10

พี่มุก

10

พี่มุก


เวลาสองทุ่มของวันอาทิตย์ สามพี่น้องภัทรไพศาลสกุลอยู่พร้อมหน้ากันในห้องหนังสือทางด้านปีกขวาของบ้านหลังใหญ่ เดิมห้องนี้เป็นห้องเด็กเล่นของพวกเขา แต่เมื่อคีตภัทร ปริญญ์ และดุลยวัตโตขึ้น ป๊ากับม้าจึงปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องหนังสือแทน เพื่อให้ลูกๆ เข้ามานั่งอ่านหนังสือและทำงาน แต่เอาเข้าจริงทั้งสามก็ไม่ได้ใช้ห้องนี้เพื่ออ่านหนังสือและทำงานเท่านั้น

    พี่สาวคนโตเปิดแมคบุ๊กดูซีรีส์เกาหลีอยู่ที่โต๊ะใกล้กับชั้นหนังสือ น้องชายคนรองกำลังนั่งอ่านตำราทางการแพทย์อยู่ที่โต๊ะติดหน้าต่าง ส่วนน้องชายคนเล็กนอนดูไลฟ์สดอยู่บนโซฟายาวตรงกลางห้อง คีตภัทรและดุลยวัตต่างใส่หูฟังเพื่อไม่ให้เสียงดังรบกวนปริญญ์

    คนที่รู้จักดุลยวัตมานานจะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนติดโซเชียล แต่เหตุผลที่ทำให้เขามานอนดูไลฟ์สดอยู่ตอนนี้เป็นเพราะ...

    “ทุกคนดูคลิปรีวิวรองพื้นของพาเลตต์ 28 ที่มุกอัปไปเมื่อวานยังคะ ถ้าชอบ ฝากกดไลก์กดแชร์ให้มุกด้วยน้า” ม่านมุกถามแฟนๆ ที่ดูไลฟ์สดของเธออยู่กว่าสองพันคน

    ดูแล้วค่ะพี่มุก ชอบมากกกก พี่มุกสวยเว่อร์อ้ะ

    “ขอบคุณค่า ลอยแล้วเนี่ย”

    ดูแล้วววว รอคลิปใหม่ค่า

    “คลิปใหม่มาวันอังคารจ้า” ปกติแล้วเธอจะลงคลิปใหม่ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์

    อยากให้พี่มุกรีวิวมาสคาราหน่อยค่าาา

    “มุกมีแพลนจะทำรีวิวมาสคาราอยู่เหมือนกันค่ะ อาจจะเป็นปลายๆ เดือน รอติดตามนะคะ”

    พี่มุกใช้กล้องอะไรถ่ายคลิปคะ ภาพชัดมากกก

    “Canon XXX ค่า”

    แล้วพี่มุกตัดต่อคลิปเองด้วยไหมคะ

    “ใช่ค่า ใช้ Final Cut ค่ะ”

    หญิงสาวอ่านข้อความที่แฟนๆ ส่งเข้ามาและตอบไปเรื่อยๆ 

    ดุลยวัตระบายยิ้มบางเบาบนใบหน้า ขณะที่ดวงตาเรียวสองชั้นจับจ้องอยู่ที่หน้าจอสมาร์ตโฟน แล้วจู่ๆ หมอหนุ่มก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ริมฝีปากหยักลึกกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนที่นิ้วแกร่งจะพิมพ์ข้อความส่งเข้าไปในไลฟ์สด

    น้องเดย์เอฟซีพี่มุกครับ ^^

    ม่านมุกชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นข้อความของเขา แต่บิวตีบล็อกเกอร์สาวก็ไม่ปล่อยให้เกิดเดดแอร์นาน “ขอบคุณที่ติดตามผลงานนะคะน้องเดย์”

    ครับผม พี่มุกกินข้าวยังครับ

    หมอหนุ่มพิมพ์ข้อความไปอีก และรอให้เธอตอบ

    “ยังเลยค่า เดี๋ยวไลฟ์เสร็จไปกิน”

