8
อ้าว เฮ้ย
“ขออนุญาตนั่งนะครับ”
ดุลยวัตเอ่ยเสียงนุ่มนวล หลังจากที่ม่านมุกทรุดกายนั่งลงบนโซฟาสีพีชแล้ว
หญิงสาวได้ยินแล้วอยากจะกลอกตาใส่ แหม มาทำเป็นขออนุญงอนุญาตนะ ทีตอนขึ้นมาไม่เห็นจะเกรงใจเลย
“ค่ะ” แม้จะหมั่นไส้อีกฝ่าย แต่ม่านมุกก็ไม่แสดงออก เพราะเขาเป็นน้องชายของว่าที่สามีเธอ นั่นก็คือหมอปรินซ์ เพราะงั้นเธอจะต้องดีกับเขาด้วย จะว่าไปแล้วหมอปรินซ์นี่บุคลิกคนละขั้วกับอีตาเดย์เลยเนอะ เพราะคนพี่ทั้งหล่อ นิสัยดี สุภาพ อ่อนโยน ส่วนคนน้องออกแนวห่ามๆ กวนๆ และเจ้าเล่ห์ด้วย
“ขอบคุณครับ” เมื่อได้รับอนุญาต คนตัวสูงก็นั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเธอ “ห้องคุณน่ารักดีนะ” แพทย์หนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นที่มีกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้ บางทีก็สงสัยว่าทำไมห้องผู้หญิงถึงได้หอมจัง มันเป็นกลิ่นเฉพาะที่ห้องผู้ชายไม่มี และเขาก็ชอบกลิ่นนี้มากๆ เลยด้วย
“ขอบคุณค่ะ” บิวตีบล็อกเกอร์สาวตอบพลางเอื้อมมือไปหยิบหมอนรูปแมวพูชีนตัวอ้วนกลมสีชมพูมาวางบนตัก
“น่ารักเนอะ” ริมฝีปากหยักลึกสีระเรื่อระบายยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีเข้มของคนพูดทอแสงพริบพราว
“คะ?” ม่านมุกทำหน้าเหลอหลา
“ไอ้แมวนี่อ้ะ” มือชี้ไปที่หมอน แต่ตากลับวางอยู่ที่ใบหน้าใส
“เอ่อ...” หัวใจของม่านมุกเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย ก็อีตาเดย์เล่นจ้องตาขนาดนี้ ใครจะไม่ประหม่าล่ะ ซึ่งนี่เป็นอาการปกติ ไม่ได้หมายความว่าเธอหวั่นไหวกับเขานะ อย่าเข้าใจผิด เพราะยังไงที่หนึ่งในใจเธอก็คือหมอปรินซ์
“พี่มุก พี่เดย์” เสียงของเจตนิพัทธ์ดึงให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์
เจ้าของชื่อทั้งสองคนหันไปมองหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จและเดินมาที่โซฟา ทั้งที่เมื่อครู่บอกว่าจะเข้าไปอุ่นแกงเขียวหวานในครัว
“ไอ้เหน่งมันชวนไปดูแข่งอี-สปอร์ตอะพี่ ผมคงกินข้าวเที่ยงด้วยไม่ได้แล้ว พี่กับพี่เดย์กินกันเลยนะ”
ม่านมุกทำหน้าเหวอ เนื้อเพลง ‘อ้าว เฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า’ ดังขึ้นในหัวทันที
“ก็กินก่อนค่อยไปก็ได้นี่” หญิงสาวไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องรีบไปขนาดนั้น ก็แค่ไปดูแข่งเกมไหม
แต่ในมุมมองของคนที่เป็นเกมเมอร์นั้นตรงกันข้าม “ไม่ได้พี่ ต้องไปเดี๋ยวนี้เลย ผมไม่อยากพลาดตอนเริ่ม"
