3

อย่ามาจีบนะ

3

อย่ามาจีบนะ


หลังกินอาหารเสร็จ สามสาวแก๊งสายแซ่บก็ร้องคาราโอเกะกันต่อ แต่เปลี่ยนจากเพลงมันๆ เป็นเพลงจังหวะปานกลางที่เหมาะสำหรับนั่งร้องและโยกไปมาเบาๆ บนโซฟา เพราะถ้าลุกขึ้นมาเต้นสุดเหวี่ยงตอนนี้ อาหารต้องออกมาทางเดิมแน่

    “พวกแก ฉันไปห้องน้ำแป๊บนะ” ม่านมุกที่ไม่ได้ไปห้องน้ำกับเพื่อนๆ เริ่มปวดฉี่ขึ้นมาบ้างแล้ว

    “ให้ไปเป็นเพื่อนปะ” พัชนีเสนอตัว

    “เออ เดี๋ยวแกไปฉุดผู้ชาย” มทิราแซวพลางยิ้มขัน

    “บ้า” สาวร่างเล็กค้อนขวับ “ฉันออกจะเรียบร้อย ใสๆ บอบบาง จะเอาแรงที่ไหนไปฉุดผู้ชายยะ พวกแกร้องเพลงต่อเถอะ ฉันไปคนเดียวได้”  

    เมื่อม่านมุกว่าอย่างนั้น พัชนีและมทิราก็ยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์โอเค

    ...

ห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของร้านลาบจ่าโฮมไม่ได้เปลี่ยวหรือน่ากลัว เพราะมีหลอดไฟส่องสว่างติดอยู่ทั่วบริเวณ และมีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ม่านมุกเลยไม่กลัวที่จะมาคนเดียว

หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปล้างมือที่อ่างล้างมือ และส่องกระจกเช็กความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก 

วินาทีที่ก้าวออกมาจากประตูห้องน้ำนั้นเอง ดวงตากลมโตของบิวตีบล็อกเกอร์สาวก็ประสานเข้ากับดวงตาของหนุ่มร่างสูงที่เดินออกมาจากประตูห้องน้ำชายฝั่งตรงข้ามในจังหวะเดียวกันพอดี 

‘เอ๊ะ นั่นมัน...ผู้ชายที่หน้าคล้ายหมอปรินซ์นี่!’

    “อ้าว คุณ” เจ้าของเสียงทุ้มห้าวเอ่ยขึ้นพร้อมส่งยิ้มบางๆ มาให้เธอ

    ม่านมุกหมุนตัวไปมองด้านหลัง เพราะไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับเธอหรือเปล่า แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ข้างหลังเธอ

    “คุณนั่นแหละ”

‘อย่านะ อย่ามาจีบฉันนะ ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว หล่อมากด้วย’ สาวร่างเล็กภาวนาในใจ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปถามเขา 

“มีอะไรคะ” ม่านมุกมองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง

“ขอโทษอีกทีนะครับที่ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องของคุณกับเพื่อนๆ”

“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ได้ตั้งใจนี่ ขอก่อนตัวนะคะ” เธอตัดบทเพราะไม่ต้องการคุยต่อ รู้สึกไม่ชอบหน้าอีตานี่ยังไงบอกไม่ถูก 

ขาเรียวยาวก้าวฉับๆ ออกมาจากจุดนั้น แต่ด้วยความที่รีบร้อนเกินไปทำให้เท้าข้างขวาที่อยู่บนรองเท้าส้นสูงเกิดพลิกขึ้นมาอย่างกะทันหัน 

“ว้าย!” 

