต้ตอบ เธอใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินไปยังประตูทางเข้าโถงลิฟต์ด้านใน และใช้คีย์การ์ดสแกนเปิด

    เวลาต่อมาทั้งสามคนก็ขึ้นมาถึงห้องพักของม่านมุกบนชั้นสิบห้า ดุลยวัตสัมผัสได้ถึงความเป็นผู้หญิงในทุกตารางนิ้วของห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งในสไตล์หวานปนน่ารัก วอลล์เปเปอร์ โซฟา ชั้นวางของ พรม โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ และของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ภายในห้องล้วนเป็นสีพาสเทล คนละโลกกับห้องนอนเขาที่ตกแต่งในโทนสีเทา และมีเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ที่สำคัญห้องของม่านมุกเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าห้องของเขามาก

    “เดี๋ยวผมเอาแกงเขียวหวานไปอุ่นก่อนนะครับ กินร้อนๆ จะได้อร่อยๆ” เจตนิพัทธ์บอกญาติผู้พี่และเพื่อนของเธอ ก่อนจะเดินไปยังทิศทางของห้องครัว จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น

    กริ๊ง กริ๊ง

    ชายหนุ่มหยิบสมาร์ตโฟนในกระเป๋ากางเกงยีนออกมากดรับ

    “ว่าไงเหน่ง” เจตนิพัทธ์ถามเพื่อนที่โทร. เข้ามา

    “มึงอยู่ไหนเนี่ย”

    “คอนโดพี่ ทำไมวะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น