เจตนิพัทธ์เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้า ชั้นปีที่สอง ที่มหาวิทยาลัยใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง และมีกิจกรรมยามว่างคือการเล่นเกม ซึ่งอีกฝ่ายฟอร์มทีมกับเพื่อนไปแข่งอี-สปอร์ต และไปชมการแข่งขันอยู่เรื่อยๆ แต่อี-สปอร์ตคืออะไร และทำเงินให้คนเล่นเกมอย่างไร ม่านมุกยอมรับว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย แต่ถ้าถามว่ารายได้ของบิวตีบล็อกเกอร์มาจากไหนละก็ เธออธิบายอย่างละเอียดได้ทันที
“รีบไปเถอะเจ แกงเขียวหวานเดี๋ยวพี่อุ่นเอง” ดุลยวัตบอกอีกฝ่าย
“พี่เดย์ไปส่งผมที่ลิฟต์หน่อยดิ”
“ได้” หมอหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืน “พี่ต้องใช้คีย์การ์ดใช่ปะ”
“ครับ” เกมเมอร์หนุ่มเห็นคีย์การ์ดวางอยู่บนโต๊ะกลางจึงเอื้อมมือไปหยิบและส่งให้เพื่อนของญาติผู้พี่ “นี่ครับ”
“ผมไปส่งเจแป๊บนะมุก” ดุลยวัตบอกเจ้าของห้อง
“เอ่อ...” ม่านมุกอึกอัก เพราะกำลังคิดว่าจะทำยังไงให้ดุลยวัตกลับไปพร้อมเจตนิพัทธ์เลยดี แต่ไม่ทันแล้ว เพราะอีตาเดย์เดินกอดคอลูกพี่ลูกน้องของเธอออกจากห้องไปโน่นแล้ว
“จริงๆ พี่เป็นหมอนะ” ดุลยวัตเอ่ยขึ้นระหว่างเดินไปส่งเจตนิพัทธ์ที่ลิฟต์
“อ้าว จริงเหรอครับ” อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจ
“อื้อ”
“แล้วพี่เดย์รู้จักกับพี่มุกมานานยังอะครับ” เขาไม่เคยเห็นหน้าดุลยวัตมาก่อน และเท่าที่รู้สาวรุ่นพี่ก็มีเพื่อนสนิทแค่สองคนคือพัชนีและมทิรา
“ก็...พักนึง” หมอหนุ่มเลือกที่จะไม่บอกว่าเขาและม่านมุกเพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน เพราะไหนๆ ก็สวมบทบาทเพื่อนแนบเนียนเสียขนาดนั้นแล้ว
“พี่เป็นเพื่อนพี่มุกจริงๆ เหรอ” สายตาของคนถามมีแววสงสัยจริงจัง
“จริงสิ ทำไมอะ”
“ที่ผ่านมาผู้ชายที่มาหาพี่มุกที่คอนโดก็มีแต่แฟนอะ ตอนแรกผมเลยนึกว่าพี่เป็นแฟนพี่มุกไง” เจ้าตัวว่า ก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มเรียกลิฟต์
“แล้วมันเกี่ยวกับการที่พี่เป็นหมอหรือไม่ได้เป็นหมอยังไง”
“ก็พี่มุกชอบผู้ชายไทป์หมอ เคยมีแฟนสองคนก็เป็นหมอหมดเลย” เชี่ย! เล่ามากไปไหมเนี่ยกู เจตนิพัทธ์ที่ลืมตัวเล่าเพลินเลิ่กลั่ก
“อ๋อ” คนเป็นหมอพยักหน้าช้าๆ ริมฝีปากหยักลึกสีระเรื่อกระตุกยิ้มพราย
“พี่เดย์ยิ้มอะไรอะ” เกมเมอร์หนุ่มถามเมื่อเห็นว่าจู่ๆ เพื่อนของญาติผู้พี่ก็ยิ้ม
“ไม่มีอะไร”
“พี่อย่าบอกพี่มุกนะว่าผมเล่าให้ฟัง เดี๋ยวพี่มุกด่าผม”
“อือ ไม่บอกหรอก”
ติ๊ง!