เสียงหวีดร้องอย่างตกใจดังขึ้น ร่างเล็กเสียหลักล้มลงไปบนพื้นที่ปูด้วยอิฐตัวหนอน แน่นอนว่าม่านมุกเจ็บมาก

“โอ๊ย” บิวตีบล็อกเกอร์สาวโอดครวญพลางทำหน้าเหยเก

ดุลยวัตเห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปหาเธอ

“ผมช่วย” เขาย่อตัวนั่งลงเพื่อจะช่วยประคองร่างบางให้ลุกขึ้นยืน

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยืนเองได้” ม่านมุกพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน จังหวะนั้นก็รู้สึกเจ็บร้าวที่ข้อเท้าด้านขวาอย่างแรง “โอ๊ย”

“บอกแล้วว่าให้ผมช่วย เดี๋ยวก็เจ็บกว่าเดิมหรอก” 

ม่านมุกทำปากยู่เมื่อโดนผู้ชายที่เธอไม่รู้จักดุ แต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ เพราะลืมเอาโทรศัพท์มือถือมาด้วย ดังนั้นจะโทร. ให้พัชนีกับมทิรามาช่วยก็ไม่ได้

“ว่าไง จะให้ผมช่วยไหม ถ้าไม่ ผมจะได้ไป” ดุลยวัตพูดแล้วก็ทำท่าจะเดินหนี

“ช่วย ช่วยค่ะ”

เมื่อได้ยินเสียงใสละล่ำละลักบอก รอยยิ้มบางๆ ก็จุดขึ้นบนมุมปากทั้งสองข้างของแพทย์หนุ่ม เขาหันกลับไปหาคนที่ยังนั่งอยู่บนพื้น ก่อนจะเข้าไปช่วยประคองพาเธอไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ และถอดรองเท้าส้นสูงทั้งสองข้างออกให้ 

“ขอบคุณค่ะ” ไออุ่นจากร่างหนาทำให้ม่านมุกรู้สึกประหม่านิดๆ แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาเวลาผู้หญิงกับผู้ชายใกล้ชิดกันไม่ใช่เหรอ

“เจ็บจนลงน้ำหนักมากไม่ได้แบบนี้น่าจะข้อเท้าแพลงระดับสอง” ดุลยวัตนั่งยองๆ ดูข้อเท้าของเธอพลางวิเคราะห์อาการ

“ปกติมันมีกี่ระดับคะ ระดับสองนี่รุนแรงมากหรือเปล่า”

“ปกติมีสามระดับครับ ระดับหนึ่งจะเจ็บนิดหน่อย แต่ไม่บวม เวลาเดินจะลงน้ำหนักได้ปกติ หายได้ภายในสองวีก ส่วนระดับสองเวลาเดินลงน้ำหนักจะเจ็บมาก เพราะหลอดเลือดบางส่วนฉีกขาด จะมีอาการบวม แล้วก็ช้ำด้วย เนี่ย ข้อเท้าคุณเริ่มบวมขึ้นมาแล้วเห็นไหม” 

ม่านมุกมองข้อเท้าของตัวเองที่เริ่มบวมแดงอย่างที่เขาว่า

“แต่ผมว่าคงไม่รุนแรงถึงระดับสามหรอก เพราะนั่นคือเส้นเอ็นขาดออกจากกันจนลงน้ำหนักแล้วก็เคลื่อนไหวไม่ได้เลย” แพทย์หนุ่มอธิบายเสร็จก็ลุกขึ้น “นั่งรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวผมจะไปเอาน้ำแข็งมาประคบให้ ห้ามหนีล่ะ” เขากำชับก่อนจะเดินออกไป

“เดินก็เดินไม่ไหว จะหนีได้ไง บ้าปะ” ม่านมุกบ่นพึมพำตามหลังอีกฝ่ายไป

ชายหนุ่มไปไม่นานก็กลับมาพร้อมถังน้ำแข็ง ผ้าขนหนูผืนเล็ก และผ้ายืดสีน้ำตาล เขาใช้ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงและประคบข้อเท้าให้เธออย่างนุ่มนวล 

