9
อย่าใจร้อน
“เอาไว้ค่อยคุยรายละเอียดกัน” ดุลยวัตตัดบท
“คุยวันนี้เลยไม่ได้เหรอคะ ไหนๆ คุณ...เอ่อ เฮียก็มาแล้ว” ทำไมฉันต้องมาเรียกอีตาเดย์ว่าเฮียด้วยเนี่ย อะไรนะ เขาอายุมากกว่างั้นเหรอ โอเค งั้นเปลี่ยนเป็น ‘อีตาเฮียเดย์’ ก็ได้
“อย่าใจร้อน เชื่อผม” แพทย์หนุ่มบอกเสียงนุ่มนวล
ม่านมุกยู่ปากด้วยความขัดใจ นี่เธอคิดถูกหรือคิดผิดนะที่ให้เขาช่วยเป็นพ่อสื่อ
“อ๊ะ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเมื่อนึกบางอย่างได้ “ทำไมคุณแทนตัวเองว่าผมล่ะ เราซ้อมเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน” คนตัวโตตอบง่ายๆ ก่อนจะหรี่ตาลง “หรือว่า...อยากจะซ้อมต่อ”
ใบหน้าใสยับยุ่ง เขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนเธอตามไม่ทันแล้วนะ รู้สึกเหมือนกำลังโดนปั่นหัวยังไงก็ไม่รู้
“เอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ” ม่านมุกตอบทันที เพราะก็ไม่ได้อยากจะเรียกอีกฝ่ายว่าเฮียอยู่แล้ว
“ข้อเท้าเป็นไงบ้าง หายบวมหรือยัง” ชายหนุ่มถามถึงอาการบาดเจ็บของเธอขณะที่กินไปด้วย
เปลี่ยนเรื่องไวนักนะ อยากจะทุบสักทีสองทีให้หายหมั่นไส้จริงๆ แต่ก็ทำได้แค่คิด
“หายบวมแล้วค่ะ แต่ยังปวดอยู่นิดหน่อยเวลาลงน้ำหนัก” ม่านมุกทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง ทั้งพันผ้ายืดรอบข้อเท้าเอาไว้ ประคบเย็น และยกขาสูงกว่าระดับหัวใจเวลานอน
ดุลยวัตพยักหน้าเบาๆ “แสดงว่ามีแนวโน้มดีขึ้น ถ้าหายบวมแล้วก็ไม่ต้องพันอีแบนเดจแล้วก็ได้นะครับ แต่ประคบเย็นต่ออีกสักสองสามวันก็ดี”
“ค่ะ” เมื่อหมอแนะนำอย่างนั้น หญิงสาวก็จะทำตาม เพราะอยากหายไวๆ
“คุณไม่ควรใส่ส้นสูงถ้าไม่จำเป็นรู้ไหม เพราะนอกจากจะเสี่ยงกับอุบัติเหตุข้อเท้าพลิก ทำให้ปวดขา ปวดเท้า และปวดหลังแล้ว ในระยะยาวมันจะส่งผลให้กระดูกข้อเท้าผิดรูป กระดูกสันหลังเคลื่อน ไปจนถึงข้อเข่าเสื่อมได้เลย” เขารู้ว่ารองเท้าส้นสูงทำให้ผู้หญิงมั่นใจในตัวเองมากขึ้น แต่มันก็มีอันตรายมากเช่นกัน
“แต่สำหรับฉันมันจำเป็นมากๆ นี่นา” ด้วยความเป็นบิวตีบล็อกเกอร์ ม่านมุกจึงต้องใส่ใจกับลุคของตัวเองมากเป็นพิเศษ นอกจากเสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องเป๊ะแล้ว แอกเซสซอรีอื่นๆ ก็ต้องไม่พร่องเช่นกัน และด้วยความที่สูงเพียง 155 เซนติเมตร รองเท้าส้นสูงจึงเป็นไอเท็มที่ม่านมุกขาดไม่ได้ เธอจะไม่สวมมันก็เฉพาะเวลาอยู่ห้องหรือตอนออกกำลังกายเท่านั้น และรองเท้าส้นสูงแต่ละคู่ของเธอสูงไม่ต่ำกว่า 3 นิ้ว
“ถ้าจะใส่ก็ไม่ควรสูงเกิน 2 นิ้ว แล้วก็เลือกแบบส้นหนาๆ หน่อย หน้าไม่แคบเกินไป จะได้สบายเท้า” นี่ไม่ได้เป็นห่วงนะ แค่เตือนในฐานะหมอกระดูกที่เจอเคสบาดเจ็บจากการสวมรองเท้าส้นสูงมาเยอะก็เท่านั้น