จังหวะนั้นเสียงสัญญาณลิฟต์ก็ดังขึ้น ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเลื่อนเปิดออก ทำให้ประเด็นนั้นจบไปโดยปริยาย
“พี่เดย์เอาคีย์การ์ดมาสแกนให้หน่อยครับ” เจตนิพัทธ์บอกหมอหนุ่มหลังจากก้าวเข้าไปในลิฟต์
“พี่ต้องลงไปส่งข้างล่างไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องครับ มันมีปุ่มกดเปิดประตูจากด้านใน ใช้คีย์การ์ดแค่ตอนเข้ามากับตอนขึ้นลงลิฟต์”
“โอเค”
หลังจากส่งเจตนิพัทธ์แล้ว ดุลยวัตก็เดินกลับมาที่ห้องของ ‘เพื่อน’
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แพทย์หนุ่มยกมือขึ้นเคาะประตูห้อง รอยยิ้มบางๆ พราวอยู่ทั่วใบหน้าหล่อเหลาขณะยืนรอ ไม่นานประตูสีขาวก็เปิดออก
“เจไปแล้วเหรอคะ”
“ครับผม”
สาวร่างเล็กพยักหน้ารับรู้
“คีย์การ์ดครับ” มือหนาส่งคีย์การ์ดคืนให้เจ้าของ
ม่านมุกรับคีย์การ์ดมาจากเขา ในขณะที่ริมฝีปากอิ่มสีชมพูกำลังจะขยับบอกบางอย่าง อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นก่อน
“ผมเข้าไปได้ไหมครับ” คนตัวโตที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยขออนุญาต เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อเจตนิพัทธ์ไม่อยู่แล้ว เธอจะให้เขาเข้าไปในห้องหรือเปล่า
“ฉันว่า...มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะคะ” ดุลยวัตถามในสิ่งที่เธอต้องการจะบอกพอดี
ถึงเขาจะเป็นน้องของผู้ชายที่เธอจะจีบ แต่เธอกับเขารู้จักกันยังไม่ถึงสองวันด้วยซ้ำ มันคงไม่เหมาะที่จะอยู่กับผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติสองต่อสองในที่ลับตาคน จริงไหม
ที่เธอให้เขาขึ้นมาตอนแรกก็เพราะว่ามีเจตนิพัทธ์อยู่ด้วยหรอกนะ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว
“แล้วขนมจีนแกงเขียวหวานล่ะครับ”
“เดี๋ยวอุ่นแล้วเอาใส่ทัปเปอร์แวร์ไปกินที่ชั้นส่วนกลางค่ะ” ม่านมุกคิดทางออกเอาไว้แล้ว
“จริงๆ คุณไม่ควรเดินเยอะนะ เดี๋ยวจะไม่หายสักที”
“ก็ค่อยๆ เดิน เดินไปพักไปก็ได้ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ นอกจาก...คุณจะกลับ” ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เธอจะดีใจมากๆ
ดุลยวัตส่ายหน้า “ไม่เอา ผมอยากกินขนมจีน”
“ขนาดนั้นเลย”
“ก็เจบอกว่าอร่อยมาก ผมไม่อยากพลาด” เขาใช้ชื่อเจตนิพัทธ์มาอ้างเพื่อความชอบธรรมในการอยู่ต่อเพราะมี ‘แผน’ ที่ต้องทำให้สำเร็จ
“งั้นก็ขึ้นไปกินที่ชั้นส่วนกลางค่ะ” บทสนทนาวนกลับมาที่เดิม
ดวงตาสีเข้มฉายแววครุ่นคิด ก่อนที่เจ้าของร่างสูงจะตอบ “เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“ถ้างั้นฉันไปอุ่นอาหารก่อน คุณรอตรงนี้นะคะ”
“ครับผม” ดุลยวัตรีบรับคำ ได้อยู่หน้าประตูห้อง ยังไงก็ดีกว่าโดนไล่กลับบ้านละวะ