“รู้สึกดีขึ้นไหม” คนตัวโตเงยหน้าขึ้นถามหลังจากผ่านไปประมาณห้านาที

ม่านมุกที่กำลังแอบมองปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายอยู่รีบปรับสีหน้าแทบไม่ทัน “เอ่อ...ค่ะ” เธอพยักหน้าเบาๆ ก่อนถาม “แล้ว...ต้องประคบอีกนานแค่ไหนคะ”

ดุลยวัตพลิกข้อมือดูนาฬิกา

“สักประมาณสิบนาทีแล้วกัน เดี๋ยวผมจะพันอีแบนเดจไว้ไม่ให้มันบวมมากขึ้น แล้วคุณค่อยไปประคบเย็นต่อที่บ้าน พยายามประคบให้ต่อเนื่องในช่วงยี่สิบสี่ชั่วโมงแรกนะ ครั้งละสิบห้าถึงยี่สิบนาทีทุกสองหรือสามชั่วโมงแล้วแต่สะดวก มันจะช่วยลดบวมและลดปวดได้มาก หลังประคบแล้วใช้อีแบนเดจพันไว้ แล้วก็พยายามพักเท้าให้มากที่สุด อย่าเคลื่อนไหวถ้าไม่จำเป็น”

“ค่ะ”

“อ้อ ห้ามประคบร้อนหรือใช้ยานวดเด็ดขาดนะ เพราะความร้อนจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว มันจะทำให้เลือดคุณยิ่งออกมากขึ้นและบวมกว่าเดิม แล้วเวลานอนก็ยกเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจด้วยนะครับ ใช้หมอนรองไว้ก็ได้ เลือดจะได้ไหลลงได้สะดวก ช่วยลดอาการบวมได้” ดุลยวัตบอกวิธีปฏิบัติตัวสำหรับคนที่เกิดอุบัติเหตุข้อเท้าพลิกอย่างครบถ้วน

พูดคล่องเว่อร์ นึกว่าหมอมาเอง แต่คงไม่ใช่หมอหรอก อีตานี่น่าจะเคยอบรมคอร์สปฐมพยาบาลเบื้องต้นมามากกว่า 

“แล้วกว่าฉันจะหายดีเดินได้ปกตินี่นานไหมอ้ะคะ” ไหนๆ ก็ไหนๆ ให้เขาได้ใช้ความรู้ที่อบรมมาหน่อยเนอะ

“อาการปวดและบวมจะลดลงภายในสองสามวัน แต่กว่าจะดีขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ประมาณสามถึงสี่วีกครับ”

“โห หมายความว่าฉันต้องนอนอยู่ห้องเฉยๆ เป็นเดือนเลยเหรอ” ม่านมุกทำหน้าเซ็ง แบบนี้เธอก็ไม่ได้ไปสืบเรื่องหมอปรินซ์ที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้น่ะสิ

“ก็ไม่ขนาดนั้น ถ้าจำเป็นต้องเดินก็ใช้ไม้เท้าช่วยพยุงก็ได้ครับ แต่ระวังอย่าเผลอลงน้ำหนักข้างที่เจ็บล่ะ”

“ค่อยยังชั่ว นึกว่าห้ามเดินเลย” หญิงสาวสบายใจขึ้นเมื่อได้คำตอบ แล้ววินาทีต่อมาก็นึกอะไรขึ้นได้ “เออ จริงสิ ฉันขอยืมโทรศัพท์คุณโทร. หาเพื่อนได้ไหมคะ คือ...ฉันลืมเอาโทรศัพท์มาอ้ะค่ะ นี่ก็มาเข้าห้องน้ำนานแล้ว ถ้านานกว่านี้เดี๋ยวเพื่อนๆ จะเป็นห่วง”