    เมื่อหญิงสาวตอบกลับมา ดุลยวัตก็พิมพ์ต่อ

    กินเผื่อผมด้วยนะครับ ^^

    คราวนี้บิวตีบล็อกเกอร์สาวมองข้ามข้อความของเขา ไปตอบข้อความของคนถัดไป ไม่บอกก็รู้ว่าเธอตั้งใจ

    “กรี๊ดดด!” เสียงกรีดร้องของคีตภัทรทำให้น้องชายทั้งสองหันไปมองแทบจะพร้อมกัน

    “เป็นไรเจ้” ดุลยวัตเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง

    “ก็ซีรีส์อ้ะดิ จบตอนกำลังลุ้นพอดีเลย” พี่สาวคนโตทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอด้วยความขัดใจ

    น้องชายคนเล็กทำหน้าเพลีย “โห่ ก็นึกว่าอะไร ร้องซะตกใจ”

    “นี่ฉันต้องรออีกหนึ่งอาทิตย์เลยเหรอเนี่ยยยย ตัดจบแบบนี้เอามีดมาแทงฉันเลยดีกว่า”

    “อย่าอินเกินเจ้ อย่าอินเกิน” ดุลยวัตล้อเลียนพี่สาว

    “มันลุ้นจริงๆ นะ ตัดจบตอนพระเอกโดนยิง แล้วยังไม่รู้เลยว่าจะตายหรือเปล่า”

    “พระเอกมันไม่ตายหรอกน่า” 

    “รู้ได้ไง”

    “อ้าว ก็มันเป็นพระเอกนี่ พระเอกจะตายได้ไง”

    “นี่มันซีรีส์เกาหลี อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าอีพีต่อไปพระเอกตายนะ ฉันจะเอาระเบิดไปปาบ้านผู้กำกับ!” คีตภัทรพูดพลางเข่นเขี้ยว

“อ้าว แบบนี้เจ้จะไม่โดนจับเข้าคุกเหรอ” ดุลยวัตทำหน้าตื่น แต่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ

“ก็ไม่ได้จะทำจริงๆ ปะ”

“ใครจะไปรู้ ท่าทางเจ้จริงจังมาก”

    “ฮึ่ย ไม่คุยด้วยแล้ว” คีตภัทรสะบัดหน้าใส่น้องชายคนเล็ก และหันไปค้อนน้องชายคนกลางที่นั่งหัวเราะอยู่ “ขำอะไรปรินซ์”

    “ขำเจ้กับตี๋น้อยนั่นแหละ กวนกันตลอด” ปริญญ์ว่าทั้งที่หัวเราะอยู่

    “เชอะ!” ผู้เป็นพี่สาวค้อนอีกรอบ เธอไม่ได้กวนสักหน่อย มีแต่ไอ้ตี๋น้อยนั่นละที่กวนเธอ

    ...

    สิบนาทีต่อมา ปริญญ์ก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ ในห้องหนังสือจึงเหลือเพียงคีตภัทรและดุลยวัตสองคน

    “เจ้ๆ” เอ่ยเรียกพี่สาวเสียงทุ้มห้าว

    “อะไร” คนที่กำลังอ่านแท็กซีรีส์ที่เพิ่งจบไปในทวิตเตอร์อยู่ถามโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอแมคบุ๊ก

    “ถามอะไรหน่อย”

    “อือฮึ”

    “เจ้ว่า...คนเรามักจะตกหลุมรักคนไทป์เดิมๆ ไหม”

    “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามขึ้นมา” คีตภัทรหันไปมองคนถาม คิ้วเรียวผูกเข้าหากันด้วยความสงสัยอย่างแรง