สิบนาทีต่อมาทั้งสองก็ขึ้นมาถึงชั้นส่วนกลางบนดาดฟ้าของคอนโด ซึ่งมีสระว่ายน้ำแบบไร้ขอบที่ว่ายน้ำและชมวิวมุมสูงของเมืองไปได้พร้อมๆ กัน พื้นที่ด้านหนึ่งจัดเป็นสวนลอยฟ้าสำหรับนั่งพักผ่อนหรือออกกำลังกายแบบเอาต์ดอร์ หรือถ้าลูกบ้านคนไหนชอบออกกำลังกายแบบอินดอร์ก็มียิมทันสมัยไว้บริการเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีโค-เวิร์กกิงสเปซ ห้องสมุด ห้องประชุม ห้องเด็กเล่น แพนทรีซึ่งมีทั้งชา กาแฟ และขนมบริการ รวมทั้งโต๊ะสำหรับนั่งรับประทานอาหารด้วย
ดุลยวัตถือถุงผ้าเดินตามม่านมุกเข้าไปในแพนทรี จริงๆ แล้วหญิงสาวอยากจะนั่งในสวน แต่ตอนนี้แดดค่อนข้างร้อนทีเดียว ห้องแอร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ทั้งคู่จับจองโต๊ะว่างที่มุมหนึ่ง แพทย์หนุ่มนำขนมจีนราดแกงเขียวหวานไก่ที่แบ่งใส่ทัปเปอร์แวร์สองกล่องและช้อนส้อมสองคู่ออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามม่านมุก จากนั้นแต่ละฝ่ายก็เปิดฝาทัปเปอร์แวร์และลงมือรับประทานอาหาร
“อร่อยเหมือนที่เจบอกจริงๆ ด้วย” คนตัวโตว่าหลังจากกินคำแรก
“ป้าไลทำอาหารอร่อยทุกอย่างนั่นแหละ” คนที่กินอาหารฝีมือป้ามาทุกเมนูเอ่ยเสียงใส
“ป้าไลเปิดร้านหรือเปล่าครับ ผมจะชวนเพื่อนๆ พี่ๆ ที่วอร์ดไปอุดหนุน” ชายหนุ่มเรียก ‘ป้าไล’ ตามเธอ
“แกทำให้แค่คนในครอบครัวกินค่ะ” และหลานสาวอย่างเธอก็ได้อานิสงส์ไปด้วย
“แล้วคุณทำอาหารเป็นปะ”
“ก็ทำได้นะ แต่ไม่เก่ง”
“แต่ก็น่าจะเก่งกว่าผม ของผมทอดไข่เจียวไม่ไหม้ก็ดีใจละ” ดุลยวัตเอ่ยเคล้ายิ้ม
“ก็น่าจะนะ เพราะฉันทอดไข่เจียวครั้งแรกก็ออกมากรอบฟู รสชาติดี ที่สำคัญไม่ไหม้ด้วย”
“โห ข่มอ้ะ”
“ไม่ได้ข่มนะ พูดเรื่องจริง ป้าไลสอนฉันมากับมือ” นี่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเธอ เพราะทำอร่อยอยู่เมนูเดียวนี่ละ
“ว่างๆ มาสอนผมบ้าง” หมอหนุ่มเอ่ยทีเล่นทีจริง
“ท่าทางจะไม่ว่างค่ะ” ม่านมุกตัดบท “ว่าแต่...คุณบอกว่าจะคุยเรื่องหมอปรินซ์ไม่ใช่เหรอคะ” จริงๆ ควรจะเป็นดุลยวัตที่เป็นฝ่ายเข้าประเด็น แต่เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะพูดเรื่องนี้ เธอเลยเอ่ยขึ้นเองเสียเลย
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“ค่ะ” ถ้าไม่คุยตอนนี้ แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ
“โอเคครับ”
ต่างฝ่ายต่างเข้าสู่โหมดจริงจัง ม่านมุกรอฟังสิ่งที่เขาจะเอ่ยอย่างตั้งใจ และหวังว่าดุลยวัตจะไม่ห้ามไม่ให้เธอจีบพี่ชายเขา
“คุณรู้จักเฮียมานานหรือยังครับ” ดุลยวัตอยากรู้สถานะระหว่างหญิงสาวกับพี่ชายเขาในตอนนี้
“ไม่เชิงว่ารู้จักค่ะ คือเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาฉันไม่สบาย เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาล แล้วก็ได้ตรวจกับหมอปรินซ์ค่ะ” ม่านมุกเล่าความจริงโดยไม่ปิดบัง
“เจอกันแป๊บเดียว ชอบพี่ชายผมแล้ว?”