“จำเบอร์เพื่อนได้เหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วหนาขึ้น

“...” เออ จริงด้วย ปกติเธอแทบไม่ได้โทร. หาพัชนีและมทิราเลย เพราะส่วนใหญ่จะคุยกันในกรุ๊ปไลน์หรือไม่ก็โทร. ฟรีผ่านไลน์ “จำไม่ได้อะ” ม่านมุกถอนหายใจพรืดด้วยความขัดใจ

“โทร. เข้าเบอร์คุณแทนสิ จำเบอร์ตัวเองได้ใช่ไหม” ดุลยวัตเสนอทางออก ใช้มือซ้ายสลับมาจับห่อผ้าขนหนูประคบข้อเท้าหญิงสาวไว้ ขณะที่มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสแล็ก หยิบสมาร์ตโฟนออกมาเตรียมกดเบอร์เธอ

“จำได้ค่ะ” 

“เบอร์อะไรครับ”

“ศูนย์แปดหนึ่ง”

ดุลยวัตลอบยิ้ม ‘ยอมบอกจริงๆ แฮะ’

“ครับ” หมอหนุ่มกดเบอร์ตามที่หญิงสาวบอก

“เก้าศูนย์ห้า”

“ครับ”

“เจ็ดเจ็ด...” ม่านมุกบอกเบอร์จนครบสิบตัว 

“นี่ครับ” คนตัวโตยื่นสมาร์ตโฟนที่กดโทร. ออกแล้วมาให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” ม่านมุกรับโทรศัพท์เครื่องบางมาแนบหู 

ตื๊ดดด... เสียงสัญญาณดังไม่นานก็มีคนรับสาย

“สวัสดีค่ะ” เป็นเสียงของพัชนีนั่นเอง

“แก นี่ฉันเองนะ”

“ไอ้มุกเหรอ”

“ใช่”

“แกเป็นไรหรือเปล่า ทำไมไปห้องน้ำนานจัง ฉันกับไอ้มิลค์กำลังจะไปตามเลยเนี่ย” ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ เมื่อเออีสาวพูดจบ ม่านมุกก็ได้ยินเสียงมทิราแทรกเข้ามา

“ไอ้มุกเหรอแพท”

“อืม” พัชนีตอบเลขาฯ สาว

“มันอยู่ไหน”

“ฉันกำลังถามมันอยู่เนี่ย มันยังไม่ตอบ ว่าไงมุก แกอยู่ไหน เดี๋ยวพวกฉันไปหา”

“นั่งอยู่ในสวนหน้าห้องน้ำ” 

“เอ้า ไปนั่งทำอะไรที่นั่น อ่อยผู้เหรอ”

“บ้า พอดีตอนเดินออกจากห้องน้ำขาฉันพลิกอ้ะ เจ็บมาก แล้วมันก็บวมด้วย ตอนนี้เลยนั่งประคบน้ำแข็งอยู่ ฉันกลัวพวกแกจะเป็นห่วง เลยยืมโทรศัพท์คนที่ช่วยปฐมพยาบาลโทร. มาบอก เดี๋ยวต้องวางแล้วนะ เกรงใจเขา”

“ผู้ชายหรือผู้หญิงที่มาช่วยแก”

“ผู้ชาย” เพื่อนคงห่วงความปลอดภัยของเธอสินะ ม่านมุกยิ้มซาบซึ้ง แต่วินาทีต่อมาก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน

“หล่อไหมอ้ะ” พัชนีถามด้วยน้ำเสียงดี๊ด๊า

“คุณพัชนีคะ ฉันก็นึกว่าห่วงฉัน” หญิงสาวกลอกตามองบน

“ล้อเล่น” เออีสาวหัวเราะคิก “ก็ต้องห่วงเพื่อนสิ ส่วนเรื่องที่ว่าผู้ชายคนนั้นหล่อหรือไม่หล่อ เดี๋ยวฉันไปดูเอง”

“จะมาหาฉันเหรอ”

“อือ เดี๋ยวไปกับไอ้มิลค์เดี๋ยวนี้ละ”