ผ่านมาสามวันแล้วหลังจากคุยกับพี่สาวเรื่องการตกหลุมรักคนไทป์เดิมๆ 

วันนี้ตารางการทำงานของศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์อย่างดุลยวัตแน่นเหมือนทุกวัน เริ่มต้นด้วยการราวนด์วอร์ดตรวจเยี่ยมผู้ป่วยที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่

ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย ปกติการราวนด์จะแบ่งเป็นทีม แต่ละทีมมีทั้งนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกปี 4, 5 

เอ็กซ์เทิร์นหรือนักศึกษาแพทย์ปี 6 

อินเทิร์นที่ภาษาไทยเรียกว่าแพทย์ใช้ทุนหรือแพทย์เพิ่มพูนทักษะ 

เรสซิเดนต์ปี 1, 2, 3 หรือแพทย์ประจำบ้าน ซึ่งเป็นแพทย์ที่กำลังศึกษาต่อเพื่อเป็นแพทย์เฉพาะทางในสาขาต่างๆ 

และสตาฟฟ์ ซึ่งก็คือแพทย์ที่เรียนจบเฉพาะทางแล้ว และมาเป็นอาจารย์สอนเรสซิเดนต์ อินเทิร์น เอ็กซ์เทิร์น และนักศึกษาแพทย์

    แม้ดุลยวัตจะเป็นยังสตาฟฟ์ แต่ทุกคนก็เรียกเขาว่า ‘อาจารย์เดย์’ เนื่องจากชายหนุ่มได้รับมอบหมายให้สอนแพทย์และนักศึกษาแพทย์ โดยมีอาจารย์แพทย์อาวุโสคอยให้คำปรึกษาอีกทีเมื่อเจอเคสยาก วันไหนที่ท่านมาราวนด์ด้วย เหล่านักศึกษาแพทย์จะเกร็งเป็นพิเศษ เพราะอาจารย์จะสอบถามเคสที่แต่ละคนรับผิดชอบอย่างละเอียด ถ้าใครตอบไม่ได้และอึกๆ อักๆ ก็จะโดน ‘กินหัว’ ไปตามระเบียบ ดุลยวัตที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์นี้มาแล้วได้แต่ยิ้มให้กำลังใจน้องๆ 

    “อาจารย์เดย์เคยโดนอาจารย์เผ่าพันธุ์กินหัวไหมคะ” เอ็กซ์เทิร์นคนหนึ่งถามเขาหลังจากราวนด์ผู้ป่วยเสร็จ

    “จะเหลือเหรอ นี่โดนด่าให้ไปเรียนปีหนึ่งใหม่เลย เพราะซักประวัติคนไข้ไม่ครบ” หมอหนุ่มเอ่ยเคล้าหัวเราะ

    “หืม ขนาดเก่งๆ อย่างอาจารย์ยังโดนเลย งั้นพวกผมก็ไม่แปลกแล้วละ” แพทย์อินเทิร์นอีกคนว่า

    “แต่ที่อาจารย์ดุก็เพราะพวกเรายังทำได้ไม่ดีพอ การเป็นหมอต้องรับผิดชอบชีวิตคนไข้ ถ้าพลาดแค่นิดเดียว มันอาจจะหมายถึงชีวิตของเขาได้เลย เพราะงั้นต้องตั้งใจมากกว่านี้ โอเคไหม”

    “ครับอาจารย์”/“ค่ะอาจารย์”

    “ดีมาก เดี๋ยวรอบเย็นเจอกันอีกที”

    “ครับ”/“ค่า” เหล่าลูกศิษย์รับคำแข็งขัน ก่อนจะแยกย้ายกัน

ช่วงสายดุลยวัตเข้าเคสผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมกับอาจารย์และหมอรุ่นพี่อีกคน จากนั้นก็มาตรวจผู้ป่วยนอกต่อหลังพักเที่ยง 

“สวัสดีครับ เชิญนั่งเลยครับ” เขาทักทายคนไข้หญิงวัยกลางคนพร้อมยิ้มกว้าง และผายมือไปยังเก้าอี้