“ค่ะ การตกหลุมรักใครสักคนบางครั้งมันใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ ถ้าคุณเคยตกหลุมรัก คุณก็คงจะเข้าใจ”
แพทย์หนุ่มพยักหน้าเบาๆ ก่อนถามต่อ
“คุณคิดว่าจะจีบเฮียปรินซ์จริงๆ ใช่ไหม” เขาจ้องตาเธอราวกับจะค้นให้ลึกเข้าไปถึงข้างใน
“ค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงหนักแน่น ไม่มีความลังเลปรากฏอยู่ในดวงตาคู่สวยแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่แค่สนุกๆ นะ?” เจ้าของเสียวทุ้มห้าวถามต่อ
“ค่ะ ฉันไม่เคยล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น ฉันอยากรู้จักหมอปรินซ์ให้มากกว่านี้ และอยากให้หมอปรินซ์รู้จักฉันให้มากขึ้นเหมือนกัน แต่ถ้าสุดท้ายแล้วหมอปรินซ์ไม่ชอบฉัน ฉันก็พร้อมจะถอยออกมานะคะ คุณไม่ต้องกลัวว่าฉันจะตามตื๊อพี่ชายคุณเพื่อให้เขามารัก ฉันไม่ใช่คนดันทุรังอยู่แล้ว ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ มันบังคับกันไม่ได้” ถ้าจะผิดหวังก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้พยายามสร้างโอกาสให้ตัวเองแล้ว
ดุลยวัตไม่คิดว่าจะได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไรอย่างนี้ เขาชอบความชัดเจนของเธอ และหวังว่าเธอจะทำได้อย่างที่พูดจริงๆ
“โอเค ถ้างั้นผมจะช่วยคุณเอง”
“ช่วย?” คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากัน
“ใช่”
“ช่วยยังไงคะ”
“ก็เป็นพ่อสื่อให้ไง เดี๋ยวผมพาคุณไปแนะนำให้เฮียปรินซ์รู้จัก”
ม่านมุกฟังแล้วคิดตาม ก็น่าสนใจนะ ดีกว่าต้องวางแผนเข้าไปทำความรู้จักหมอปรินซ์เอง ว่าแต่เขาอาสาช่วยแบบนี้ แสดงว่าก็อยากให้เธอลงเอยกับพี่ชายตัวเองอยู่ใช่ไหม
‘มีแววว่าการจีบหมอปรินซ์จะไปได้สวย เพราะได้ใจน้องชายเขาคนนึงละ’
“พูดจริงเหรอคะ” ม่านมุกถามอีกรอบเพื่อความมั่นใจ
“จริงสิครับ” อีกฝ่ายยืนยันเสียงหนักแน่น
“งั้นโอเคค่ะ ฉันจะให้คุณช่วย” บิวตีบล็อกเกอร์สาวไม่รีรอที่จะตอบตกลง
ดุลยวัตลอบยิ้มเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“แล้วคุณจะพาฉันไปแนะนำในฐานะอะไรคะ เพื่อนเหรอ” คิดแล้วตื่นเต้นอ้ะ จะทำยังไงไม่ให้เสียอาการต่อหน้าหมอปรินซ์ดีนะ
“คุณน่าจะอายุน้อยกว่าผมนะ”
“ปีนี้ฉันยี่สิบหกค่ะ”
“ผมสามสิบเอ็ด เพราะงั้นแนะนำในฐานะรุ่นน้องดีกว่า มา! เดี๋ยวเราลองมาซ้อมเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเลย ก่อนอื่น...เรียกผมว่าเฮียเดย์”
ม่านมุกแทบจะพ่นเส้นขนมจีนออกมาเมื่อได้ยินประโยคหลังสุด “อะไรนะ!” หญิงสาวถามหลังจากกลืนอาหารเรียบร้อยแล้ว
“เรียกผมว่าเฮียเดย์”
“...” บิวตีบล็อกเกอร์สาวกะพริบตาปริบๆ เพราะสมองประมวลผลไม่ทัน
“จะได้สมบทบาทไง ผมจะบอกเฮียปรินซ์ว่าคุณเป็นรุ่นน้องที่สนิท” หมอหนุ่มอธิบายเหตุผล
“เอ่อ...ไม่ต้องสนิทก็ได้มั้งคะ”