“โอเค งั้นแค่นี้นะแก” ม่านมุกเอ่ยจบก็กดวางสาย และยื่นเครื่องมือสื่อสารคืนให้เจ้าของ “ขอบคุณค่ะ” 

“ครับผม” ดุลยวัตยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวสองชั้นเปล่งแสงพริบพราว

‘มาทำตาวิบวับใส่ทำไมเนี่ย คิดจะหว่านเสน่ห์เหรอ ฝันไปเถอะ เพราะฉันไม่หวั่นไหวเลยสักนิด’

หญิงสาวเสมองไปทางอื่นพลางภาวนาให้เพื่อนมาถึงไวๆ เพราะไม่อยากอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสองนาน

“เออ คุณ” จู่ๆ ม่านมุกก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

“ครับ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วหนาขึ้นเล็กน้อยและรอฟังว่าเธอจะพูดอะไร

“ขอยืมมือถืออีกรอบได้ไหมคะ” 

“อ๋อ ได้ครับ” เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสแล็กและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาให้ตามที่เธอต้องการ

“ขอบคุณค่ะ”

“จะลบประวัติการโทร.เหรอ” ดวงตาสีเข้มมองมาอย่างรู้ทัน ริมฝีปากหยักลึกสีระเรื่อยกยิ้มน้อยๆ 

“ใช่ค่ะ” ม่านมุกตอบตรงๆ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องมีความหวังในตัวเธอ

“ผมไม่โทร. ไปจีบหรอกน่า คุณมีแฟนแล้วนี่” ดุลยวัตพูดพลางลอบสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย

หญิงสาวทำหน้าเหลอเล็กน้อย “แฟน?”

“ก็...หมอปรินซ์ไง หรือว่าไม่ใช่” 

“อ๋อออ ใช่ เฮ้ย!...” ม่านมุกทำตาโตพร้อมยกมือขึ้นมาปิดปาก

ซวยละ มัวแต่คิดว่าจะทำยังไงให้เขาไม่มาวอแวเลยรีบตอบไปแบบนั้น ลืมไปว่าอีตานี่อาจจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายของหมอปรินซ์ก็ได้ แล้วถ้าเกิดเขาเป็นพี่น้องของหมอปรินซ์จริงๆ ก็ต้องรู้เรื่องแฟนหมอปรินซ์แน่นอน โอ๊ย ฉันจะโป๊ะแตกไหมเนี่ย 

บิวตีบล็อกเกอร์สาวเย็นสันหลังวาบๆ 

ไม่หรอกน่า เขาคงไม่ใช่พี่น้องหมอปรินซ์หรอก ก็แค่บังเอิญหน้าคล้ายกัน  (มากกกก) เท่านั้นแหละ อย่าเลิ่กลั่กค่ะม่านมุก 

“ตกลงใช่หรือไม่ใช่” แพทย์หนุ่มมองใบหน้าใสพลางหรี่ตาลงน้อยๆ 

“ใช่ หมอปรินซ์คือแฟนฉัน ฉันคือแฟนหมอปรินซ์ และเราก็รักกันมากด้วย” เธอตอบเสียงฉะฉาน ในเมื่อถอยหลังไม่ได้แล้วก็ต้องไปให้สุด!

“แล้วเขาหน้าคล้ายผมเหรอ ทำไมตอนผมเปิดประตูเข้าไปคุณถึงเรียกผมว่าหมอปรินซ์” คนตัวโตถามต่อ แววตาที่มองมาคล้ายกำลังจับผิด

ม่านมุกยักไหล่ก่อนจะโกหกตาใส “เปล่า ฉันแค่คิดว่าไม่น่าจะมีคนอื่นเปิดประตูเข้ามา นอกจากหมอปรินซ์” 

‘แล้วทำไมต้องมาซักไซ้ไล่เลียงฉันด้วยเนี่ย’