“จะพยายามแล้วกันค่ะ” ม่านมุกขี้เกียจฟังคนแก่บ่นเลยรับปากไปอย่างนั้น เพราะอาชีพบิวตีบล็อกเกอร์ภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญ จะให้สวมส้นหนาเชยๆ ได้ยังไง ต้องส้นเข็มชิคๆ เท่านั้นค่ะ
“เป็นนางแบบเหรอ” ดุลยวัตถามขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
“คะ?” หญิงสาวที่กำลังก้มหน้ากินขนมจีนอยู่เงยหน้าขึ้นมองคนนั่งตรงข้าม
“คุณบอกว่ารองเท้าส้นสูงจำเป็นสำหรับคุณ ผมเลยเดาว่า...คุณคงเป็นนางแบบ”
“ไม่ใช่ค่ะ” ก็อยากเป็นอยู่หรอกนะ แต่ติดที่ส่วนสูงนี่ละ ถ้าเธอสูงกว่านี้สักสิบเซ็นต์ก็คงดี
“แล้ว?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วหนาขึ้น
“ฉันเป็นบิวตีบล็อกเกอร์”
“อ๋อออ ที่รีวิวเครื่องสำอางน่ะเหรอ”
“ค่ะ แต่ไม่ได้รีวิวเครื่องสำอางอย่างเดียวนะ”
“แล้วทำไรบ้าง”
“ก็มีสอนแต่งหน้า ทำผม อัปเดตเทรนด์เสื้อผ้า แล้วก็มีรีวิวร้านอาหาร ที่เที่ยว ไลฟ์สดคุยกับแฟนๆ โพรโมตสินค้าให้ลูกค้า หลายอย่างเลยค่ะ” ม่านมุกไล่เลียงสิ่งที่เธอทำ ซึ่งดุลยวัตก็ฟังอย่างตั้งใจ
“มีรีวิวร้านอาหารกับที่เที่ยวด้วย?”
“ใช่ ฉันอยากให้แฟนๆ เห็นไลฟ์สไตล์ในมุมอื่นๆ ด้วย”
แพทย์หนุ่มพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะจุดรอยยิ้มละมุนขึ้นที่มุมปากทั้งสองข้าง “ขอเป็นแฟนได้ปะ”
“ฮะ!” หญิงสาวเบิกตาโต เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ ขอเป็นแฟนงั้นเหรอ
“ผมอยากติดตามผลงานของคุณอ้ะ ติดตามได้ทางไหนบ้างครับ”
“อ๋อออ” ม่านมุกพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก แล้วทำไมเขาไม่พูดให้ชัดเจนแต่แรก ตกใจหมด “มีทั้งแฟนเพจ ไอจี แล้วก็ช่องยูทิวบ์เลย เซิร์ชว่า ‘I am Manmook’ ค่ะ” ยอดผู้ติดตามทางโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่สปอนเซอร์ใช้พิจารณาในการจ้างงานบิวตีบล็อกเกอร์ ม่านมุกจึงยินดีอย่างยิ่งที่เขาจะกดติดตามเธอ
ดุลยวัตวางช้อนส้อมลงชั่วคราว และเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา “สะกดให้หน่อยครับ”
“พิมพ์ I am แล้วก็ M-a-n-m-o-o-k ค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มกดเข้าเฟซบุ๊กเป็นอันดับแรก นิ้วแกร่งพิมพ์คำว่า ‘I am Manmook’ ลงไปในช่องค้นหาขณะที่สายตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ครู่ต่อมาเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นบอก “ผมติดตามคุณทั้งสามช่องทางแล้วนะ”
“ขอบคุณค่า ไม่คิดว่าคุณจะสนใจเรื่องความสวยความงามด้วย”
“ผมสนใจรีวิวร้านอาหารกับที่เที่ยวมากกว่า”
“แต่ฉันเน้นทำคอนเทนต์เกี่ยวกับความสวยความงามมากกว่านะคะ พวกรีวิวร้านอาหารกับที่เที่ยวนี่นานๆ ที”
“ไม่เป็นไรครับ”
ม่านมุกพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกินอาหารต่อ
...