ฝ่ายคนไข้ที่กำลังเดินกะเผลกเข้ามาในห้องตรวจ เมื่อเห็นว่าหมอที่จะตรวจอาการของเธอหล่อมากก็ถึงกับอึ้งไปสิบวินาที กว่าจะเรียกสติกลับมาได้

“เอ่อ สวัสดีค่ะ” 

เมื่ออีกฝ่ายเดินมานั่งที่เก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ดุลยวัตก็เริ่มสอบถามอาการ 

“คนไข้...” ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจบ หญิงวัยกลางคนก็แทรกขึ้นมา

“เรียกพี่ก็ได้ค่ะ” เธอยิ้มหวาน และมองแพทย์หนุ่มด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ

ดุลยวัตยิ้มตอบ และเปลี่ยนสรรพนามตามที่คนไข้ต้องการ “คุณพี่เป็นอะไรมาครับ”

“พี่ปวดข้อเท้ามาหลายวันแล้วอ้ะค่ะ น้องหมอช่วยตรวจให้หน่อยสิคะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงออดอ้อน

“ปวดมากี่วันแล้วครับ”

“อาทิตย์นึงแล้วค่ะ”

“แล้วก่อนหน้านี้ได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างครับ”

หมอหนุ่มซักประวัติคนไข้และจดข้อมูลลงในชาร์ต เสร็จแล้วจึงผายมือไปที่เตียงตรวจ 

“เดี๋ยวเชิญคุณพี่ที่เตียงเลยครับ” เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวน์สั้นและกางเกงสแล็กสีดำพูดพร้อมลุกขึ้นยืน

หญิงวัยกลางคนยกมือขึ้นมาปิดปาก ทำตาโต “อุ๊ย เจอกันแป๊บเดียว ขึ้นเตียงเลยเหรอคะน้องหมอ” ว่าพลางส่งสายตาแอ๊วหมอ

การถูกคนไข้จีบเป็นเรื่องปกติสำหรับดุลยวัตไปเสียแล้ว หมอหนุ่มจึงไม่รู้สึกเขินนัก

“ครับ ผมจะตรวจร่างกายให้” เขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล ก่อนจะเดินไปรอที่เตียงตรวจ เพื่อจะได้วินิจฉัยและสรุปอาการของคนไข้ต่อไป

แพทย์หนุ่มพบว่าหญิงวัยกลางคนมีอาการเอ็นร้อยหวายอักเสบจากการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ นั่นทำให้เขาอดนึกถึง ‘ใครบางคน’ ไม่ได้

    รายนั้นก็เพิ่งบาดเจ็บจากการสวมรองเท้าส้นสูงเหมือนกัน และทั้งที่เขาเตือนแล้วว่ามันอาจส่งผลต่อสุขภาพในอนาคต เธอก็ยังยืนยันว่าจำเป็นต้องสวม

    ขนาดหมอเตือนแท้ๆ ยังไม่เชื่อกันเลย

    “เด็กดื้อ” ดุลยวัตส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

    “น้องหมอว่าไงนะคะ”

    “เอ่อ...” น้องหมอทำหน้าเลิ่กลั่ก เผลอพูดความคิดออกมาได้ไงวะเนี่ย “เปล่าครับ” 


“ราวนด์เสร็จแกไปไหนต่ออ้ะ” อวัศยาหันไปถามเพื่อนสนิทระหว่างเดินไปวอร์ดอายุรกรรมด้วยกัน

    วันนี้เธอและเพื่อนไม่มีเวร หลังราวนด์วอร์ดเย็นเสร็จจึงไม่ต้องอยู่ต่อ ถ้าเขาไม่ได้มีแพลนจะไปไหน เธอก็อยากจะชวนอีกฝ่ายไปกินข้าวด้วยกัน

    “ไม่ได้ไปไหน” ปริญญ์หันไปตอบสาวร่างเล็กที่อยู่ในชุดเสื้อกาวน์สั้นและกระโปรงทรงสอบสีดำ