“ไม่ได้ดิ เดี๋ยวเฮียสงสัย ถ้าเป็นคุณก็คงไม่พารุ่นน้องที่ไม่สนิทกันไปแนะนำให้คนในครอบครับรู้จักหรอก จริงไหมครับ”
สิ่งที่ดุลยวัตพูดทำให้ม่านมุกฉุกคิด จริงสินะ เธอจะพารุ่นน้องที่ไม่สนิทไปแนะนำให้คนในครอบครัวรู้จักทำไม มันก็จะแปลกๆ ปะ แต่จู่ๆ ให้เรียกเขาว่าเฮีย มันก็แปลกๆ เหมือนกัน เพราะเธอกับเขาไม่ได้สนิทกันสักหน่อย
“ฉันไม่ชินอ้ะ” หญิงสาวทำปากยื่น
“เดี๋ยวเรียกบ่อยๆ ก็ชินเองน่า”
“งั้นเรียกเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าหมอปรินซ์ได้ไหมคะ”
“ยิ่งไม่ชิน ยิ่งต้องเรียกให้ชินดิ หรือว่าไม่ได้จริงจัง แค่จะจีบพี่ชายผมเล่นๆ”
เมื่อเขาไซโคมาอย่างนั้น แล้วม่านมุกจะทำอะไรได้ “ก็ได้ๆ”
“อย่างนี้ค่อยน่าช่วยหน่อย ไหน เรียกเฮียเดย์ซิ” ดุลยวัตยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะและเอียงตัวมาข้างหน้า ดวงตาสีเข้มที่จับจ้องวงหน้าเนียนใสพราวไปด้วยประกายวิบวับ
“เฮีย...” นี่ต้องเรียกอย่างนั้นจริงๆ เหรอ เรียกอีตาเดย์ว่าเฮียนี่นะ
“เฮียไร เร็ว” แพทย์หนุ่มเอ่ยเสียงเร่งเร้า
ม่านมุกใช้เวลาทำใจอยู่ครึ่งนาทีกว่าจะเอ่ยออกมาสำเร็จได้ในที่สุด
“เฮียเดย์”
“ดีมาก” ดุลยวัตจุดรอยยิ้มกริ่มขึ้นทั่วใบหน้าคมคาย “แล้วปกติเวลาพูดกับคนที่อายุมากกว่า คุณแทนตัวเองว่ายังไง”
“หนู” เมื่อเขาถามมา เธอก็ตอบไป
“งั้นเวลาพูดกับผมก็เหมือนกัน”
“ฮะ!” ม่านมุกเบิกตาโต
“ตกใจอะไร” ดวงตาสีเข้มเป็นประกายพราวระยับ
“ทำไมฉันต้องแทนตัวเองว่า ‘หนู’ กับคุณด้วยล่ะ”
“ก็ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าคุณ ไม่มีรุ่นน้องที่ไหนแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ เวลาพูดกับรุ่นพี่หรอก จริงไหม”
“แต่...”
“หรืออยากให้เฮียปรินซ์จับได้ว่าเราไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องกันจริงๆ”
“ไม่” สาวร่างเล็กส่ายหน้าหวือ
“งั้นก็ทำตามที่เฮียบอก เชื่อเฮีย เฮียเรียนมา” ดุลยวัตสวมบทบาทรุ่นพี่อย่างไม่เคอะเขิน
“ค่ะเฮีย” ถ้าไม่ใช่เพราะหมอปรินซ์ นี่ไม่ทำตามหรอกนะ “แล้วคุณ...” ริมฝีปากอิ่มที่กำลังขยับเอ่ยชะงักเมื่อได้รับสายตาคาดโทษจากคนตัวโต
“อะไรนะ” แพทย์หนุ่มถามเสียงต่ำ
“เฮีย” ม่านมุกรีบเปลี่ยนสรรพนามใหม่
ดุลยวัตพยักหน้าเบาๆ แววตาบ่งบอกถึงความพึงพอใจ
“เฮียจะพาหนูไปเจอหมอปรินซ์เมื่อไหร่คะ”
“ก็แล้วแต่ว่าเราพร้อมเมื่อไหร่”
“พร้อมมากค่ะ ไปตอนนี้เลยก็ได้” ถึงขาจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ใจม่านมุกเกินล้าน!
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนบอกเสียงนุ่มนวล
“เฮียจะเป็นคนตัดสินเองว่าเราพร้อมหรือยัง” เขาขยิบตาและยกยิ้มมุมปากน้อยๆ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย!
“หืม?” ใบหน้าจิ้มลิ้มของบิวตีบล็อกเกอร์สาวเต็มไปด้วยคำถาม
ความคิดเห็น |
---|