ยี่สิบนาทีต่อมาทั้งสองก็จัดการกับขนมจีนแกงเขียวหวานไก่จนหมด ดุลยวัตเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางยกมือขึ้นมาลูบพุง
“อิ่มจัง” คนตัวโตยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวสองชั้นทอประกายสว่างไสว
“คุณจะกลับเลยหรือเปล่าคะ”
“อย่าเพิ่งรีบไล่สิ” อีกฝ่ายพ้อ
“ไม่ได้ไล่ แค่ถามเฉยๆ” จริงๆ ก็ไล่นั่นละ แต่เรื่องอะไรจะยอมรับ ก็คุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนี่ จะให้เขาอยู่ต่อทำไม ถ้าเป็นหมอปรินซ์ก็ว่าไปอย่าง คนนั้นให้อยู่ทั้งคืนเลยก็ได้ ม่านมุกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เดี๋ยวจะกลับแล้ว แต่ขอนั่งให้อาหารย่อยสักสิบนาทีนะ” เสียงทุ้มห้าวดึงให้หญิงสาวกลับมายังปัจจุบัน
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ขอเวลานานเกินไป ม่านมุกจึงตกลง “ก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณคร้าบ” หมอหนุ่มยิ้มแฉ่ง
ติ๊ง!
ติ๊ง!
เสียงเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ดังขึ้น ต่างคนต่างตวัดสายตาไปมองโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ก่อนจะพบว่าเสียงนั้นมาจากสมาร์ตโฟนของหญิงสาว
Pat : ขาเป็นไงบ้างไอ้มุก
Milk : ดีขึ้นยังแก
ม่านมุกเหลือบตาขึ้นมอง ‘ผู้ชายคนนั้น’ แล้วก็พบว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว
“ครับ?” ดุลยวัตเลิกคิ้วหนาขึ้นเชิงถาม
“ไม่มีอะไรค่ะ” หญิงสาวตอบแล้วเลื่อนสายตากลับลงมายังจอสมาร์ตโฟน
Manmook : มาแล้ว
Pat : แกแน่ใจเหรอว่าเขาลืมโทรศัพท์จริงๆ ไม่ได้อ่อย
Manmook : บ้า เขาลืมจริงๆ ไม่ได้อ่อยหรอก นี่เขาอาสาเป็นพ่อสื่อให้ฉันกับหมอปรินซ์ด้วยนะ
Pat : หือ จริงดิ
Manmook : จริงสิคะเพื่อน
Pat : นี่แสดงว่าแกเอาชนะใจเขาได้แล้วเหรอ เขาถึงจะช่วยแก
Milk : เออ ไหนว่าเขาหวงพี่ชาย ทำไมวันต่อมาอาสาเป็นพ่อสื่อเฉยเลย
Manmook : ไม่รู้สิ เขาคงเห็นว่าฉันเหมาะสมกับหมอปรินซ์มั้ง
ม่านมุกคุยไลน์กับเพื่อนๆ จนกระทั่งสิบนาทีผ่านไป หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นบอกดุลยวัต
“สิบนาทีแล้วค่ะ”
คนที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่เลื่อนสายตาขึ้นมามองเธอ “ถึงเวลากลับแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
แพทย์หนุ่มพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นและหยิบกล่องทัปเปอร์แวร์บนโต๊ะมาใส่ลงในถุงผ้า
ม่านมุกโล่งใจที่เขาไม่มีข้อต่อรองอีก หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยใช้ไม้เท้าช่วยพยุง จากนั้นเขาและเธอจึงเดินไปที่ลิฟต์พร้อมกัน
ม่านมุกใช้คีย์การ์ดสแกนที่จุดสแกน ก่อนกดชั้นสิบห้าสำหรับตัวเองและชั้นหนึ่งสำหรับดุลยวัต
“เราจะคุยรายละเอียดกันเมื่อไหร่คะ” บิวตีบล็อกเกอร์สาวถามระหว่างอยู่ในลิฟต์
“ผมว่างอีกทีเสาร์หน้าเลย”
“โห นานจัง” เธอทำหน้ามุ่ย
“ผมต้องทำงานนี่นา เอาน่า บอกแล้วไงว่าอย่าใจร้อน”
“แล้วถ้าหมอปรินซ์ไปชอบคนอื่นก่อนล่ะ” ม่านมุกมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียวแน่ๆ ที่คิดจะจีบเขา
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมคอยกันซีนให้” ดุลยวัตให้ความมั่นใจ
“คุณไม่ได้อยู่กับหมอปรินซ์ตลอดเวลาสักหน่อย”
“เชื่อใจผมเถอะน่า”
“ถ้าหมอปรินซ์ไปชอบคนอื่นก่อนฉัน คุณต้องรับผิดชอบด้วย!” หญิงสาวมองพ่อสื่ออย่างคาดโทษ
“ได้ครับ ผมรับผิดชอบเอง” เขารับปากหนักแน่น
ติ๊ง!