    ดวงตาคู่สวยเป็นประกายสว่างไสวขึ้น “งั้นไปหาไรกินกันปะ”

    “เอาดิ” เจ้าของร่างสูงพยักหน้าเบาๆ 

“อยากกินอะไร”

    “แกเลือกเลย ฉันกินอะไรก็ได้” ใบหน้าคมคายแต้มยิ้มบางๆ 

ยิ้ม...ที่ทำให้หัวใจของอวัศยาหวั่นไหวทุกครั้งที่เห็น แต่หญิงสาวก็บอกตัวเองเสมอว่าอย่า ‘ล้ำเส้น’ ความเป็นเพื่อนไป เพราะถ้าปริญญ์รู้ความในใจ ความเป็นเพื่อนของเธอกับเขาอาจไม่เหมือนเดิมก็ได้

เป็นเพื่อนกันอย่างนี้ ได้อยู่ข้างๆ กันอย่างนี้มันก็ดีอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย

    แพทย์สาวดึงตัวเองกลับมายังปัจจุบัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกคนตัวสูง “อยากกินอาหารญี่ปุ่น”  รอยยิ้มสดใสพราวอยู่ทั่วใบหน้าน่ารัก

    “โอเค” เจ้าของเสียงทุ้มตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาคิด

ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันตอน ม. 1 จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังเป็นปรินซ์ที่แสนดีเสมอ

“ขอบใจนะ” หัวใจของอวัศยาพองโตขึ้นคับอก

“ขอบใจอะไร” หมอหนุ่มเลิกคิ้วหนาขึ้นอย่างแปลกใจที่จู่ๆ เพื่อนก็ขอบใจ ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย

“ขอบใจที่แกตามใจฉันไง”

ปริญญ์หัวเราะเบาๆ “แกโอเคปะเนี่ย แค่นี้ก็ต้องขอบใจด้วย”

“ก็อยากขอบใจ ไม่ได้เหรอ” หญิงสาวทำหน้ากวน

“งั้นเลี้ยงข้าวดิ” คนหน้านิ่งบอกด้วยเสียงเรียบๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา

“ร้ายยย” 

“ล้อเล่น” ดวงตาสองชั้นหลบในเปล่งประกายวิบวับ

จากที่เป็นเพื่อนกันมาสิบเก้าปี อวัศยาบอกได้เลยว่าถึงเขาจะเป็นปรินซ์ที่แสนดี แต่บทจะเจ้าเล่ห์ขึ้นมาก็ไม่เบาเหมือนกัน

“เออ แกไปงานแต่งพี่เติมปะ” อวัศยาเอ่ยถึงติยะ หมอรุ่นพี่ที่เคยทำงานที่นี่ แต่ตอนนี้ย้ายไปประจำอยู่ที่โรงพยาบาลที่หัวหิน ฝ่ายนั้นจะแต่งงานกับแฟนสาวในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เมื่อเช้านี้เขาโทร. มาชวนเธอให้ไปร่วมงานแต่งงานด้วย อวัศยามั่นใจว่าปริญญ์ก็น่าจะได้รับเชิญเหมือนกัน 

“ไป แกล่ะ”

“ไม่พลาดอยู่แล้ว จะไปรับช่อดอกไม้” แพทย์สาวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง 

“จะได้แต่งบ้าง?” ปริญญ์เอ่ยเย้า

“อือ แต่ยังหาเจ้าบ่าวไม่ได้เลย” 

“ให้ช่วยหาปะ” อีกฝ่ายเสนอตัว

เธอควรจะดีใจที่เพื่อนอาสาช่วย แต่ทำไมหัวใจมันถึงเจ็บแปล๊บๆ อย่างนี้นะ

“รู้เหรอว่าฉันชอบผู้ชายแบบไหน” 