“อ๋อ” ดุลยวัตพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับจุดรอยยิ้มที่เดาความหมายไม่ได้ขึ้นที่มุมปากทั้งสองข้าง

หญิงสาวหันหน้าไปทางอื่น เพราะไม่อยากมองหน้ากวนๆ ของอีกฝ่าย จากนั้นก็ลบประวัติการโทร. ล่าสุดออกจากสมาร์ตโฟนของชายหนุ่ม และยื่นเครื่องมือสื่อสารคืนให้เขา

“นี่ค่ะ”

    “ลบแล้วเหรอครับ” ดุลยวัตยังไม่ยอมรับโทรศัพท์มือถือกลับไป

    “อือฮึ”

    “ผมเสียเปรียบนะเนี่ย” คนตัวโตทำเสียงอ่อน

    “เสียเปรียบยังไง”

    “ก็...ผมไม่มีเบอร์คุณแล้ว แต่คุณยังมีเบอร์ผมอ้ะ ผมกลัวคุณโทร. มาจีบ”

“ฉันมีแฟนแล้ว จะโทร. ไปจีบคุณเพื่อ?” ม่านมุกหมั่นไส้ดวงตาวิบวับคู่นี้ที่สุด เห็นแล้วอยากจะเอานิ้วจิ้มจริงๆ เลย ฮึ่ย!

“ตกลงมีแฟนแล้วจริงๆ?” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วหนาขึ้น

“จริงสิ” หญิงสาวยืนยันหนักแน่น “แล้วก็ช่วยรับมือถือของคุณกลับไปได้แล้วค่ะ ส่วนเบอร์ของคุณที่อยู่ในเครื่องฉัน เดี๋ยวฉันจะลบออกให้”

“ช่วยเข้าไปในไอจีของผมได้ไหมครับ”

“...” บิวตีบล็อกเกอร์สาวขมวดคิ้วเรียวเข้าหากัน เพราะจู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ผมอยากให้คุณดูอะไรหน่อย”

“ดูอะไร” ม่านมุกมองชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ

“รูปผมกับพี่ชาย”

“ให้ฉันดูทำไม” งงจริงๆ นะเนี่ย

“พี่ชายผมชื่อปรินซ์ และเป็นหมอ ผมอยากรู้ว่า...แฟนคุณกับพี่ชายผมเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า”

ฉิบหายละ!

ม่านมุกเริ่มร้อนรนขึ้นมาจริงๆ เพราะนอกจากเขาจะหน้าเหมือนหมอปรินซ์แล้ว ยังมีพี่ชายชื่อปรินซ์ที่เป็นหมออีก แต่...พี่ชายเขากับหมอปรินซ์ของเธอคงไม่ใช่คนเดียวกันหรอกเนอะ

บนโลกใบนี้มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นมากมาย ผู้ชายคนนี้ก็แค่บังเอิญหน้าเหมือนหมอปรินซ์ บังเอิญมีพี่ชายชื่อปรินซ์ แล้วก็บังเอิ๊ญ...บังเอิญว่าพี่ชายเขาเป็นหมอเหมือนหมอปรินซ์

บังเอิญหลายเรื่องเนอะ

แหม...ก็แค่สามเรื่องเอ๊งงงง ธรรมด๊าาาา ไม่เลิ่กลั่กเลยค่า แค่เหงื่อแตกเบาๆ 

“เขาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเลิศรักษ์” ดุลยวัตให้ข้อมูลเพิ่มเติม

ฮะ! โรงพยาบาลเลิศรักษ์งั้นเหรอ หมอปรินซ์ก็ทำงานอยู่ที่นั่นแหละ!

อย่าแตกตื่นสิม่านมุก มันก็แค่เรื่องบังเอิญเรื่องที่สี่เท่านั้น ที่นั่นอาจมีหมอชื่อปรินซ์หลายคนก็ได้ปะ 

ม่านมุกพยายามคิดเข้าข้างตัวเองสุดฤทธิ์

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น