เสียงสัญญาณดังขึ้นเมื่อลิฟต์ลงมาถึงชั้นสิบห้า ม่านมุกรับถุงผ้าที่ดุลยวัตส่งให้มาสะพาย รอให้ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก แล้วจึงก้าวออกไปข้างนอก
“ฉันส่งแค่นี้นะคะ” เธอหันกลับไปบอกเขา
“ครับ เจอกันเสาร์หน้า” ดุลยวัตโบกมือลา
เมื่อหญิงสาวเดินจากไปแล้ว หมอหนุ่มก็จุดยิ้มพึงพอใจขึ้นบนใบหน้า “ใช้ได้” เจ้าของเสียงทุ้มห้าวเอ่ยกับตัวเอง
เย็นวันนั้นป้าพิไลพรที่รู้ข่าวจากเจตนิพัทธ์ว่าม่านมุกขาพลิกก็โทร. มาหาหญิงสาว
“เจบอกว่ามุกขาพลิกเหรอลูก” น้ำเสียงของผู้เป็นป้าเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ค่ะ เมื่อวานหนูไปกินข้าวกับแพทกับมิลค์ ขากลับจากห้องน้ำรีบเดินไปหน่อยเลยขาพลิกน่ะค่ะ แต่ป้าไลไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่เป็นไรมากค่ะ”
“ป้าไปดูแลเราได้นะ”
สาวร่างเล็กยิ้มอย่างซาบซึ้งในความห่วงใยที่ป้ามีต่อเธอ
“ขอบคุณมากนะคะ ป้าไลน่ารักที่สุดเลย แต่หนูไม่เป็นไรมากจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวหายดีแล้วหนูค่อยไปหาป้าไลที่บ้านดีกว่า” ทองหล่อกับสะพานควายอยู่ไกลกันพอสมควร ม่านมุกไม่อยากให้ท่านลำบากเดินทาง เพราะป้าอายุห้าสิบกว่าแล้ว คนอายุมากเวลาเดินทางมักจะเหนื่อยง่ายกว่าคนหนุ่มสาว
“แล้วเราไปซื้ออาหารยังไง เดินไกลๆ ได้เหรอ”
“ช่วงนี้หนูสั่งออนไลน์แล้วลงไปรับที่ล็อบบีเอาค่ะ”
หญิงสาวคุยกับท่านอีกพักหนึ่งจึงวางสาย จากนั้นก็กดสั่งอาหารเย็นจากแอปพลิเคชันสั่งอาหารออนไลน์
ระหว่างนั่งรออาหาร บทสนทนากับดุลยวัตเมื่อช่วงกลางวันก็ลอยเข้ามาในความคิด
...
‘โอเค ถ้างั้นผมจะช่วยคุณเอง’
‘ช่วย?’
‘ใช่’
‘ช่วยยังไงคะ’
‘ก็เป็นพ่อสื่อให้ไง เดี๋ยวผมพาคุณไปแนะนำให้เฮียปรินซ์รู้จัก’
...
เขาจะช่วยเราจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าหลอกเรานะ
ความคิดเห็น |
---|