เจ้าของร่างสูงทำหน้าครุ่นคิด “ไม่รู้อะ แต่ที่แน่ๆ แกคงไม่ชอบแบบฉัน”

อวัศยาหัวเราะขื่นๆ แกนี่ไม่รู้อะไรเลยเนอะ 

“ใช่ไหม”

“เออดิ” เธอรู้ดีว่าตัวเองโกหก เพราะเธอชอบเขา ชอบมานานแล้ว และไม่รู้เหมือนกันว่าจะหยุดชอบได้เมื่อไร

“ขอให้แกเจอคนที่ชอบไวๆ แล้วกัน” ปริญญ์อวยพร

คำอวยพรของชายหนุ่มทำให้คนฟังหน่วงหนึบในอกอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบใจมากแก” อวัศยาก้มหน้าและยิ้มด้วยความเศร้าปนสุข

ฉันเจอคนคนนั้นตั้งนานแล้วปรินซ์ แต่ฉันไม่ต้องการให้เขามารักตอบหรอกนะ แค่ได้อยู่ข้างๆ เขาเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉันก็พอใจแล้วละ


หลังจากตรวจผู้ป่วยที่เหลือจนหมดแล้ว ดุลยวัตก็มาราวนด์วอร์ดรอบเย็นกับลูกศิษย์กลุ่มเดิมต่อ

“หมอ ลุงถามไรหน่อย” คนไข้ชายวัยกลางคนที่หมอหนุ่มรับผิดชอบเคสอยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขังระหว่างที่เขาพาลูกศิษย์ราวนด์ตามเตียง 

หมอและนักเรียนหมอสิบชีวิตที่ยืนอยู่รอบๆ เตียงผู้ป่วยต่างหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“ครับคุณลุง” ดุลยวัตที่อาวุโสสุดในกลุ่มขานรับ

“หมอมีแฟนยัง”

“เอ่อ หมอคนไหนครับ” ชายหนุ่มถามต่อ เพราะตรงนี้ไม่ได้มีหมอแค่คนเดียว

“หมอนั่นแหละ” คุณลุงมองมาที่เขา

“คุณลุง...ถามทำไมเหรอครับ” คิ้วหนาที่พาดอยู่เหนือดวงตาเรียวสองชั้นมุ่นเข้าหากัน

“ก็ถ้าหมอยังไม่มีแฟน ลุงจะพาลูกสาวมาแนะนำให้รู้จัก หมอเป็นคนดี เอาการเอางาน ลุงอยากได้ลูกเขยแบบนี้” 

เหล่านักศึกษาแพทย์ เอ็กซ์เทิร์น อินเทิร์น และเรสซิเดนต์ต่างยืนกลั้นขำ และรอดูว่า ‘อาจารย์เดย์’ ของพวกเขาจะทำยังไงต่อ

“ว่าไงหมอ ลูกสาวลุงสวยนะ” ชายวัยกลางคนว่า

“จริงเหรอครับ” ดุลยวัตถามอย่างตื่นเต้น ก่อนที่วินาทีต่อมาจะถอนหายใจเหยียดยาว “แต่เสียดายจัง ผมเพิ่งมีแฟนอาทิตย์ที่แล้วนี่เองครับ ถ้าลุงถามเร็วกว่านี้อีกนิด ผมตกลงเป็นลูกเขยลุงไปแล้ว”

    “หือ? อาจารย์เดย์มีแฟนแล้วเหรอ” เรสซิเดนต์สาวคนหนึ่งหันไปสะกิดเพื่อนและกระซิบถาม

    “ฉันก็เพิ่งรู้พร้อมแกนี่แหละ”

    “ทุกคน ถ้ามีคำถามอะไรค่อยถามหลังราวนด์เสร็จนะครับ” แพทย์หนุ่มหันไปบอกลูกศิษย์เสียงขรึม

    “ค่ะอาจารย์”/“ครับอาจารย์”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น